วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 06:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2016, 22:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเราคบกับแฟนมากว่า 5 ปี
บทจะเลิกกัน มันไม่ได้อยู่ ๆ ก็เกิดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยหรอก
มันย่อมมีวี่แววของลางร้าย

ถ้าไม่เห็นวี่แววของลางร้าย

ก็คือ...ยังไม่มีวี่แววนั่นเอง

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2016, 23:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
วันนี้ต่อให้อีกสักนิดหนึ่งว่า เมื่อเป็นปกติได้ในทุกสถานการณ์ ทุกการกระทบสัมผัส ก็จะได้ "สังขารุเปกขาญาณ" มาเป็นรางวัล

ไม่เลยไปเป็นภพ ชาติอะไรอย่างที่กบและก้อนฟุ้งไปหรอกนะ
onion


:b32: ...พระสูตรที่ท่านอโศกะอุตสาห์เป็นผู้ที่ไปหยิบยกมาเองแท้ ๆ เลย...นะนี่

Quote Tipitaka:
[๑๒๕] การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ย่อมมีได้ด้วย
อาการ ๒ เป็นไฉน ฯ
ปุถุชนย่อมยินดีสังขารุเปกขา ๑ ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑ การ
น้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของปุถุชน ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๒ นี้ ฯ


การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะ ย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓
เป็นไฉน ฯ
พระเสขะย่อมยินดีสังขารุเปกขา ๑ ย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑
พิจารณาแล้วเข้าผลสมาบัติ ๑ การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของพระเสขะ ย่อม
มีได้ด้วยอาการ ๓ นี้ ฯ


การน้อมจิตไปในสังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะ ย่อมมีได้ด้วย
อาการ ๓ เป็นไฉน ฯ
ท่านผู้ปราศจากราคะย่อมเห็นแจ้งสังขารุเปกขา ๑ พิจารณาแล้วเข้าผล-
*สมาบัติ ๑ วางเฉยสังขารุเปกขานั้นแล้ว ย่อมอยู่ด้วยสุญญตวิหารสมาบัติ
อนิมิตตวิหารสมาบัติ หรืออัปปณิหิตวิหารสมาบัติ ๑ การน้อมจิตไปใน
สังขารุเปกขาของท่านผู้ปราศจากราคะย่อมมีได้ด้วยอาการ ๓ นี้ ฯ

Quote Tipitaka:
...บทอรรถกถา...

บทว่า ตทชฺฌุเปกฺขิตฺวา - วางเฉยสังขารุเบกขานั้น ได้แก่ วางเฉยสังขารุเบกขานั้นด้วยวิปัสสนาญาณเช่นนั้นอย่างหนึ่ง.
ในบทมีอาทิว่า สุญฺญตวิหาเรน วา - ด้วยสุญญตวิหารสมาบัติ มีความดังต่อไปนี้.
การอยู่ด้วยวิปัสสนา ๓ ของพระอรหันต์ผู้ประสงค์จะอยู่ด้วยวิปัสสนาวิหารเว้นผลสมาบัติ เห็นความยึดมั่นตนโดยความน่ากลัว จึงน้อมไปในสุญญตวิหาร เห็นความเสื่อมในสังขารุเบกขา ชื่อว่าสุญญตวิหาร.
การอยู่ด้วยวิปัสสนา ๓ ของท่านผู้เห็นสังขารนิมิตโดยความน่ากลัวแล้วน้อมไปในอนิมิตตวิหาร เห็นความเสื่อมในสังขารุเบกขา ชื่อว่าอนิมิตตวิหาร.
การอยู่ด้วยวิปัสสนา ๓ ของท่านผู้เห็นความตั้งมั่นในตัณหาโดยความน่ากลัวแล้วน้อมไปในอัปปณิหิตวิหาร เห็นความเสื่อมในสังขารุเบกขา ชื่อว่าอัปปณิหิตวิหาร.


:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
การมีสติเพื่อเข้าไปรู้หน้าที่ของธรรมะส่วนที่เป็นเอก
เช่น หูเอาไว้ฟังเสียง ตาเอาไว้มอง จมูกเอาไว้ดมกลิ่น
ลิ้นไว้รับรส กายเอาไว้สัมผัส ใจเอาไว้คิด

ส่วนที่เป็นเอกปรากฎคือนิ้วจิ้มครีบอร์ด เป็นสภาวะละส่วนที่เป็นเอกส่วนอื่นๆ เช่น นิ้วจิ้มสัมผัส ละการมอง
การดม แล้วมาพิจารณาการสัมผัส ว่าตั้งอยู่เพียงแค่แตะเดียว ดับไป เป็นสามัญลักษณะเพราะเหตุปัจจัย
แต่ส่วนมากละอาการแตะได้ เพราะความอยู่ปกติสุขของสังขาร หากแต่เจ็บนิ้วขึ้นมาแตะทีเจ็บที มันเกิดความชอบไม่ชอบเสียแล้ว อยากพ้นจากอำนาจความเจ็บปวด เพราะความไม่ปกติสุขได้เกิดขึ้นแล้ว เราละตัวความอยากหายนี้ยากขึ้น สติจึงมีส่วนในการทำหน้าที่ละประการหนึ่ง นั่นคืออินทรีย์5 รวมทั้งทำความเพียรให้เกิด.
แล้วตัญหา ต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มีอำนาจ ย่อมต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก ในการละ

Kiss
จะเอกขณะไหนคะถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ที่กำลังอ่านเป็นคิดค่ะ
แยกออกไหมคะว่าคนละขณะกับนิ้วแตะสัมผัสเพราะจิต
เป็นประธานการรู้ตัวทั่วพร้อมที่เคยรู้รวมมันแยกกันรู้โดย
ไม่ต้องอธิบายเป็นคำหรือชื่อต่างๆเลยณเวลาที่กำลังรู้ค่ะ
รู้ปัจจุบันทันทีทั้ง6ทางรู้การเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอดเลย
โดยลืมความเป็นตัวตนเห็นสักว่าเห็นแต่คิดสิ่งที่พิมพ์แล้ว
ก็รู้สึกสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวโดยไม่ปรุงชอบไม่ชอบ
โดยการระลึกรู้ที่ต่อเนื่องนั้นไร้ตัวตนทันทีมีแต่ธัมมะทั้งหมด
ณปัจจุบันขณะเป็นปัจจุบันธรรมที่สติระลึกรู้ความจริง จริงๆ
ขณะที่รู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้เป็นสัมมาทิฐิสัมมาสมาธิสัมมาวาจา
เพราะคิดคือการพูดไม่ออกเสียงทั้งหมดไม่ได้บังคับเป็นเองค่ะ
สิ่งที่มีจริงเป็นปัจจุบันขณะมีการประชุมของอายตนะ6อยู่ครบค่ะ
มีทุกอย่างที่มีจริงๆเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยตรงตามคำสอนขันธ์5ก็มี
ที่ประชุมรวมกันกายก็มีจิตก็มีรูปธรรมนามธรรมก็มีต้องรู้ตอนตื่นทั้ง6ทาง
เป็นปัญญาไหมหรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยเป็นญาณไหมมีจริงๆรึยังเป็นธัมมะไหมคะ
onion onion onion


ขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติครับ จะรู้ทีละอย่าง อย่างถ้าผมปฎิบัติ จะรู้ทีละขณะครับ โสตก็พิจารณาโสต จักษุก็พิจารณาจักษุ

จะพิจารณาต่อเนื่องก็ถือเป็นแนวปฎิบัติครับ ที่อายตนะอยู่ครบไม่ได้หมายถึงจิต (วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)ตั้งอยู่ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5จะตั้งอยู่จนเกิดผัสสะ เพราะ วิญญาณ+ อายตนะภายนอก+อายตนะภายใน )

