วันเวลาปัจจุบัน 23 ส.ค. 2025, 21:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 208 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
วัสดีคับ ขอเข้าเรื่องเลยนะครับ ผมนั่งสมาธิแล้วประสบกับสภาวะดังนี้ครับ

นั่งสมาธิไป จนลมหายใจแผ่วลงๆ มากจนลมหายใจหายไป ในขณะเกือบไม่มีลมหายใจนั้น กลับมีสภาวะฟุ้งซ่านเกิดขึ้น

เอาจิตไปจับคำภาวนาก็ไม่ได้เพราะจับแปปเดียวมันก็ปล่อยอีก เอาไปจับลิ้นปี่ก็ไม่ได้เพราะมันไม่พองไม่ยุบแล้ว เอาไปจับปลายจมูกก้ไม่ได้เพราะแทบไม่รู้สึกถึงลม

แล้วแบบนี้พอลมหายใจผมหายไป ผมควรจะเอาจิตไปจับกับอะไรครับ

รายละเอียดการนั่งสมาธิ

นั่งแบบ ดูลมหายใจเข้าออก คำภาวนาคือพุทโธ



นี่แหละเขาทำอานาปานสติ คุณamazingว่าอย่างไร :b10:
คุณคิดว่าใช่เหรอผมบอกแล้วไง ว่าให้ทำอย่างไร



อานาปานสติ หมายถึงอะไร ตามความเข้าใจของคุณ :b10:


ก็มีสติอยู่กับลมหายใจเพื่อละนั้นทิ นั้นแหล่ะครับ



นี่ก็คือการปรุงแต่งเอา คิดเอาตามที่ตนเองอยากให้มันเป็น บอกแล้วว่าให้รู้ตามที่มันเป็น ไม่ใช่ไปคิดให้มันเป็นตามความยึดความอยากของตัว

ทบทวนใหม่เถอะครับ :b1:
คุณรู้จักอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศมั้ยครับ



เป็นไงครับอินทรีย์ชั้นเลิศ :b10:
อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ–ไม่เป็นที่ชอบใจ
เป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ
อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น
ย่อมดับไปเร็วเหมือนการกระพริบตาของคน
อุเบกขายังคงดำรงอยู่.
อานนท์ ! นี้แล เราเรียกว่า
อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย…


แล้วมันเกี่ยวกับอานาปานสติยังไงครับน่า :b10:
เพราะคุณไม่เข้าใจว่าอานาปานสตินันคือการฝึกละนันทิและสมถะโดยตรง (กายคตาสตินั้นเอง)ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่มีเสาหลักมั่นคง)
ภิกษุทั้งหลาย!
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน
มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
คือ เขาจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง
จับจระเข้...จับนก...จับสุนัขบ้าน...จับสุนัขจิ้งจอก...
และจับลิงมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
ครั้นแล้ว นำาไปผูกไว้กับเสาเขื่อน หรือเสาหลักอีกต่อหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลาย!
ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ :
งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะลงน้ำา นกจะบินขึ้นไปในอากาศ
สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า ลิงก็จะไปป่า พุทธวจน
ภิกษุทั้งหลาย!
ในกาลใดแล ความเป็นไปภายในของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น


อ้อ นี่หรอครับ อานาปานสติ


ตามความเห็นผมครับ แล้วความเห็นของคุณล่ะครับเป็นอย่างไร



เหมือนนั่งอ่านหนังสือแล้วก็จินตนาการเอา ทำใจเอาครับ

จึงได้นำเอาเหตุการณ์สมมติมาลงก่อนหน้านั่น :b1:
ผมไม่อยู่กับจินตนาการครับ ผมอยู่กับลมหายใจ


อยู่กับลมหายใจอาจจะใช่ แต่อยู่แล้วไม่รู้ลมหายใจ ผ่าไปคิดเรื่องที่ตนต้องมีต้องการเป็น :b1:
ท่านดูบทพยัญชนะซิครับ ซึ่งหมายความว่ามีเจตนาทำใหเกิดขึ้นมีขึ้นทั้งนั้น



ความหมายคำว่า เจตนา เป็นยังไงครับ เจตนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 21:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:


ความหมายคำว่า เจตนา เป็นยังไงครับ เจตนา
ในอานาปานสตินั้นถ้าท่านดูบทพยัญชนแล้วท่านจะรู้ว่า มีทั้งดูความเป็นธรรมชาติ มีทั้งเจตนาทำให้ปรากฎ ถ้าดูความเป้นธรรมชาติเรียกว่าวิปัสนา ถ้ามีเจตนาทำให้มีทำให้เป็นเรียกว่าสมถะ ฌานจิตนี้เราเป็นผู้กระทำขึ้นครับ ในนี้มีทั้งหมดอยู่ตรงนี้ ถ้าท่านไม่เคยก็ลองดูได้ไม่มีอะไรเสียหาย แล้วคุณจะรู้สิ่งที่ผมกล่าวมาเป็นอย่างไร ไม่ได้โม้!!!!!!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

ในอานาปานสตินั้นถ้าท่านดูบทพยัญชนแล้วท่านจะรู้ว่า มีทั้งดูความเป็นธรรมชาติ มีทั้งเจตนาทำให้ปรากฎ ถ้าดูความเป้นธรรมชาติเรียกว่าวิปัสนา ถ้ามีเจตนาทำให้มีทำให้เป็นเรียกว่าสมถะ ฌานจิตนี้เราเป็นผู้กระทำขึ้นครับ ในนี้มีทั้งหมดอยู่ตรงนี้ ถ้าท่านไม่เคยก็ลองดูได้ไม่มีอะไรเสียหาย แล้วคุณจะรู้สิ่งที่ผมกล่าวมาเป็นอย่างไร ไม่ได้โม้!!!!!!



อย่าทำเป็นเล่นสิครับ ถามจริงๆ

ความหมายคำว่า อานาปานสติ

ความหมายคำว่า เจตนา

ความหมายความว่า ฌาน

ความหมายคำว่า วิปัสสนา

เอาแบบตรงไปตรงมาเลยครับ อย่าโม้!!!!!! :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2013, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

ในอานาปานสตินั้นถ้าท่านดูบทพยัญชนแล้วท่านจะรู้ว่า มีทั้งดูความเป็นธรรมชาติ มีทั้งเจตนาทำให้ปรากฎ ถ้าดูความเป้นธรรมชาติเรียกว่าวิปัสนา ถ้ามีเจตนาทำให้มีทำให้เป็นเรียกว่าสมถะ ฌานจิตนี้เราเป็นผู้กระทำขึ้นครับ ในนี้มีทั้งหมดอยู่ตรงนี้ ถ้าท่านไม่เคยก็ลองดูได้ไม่มีอะไรเสียหาย แล้วคุณจะรู้สิ่งที่ผมกล่าวมาเป็นอย่างไร ไม่ได้โม้!!!!!!



อย่าทำเป็นเล่นสิครับ ถามจริงๆ

ความหมายคำว่า อานาปานสติ

ความหมายคำว่า เจตนา

ความหมายความว่า ฌาน

ความหมายคำว่า วิปัสสนา

เอาแบบตรงไปตรงมาเลยครับ อย่าโม้!!!!!! :b32:
คำเหล่านี้หาได้ไม่ยาก ผมไม่กล่าวดีกว่าผมจะกล่าวว่า การปฎิบัติอานาปานสตินั้นคือการทำสมถะและวิปัสนา สมถะก็ืคือการทำสมาธิระดับฌานให้เกิดขึ้นจึงต้องมีเจตนาในการกระทำให้เกิดขึ้นดั่งบทพยัญชนะเราจะเป็นผู้ทำปิติให้เกิดขึ้นนี้เรียช่วงของสมถะ การรู้แจ้งตามความเป็นจริงมันมีทั้งสองคือแบบ อสังขตะคือเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ว่าความรู้สึกใดๆในนั้นในระหว่างเจริญอานาปานสติมีแค่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป และรู้แจ้งรู้จริงถึงขึ้นสังขตะธรรมคือธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ อานาปานสติทำได้ถึงตรงนี้ตามพระสูตรที่ว่าทำวิมุติให้บริบูรณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 12:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วมันเกี่ยวกับอานาปานสติยังไงครับน่า :b10:
อ้างคำพูด:
เพราะคุณไม่เข้าใจว่าอานาปานสตินันคือการฝึกละนันทิและสมถะโดยตรง (กายคตาสตินั้นเอง)ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่มีเสาหลักมั่นคง)
ภิกษุทั้งหลาย!
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน
มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
คือ เขาจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง
จับจระเข้...จับนก...จับสุนัขบ้าน...จับสุนัขจิ้งจอก...
และจับลิงมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
ครั้นแล้ว นำาไปผูกไว้กับเสาเขื่อน หรือเสาหลักอีกต่อหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลาย!
ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ :
งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะลงน้ำา นกจะบินขึ้นไปในอากาศ
สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า ลิงก็จะไปป่า พุทธวจน
ภิกษุทั้งหลาย!
ในกาลใดแล ความเป็นไปภายในของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น

................................................................

ช่วยอธิบายข้อข้อความข้างต้นหน่อยคะ....เอาแบบภาษาไทยไม่ต้องแปลไทย...กำลังมึนตึบ..ตามไม่ทัน
.....แล้วนันทิ คืออะไร .....ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b9: :b14: :b10: :b9: :b10: :b14:
.............................................................................................
(ศึกษามาน้อย ยังต้องศึกษาอีกเยอะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 13:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
แล้วมันเกี่ยวกับอานาปานสติยังไงครับน่า :b10:
อ้างคำพูด:
เพราะคุณไม่เข้าใจว่าอานาปานสตินันคือการฝึกละนันทิและสมถะโดยตรง (กายคตาสตินั้นเอง)ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่มีเสาหลักมั่นคง)
ภิกษุทั้งหลาย!
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน
มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
คือ เขาจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง
จับจระเข้...จับนก...จับสุนัขบ้าน...จับสุนัขจิ้งจอก...
และจับลิงมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
ครั้นแล้ว นำาไปผูกไว้กับเสาเขื่อน หรือเสาหลักอีกต่อหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลาย!
ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ :
งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะลงน้ำา นกจะบินขึ้นไปในอากาศ
สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า ลิงก็จะไปป่า พุทธวจน
ภิกษุทั้งหลาย!
ในกาลใดแล ความเป็นไปภายในของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น

................................................................

ช่วยอธิบายข้อข้อความข้างต้นหน่อยคะ....เอาแบบภาษาไทยไม่ต้องแปลไทย...กำลังมึนตึบ..ตามไม่ทัน
.....แล้วนันทิ คืออะไร .....ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b9: :b14: :b10: :b9: :b10: :b14:
.............................................................................................
(ศึกษามาน้อย ยังต้องศึกษาอีกเยอะ)
การละนันทิก็คือการละความเพลินนั้นเอง ทวารทั้งหกนั้นเปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลายจับมันมามัดรวมกันก่อนแล็วเอามันมาผูกไว้กับเสาหลักกคือลมหายใจเข้าออกไม่นึกคิดอะไร แล้วเราจะเห็นว่าทวารทั้งหกนั้นมันจะดิ้นส่ายอยากกลับถิ่นมัน เราจะเห็นการเกิดับของอายตนะทั้งหกด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 19:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
อธรรม เขียน:
แล้วมันเกี่ยวกับอานาปานสติยังไงครับน่า :b10:
อ้างคำพูด:
เพราะคุณไม่เข้าใจว่าอานาปานสตินันคือการฝึกละนันทิและสมถะโดยตรง (กายคตาสตินั้นเอง)ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่มีเสาหลักมั่นคง)
ภิกษุทั้งหลาย!
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน
มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
คือ เขาจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง
จับจระเข้...จับนก...จับสุนัขบ้าน...จับสุนัขจิ้งจอก...
และจับลิงมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
ครั้นแล้ว นำาไปผูกไว้กับเสาเขื่อน หรือเสาหลักอีกต่อหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลาย!
ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ :
งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะลงน้ำา นกจะบินขึ้นไปในอากาศ
สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า ลิงก็จะไปป่า พุทธวจน
ภิกษุทั้งหลาย!
ในกาลใดแล ความเป็นไปภายในของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น

................................................................

ช่วยอธิบายข้อข้อความข้างต้นหน่อยคะ....เอาแบบภาษาไทยไม่ต้องแปลไทย...กำลังมึนตึบ..ตามไม่ทัน
.....แล้วนันทิ คืออะไร .....ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b9: :b14: :b10: :b9: :b10: :b14:
.............................................................................................
(ศึกษามาน้อย ยังต้องศึกษาอีกเยอะ)[/quote]การละนันทิก็คือการละความเพลินนั้นเอง ทวารทั้งหกนั้นเปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลายจับมันมามัดรวมกันก่อนแล็วเอามันมาผูกไว้กับเสาหลักกคือลมหายใจเข้าออกไม่นึกคิดอะไร แล้วเราจะเห็นว่าทวารทั้งหกนั้นมันจะดิ้นส่ายอยากกลับถิ่นมัน เราจะเห็นการเกิดับของอายตนะทั้งหกด้วย

......................................................
ทวารที่ว่านั้นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช่มั้ยคะ
ต่างหน้าที่ ต่างการรับรู้แต่ถูกรวมกันในที่เดียวกัน ซึ่งรวมแล้วมันก็คือร่างกาย....แล้วที่นี้พอเราอยู่นิ่งๆ(เสาหลัก)เพื่อดูพวกมัน ....พวกมันก็ไม่นิ่ง คอยจะวิ่งวุ่นวาย(ฟุ้งซ่าน)กลับไปเพื่อทำหน้าที่ที่เคยทำอยู่.....ในกาลใดแล ......ก็ให้ดูลักษณะของการเปลี่ยนแปลง(ความเป็นไป)มันไปเรื่อยๆ (อันนี้เราแปลความหมายถูกมั้ย) :b19: :b9: :b32: :b19: :b9: :b32:
.................................................
(ศึกษามาน้อย ยังต้องศึกษาอีกเยอะ)
.......การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อายตนะ แปลว่า ที่ต่อ หรือแดน หมายถึงที่ต่อกันให้เกิดความรู้ แดนเชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือแหล่งที่มาของความรู้ แปลอย่างง่ายๆว่า ทางรับรู้ มี 6 อย่าง ดังที่ในภาษาไทยว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ


(ตามคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์ “อายตนะ” มีความหมายหลายนัย เช่น แปลว่า เป็นที่สืบต่อแห่งจิตและเจตสิก คือ เป็นที่ที่จิตและเจตสิกทำหน้าที่กันง่วน, เป็นที่แผ่ขยายจิตและเจตสิกให้กว้างขวางออกไป, เป็นบ่อเกิด,แหล่ง, ที่ชุมนุม เป็นต้น)


ที่ว่า ต่อ หรือเชื่อมต่อ ให้เกิดความรู้นั้น ต่อ หรือ เชื่อมต่อกับอะไร ?

ตอบว่า เชื่อมต่อกับโลก คือ สภาพแวดล้อมภายนอก แต่โลกนั้นปรากฏลักษณะอาการแก่มนุษย์เป็นส่วนๆ ด้านๆ ไป เท่าที่มนุษย์จะมีแดนหรือเครื่องมือสำหรับรับรู้ คือ เท่าจำนวนอายตนะ 6 ที่กล่าวแล้วเท่านั้น ดังนั้น อายตนะทั้ง 6 จึงมีคู่ของมันอยู่ในโลกเป็นสิ่งที่ถูกรับรู้สำหรับแต่ละอย่างๆ โดยเฉพาะ

สิ่งที่ถูกรับรู้ หรือลักษณะอาการต่างๆ ของโลกเหล่านี้ เรียกชื่อว่าอายตนะเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือเป็นแหล่งความรู้ เช่นเดียวกัน แต่เป็นฝ่ายภายนอก เพื่อแยกประเภทจากกันไม่ให้สับสน ท่านเรียกอายตนะพวกแรกว่า “อายตนะภายใน” (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายใน) และเรียกอายตนะพวกหลังนี้ว่า “อายตนะภายนอก” (แดนต่อความรู้ฝ่ายภายนอก)

เมื่ออายตนะ (ภายใน) ซึ่งเป็นแดนรับรู้ กระทบกับอารมณ์ (อายตนะภายนอก) ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็จะเกิดความรู้จำเพาะด้านของอายตนะแต่ละอย่างๆ ขึ้น เช่น ตา กระทบรูป เกิดความรู้ เรียกว่า เห็น หู กระทบเสียง เกิดความรู้ เรียกว่า ได้ยิน เป็นต้น ความรู้จำเพาะแต่ละด้านนี้ เรียกว่า “วิญญาณ” แปลว่า ความรู้แจ้ง คือรู้อารมณ์


ดังนั้น จึงมีวิญญาณ 6 อย่าง เท่ากับอายตนะ และอารมณ์ 6 คู่ คือ

วิญญาณทางตา ได้แก่ เห็น

วิญญาณทางหู ได้แก่ ได้ยิน

วิญญาณทางจมูก ได้แก่ ได้กลิ่น

วิญญาณทางลิ้น ได้แก่ รู้รส

วิญญาณทางกาย ได้แก่ รู้สิ่งต้องกาย

วิญญาณทางใจ ได้แก่ รู้อารมณ์ทางใจ หรือรู้เรื่องในใจ


สรูปได้ว่า อายตนะ 6 อารมณ์ 6 และวิญญาณ 6 มีชื่อในภาษาธรรม และมีความเกี่ยวเนื่องกัน ดังนี้

1. จักขุ - ตา เป็นแดนรับรู้ รูป - รูป เกิดความรู้คือ จักขุวิญญาณ - เห็น

2 โสตะ - หู เป็นแดนรับรู้ สัททะ - เสียง เกิดความรู้คือ โสตวิญญาณ - ได้ยิน

3. ฆานะ - จมูก เป็นแดนรับรู้ คันธะ - กลิ่น เกิดความรู้คือ ฆานวิญญาณ - ได้กลิ่น

4. ชิวหา - ลิ้น เป็นแดนรับรู้ รส - รส เกิดความรู้คือ ชิวหาวิญญาณ - รู้รส

5. กาย - กาย เป็นแดนรับรู้ โผฏฐัพพะ - สิ่งต้องกาย เกิดความรู้คือ กายวิญญาณ - รู้สิ่งต้องกาย

6. มโน - ใจ เป็นแดนรับรู้ ธรรมารมณ์ - เรื่องในใจ เกิดความรู้คือ มโนจักขุวิญญาณ - รู้เรื่องในใจ


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิญญาณจะต้องอาศัยอายตนะ และอารมณ์กระทับกันจึงจะเกิดขึ้นได้ ก็จริง แต่การที่อารมณ์เข้ามาปรากฏแก่อายตนะ ก็มิใช่จะทำให้วิญญาณเกิดขึ้นได้เสมอไป จำต้องมีความใส่ใจ ความกำหนดใจ หรือความใฝ่ใจประกอบอยู่ด้วย วิญญาณนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้ว่า ชีวิตจะประกอบด้วยขันธ์ ๕ ซึ่งแบ่งซอยออกไปเป็นหน่วยย่อยต่างๆมากมาย แต่ในทางปฏิบัติ คือ ในการดำเนินชีวิตทั่วไป มนุษย์ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับส่วนประกอบเหล่านั้นโดยทั่วถึงแต่อย่างใด


ส่วนประกอบหลายอย่างมีอยู่และทำหน้าที่ของมันไปโดยมนุษย์ไม่รู้จัก หรือแม้รู้จัก ก็แทบไม่ได้นึกถึงเลย เช่น ในด้านรูปธรรม อวัยวะภายในร่างกายหลายอย่าง ทำหน้าที่ของมันอยู่โดยมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของไม่รู้และไม่ได้ใส่ใจที่จะรู้ จนบางคราวมันเกิดความวิปริตหรือทำหน้าที่บกพร่องขึ้น มนุษย์จึงจะหันมาสนใจ แม้องค์ประกอบต่างๆในกระบวนการฝ่ายจิตก็เป็นเช่นเดียวกัน


การศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ และกระบวนการทำงานของร่างกาย เราปล่อยให้เป็นภาระของนักศึกษาทางแพทย์และชีววิทยา


ส่วนการศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบและกระบวนการทำงานด้านจิตใจ ก็ปล่อยให้เป็นภาระนักอภิธรรมและจิตวิทยา แต่สำหรับคนทั่วไป ความหมายของชีวิตอยู่ที่ชีวิตในทางปฏิบัติหรือชีวิตที่ดำเนินอยู่เป็นประจำ ในแต่ละวัน ซึ่งได้แก่การติดต่อเกี่ยวข้องกับโลก สิ่งที่ให้ความหมายแก่ชีวิตก็คือการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลก พูดสั้นๆว่า ชีวิตตามความหมายของมนุษย์ คือชีวิตโดยความสัมพันธ์กับโลก


ชีวิตในทางปฏิบัติหรือชีวิตโดยโดยความสัมพันธ์กับโลกนี้ แบ่งออกได้เป็น ๒ ภาค แต่ละภาคมีระบบการทำงานซึ่งอาศัยช่องทางที่ชีวิตจะติดต่อเกี่ยวข้องกับโลก ได้ ซึ่งเรียกว่า "ทวาร" (ประตู, ช่องทาง) ดังนี้


๑. ภาครับรู้และเสพเสวยโลก อาศัยทวาร ๖ (ผัสสทวาร) คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับรับรู้ และเสพเสวยโลกซึ่งปรากฏแก่มนุษย์โดยลักษณะและอาการต่างๆ ที่เรียกว่า อารมณ์ ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์

๒. ภาคแสดงออกหรือการกระทำต่อโลก อาศัยทวาร ๓ (กรรมทวาร) คือ กาย วาจา ใจ (กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร) สำหรับกระทำตอบต่อโลก โดยแสดงออกเป็นการทำ การพูด และการคิด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม)


ในภาคที่ ๑ มีข้อที่พึงย้ำเป็นพิเศษเพื่อสะดวกแก่การศึกษาต่อไปว่า คำว่า "ทวาร" (ในทวาร ๖) นั้น เมื่อกล่าวถึงในระบบการทำงานของกระบวนธรรมแห่งชีวิต ท่านนิยมเปลี่ยนไปใช้คำว่า "อายตนะ" ซึ่งแปลว่า แดนเชื่อมต่อให้เกิดความรู้ หรือทางรับรู้ ดังนั้น ในการศึกษาเรื่องนี้ต่อไป จะใช้คำว่า "อายตนะ" แทนคำว่า "ทวาร"

ในภาคที่ ๒ พึงย้ำว่า กระบวนธรรมของชีวิตในภาคนี้ รวมอยู่ในขันธ์ที่ ๔ คือ สังขารขันธ์ สังขารต่างๆ ในสังขารขันธ์ ซึ่งมีอยู่มากมาย แบ่งเป็นฝ่ายดีบ้าง ฝ่ายชั่วบ้าง ฝ่ายกลางๆบ้าง จะปรากฎตัวออกมาปฏิบัติการโดยถูกเจตนา ที่เป็นหัวหน้าหรือเป็นตัวแทนเลือกชักจูงมา หรือจัดแจงมอบหมายหน้าที่ให้ช่วยกันทำการปรุงแต่งการแสดงออกหรือการกระทำ ทาง กาย วาจา ใจ เกิดเป็นกรรม คือ การทำ การพูด การคิด

ในกรณีนี้ สังขารจะถูกจัดประเภทเสียใหม่ ให้สอดคล้องกับบทบาทของมัน โดยแบ่งตามทางหรือทวารที่แสดงออก เป็น กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร เรียกตามชื่อหัวหน้าหรือตัวแทนว่า กายสัญเจตนา วจีสัญเจตนา และมโนสัญเจตนา หรือเรียกตามงานที่ทำออกมาว่า กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม แสดงให้เห็นง่ายขึ้นดังนี้


๑. กายสังขาร = กายสัญเจตนา ---------------------- กายทวาร => กายกรรม

(สภาพปรุงแต่งการกระทำทางกาย = ความจงใจ (แสดงออก) ทางกาย ทางกาย การกระทำทางกาย)

๒. วจีสังขาร = วจีสัญเจตนา ---------------------- วจีทวาร => วจีกรรม

(สภาพปรุงแต่งการกระทำทางวาจา = ความจงใจ (แสดงออก) ทางวาจา ทางวาจา การกระทำทางวาจา)

๓. มโนสังขาร = มโนสัญเจตนา ---------------------- มโนทวาร => มโนกรรม

(สภาพปรุงแต่งการกระทำทางใจ = ความจงใจ (แสดง) ทางใจ ทางใจ การกระทำทางใจ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำว่า ทวาร นิยมใช้ กับ อารมณ์

อายตนะภายใน คู่ กับอายตนะภายนอก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

การละนันทิก็คือการละความเพลินนั้นเอง ทวารทั้งหกนั้นเปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลาย จับมันมามัดรวมกันก่อนแล็ว เอามันมาผูกไว้กับเสาหลักกคือลมหายใจเข้าออก ไม่นึกคิดอะไร แล้วเราจะเห็นว่าทวารทั้งหกนั้นมันจะดิ้นส่ายอยากกลับถิ่นมัน เราจะเห็นการเกิดับของอายตนะทั้งหกด้วย




ควรมีหลักเป็นพื้นฐานบ้าง แล้วจึงค่อยอ่านพระสูตร ถ้าไม่มีพื้่นฐานเป็นหลัก ก็แบบที่เห็นๆนี่ล่ะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 20:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
amazing เขียน:
อธรรม เขียน:
แล้วมันเกี่ยวกับอานาปานสติยังไงครับน่า :b10:
อ้างคำพูด:
เพราะคุณไม่เข้าใจว่าอานาปานสตินันคือการฝึกละนันทิและสมถะโดยตรง (กายคตาสตินั้นเอง)ลักษณะของผู้ตั้งจิตในกายคตาสติ
(จิตที่มีเสาหลักมั่นคง)
ภิกษุทั้งหลาย!
เปรียบเหมือนบุรุษจับสัตว์หกชนิด อันมีที่อยู่อาศัยต่างกัน
มีที่เที่ยวหากินต่างกัน มาผูกรวมกันด้วยเชือกอันมั่นคง
คือ เขาจับงูมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่ง
จับจระเข้...จับนก...จับสุนัขบ้าน...จับสุนัขจิ้งจอก...
และจับลิงมาผูกด้วยเชือกเหนียวเส้นหนึ่งๆ
ครั้นแล้ว นำาไปผูกไว้กับเสาเขื่อน หรือเสาหลักอีกต่อหนึ่ง
ภิกษุทั้งหลาย!
ครั้งนั้น สัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น มีที่อาศัยและที่เที่ยวต่างๆ กัน
ก็ยื้อแย่งฉุดดึงกัน เพื่อจะไปสู่ที่อาศัยที่เที่ยวของตนๆ :
งูจะเข้าจอมปลวก จระเข้จะลงน้ำา นกจะบินขึ้นไปในอากาศ
สุนัขจะเข้าบ้าน สุนัขจิ้งจอกจะไปป่าช้า ลิงก็จะไปป่า พุทธวจน
ภิกษุทั้งหลาย!
ในกาลใดแล ความเป็นไปภายในของสัตว์ทั้งหกชนิดเหล่านั้น

................................................................

ช่วยอธิบายข้อข้อความข้างต้นหน่อยคะ....เอาแบบภาษาไทยไม่ต้องแปลไทย...กำลังมึนตึบ..ตามไม่ทัน
.....แล้วนันทิ คืออะไร .....ขอบพระคุณล่วงหน้าคะ :b9: :b14: :b10: :b9: :b10: :b14:
.............................................................................................
(ศึกษามาน้อย ยังต้องศึกษาอีกเยอะ)[/quote]การละนันทิก็คือการละความเพลินนั้นเอง ทวารทั้งหกนั้นเปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลายจับมันมามัดรวมกันก่อนแล็วเอามันมาผูกไว้กับเสาหลักกคือลมหายใจเข้าออกไม่นึกคิดอะไร แล้วเราจะเห็นว่าทวารทั้งหกนั้นมันจะดิ้นส่ายอยากกลับถิ่นมัน เราจะเห็นการเกิดับของอายตนะทั้งหกด้วย

......................................................
ทวารที่ว่านั้นคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช่มั้ยคะ
ต่างหน้าที่ ต่างการรับรู้แต่ถูกรวมกันในที่เดียวกัน ซึ่งรวมแล้วมันก็คือร่างกาย....แล้วที่นี้พอเราอยู่นิ่งๆ(เสาหลัก)เพื่อดูพวกมัน ....พวกมันก็ไม่นิ่ง คอยจะวิ่งวุ่นวาย(ฟุ้งซ่าน)กลับไปเพื่อทำหน้าที่ที่เคยทำอยู่.....ในกาลใดแล ......ก็ให้ดูลักษณะของการเปลี่ยนแปลง(ความเป็นไป)มันไปเรื่อยๆ (อันนี้เราแปลความหมายถูกมั้ย) :b19: :b9: :b32: :b19: :b9: :b32:
.................................................
(ศึกษามาน้อย ยังต้องศึกษาอีกเยอะ)
.......การให้ธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง......
นั้นแหล่ะครับเมื่อเราผูกมัดมันไว้กับลมหายใจบ่อยๆไม่สนใจมันมันก็หมดแรงลง และในที่สุดแล้วจิตเราจะมีสมาธิ กำลังของสมาธินี่แหล่ะครับจะนำพาเราข้ามฝั่งทะเลแห่งความทุกข์ไปได้ บนเส้นทางแห่งะรรมนี้ไม่มีอะไรมาก ฟังธรรมจากพุทธวจน และปฎิบัติอานาปานสติทำให้มากเจริญให้มากด้วยความเพียรอย่างแรงกลาแค่นี้จริงๆ และความสำเร็จก็จะปรากฎ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 20:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

การละนันทิก็คือการละความเพลินนั้นเอง ทวารทั้งหกนั้นเปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลาย จับมันมามัดรวมกันก่อนแล็ว เอามันมาผูกไว้กับเสาหลักกคือลมหายใจเข้าออก ไม่นึกคิดอะไร แล้วเราจะเห็นว่าทวารทั้งหกนั้นมันจะดิ้นส่ายอยากกลับถิ่นมัน เราจะเห็นการเกิดับของอายตนะทั้งหกด้วย




ควรมีหลักเป็นพื้นฐานบ้าง แล้วจึงค่อยอ่านพระสูตร ถ้าไม่มีพื้่นฐานเป็นหลัก ก็แบบที่เห็นๆนี่ล่ะ :b1:
ผมเห็นด้วยกับการศึกษา ควบคู่ไปกับการปฎิบัติก็ยิ่งดี สุตตะ จินตะ ภาวนา ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้เลยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2013, 21:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

การละนันทิก็คือการละความเพลินนั้นเอง ทวารทั้งหกนั้นเปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลาย จับมันมามัดรวมกันก่อนแล็ว เอามันมาผูกไว้กับเสาหลักกคือลมหายใจเข้าออก ไม่นึกคิดอะไร แล้วเราจะเห็นว่าทวารทั้งหกนั้นมันจะดิ้นส่ายอยากกลับถิ่นมัน เราจะเห็นการเกิดับของอายตนะทั้งหกด้วย




ควรมีหลักเป็นพื้นฐานบ้าง แล้วจึงค่อยอ่านพระสูตร ถ้าไม่มีพื้่นฐานเป็นหลัก ก็แบบที่เห็นๆนี่ล่ะ :b1:
ผมเห็นด้วยกับการศึกษา ควบคู่ไปกับการปฎิบัติก็ยิ่งดี สุตตะ จินตะ ภาวนา ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้เลยครับ


ขอบพระคุณคะ......
ก็ว่าจะหาหนังสือ ...นวโกวาทอ่านอยู่เหมือนกัน....
พวกท่านคิดว่าเล่มนี้เหมาะรึเปล่า..สำหรับการเริ่มต้นพื้นฐานการหาความหมายคำศัทพ์ทางบาลี
เผอิญว่าเป็นคนอ่านอะไรแล้วต้องให้เข้าใจจริงๆ....ถ้าคิดว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจแต่ปล่อยผ่านก็ถือว่ายังใช้การไม่ได้คะเพราะแบบนี้เวลาผ่านไปเดียวมันก็ลืม.....จะเป็นการเสียเวลาไปเปล่าๆโดยไม่ได้ความรู้อะไรกลับคืนมานะคะ :b10: :b14: :b5: :b10: :b14: :b5:
...............................................
การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง
(ศึกษามาน้อยยังต้องศึกษาอีกเยอะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2013, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
ที่สุดตรงนี้จะเข้าถึงรูปนามดับไปนั้นเอง สูงสุดแล้ว แต่การเข้าถึงขอบอกว่าต้องกล้าหน่อยนะครับอาจจะเจอเหมือนผมที่ต้องใช้คำว่าเนื้อหนังเอ็นกระดูกจะหืดหาย ตอนผมทำไม่มีใครบอกแต่กล้าที่จะไป


:b8: :b12:
รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 208 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 10, 11, 12, 13, 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร