ทำเป็นไหมเงี่ยโสตลงสดับ
ฟังไปคิดขัดแย้งไปเขาเรียก
ปัญญามีไม่พอเลยยังฟังไม่เข้าใจ
ฟังไปเรื่อยๆเพราะกว่าจะมีหิริโอตัปปะ
อ่านสิ...บวชแล้วรับเงินไม่ได้...อ่ะคิดสิว่า
ทั้งผู้รับเงินและผู้ให้เงินไม่มีหิริโอตัปปะทั้งคู่
มีการล่วงเกินคำสอนของใครอยู่/ละชั่วไม่ได้เลย

ละชั่วที่ไม่รู้ว่าไม่มีตัวตนไม่ได้เลยตามปกติเป็นปกติที่มีตัวตนทำทุกอย่าง
https://youtu.be/OxQv7KYOg08

เสียเวลาเปล่า บอกไม่เชื่อ อ้อ แถมให้อีกอย่าง พุทธศาสนาในเมืองไทยไปไม่รอด ตัวอย่างมีและเริ่มจะชัดๆขึ้นทุกวันๆแล้ว

เอาตัวตนไปนั่งหลับตาแล้วก็ส่งออกไปรู้วาระจิตคนอื่น
แปลว่าทำกิเลสอกุศลละเอียดให้หลงผิดคิดว่าตนวิเศษ
ดีไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าไม่มีทั้งตัวตนของตนเองและคนอื่น
จะเอาแต่ส่งออกไปดูคนอื่นไม่รู้จักฟังและดูตนเอง555
ยังไม่รู้สึกตัวเลยว่าขาดสติแล้วตอนส่งออกระลึกไม่ได้
คำว่าระลึกได้ต้องกำลังมีเสียงคำตถาคตเตือนสติอยู่ค่ะ
คำสอนของพระพุทธเจ้าน่ะตรงมากไม่ระลึกตามก็ขาดสติงัย
จะไปรู้สึกตัวตอนไหนจิตมั่นคงตรงทางเกิดดับเองตามปกติอยู่แล้วค่ะ

ยิ่งพูดยิ่งแสดงความไม่รู้ออกมามากมาย

จะถามนะ คุณโรสตอบให้ตรงคำถามนะ ที่ว่า จิตเกิดดับเองตามปกติอยู่แล้วเนี่ย คุณโรสเห็นเอง หรือฟังมาจากไหนจากใคร ตอบ มีช้อยให้เลือก

1. เห็นเอง
2.ฟังเขาพูดมา

ข้อไหน 1 หรือ 2

พู​ด​ ทำ​ คิด​ ด้วยความรู้ไม่ทันจะคิดดับๆ​ ก็เป็นการใส่ร้ายตลอด​ เพราะออกจากอวิชชา​ คือ​ ความรู้ไม่ทัน​ รากเหง้าแห่งบาป​ พระพุทธเจ้า​สอนตนเป็นที่พึ่งแห่งตน​ ตถาคตช่วยได้แค่บอก

ใส่ร้ายก็ได้ร้าย​ ใส่ดีก็ได้ดี​ ตามเหตุและตามปัจจัย​ นี่แหละเรียกว่ากุศลก็เป็นกุศล​ อกุศลก็เป็นอกุศล​ ตามเหตุและตามปัจจัย​

เพราะรู้ไม่ทันจึงเกิดการปรุงแต่ง​ เพราะการปรุงแต่งจึงเกิดชอบ​ ชัง​ เฉย​ เพราะเกิดชอบ​ ชัง​ เฉย​ จึงเกิดโง่​ บ้า​ ยึดถือ​ ใส่ร้ายทุกอย่าง​ รวมทั้งจิตวิญญาณของตนเองก็ไม่เว้น

รู้ทันจะคิดดับๆ​ ก็หลุดพ้นทุกข์​ ความเดือดร้อนจากความยึดถือให้ได้ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง

พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า​ ให้เรารู้ทันทุกอย่าง​ ก็เพื่อรอการตรัสรู้พ้นทุกข์ดับกิเลส​ คือ​ ชอบ​ ชัง​ เฉย​ นั่นแหละ

จากสายสืบนิสัยศาสตร์

คิดให้เข้าใจแล้วจะรู้ว่าอะไรคือความจริง
คุณกรัชกายแกล้งโง่หรือว่าโง่จริง

จิตเห็น=จักขุวิญญาณ=มีจิต+ประสาทตาที่ตาไม่บอด+ลืมตาดูตามปกติมีแสงสะท้อนสีที่มหาภูตรูปเข้าตา
สิ่งที่ถูกเห็นมันเข้าไปอยู่ในลูกตาไหม555แต่ถ้าเป็นสีทาบ้านกระเด็นเข้าตาก็เป็นมหาภูตรูปกระแทกตา555

คุณกรัชกายก็ไร้สาระ
ผมไม่ค่อยอยากเสวนาด้วย ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
ไม่ได้ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นอะไร เป็นคนโง่ยังไง ก็โง่อยู่อย่างนัั้น
สนทนาด้วยอกุศลก็ฟูออกฟูออก เข้าใจมะ เลยไม่อยากพูด
เพราะพูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ไปพูดกับคนที่เค้าพร้อมรับฟังดีกว่า

ซุ่มไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยชกให้ร่วงทีเดียว 555

คิกๆๆ ไปหาคลิปคุณแม่สุจินมาให้ฟังหน่อยสิ

คุณโรสว่า ไม่มีใครเอากิเลสออกได้ ตั้ง กท.แล้วที่นี่

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=56293

ไล่ๆดู คุณโรสคิดพูดวนไปวนมา เหมือนพายเรือในกาละลัง

นี่ว่า อานาปานสติ เป็นกิเลส

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=53021

พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักความจริงที่กำลังมีเด่วนี้
ความจริงที่กำลังมีจริงๆตามคำสอนเรียกว่าธัมมะ
และธัมมะที่เป็นความจริงนั้นไม่เกิดนอกกายใจ
ถามว่ามีแต่ส่งออกไปดูไปคิดไปสร้างไปทำวัตถุ
ไม่เคยฟังให้คิดถูกเพื่อจำถูกตรงตามคำสอนเลย
แล้วเอาอะไรไปภาวนาถูกตรงตามคำสอนได้คะ
มีแต่เห็นผิดจำผิดคิดผิดมีแต่เอาตัวตนไปทำตัว
ให้ไม่รู้เพราะไม่เคยคิดถูกตามคำสอนได้เลย
คิดมีเห็นปนไม่ได้ความจำก็ไม่ใช่ความคิด
ไม่เคยฟังคนอื่นบอกแล้วจะคิดถูกตามรึ
https://youtu.be/NvjnNvonbd8

ลมหายใจเข้า-ออก มันอยู่นอกกายใจไง ตอบสิ

พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าไม่ควรเชื่อใครทั้งสิ้น​ ถ้ายังรู้ไม่ทันว่าสิ่งน้้นเป็นการใส่ดีที่เป็นคุณประโยชน์ไม่เกิดทุกข์เดือดร้อน​​ หรือสิ่งนั้นเป็นการใส่ร้ายที่ทำให้เกิดทุกข์โทษเดือดร้อน​ด้วยความรู้ทันของตนเอง​ในความเกิดดับแห่งการใส่ดีและใส่ร้ายแล้วเราควรเชื่อ​ เรียกว่าเป็นการตรัสรู้ได้ด้วยตัวเองที่ไม่ต้องเชื่อใครอีกแล้ว

คิดมากก็ใส่ร้ายเดือดร้อนมาก​ รู้ทันจะคิดดับๆ​ ก็ใส่ดีไม่ต้องเดือดร้อนอีกเลย

รู้ทันจะคิดดับๆ​ ก็ใส่ดีมีคุณประโยชน์ได้ทุกเรื่อง​ ที่ไม่ต้องทุกข์ร้อนกับอะไร​ นั่นแหละเราพึงเชื่อ​ เรียกว่า​ ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง​ พึ่ง​ตน​ พึ่งธรรมด้วยประการละฉะนี้

จากสายสืบนิสัยศาสตร์