การที่บอกรู้หมดเพราะอายตนะ6อยู่ครบ ผมเข้าใจว่าเกิดไม่พร้อมกันครับ ไม่ได้เกิดพร้อมกัน
และเกิดที่ปัจจุบันขณะทีละแห่งครับ ไม่อย่างนั้นจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)จะเกิดดับได้อย่างไร?
ที่ผู้ปฎิบัติรู้พร้อมกันว่าเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอด เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)เกิดดับด้วยการอาศัยเหตุปัจจัยคือสามัญลัษณะ (สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์, สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา)
เรียกว่ารู้ธรรมเฉพาะหน้า

ทุกอย่างมีจริงไหม? เป็นความเห็นของผู้ปฎิบัติครับ ความเห็นคุณเป็นอย่างไร คุณก็เข้าใจอย่างนั้น

ถามว่าเป็นปัญญาไหม หรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยญาณ มันก็เป็นความเห็นของคุณ ถึงตอนนี้ก็ต้องเทียบกับคำสอนของพระศาสดาครับ

Kiss
...ที่เข้าใจว่าเป็นความเห็นน่ะ...เข้าใจผิดนะคะ...กำลังระบุสภาพธััมที่จิตดวงนี้กำลังมี...
...จิตที่เข้ามาอ่านเนี่ย...รู้และเข้าใจถูกต้องตามนี้หรือยังว่า...ขณะนี้ที่ลืมตาอยู่เดี๋ยวนี้...
...สภาพธรรมที่กำลังมีครบทุกประการตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ...
...1)กำลังมีวิญญาณจริยากับอัญญาณจริยาคือจิตเป็นประธานในความไม่รู้เป็นอวิชชา...หรือว่า...
...2)กำลังมีวิญญาณจริยากับญาณจริยาคือจิตเป็นประธานที่มีปัญญาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสัจจะทุกคำ...
...ที่กำลังมีทุกประการไม่ว่าจะเป็นกาย-ใจ ธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป...
...เป็นเวลาที่สภาพธัมมะกำลังปรากฏความจริงที่กำลังมีแล้ว...ปัญญาถึงเฉพาะลักษณะตรงหรือยังคะ...
...ไม่ได้ไปแยกรู้ตามตำรา...ความจริงกำลังเกิดดับ...รู้ลักษณะที่กำลังมีเป็นสัจจะที่ละคำตรงนั้นรึยัง...
...พระพุทธพจน์ทุกคำที่แสดง...ตรัสความจริงที่กำลังปรากฏให้รู้ตอนที่ตื่นไม่ง่วงไม่หลับมีแล้วที่ตัวแต่ไม่รู้...
...ถ้ารู้ว่ามีจิตเป็นความประพฤติเป็นไปที่เรียกว่าวิญญาณจริยา...ถ้ามีตัวตนไปทำขึ้นคืออัญญาณจริยา...
...ถ้าจิตรู้ตรงขณะปัจจุบันเป็นปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆไม่ต้องทำมีแล้วถึงความจริงเป็นญาณจริยารึยัง...
...ขณะที่รู้ตรงลักษณะไม่ได้ไปทำอะไรเลย...แค่พิจารณาสภาพที่ปรากฏกับจิตตามเป็นจริงที่มีตอนนี้...
...เข้าถึงสิ่งที่มีตรงๆตรงลักษณะที่ตนพอจะเข้าใจได้ไหมอย่างไร...ตรงๆก็คือมีแล้วดูสิ่งที่กำลังมีจริงรึเปล่า...
:b1: :b12:
:b44: :b44: :b44:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 25 ก.พ. 2016, 13:24, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
อนุโมทนาครับ

เยี่ยมไปเลย

อ่านดูตอนท้ายๆ จึงได้รู้ว่า พูดถึงจิตคนละตัว

คือจิต วิญญาณขันธ์ในขันธ์5 ในความหมายผม

กับจิต สังขารขันธ์ในขันธ์5 ในความหมายคุณ Rosarin

Kiss
...จิตเป็นจิต...เป็นจิตที่มีความประพฤติเป็นไปตามกำลังของปัญญา...
...ขณะไหนรู้หรือยัง...1...2...หรือ...3....รู้คือปัญญา...ไม่รู้คืออวิชชา...
...1อัญญาณจริยา
...2วิญญาณจริยา
...3ญาณจริยา
...ขั้นพิจารณาให้เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏว่าเข้าใจหรือเห็นธรรมขั้นปริยัติรึยัง...
...ปัญญาแรกเกิดจากการฟังและเกิดขณะที่กำลังฟังด้วยถ้าไม่ฟังคิดเองไม่ได้มันผิด...
...ธัมมะแปลจากบาลีเป็นภาษาไทยคือความจริงของทุกสิ่งที่กำลังมีแล้วเป็นธัมมะ...
...พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีอยู่แล้วที่ตัวกำลังมีเกิดดับจริงๆเข้าใจรึเปล่าคะ...
http://www.dhammahome.com/audio/topic/10433
:b16: :b12:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 13:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...ที่กำลังเห็นมีจริงๆ...ที่กำลังคิดมีจริงๆ...ที่กำลังกระทบลักษณะแข็งมีจริงๆ...กำลังมีไหม...
...รู้ไหมว่าไม่ใช่ความเป็นเรา...ไม่ใช่ความเป็นตัวตน...แต่เป็นจิตรู้การเห็นที่คิดว่ายังไม่ดับ...
...ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเห็นหรือบังคับเห็นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปแล้วอย่างรวดเร็วนั้นได้...
...เพราะเห็นเป็นสภาพเห็นที่เกิดแล้วดับทันทีที่เกิดสืบต่ออย่างรวดเร็ว...และไม่ใช่มีแค่เห็น...
...ยังมีจิตได้ยิน...จิตได้กลิ่น...จิตรู้รส...จิตกระทบสัมผัสต่างๆ...ที่ดับไปหมดแล้วแต่เป็นเราคิด...
...ชื่อสมมุติต่างๆและเป็นเรื่องราวต่างๆ...ลืมสภาพธัมมะที่ปัจจุบันขณะกำลังมีเป็นปกติด้วยกิเลส...
...ขณะนั้นที่เป็นชื่อคน สัตว์ สิ่งของ แม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขาเป็นการคิดจำเป็นตัวตนของเราไปรู้นอกตัว...
...ทุกสิ่งที่กำลังมีผ่านอายตนะ6ขณะนี้กำลังเกิดดับแต่ละทางทีละทางทีละอย่างไม่พร้อมกันเลย...
...ขณะไหนที่ไม่ระลึกสภาพธัมมะให้ตรงลักษณะเป็นสัจจะทีละคำตามที่ทรงตรัสคำจริงที่รู้ได้ทีละ1...
...ขณะนั้นปรุงแต่งกิเลสอันใหม่สะสมลงไปในจิตแล้วดับหมดทั้ง6ทางสั้นแสนสั้นที่ประมาณมิได้...
...และการนั่งอยู่เฉยๆที่คิดว่าไม่ทำร้ายใครไม่ผิดศีล5...ขณะนั้นไม่รู้ความจริงก็สะสมอกุศลจิต...
...หรือแม้แต่การพอใจสิ่งที่เห็น...ไม่พอใจสิ่งที่เห็นโดยไม่เข้าใจจิตปัจจุบันขณะเป็นอกุศลจิต...
...เพราะความประพฤติเป็นไปของจิตที่มีกิเลส(ไม่รู้ทุกอย่าง)มีตัวตนไปทำขึ้นเป็นอัญญาณจริยา...
...ทุกอย่างที่มีแล้วที่ตัวเป็นความละเอียดของจิต เจตสิก รูป คืออภิธัมมะ อภิคือรู้ธัมมะต้องละเอียด...
...การรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เรียกว่าธัมมะ...เป็นการรู้ตรงลักษณะที่ปรากฏตรงๆเป็นปรมัตถธรรม...
...ทางสายกลางจึงเป็นจิตที่เป็นปัญญาที่มีความเห็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆเป็นสัจจญาณ...
...สิ่งที่ควรทำคือการไม่ประมาทโดยการคิดว่ารู้และเข้าใจแล้ว...ควรป้องกันไว้โดยไม่ขาดการฟังค่ะ...
https://www.youtube.com/watch?v=UCtOU5SB2A8
:b1: :b12:
:b39: :b39: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
การมีสติเพื่อเข้าไปรู้หน้าที่ของธรรมะส่วนที่เป็นเอก
เช่น หูเอาไว้ฟังเสียง ตาเอาไว้มอง จมูกเอาไว้ดมกลิ่น
ลิ้นไว้รับรส กายเอาไว้สัมผัส ใจเอาไว้คิด

ส่วนที่เป็นเอกปรากฎคือนิ้วจิ้มครีบอร์ด เป็นสภาวะละส่วนที่เป็นเอกส่วนอื่นๆ เช่น นิ้วจิ้มสัมผัส ละการมอง
การดม แล้วมาพิจารณาการสัมผัส ว่าตั้งอยู่เพียงแค่แตะเดียว ดับไป เป็นสามัญลักษณะเพราะเหตุปัจจัย
แต่ส่วนมากละอาการแตะได้ เพราะความอยู่ปกติสุขของสังขาร หากแต่เจ็บนิ้วขึ้นมาแตะทีเจ็บที มันเกิดความชอบไม่ชอบเสียแล้ว อยากพ้นจากอำนาจความเจ็บปวด เพราะความไม่ปกติสุขได้เกิดขึ้นแล้ว เราละตัวความอยากหายนี้ยากขึ้น สติจึงมีส่วนในการทำหน้าที่ละประการหนึ่ง นั่นคืออินทรีย์5 รวมทั้งทำความเพียรให้เกิด.
แล้วตัญหา ต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มีอำนาจ ย่อมต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก ในการละ

Kiss
จะเอกขณะไหนคะถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ที่กำลังอ่านเป็นคิดค่ะ
แยกออกไหมคะว่าคนละขณะกับนิ้วแตะสัมผัสเพราะจิต
เป็นประธานการรู้ตัวทั่วพร้อมที่เคยรู้รวมมันแยกกันรู้โดย
ไม่ต้องอธิบายเป็นคำหรือชื่อต่างๆเลยณเวลาที่กำลังรู้ค่ะ
รู้ปัจจุบันทันทีทั้ง6ทางรู้การเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอดเลย
โดยลืมความเป็นตัวตนเห็นสักว่าเห็นแต่คิดสิ่งที่พิมพ์แล้ว
ก็รู้สึกสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวโดยไม่ปรุงชอบไม่ชอบ
โดยการระลึกรู้ที่ต่อเนื่องนั้นไร้ตัวตนทันทีมีแต่ธัมมะทั้งหมด
ณปัจจุบันขณะเป็นปัจจุบันธรรมที่สติระลึกรู้ความจริง จริงๆ
ขณะที่รู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้เป็นสัมมาทิฐิสัมมาสมาธิสัมมาวาจา
เพราะคิดคือการพูดไม่ออกเสียงทั้งหมดไม่ได้บังคับเป็นเองค่ะ
สิ่งที่มีจริงเป็นปัจจุบันขณะมีการประชุมของอายตนะ6อยู่ครบค่ะ
มีทุกอย่างที่มีจริงๆเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยตรงตามคำสอนขันธ์5ก็มี
ที่ประชุมรวมกันกายก็มีจิตก็มีรูปธรรมนามธรรมก็มีต้องรู้ตอนตื่นทั้ง6ทาง
เป็นปัญญาไหมหรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยเป็นญาณไหมมีจริงๆรึยังเป็นธัมมะไหมคะ
onion onion onion


ขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติครับ จะรู้ทีละอย่าง อย่างถ้าผมปฎิบัติ จะรู้ทีละขณะครับ โสตก็พิจารณาโสต จักษุก็พิจารณาจักษุ

จะพิจารณาต่อเนื่องก็ถือเป็นแนวปฎิบัติครับ ที่อายตนะอยู่ครบไม่ได้หมายถึงจิต (วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)ตั้งอยู่ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5จะตั้งอยู่จนเกิดผัสสะ เพราะ วิญญาณ+ อายตนะภายนอก+อายตนะภายใน )

การที่บอกรู้หมดเพราะอายตนะ6อยู่ครบ ผมเข้าใจว่าเกิดไม่พร้อมกันครับ ไม่ได้เกิดพร้อมกัน
และเกิดที่ปัจจุบันขณะทีละแห่งครับ ไม่อย่างนั้นจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)จะเกิดดับได้อย่างไร?
ที่ผู้ปฎิบัติรู้พร้อมกันว่าเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอด เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)เกิดดับด้วยการอาศัยเหตุปัจจัยคือสามัญลัษณะ (สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์, สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา)
เรียกว่ารู้ธรรมเฉพาะหน้า

ทุกอย่างมีจริงไหม? เป็นความเห็นของผู้ปฎิบัติครับ ความเห็นคุณเป็นอย่างไร คุณก็เข้าใจอย่างนั้น

ถามว่าเป็นปัญญาไหม หรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยญาณ มันก็เป็นความเห็นของคุณ ถึงตอนนี้ก็ต้องเทียบกับคำสอนของพระศาสดาครับ

Kiss
...ที่เข้าใจว่าเป็นความเห็นน่ะ...เข้าใจผิดนะคะ...กำลังระบุสภาพธััมที่จิตดวงนี้กำลังมี...
...จิตที่เข้ามาอ่านเนี่ย...รู้และเข้าใจถูกต้องตามนี้หรือยังว่า...ขณะนี้ที่ลืมตาอยู่เดี๋ยวนี้...
...สภาพธรรมที่กำลังมีครบทุกประการตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ...
...1)กำลังมีวิญญาณจริยากับอัญญาณจริยาคือจิตเป็นประธานในความไม่รู้เป็นอวิชชา...หรือว่า...
...2)กำลังมีวิญญาณจริยากับญาณจริยาคือจิตเป็นประธานที่มีปัญญาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสัจจะทุกคำ...
...ที่กำลังมีทุกประการไม่ว่าจะเป็นกาย-ใจ ธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป...
...เป็นเวลาที่สภาพธัมมะกำลังปรากฏความจริงที่กำลังมีแล้ว...ปัญญาถึงเฉพาะลักษณะตรงหรือยังคะ...
...ไม่ได้ไปแยกรู้ตามตำรา...ความจริงกำลังเกิดดับ...รู้ลักษณะที่กำลังมีเป็นสัจจะที่ละคำตรงนั้นรึยัง...
...พระพุทธพจน์ทุกคำที่แสดง...ตรัสความจริงที่กำลังปรากฏให้รู้ตอนที่ตื่นไม่ง่วงไม่หลับมีแล้วที่ตัวแต่ไม่รู้...
...ถ้ารู้ว่ามีจิตเป็นความประพฤติเป็นไปที่เรียกว่าวิญญาณจริยา...ถ้ามีตัวตนไปทำขึ้นคืออัญญาณจริยา...
...ถ้าจิตรู้ตรงขณะปัจจุบันเป็นปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆไม่ต้องทำมีแล้วถึงความจริงเป็นญาณจริยารึยัง...
...ขณะที่รู้ตรงลักษณะไม่ได้ไปทำอะไรเลย...แค่พิจารณาสภาพที่ปรากฏกับจิตตามเป็นจริงที่มีตอนนี้...
...เข้าถึงสิ่งที่มีตรงๆตรงลักษณะที่ตนพอจะเข้าใจได้ไหมอย่างไร...ตรงๆก็คือมีแล้วดูสิ่งที่กำลังมีจริงรึเปล่า...
:b1: :b12:
:b44: :b44: :b44:


1) ในที่นี้คือระลึกรู้ หรือความเห็นครับ ถ้าเป็นระลึกรู้ก็แล้วแต่กำลังสติครับ ถ้าเป็นความเห็นก็แล้วแต่ว่ามีสัมมาทิฎฐิแค่ไหนครับ อย่างกรรม หรือปฎิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่นอกเหนือจากกำลังของสติ ต้องเอาอินทรีย์5 เป็นประธานครับ เพราะต้องวัดสิ่งที่พิจารณาว่าเป็นกุศล หรืออกุศลด้วย

2) ผมไม่ได้เป็นผู้ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง รู้เพียงพื้นฐานทั่วไปที่ชาวพุทธพึงจะรู้ ผมเป็นผู้ปฎิบัติ ที่แสดงความเห็นนั้นตามกำลังของสติปัญญาครับ ความเห็นเรื่องกรรมอย่างชาติหน้ามีจริง กรรมมีผล นั้นผมเชื่อ อะไรก็มาเปลี่ยนไม่ได้ แต่เวลาปฎิบัติ ต้องดูที่โพธิปักขิยธรรมครับ เราเข้าถึงแค่ไหน เพราะเป็นเรื่องของปฎิจจสมุปบาทครับ ไม่ได้หมายถึงธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป เพียงเท่านั้น

อย่างธรรมที่ปรากฎเราได้กำหนดรู้แล้ว
ธรรมที่พึงละ เราได้ละแล้ว เช่น ละเพราะเหตุปัจจัยของขันธ์5 ละเพราะเหตุปัจจัยของกรรม เช่น ละเว้นการฆ่าสัตว์ เป็นต้น

เราก็พึงจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า เราละได้ไหม เรากำหนดรู้หรือยัง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
rolleyes
...ที่กำลังเห็นมีจริงๆ...ที่กำลังคิดมีจริงๆ...ที่กำลังกระทบลักษณะแข็งมีจริงๆ...กำลังมีไหม...
...รู้ไหมว่าไม่ใช่ความเป็นเรา...ไม่ใช่ความเป็นตัวตน...แต่เป็นจิตรู้การเห็นที่คิดว่ายังไม่ดับ...
...ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเห็นหรือบังคับเห็นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปแล้วอย่างรวดเร็วนั้นได้...
...เพราะเห็นเป็นสภาพเห็นที่เกิดแล้วดับทันทีที่เกิดสืบต่ออย่างรวดเร็ว...และไม่ใช่มีแค่เห็น...
...ยังมีจิตได้ยิน...จิตได้กลิ่น...จิตรู้รส...จิตกระทบสัมผัสต่างๆ...ที่ดับไปหมดแล้วแต่เป็นเราคิด...
...ชื่อสมมุติต่างๆและเป็นเรื่องราวต่างๆ...ลืมสภาพธัมมะที่ปัจจุบันขณะกำลังมีเป็นปกติด้วยกิเลส...
...ขณะนั้นที่เป็นชื่อคน สัตว์ สิ่งของ แม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขาเป็นการคิดจำเป็นตัวตนของเราไปรู้นอกตัว...
...ทุกสิ่งที่กำลังมีผ่านอายตนะ6ขณะนี้กำลังเกิดดับแต่ละทางทีละทางทีละอย่างไม่พร้อมกันเลย...
...ขณะไหนที่ไม่ระลึกสภาพธัมมะให้ตรงลักษณะเป็นสัจจะทีละคำตามที่ทรงตรัสคำจริงที่รู้ได้ทีละ1...
...ขณะนั้นปรุงแต่งกิเลสอันใหม่สะสมลงไปในจิตแล้วดับหมดทั้ง6ทางสั้นแสนสั้นที่ประมาณมิได้...
...และการนั่งอยู่เฉยๆที่คิดว่าไม่ทำร้ายใครไม่ผิดศีล5...ขณะนั้นไม่รู้ความจริงก็สะสมอกุศลจิต...
...หรือแม้แต่การพอใจสิ่งที่เห็น...ไม่พอใจสิ่งที่เห็นโดยไม่เข้าใจจิตปัจจุบันขณะเป็นอกุศลจิต...
...เพราะความประพฤติเป็นไปของจิตที่มีกิเลส(ไม่รู้ทุกอย่าง)มีตัวตนไปทำขึ้นเป็นอัญญาณจริยา...
...ทุกอย่างที่มีแล้วที่ตัวเป็นความละเอียดของจิต เจตสิก รูป คืออภิธัมมะ อภิคือรู้ธัมมะต้องละเอียด...
...การรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เรียกว่าธัมมะ...เป็นการรู้ตรงลักษณะที่ปรากฏตรงๆเป็นปรมัตถธรรม...
...ทางสายกลางจึงเป็นจิตที่เป็นปัญญาที่มีความเห็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆเป็นสัจจญาณ...
...สิ่งที่ควรทำคือการไม่ประมาทโดยการคิดว่ารู้และเข้าใจแล้ว...ควรป้องกันไว้โดยไม่ขาดการฟังค่ะ...
https://www.youtube.com/watch?v=UCtOU5SB2A8
:b1: :b12:
:b39: :b39: :b39:


4ท่อนแรก เป็นสามัญลักษณะที่ต้องเอาไปพิจารณาให้เป็นสัมมาทิฎฐิครับ

ผมก็อธิบายไว้ตอนต้นว่าจิตรู้ไม่พร้อมกันแล้ว คือรู้ทีละ1. อย่างรู้นิ้วจิ้ม (รู้กาย) จักษุก็ดับลง ฆานดับลง
รู้อ่อนแข็ง ร้อนหนาวก็ดับลง คือรู้ทีละหนึ่ง ไม่ได้รู้พร้อมกันทีเดียว ที่เหมือนรู้พร้อมกันเพราะจิตเกิดดับเร็ว

การนั่งอยู่เฉยๆไม่คิดว่าทำร้ายใคร ถ้าไม่รู้ความจริงเรียกว่า อวิชชาครับ ไม่ใช่อกุศลจิต. อวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร สังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัญหา ตัญหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน อุปทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ ภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ ชรา มรณะ โสกาปริเทวะครับ

การพอใจ ไม่พอใจสิ่งที่เห็นไม่เข้าใจจิตปัจจุบัน เป็นสมุทัยครับ

การรู้ความจริงในสิ่งที่มีเรียกสัมมาทิฎฐิครับ. ทางสายกลางเรียกมรรคครับ การฟังเรียกว่าการน้อมจิตครับ

ผมเข้าไปฟังคำบรรยาย เกี่ยวกับการเกิดดับในขันธ์5 คำอธิบายลักษณะเป็นความเห็นของผู้บรรยายครับ

เขามีความเห็นอย่างไร เขาก็เข้าใจอย่างนั้น

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
การมีสติเพื่อเข้าไปรู้หน้าที่ของธรรมะส่วนที่เป็นเอก
เช่น หูเอาไว้ฟังเสียง ตาเอาไว้มอง จมูกเอาไว้ดมกลิ่น
ลิ้นไว้รับรส กายเอาไว้สัมผัส ใจเอาไว้คิด

ส่วนที่เป็นเอกปรากฎคือนิ้วจิ้มครีบอร์ด เป็นสภาวะละส่วนที่เป็นเอกส่วนอื่นๆ เช่น นิ้วจิ้มสัมผัส ละการมอง
การดม แล้วมาพิจารณาการสัมผัส ว่าตั้งอยู่เพียงแค่แตะเดียว ดับไป เป็นสามัญลักษณะเพราะเหตุปัจจัย
แต่ส่วนมากละอาการแตะได้ เพราะความอยู่ปกติสุขของสังขาร หากแต่เจ็บนิ้วขึ้นมาแตะทีเจ็บที มันเกิดความชอบไม่ชอบเสียแล้ว อยากพ้นจากอำนาจความเจ็บปวด เพราะความไม่ปกติสุขได้เกิดขึ้นแล้ว เราละตัวความอยากหายนี้ยากขึ้น สติจึงมีส่วนในการทำหน้าที่ละประการหนึ่ง นั่นคืออินทรีย์5 รวมทั้งทำความเพียรให้เกิด.
แล้วตัญหา ต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มีอำนาจ ย่อมต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก ในการละ

Kiss
จะเอกขณะไหนคะถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ที่กำลังอ่านเป็นคิดค่ะ
แยกออกไหมคะว่าคนละขณะกับนิ้วแตะสัมผัสเพราะจิต
เป็นประธานการรู้ตัวทั่วพร้อมที่เคยรู้รวมมันแยกกันรู้โดย
ไม่ต้องอธิบายเป็นคำหรือชื่อต่างๆเลยณเวลาที่กำลังรู้ค่ะ
รู้ปัจจุบันทันทีทั้ง6ทางรู้การเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอดเลย
โดยลืมความเป็นตัวตนเห็นสักว่าเห็นแต่คิดสิ่งที่พิมพ์แล้ว
ก็รู้สึกสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวโดยไม่ปรุงชอบไม่ชอบ
โดยการระลึกรู้ที่ต่อเนื่องนั้นไร้ตัวตนทันทีมีแต่ธัมมะทั้งหมด
ณปัจจุบันขณะเป็นปัจจุบันธรรมที่สติระลึกรู้ความจริง จริงๆ
ขณะที่รู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้เป็นสัมมาทิฐิสัมมาสมาธิสัมมาวาจา
เพราะคิดคือการพูดไม่ออกเสียงทั้งหมดไม่ได้บังคับเป็นเองค่ะ
สิ่งที่มีจริงเป็นปัจจุบันขณะมีการประชุมของอายตนะ6อยู่ครบค่ะ
มีทุกอย่างที่มีจริงๆเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยตรงตามคำสอนขันธ์5ก็มี
ที่ประชุมรวมกันกายก็มีจิตก็มีรูปธรรมนามธรรมก็มีต้องรู้ตอนตื่นทั้ง6ทาง
เป็นปัญญาไหมหรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยเป็นญาณไหมมีจริงๆรึยังเป็นธัมมะไหมคะ
onion onion onion


ขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติครับ จะรู้ทีละอย่าง อย่างถ้าผมปฎิบัติ จะรู้ทีละขณะครับ โสตก็พิจารณาโสต จักษุก็พิจารณาจักษุ

จะพิจารณาต่อเนื่องก็ถือเป็นแนวปฎิบัติครับ ที่อายตนะอยู่ครบไม่ได้หมายถึงจิต (วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)ตั้งอยู่ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5จะตั้งอยู่จนเกิดผัสสะ เพราะ วิญญาณ+ อายตนะภายนอก+อายตนะภายใน )

การที่บอกรู้หมดเพราะอายตนะ6อยู่ครบ ผมเข้าใจว่าเกิดไม่พร้อมกันครับ ไม่ได้เกิดพร้อมกัน
และเกิดที่ปัจจุบันขณะทีละแห่งครับ ไม่อย่างนั้นจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)จะเกิดดับได้อย่างไร?
ที่ผู้ปฎิบัติรู้พร้อมกันว่าเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอด เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)เกิดดับด้วยการอาศัยเหตุปัจจัยคือสามัญลัษณะ (สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์, สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา)
เรียกว่ารู้ธรรมเฉพาะหน้า

ทุกอย่างมีจริงไหม? เป็นความเห็นของผู้ปฎิบัติครับ ความเห็นคุณเป็นอย่างไร คุณก็เข้าใจอย่างนั้น

ถามว่าเป็นปัญญาไหม หรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยญาณ มันก็เป็นความเห็นของคุณ ถึงตอนนี้ก็ต้องเทียบกับคำสอนของพระศาสดาครับ

Kiss
...ที่เข้าใจว่าเป็นความเห็นน่ะ...เข้าใจผิดนะคะ...กำลังระบุสภาพธััมที่จิตดวงนี้กำลังมี...
...จิตที่เข้ามาอ่านเนี่ย...รู้และเข้าใจถูกต้องตามนี้หรือยังว่า...ขณะนี้ที่ลืมตาอยู่เดี๋ยวนี้...
...สภาพธรรมที่กำลังมีครบทุกประการตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ...
...1)กำลังมีวิญญาณจริยากับอัญญาณจริยาคือจิตเป็นประธานในความไม่รู้เป็นอวิชชา...หรือว่า...
...2)กำลังมีวิญญาณจริยากับญาณจริยาคือจิตเป็นประธานที่มีปัญญาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสัจจะทุกคำ...
...ที่กำลังมีทุกประการไม่ว่าจะเป็นกาย-ใจ ธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป...
...เป็นเวลาที่สภาพธัมมะกำลังปรากฏความจริงที่กำลังมีแล้ว...ปัญญาถึงเฉพาะลักษณะตรงหรือยังคะ...
...ไม่ได้ไปแยกรู้ตามตำรา...ความจริงกำลังเกิดดับ...รู้ลักษณะที่กำลังมีเป็นสัจจะที่ละคำตรงนั้นรึยัง...
...พระพุทธพจน์ทุกคำที่แสดง...ตรัสความจริงที่กำลังปรากฏให้รู้ตอนที่ตื่นไม่ง่วงไม่หลับมีแล้วที่ตัวแต่ไม่รู้...
...ถ้ารู้ว่ามีจิตเป็นความประพฤติเป็นไปที่เรียกว่าวิญญาณจริยา...ถ้ามีตัวตนไปทำขึ้นคืออัญญาณจริยา...
...ถ้าจิตรู้ตรงขณะปัจจุบันเป็นปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆไม่ต้องทำมีแล้วถึงความจริงเป็นญาณจริยารึยัง...
...ขณะที่รู้ตรงลักษณะไม่ได้ไปทำอะไรเลย...แค่พิจารณาสภาพที่ปรากฏกับจิตตามเป็นจริงที่มีตอนนี้...
...เข้าถึงสิ่งที่มีตรงๆตรงลักษณะที่ตนพอจะเข้าใจได้ไหมอย่างไร...ตรงๆก็คือมีแล้วดูสิ่งที่กำลังมีจริงรึเปล่า...
:b1: :b12:
:b44: :b44: :b44:


1) ในที่นี้คือระลึกรู้ หรือความเห็นครับ ถ้าเป็นระลึกรู้ก็แล้วแต่กำลังสติครับ ถ้าเป็นความเห็นก็แล้วแต่ว่ามีสัมมาทิฎฐิแค่ไหนครับ อย่างกรรม หรือปฎิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่นอกเหนือจากกำลังของสติ ต้องเอาอินทรีย์5 เป็นประธานครับ เพราะต้องวัดสิ่งที่พิจารณาว่าเป็นกุศล หรืออกุศลด้วย

2) ผมไม่ได้เป็นผู้ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง รู้เพียงพื้นฐานทั่วไปที่ชาวพุทธพึงจะรู้ ผมเป็นผู้ปฎิบัติ ที่แสดงความเห็นนั้นตามกำลังของสติปัญญาครับ ความเห็นเรื่องกรรมอย่างชาติหน้ามีจริง กรรมมีผล นั้นผมเชื่อ อะไรก็มาเปลี่ยนไม่ได้ แต่เวลาปฎิบัติ ต้องดูที่โพธิปักขิยธรรมครับ เราเข้าถึงแค่ไหน เพราะเป็นเรื่องของปฎิจจสมุปบาทครับ ไม่ได้หมายถึงธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป เพียงเท่านั้น

อย่างธรรมที่ปรากฎเราได้กำหนดรู้แล้ว
ธรรมที่พึงละ เราได้ละแล้ว เช่น ละเพราะเหตุปัจจัยของขันธ์5 ละเพราะเหตุปัจจัยของกรรม เช่น ละเว้นการฆ่าสัตว์ เป็นต้น

เราก็พึงจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า เราละได้ไหม เรากำหนดรู้หรือยัง

Kiss
...สะระณะ...ที่รู้และคิดเองได้มี 2 คือ...พระพุทธเจ้า...และ...พระปัจเจกพุทธเจ้า...
...ที่กำลังอ่านเป็นสะระณะไหนคะ...ถ้าเป็นสาวกคือผู้ฟัง...จะรู้ว่าความเห็นถูกหรือผิดได้...
...ตอนที่กำลังฟังเท่านั้น...ต้องเป็นผู้ตรงอย่างยิ่งที่จะรู้ว่า...ขณะไหนคิดเองคือไม่รู้ความจริงค่ะ...
...สัมมาทิฏฐิเป็นสภาพจิตของผู้ฟังที่รู้ตรงสภาวะธรรมที่กำลังมีตามความเป็นจริงเป็นจิต+กุศลเจตสิก...
...ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจความเป็นไปของจิตตน...ขณะนั้นสะสมปัญญาเจตสิกค่ะ...
:b1: :b12:
:b43: :b43: :b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2016, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
Rosarin เขียน:
rolleyes
...ที่กำลังเห็นมีจริงๆ...ที่กำลังคิดมีจริงๆ...ที่กำลังกระทบลักษณะแข็งมีจริงๆ...กำลังมีไหม...
...รู้ไหมว่าไม่ใช่ความเป็นเรา...ไม่ใช่ความเป็นตัวตน...แต่เป็นจิตรู้การเห็นที่คิดว่ายังไม่ดับ...
...ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนเห็นหรือบังคับเห็นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปแล้วอย่างรวดเร็วนั้นได้...
...เพราะเห็นเป็นสภาพเห็นที่เกิดแล้วดับทันทีที่เกิดสืบต่ออย่างรวดเร็ว...และไม่ใช่มีแค่เห็น...
...ยังมีจิตได้ยิน...จิตได้กลิ่น...จิตรู้รส...จิตกระทบสัมผัสต่างๆ...ที่ดับไปหมดแล้วแต่เป็นเราคิด...
...ชื่อสมมุติต่างๆและเป็นเรื่องราวต่างๆ...ลืมสภาพธัมมะที่ปัจจุบันขณะกำลังมีเป็นปกติด้วยกิเลส...
...ขณะนั้นที่เป็นชื่อคน สัตว์ สิ่งของ แม่น้ำ ป่าไม้ ภูเขาเป็นการคิดจำเป็นตัวตนของเราไปรู้นอกตัว...
...ทุกสิ่งที่กำลังมีผ่านอายตนะ6ขณะนี้กำลังเกิดดับแต่ละทางทีละทางทีละอย่างไม่พร้อมกันเลย...
...ขณะไหนที่ไม่ระลึกสภาพธัมมะให้ตรงลักษณะเป็นสัจจะทีละคำตามที่ทรงตรัสคำจริงที่รู้ได้ทีละ1...
...ขณะนั้นปรุงแต่งกิเลสอันใหม่สะสมลงไปในจิตแล้วดับหมดทั้ง6ทางสั้นแสนสั้นที่ประมาณมิได้...
...และการนั่งอยู่เฉยๆที่คิดว่าไม่ทำร้ายใครไม่ผิดศีล5...ขณะนั้นไม่รู้ความจริงก็สะสมอกุศลจิต...
...หรือแม้แต่การพอใจสิ่งที่เห็น...ไม่พอใจสิ่งที่เห็นโดยไม่เข้าใจจิตปัจจุบันขณะเป็นอกุศลจิต...
...เพราะความประพฤติเป็นไปของจิตที่มีกิเลส(ไม่รู้ทุกอย่าง)มีตัวตนไปทำขึ้นเป็นอัญญาณจริยา...
...ทุกอย่างที่มีแล้วที่ตัวเป็นความละเอียดของจิต เจตสิก รูป คืออภิธัมมะ อภิคือรู้ธัมมะต้องละเอียด...
...การรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่เรียกว่าธัมมะ...เป็นการรู้ตรงลักษณะที่ปรากฏตรงๆเป็นปรมัตถธรรม...
...ทางสายกลางจึงเป็นจิตที่เป็นปัญญาที่มีความเห็นความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังมีจริงๆเป็นสัจจญาณ...
...สิ่งที่ควรทำคือการไม่ประมาทโดยการคิดว่ารู้และเข้าใจแล้ว...ควรป้องกันไว้โดยไม่ขาดการฟังค่ะ...
https://www.youtube.com/watch?v=UCtOU5SB2A8
:b1: :b12:
:b39: :b39: :b39:


4ท่อนแรก เป็นสามัญลักษณะที่ต้องเอาไปพิจารณาให้เป็นสัมมาทิฎฐิครับ

ผมก็อธิบายไว้ตอนต้นว่าจิตรู้ไม่พร้อมกันแล้ว คือรู้ทีละ1. อย่างรู้นิ้วจิ้ม (รู้กาย) จักษุก็ดับลง ฆานดับลง
รู้อ่อนแข็ง ร้อนหนาวก็ดับลง คือรู้ทีละหนึ่ง ไม่ได้รู้พร้อมกันทีเดียว ที่เหมือนรู้พร้อมกันเพราะจิตเกิดดับเร็ว

การนั่งอยู่เฉยๆไม่คิดว่าทำร้ายใคร ถ้าไม่รู้ความจริงเรียกว่า อวิชชาครับ ไม่ใช่อกุศลจิต. อวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร สังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัญหา ตัญหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปทาน อุปทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ ภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ ชรา มรณะ โสกาปริเทวะครับ

การพอใจ ไม่พอใจสิ่งที่เห็นไม่เข้าใจจิตปัจจุบัน เป็นสมุทัยครับ

การรู้ความจริงในสิ่งที่มีเรียกสัมมาทิฎฐิครับ. ทางสายกลางเรียกมรรคครับ การฟังเรียกว่าการน้อมจิตครับ

ผมเข้าไปฟังคำบรรยาย เกี่ยวกับการเกิดดับในขันธ์5 คำอธิบายลักษณะเป็นความเห็นของผู้บรรยายครับ

เขามีความเห็นอย่างไร เขาก็เข้าใจอย่างนั้น

Kiss
...จิตเป็นประธานในการรู้ทั่วลักษณะที่กำลังมีกำลังปรากฏเท่านั้นค่ะ...จิตเป็นสภาพรู้ทุกอย่าง...
...แต่สิ่งที่ถูกรู้เป็นเจตสิกที่เป็นกุศลหรืออกุศลที่เป็นลักษณะจงใจที่จะเข้าใจความจริงที่กำลังมี...
...การถึงสภาพธัมมะที่กำลังปรากฏเป็นปัญญาล้วนๆเป็นกุศลจิตด้วยแต่ต้องเริ่มที่การตั้งใจฟัง...
...ขอย้ำว่าเริ่มจากการฟังที่เรียกว่าสุตมยปัญญาเมื่อฟังเข้าใจปัญญาจะเจริญขึ้นเป็นการอบรมจิต...
...ขณะที่ได้ฟังเพื่อเจริญปัญญา...ขณะนั้นเองที่ได้คิดและพิจารณาไตร่ตรองตามความจริงเกิด...
...การสะสมจนมีกำลังของปัญญาเป็นจินตามยปัญญาที่เป็นไปเองในการถึงเฉพาะลักษณะที่กำลังมี...
...จนมั่นคงในความจริงที่กำลังปรากฏไม่หวั่นไหวไปตามอำนาจของความไม่รู้เกิดภาวนามยปัญญา...
...สตุมยปัญญา..จินตามยปัญยา...ภาวนามยปัญญา...เกิดจากการฟังคำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ...
...ถ้าไม่เริ่มฟังเพื่อสะสมความเข้าใจก่อน...ก็ไม่ชื่อว่าพึ่งพระรัตนตรัย...ต้องมีจิรกาลภาวนาทุกชาติ...
https://www.youtube.com/watch?v=MVc1PtHl2Ag
:b16: :b12:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2016, 02:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
Rosarin เขียน:
student เขียน:
การมีสติเพื่อเข้าไปรู้หน้าที่ของธรรมะส่วนที่เป็นเอก
เช่น หูเอาไว้ฟังเสียง ตาเอาไว้มอง จมูกเอาไว้ดมกลิ่น
ลิ้นไว้รับรส กายเอาไว้สัมผัส ใจเอาไว้คิด

ส่วนที่เป็นเอกปรากฎคือนิ้วจิ้มครีบอร์ด เป็นสภาวะละส่วนที่เป็นเอกส่วนอื่นๆ เช่น นิ้วจิ้มสัมผัส ละการมอง
การดม แล้วมาพิจารณาการสัมผัส ว่าตั้งอยู่เพียงแค่แตะเดียว ดับไป เป็นสามัญลักษณะเพราะเหตุปัจจัย
แต่ส่วนมากละอาการแตะได้ เพราะความอยู่ปกติสุขของสังขาร หากแต่เจ็บนิ้วขึ้นมาแตะทีเจ็บที มันเกิดความชอบไม่ชอบเสียแล้ว อยากพ้นจากอำนาจความเจ็บปวด เพราะความไม่ปกติสุขได้เกิดขึ้นแล้ว เราละตัวความอยากหายนี้ยากขึ้น สติจึงมีส่วนในการทำหน้าที่ละประการหนึ่ง นั่นคืออินทรีย์5 รวมทั้งทำความเพียรให้เกิด.
แล้วตัญหา ต่างๆ โลภะ โทสะ โมหะ ที่มีอำนาจ ย่อมต้องใช้ความเพียรอย่างหนัก ในการละ

Kiss
จะเอกขณะไหนคะถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้ที่กำลังอ่านเป็นคิดค่ะ
แยกออกไหมคะว่าคนละขณะกับนิ้วแตะสัมผัสเพราะจิต
เป็นประธานการรู้ตัวทั่วพร้อมที่เคยรู้รวมมันแยกกันรู้โดย
ไม่ต้องอธิบายเป็นคำหรือชื่อต่างๆเลยณเวลาที่กำลังรู้ค่ะ
รู้ปัจจุบันทันทีทั้ง6ทางรู้การเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอดเลย
โดยลืมความเป็นตัวตนเห็นสักว่าเห็นแต่คิดสิ่งที่พิมพ์แล้ว
ก็รู้สึกสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวโดยไม่ปรุงชอบไม่ชอบ
โดยการระลึกรู้ที่ต่อเนื่องนั้นไร้ตัวตนทันทีมีแต่ธัมมะทั้งหมด
ณปัจจุบันขณะเป็นปัจจุบันธรรมที่สติระลึกรู้ความจริง จริงๆ
ขณะที่รู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้เป็นสัมมาทิฐิสัมมาสมาธิสัมมาวาจา
เพราะคิดคือการพูดไม่ออกเสียงทั้งหมดไม่ได้บังคับเป็นเองค่ะ
สิ่งที่มีจริงเป็นปัจจุบันขณะมีการประชุมของอายตนะ6อยู่ครบค่ะ
มีทุกอย่างที่มีจริงๆเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยตรงตามคำสอนขันธ์5ก็มี
ที่ประชุมรวมกันกายก็มีจิตก็มีรูปธรรมนามธรรมก็มีต้องรู้ตอนตื่นทั้ง6ทาง
เป็นปัญญาไหมหรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยเป็นญาณไหมมีจริงๆรึยังเป็นธัมมะไหมคะ
onion onion onion


ขึ้นอยู่กับผู้ปฎิบัติครับ จะรู้ทีละอย่าง อย่างถ้าผมปฎิบัติ จะรู้ทีละขณะครับ โสตก็พิจารณาโสต จักษุก็พิจารณาจักษุ

จะพิจารณาต่อเนื่องก็ถือเป็นแนวปฎิบัติครับ ที่อายตนะอยู่ครบไม่ได้หมายถึงจิต (วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)ตั้งอยู่ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5จะตั้งอยู่จนเกิดผัสสะ เพราะ วิญญาณ+ อายตนะภายนอก+อายตนะภายใน )

การที่บอกรู้หมดเพราะอายตนะ6อยู่ครบ ผมเข้าใจว่าเกิดไม่พร้อมกันครับ ไม่ได้เกิดพร้อมกัน
และเกิดที่ปัจจุบันขณะทีละแห่งครับ ไม่อย่างนั้นจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)จะเกิดดับได้อย่างไร?
ที่ผู้ปฎิบัติรู้พร้อมกันว่าเกิดที่ปัจจุบันขณะตลอด เพราะจิต(วิญญาณขันธ์ในขันธ์5)เกิดดับด้วยการอาศัยเหตุปัจจัยคือสามัญลัษณะ (สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์, สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา)
เรียกว่ารู้ธรรมเฉพาะหน้า

ทุกอย่างมีจริงไหม? เป็นความเห็นของผู้ปฎิบัติครับ ความเห็นคุณเป็นอย่างไร คุณก็เข้าใจอย่างนั้น

ถามว่าเป็นปัญญาไหม หรือเรียกวิชชาดับอวิชชาด้วยญาณ มันก็เป็นความเห็นของคุณ ถึงตอนนี้ก็ต้องเทียบกับคำสอนของพระศาสดาครับ

Kiss
...ที่เข้าใจว่าเป็นความเห็นน่ะ...เข้าใจผิดนะคะ...กำลังระบุสภาพธััมที่จิตดวงนี้กำลังมี...
...จิตที่เข้ามาอ่านเนี่ย...รู้และเข้าใจถูกต้องตามนี้หรือยังว่า...ขณะนี้ที่ลืมตาอยู่เดี๋ยวนี้...
...สภาพธรรมที่กำลังมีครบทุกประการตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ...
...1)กำลังมีวิญญาณจริยากับอัญญาณจริยาคือจิตเป็นประธานในความไม่รู้เป็นอวิชชา...หรือว่า...
...2)กำลังมีวิญญาณจริยากับญาณจริยาคือจิตเป็นประธานที่มีปัญญาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสัจจะทุกคำ...
...ที่กำลังมีทุกประการไม่ว่าจะเป็นกาย-ใจ ธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป...
...เป็นเวลาที่สภาพธัมมะกำลังปรากฏความจริงที่กำลังมีแล้ว...ปัญญาถึงเฉพาะลักษณะตรงหรือยังคะ...
...ไม่ได้ไปแยกรู้ตามตำรา...ความจริงกำลังเกิดดับ...รู้ลักษณะที่กำลังมีเป็นสัจจะที่ละคำตรงนั้นรึยัง...
...พระพุทธพจน์ทุกคำที่แสดง...ตรัสความจริงที่กำลังปรากฏให้รู้ตอนที่ตื่นไม่ง่วงไม่หลับมีแล้วที่ตัวแต่ไม่รู้...
...ถ้ารู้ว่ามีจิตเป็นความประพฤติเป็นไปที่เรียกว่าวิญญาณจริยา...ถ้ามีตัวตนไปทำขึ้นคืออัญญาณจริยา...
...ถ้าจิตรู้ตรงขณะปัจจุบันเป็นปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆไม่ต้องทำมีแล้วถึงความจริงเป็นญาณจริยารึยัง...
...ขณะที่รู้ตรงลักษณะไม่ได้ไปทำอะไรเลย...แค่พิจารณาสภาพที่ปรากฏกับจิตตามเป็นจริงที่มีตอนนี้...
...เข้าถึงสิ่งที่มีตรงๆตรงลักษณะที่ตนพอจะเข้าใจได้ไหมอย่างไร...ตรงๆก็คือมีแล้วดูสิ่งที่กำลังมีจริงรึเปล่า...
:b1: :b12:
:b44: :b44: :b44:


1) ในที่นี้คือระลึกรู้ หรือความเห็นครับ ถ้าเป็นระลึกรู้ก็แล้วแต่กำลังสติครับ ถ้าเป็นความเห็นก็แล้วแต่ว่ามีสัมมาทิฎฐิแค่ไหนครับ อย่างกรรม หรือปฎิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่นอกเหนือจากกำลังของสติ ต้องเอาอินทรีย์5 เป็นประธานครับ เพราะต้องวัดสิ่งที่พิจารณาว่าเป็นกุศล หรืออกุศลด้วย

2) ผมไม่ได้เป็นผู้ศึกษาพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง รู้เพียงพื้นฐานทั่วไปที่ชาวพุทธพึงจะรู้ ผมเป็นผู้ปฎิบัติ ที่แสดงความเห็นนั้นตามกำลังของสติปัญญาครับ ความเห็นเรื่องกรรมอย่างชาติหน้ามีจริง กรรมมีผล นั้นผมเชื่อ อะไรก็มาเปลี่ยนไม่ได้ แต่เวลาปฎิบัติ ต้องดูที่โพธิปักขิยธรรมครับ เราเข้าถึงแค่ไหน เพราะเป็นเรื่องของปฎิจจสมุปบาทครับ ไม่ได้หมายถึงธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 รูปธรรม นามธรรม จิต เจตสิก รูป เพียงเท่านั้น

อย่างธรรมที่ปรากฎเราได้กำหนดรู้แล้ว
ธรรมที่พึงละ เราได้ละแล้ว เช่น ละเพราะเหตุปัจจัยของขันธ์5 ละเพราะเหตุปัจจัยของกรรม เช่น ละเว้นการฆ่าสัตว์ เป็นต้น

เราก็พึงจะรู้ได้ด้วยตนเองว่า เราละได้ไหม เรากำหนดรู้หรือยัง

Kiss
...สะระณะ...ที่รู้และคิดเองได้มี 2 คือ...พระพุทธเจ้า...และ...พระปัจเจกพุทธเจ้า...
...ที่กำลังอ่านเป็นสะระณะไหนคะ...ถ้าเป็นสาวกคือผู้ฟัง...จะรู้ว่าความเห็นถูกหรือผิดได้...
...ตอนที่กำลังฟังเท่านั้น...ต้องเป็นผู้ตรงอย่างยิ่งที่จะรู้ว่า...ขณะไหนคิดเองคือไม่รู้ความจริงค่ะ...
...สัมมาทิฏฐิเป็นสภาพจิตของผู้ฟังที่รู้ตรงสภาวะธรรมที่กำลังมีตามความเป็นจริงเป็นจิต+กุศลเจตสิก...
...ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจความเป็นไปของจิตตน...ขณะนั้นสะสมปัญญาเจตสิกค่ะ...
:b1: :b12:
:b43: :b43: :b43:


การฟังก็เป็นการน้อมจิตอย่างหนึ่ง ฟังแล้วก็คิด หรือฟังแล้วก็พิจารณา บรรลุธรรมอย่างที่ปรากฎเป็นเรื่องราวจากสมัยพุทธกาล

จริงๆผมก็เริ่มมีความรู้จากการฟัง ดึกๆคืนนั้นมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านหน้าถนน เราได้ยินเสียง นั่นคือโสตวิญญาณกระทบเป็นผัสสะ โสตผัสสะเป็นความรู้เพราะความเป็นใหญ่ในหน้าที่คือโสต เอาตามาฟังแทนหูไม่ได้ นี่คือความรู้ แต่ที่เราตีความหมายว่าเป็นเสียงมอเตอร์ไซค์ รู้ได้อย่างไร? นั่งสมาธิในห้อง ปิดประตู หน้าต่าง ยากที่จักษุธาตุจะมองฝ่าความมืดเข้าไปเห็น แล้วทำไมสรุปว่าเป็นเสียงมอเตอร์ไซค์ อันนี้คือการเข้าไปปรุงแต่งธรรมตรงหน้า ธรรมที่แท้จริงคือการกระทบของโสตและเสียงเป็นผัสสะแล้วรู้สัจธรรม เพราะโสตไม่ได้หนวก เสียงอยู่ในระยะพอเหมาะต่อการได้ยิน แต่ทำไมเสียงมอเตอร์ไซค์? เพราะการวิเคราะห์
ผลจากอุปทานขันธ์5 จากสัญญาขันธ์. เพราะเราเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนจากสภาวะ วิ่งผ่านหน้าตอนกลางวันบ้าง เลยกลายเป็นอุปทานขันธ์5
เป็นสะระณะไหนเกี่ยวกับการอ่านนั้น ผมไม่เข้าใจคำถามผมจึงตอบไม่ได้ แต่พิจารณาว่าการอ่านเป็นการน้อมจิตที่จักษุธาตุ เพราะเป็นใหญ่ในเรื่องจักษุทวาร ธรรมชาติของมนุษย์คือวิเคราะห์ผล แปลจากตัวหนังสือเป็นความคิดและพิจารณา แม้สมัยพุทธกาลจะไม่มีหนังสือ แต่ไม่ได้หมายความว่า จักษุธาตุไม่ได้เกิดความสำคัญในการคิด พิจารณา ดังปรากฎในสมัยพุทธกาลว่า เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่นึกว่าเป็นเทวดาบ้าง หรือเห็นเดินอยู่เกิดความเลื่อมใสในท่าทาง เกิดความศรัทธา เป็นต้น

สมมุติเรานั่งดูทีวีดึกๆ คนอื่นหลับแล้ว เราควรจัเปิดเสียงให้ได้ยินอย่างชัดเจน โดยไม่คำนึงถึงคนอื่นๆหรือไม่? ถ้าเรามีกุศลธรรมในใจ เราพึงจะพิจารณาว่า เราไม่ควรจะเปิดเสียงทีวีดังรบกวนผู้อื่น อย่างนี้ก็เป็นการฝึกธรรมประการหนึ่งครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2016, 06:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
ไม่ได้เข้ามาวันสองวัน เจริญกันไปไกลเลยนะครับ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านเลยนะครับ
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2016, 09:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
เป็นสะระณะไหนเกี่ยวกับการอ่านนั้น ผมไม่เข้าใจคำถามผมจึงตอบไม่ได้

...ขอโทษค่ะถามไม่ละเอียด...อย่างนั้นขอขยายความดังนี้ค่ะ...
...ยุคนี้พุทธชยันตีหมายความว่ายังเป็นศาสนาของพระสมณโดมถูกต้องหรือไม่...
...และพระพุทธเจ้ามีได้ทีละ 1 พระองค์...และพระปัจเจกก็มีในยุคที่ว่างจากพระพุทธเจ้า...
...พระปัจเจกพุทธเจ้ามีได้มากกว่า1ในยุคเดียวกันและไม่มีพระปัจเจกพุทธเจ้าเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า...
...ถามว่าจิตทุกดวงที่กำลังอ่านอยู่นี้ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าแต่เป็นสาวกคือผู้ฟัง...
...พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงเป็นความจริงที่ตรัสไว้ดีแล้วเป็นสัจจะทุกคำ...
...การจะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงต้องเกิดจากการฟังเพื่อทำความเห็นให้ตรงกับสิ่งที่กำลังมี...
...ซึ่งไม่ใช่การจดจำชื่อที่เกี่ยวกับคำว่าธัมมะธาตุ4ขันธ์5อายตนะ6จิตเจตสิกรูปฯลฯแต่ให้รู้ลักษณะ...
...ที่จิตกำลังมีเป็นสัจจะที่ถึงเฉพาะลักษณะที่จิตตนมีจริงๆว่าเป็นจิตตนกำลังเป็นกุศลหรืออกุศล...
...เพราะปัญญาจะเจริญตามลำดับขั้นขณะกำลังฟังคำที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามลำดับ...
...เริ่มจากการอบรมจิตด้วยการฟังเสียงที่แสดงพระพุทธพจน์ที่เข้าสู่จิตที่กำลังฟังทันที...
...เกิดความเข้าใจอบรมจิตตนจากสุตมยปัญญามาเป็นจินตามยปัญญาและถึงสัจจญาณ...
...เป็นภาวนามยปัญญา...ซึ่งเป็นการเจริญขึ้นของการอบรมจิตจากการฟังตามลำดับ...
...เป็นการดำรงพระพุทธพจน์ไว้ในใจจากปริยัติเป็นปฏิบัติถึงปฏิเวธขณะกำลังฟัง...
...จึงชื่อว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกเพื่อไม่เสื่อมจากปัญญาของสาวก...
...ขณะที่ไม่ฟังคิดเองก็ไม่พึ่งพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงแสดงธรรม...
...เพราะเมื่อไม่ฟังก็ไม่สามารถดำรงพระธรรมไว้ในจิตใจได้...
https://www.youtube.com/watch?v=ZAEULBV7Wso
:b16: :b12:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2016, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...จิตแต่ละดวงท่องเที่ยวดวงเดียว...
...ตั้งแต่เกิดจนตายทำอยู่2อย่างคือจิต...
...คิดดีกับคิดไม่ดีเป็นจิตเกิดดับทีละ1ขณะ...
...ทางสายกลางในพระพุทธศาสนาคือปัญญาเข้าใจ...
https://m.youtube.com/watch?v=jObv786tjcU
onion onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร