วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 37  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 09:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจะอันเป็น สมมติ คืออะไร

ความจริง คือ สัญญา
หรือ ความจริง คือรู้
รู้ ประหนึ่ง ฟางเส้นสุดท้ายที่เราถือไว้ในมือ ที่เราเห็นได้ว่ายังคงปรากฎอยู่
เมื่อฟางเส้นสุดท้ายพ้นไปจากการเกาะกุม ...

ตราบเท่าที่ขันธ์ห้ายังอยู่ การประคองความพร้อมไว้ เป็นสิ่งเดียวที่ผู้รู้ย่อมรู้ดี
ว่าเป็นยิ่งกว่าการจ้องตางูเห่าที่อยู่ตรงหน้าที่มันพร้อมจะฉกเราในทุกเวลา
เพราะ โอกาสของเรา มีเพียงเท่าที่มี

เป็นคำเปรียบเปรยของนักสู้ท่านหนึ่งที่ได้รู้จัก
ท่านบอกว่า
ที่สุดของทุกข์นั้น
แง่หนึ่ง คือผู้ที่มองเห็นความสุขอันเป็นนิรันดร์
แง่หนึ่ง คือ ที่สุดแห่ง รู้

และเราก็เป็นได้แค่สิ่งที่เรารู้

จิตส่งออกนอก เป็นสมุทัย
เพราะทันทีที่มันส่งออก มันจะไปรู้ มันจะไปเป็น

เป็นอะไร ก็เป็นไปตามขันธ์ห้า เป็นไปมากกว่านั้นไม่ได้
เป็นรูปบ้าง เป็นเวทนาบ้าง เป็นสัญญาบ้าง เป็นสังขารบ้าง เป็นวิญญาณบ้าง
ที่เห็นเป็นไปได้มากกว่านั้น ก็เพราะ อุปทาน

...


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 09:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
สัจจะอันเป็น สมมติ คืออะไร

ความจริง คือ สัญญา
หรือ ความจริง คือรู้
รู้ ประหนึ่ง ฟางเส้นสุดท้ายที่เราถือไว้ในมือ ที่เราเห็นได้ว่ายังคงปรากฎอยู่
เมื่อฟางเส้นสุดท้ายพ้นไปจากการเกาะกุม ...

ตราบเท่าที่ขันธ์ห้ายังอยู่ การประคองความพร้อมไว้ เป็นสิ่งเดียวที่ผู้รู้ย่อมรู้ดี
ว่าเป็นยิ่งกว่าการจ้องตางูเห่าที่อยู่ตรงหน้าที่มันพร้อมจะฉกเราในทุกเวลา
เพราะ โอกาสของเรา มีเพียงเท่าที่มี

เป็นคำเปรียบเปรยของนักสู้ท่านหนึ่งที่ได้รู้จัก
ท่านบอกว่า
ที่สุดของทุกข์นั้น
แง่หนึ่ง คือผู้ที่มองเห็นความสุขอันเป็นนิรันดร์
แง่หนึ่ง คือ ที่สุดแห่ง รู้

และเราก็เป็นได้แค่สิ่งที่เรารู้

จิตส่งออกนอก เป็นสมุทัย
เพราะทันทีที่มันส่งออก มันจะไปรู้ มันจะไปเป็น

เป็นอะไร ก็เป็นไปตามขันธ์ห้า เป็นไปมากกว่านั้นไม่ได้
เป็นรูปบ้าง เป็นเวทนาบ้าง เป็นสัญญาบ้าง เป็นสังขารบ้าง เป็นวิญญาณบ้าง
ที่เห็นเป็นไปได้มากกว่านั้น ก็เพราะ อุปทาน

...



หมายความว่า
ยังไม่รู้สัจจะ แห่งขันธ์ห้า เลยต้องเอาขันธ์ห้า มาประคองขันธ์ห้า
แล้วเมื่อไร จะพ้นการอิงอาศัยได้หละครับ


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 09:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


my-way เขียน:
หมายความว่า
ยังไม่รู้สัจจะ แห่งขันธ์ห้า เลยต้องเอาขันธ์ห้า มาประคองขันธ์ห้า
แล้วเมื่อไร จะพ้นการอิงอาศัยได้หละครับ


smiley

:b12: ขอบคุณที่ถาม

ขอถามคำถามนี้ต่อไปยังท่าน sup

:b8: :b8: :b8:

ท่านต้องเป็น ผึ้งที่ตอบคำถามนี้
เพราะ ผึ้งบางตัวหากินใกล้ บางตัวหากินไกล
บางตัวไม่ออกหากิน รอผึ้งที่หากินเอาอาหารมาป้อน

ท่านดันเป็นผึ้งที่แสวงหากินไกล :b13: :b13: :b13:


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 14:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 21:46
โพสต์: 373

ชื่อเล่น: ฮานะ ธรรมอาสา
อายุ: 28

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
อ้างคำพูด:
eragon_joe เขียน:
แต่ผู้รู้ อ่านแล้วเขาเห็น เห็นเหมือนกับเห็นของในกล่องที่เปิดฝากล่องออกดูในที่ที่มีแสงไฟ


การเห็นแบบนั้นล่ะ ผู้รู้มันบังตาอยู่


รบกวนท่านฮานะช่วยขยายความจุดนี้สักเล็กน้อย จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ


จะเขี่ย ผู้รู้ ให้กระเด็นน่ะ มืดๆ นั่นแหละดี :b13:

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 14:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 21:46
โพสต์: 373

ชื่อเล่น: ฮานะ ธรรมอาสา
อายุ: 28

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
อ้างคำพูด:
"ถ้าหากว่าท่านรู้ว่าท่านต้อง มีสภาวะเช่นนี้ยาวนานออกไปอีกนับหลายกัปป์ หลายกัลป์
ท่านคิดว่า ท่านจะทรงตัวอยู่อย่างไร จึงจะไม่ทุกข์"


อ้างคำพูด:
พระอาทิตย์ตอนเช้า เงาจะทอดไปทางตะวันตก
พระอาทิตย์ตอนบ่าย เงาจะทอดไปทางตะวันออก
พระอาทิตย์ตอนเที่ยง เงาจะทอดอยู่ที่ฐานของวัตถุ


ตอนเที่ยง สะท้อนภาพประหนึ่ง ปัจจุบันขณะ
ในปัจจุบันขณะ จะเป็นจุดที่ รูปและนาม ซ้อนทับกันอยู่
แนบสนิทยิ่งกว่า กาลไหน ๆ

ถ้าไม่ละเลย ย่อมเห็น
คุณของสภาวะ
และโทษของสภาวะ

:b1: :b1: :b1:


คำพูดไม่กี่ประโยค สะท้อนให้เกิด เงาของจิต

เมื่อ รู้จัก สภาวะ ตามความเป็นจริง ย่อม เห็น สิ่งที่ดีที่สุด

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 14:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 21:46
โพสต์: 373

ชื่อเล่น: ฮานะ ธรรมอาสา
อายุ: 28

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

ตราบเท่าที่ขันธ์ห้ายังอยู่ การประคองความพร้อมไว้ เป็นสิ่งเดียวที่ผู้รู้ย่อมรู้ดี
ว่าเป็นยิ่งกว่าการจ้องตางูเห่าที่อยู่ตรงหน้าที่มันพร้อมจะฉกเราในทุกเวลา
เพราะ โอกาสของเรา มีเพียงเท่าที่มี

...


เป็นยิ่งกว่าการจ้องตางูเห่าที่อยู่ตรงหน้า ...
เพราะว่า ยกโอกาส ให้งูมันงาบจนแปร้ไปแล้ว :b22:

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 15:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


Hana เขียน:
จะเขี่ย ผู้รู้ ให้กระเด็นน่ะ มืดๆ นั่นแหละดี


ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ :b9:

Hana เขียน:
eragon_joe เขียน:
แต่ผู้รู้ อ่านแล้วเขาเห็น เห็นเหมือนกับเห็นของในกล่องที่เปิดฝากล่องออกดูในที่ที่มีแสงไฟ


การเห็นแบบนั้นล่ะ ผู้รู้มันบังตาอยู่


ตรงนี้ท่านหมายความว่า การที่เราคิดว่าเราเข้าใจแล้วจากการอ่านหนังสือ ที่จริงยังไม่ใช่การรู้ที่แท้จริง อันนี้ผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ

โค้ด:
การรู้โดยไม่เห็น นั่นไม่ใช่ รู้ ยังมีความ หลง อยู่ด้วย

การไหลตาม ความรู้นั้น เป็นการ ส่งจิตออกนอก เป็นสมุทัย
ผลจากความ สำคัญมั่นหมาย ใน ความรู้นั้น เป็นทุกข์

เห็น สิ่งที่รู้ กับ สิ่งที่ถูกรู้ เป็นมรรค
เมื่อเห็นสภาวธรรมของ สองสิ่งนั้น ตามความเป็นจริง จึงไม่เข้าไปข้อง เป็นนิโรธ


ใจความของคำว่าผู้รู้บังตา คืออันเดียวกับที่ท่านต้องการจะบอกในข้อความนี้ ถูกหรือไม่ครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 15:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Hana เขียน:
eragon_joe เขียน:

ตราบเท่าที่ขันธ์ห้ายังอยู่ การประคองความพร้อมไว้ เป็นสิ่งเดียวที่ผู้รู้ย่อมรู้ดี
ว่าเป็นยิ่งกว่าการจ้องตางูเห่าที่อยู่ตรงหน้าที่มันพร้อมจะฉกเราในทุกเวลา
เพราะ โอกาสของเรา มีเพียงเท่าที่มี

...


เป็นยิ่งกว่าการจ้องตางูเห่าที่อยู่ตรงหน้า ...
เพราะว่า ยกโอกาส ให้งูมันงาบจนแปร้ไปแล้ว :b22:


อิอิ คร๊าบบบบ

มาแบบสว่าง ๆ ตอนไปต้องย่องไปตอนมืด ๆ

:b9: :b9:


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 15:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2011, 21:46
โพสต์: 373

ชื่อเล่น: ฮานะ ธรรมอาสา
อายุ: 28

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้รู้บังตา คือ อันนี้ตะหากล่ะ

คนธรรมดาๆ เขียน:
Hana เขียน:
จะเขี่ย ผู้รู้ ให้กระเด็นน่ะ มืดๆ นั่นแหละดี


ยังไม่เข้าใจอยู่ดีครับ :b9:


คนธรรมดาๆ เขียน:
Hana เขียน:
eragon_joe เขียน:
แต่ผู้รู้ อ่านแล้วเขาเห็น เห็นเหมือนกับเห็นของในกล่องที่เปิดฝากล่องออกดูในที่ที่มีแสงไฟ


การเห็นแบบนั้นล่ะ ผู้รู้มันบังตาอยู่


ตรงนี้ท่านหมายความว่า การที่เราคิดว่าเราเข้าใจแล้วจากการอ่านหนังสือ ที่จริงยังไม่ใช่การรู้ที่แท้จริง อันนี้ผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ


ถ้าเข้าใจจริงๆ มันจะไม่มีความคิดออกมาเลย :b12:

.....................................................
ผู้ใดประพฤติธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตอย่างยิ่ง


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 15:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณครับผม

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสต์ เมื่อ: 28 พ.ค. 2011, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมต้องวิปัสสนา...

:b30: :b30: :b30:


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2011, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




DSC_2556_resize_resize.jpg
DSC_2556_resize_resize.jpg [ 50.8 KiB | เปิดดู 5060 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
ทำไมต้องวิปัสสนา...

:b30: :b30: :b30:


กลับมาสู่ต้นกระทู้กันแล้วใช่ไหมครับ

วิปัสสนาเพื่อชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ทรมาณอีก ครับ
โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2011, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


วิปัสสนา ให้ทั้งความเจริญในทางโลกและทางธรรม ส่งผลถึงมรรคผล นิพพาน


eragon_joe เขียน:
ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาวัดว่าใครรู้ดีไปกว่าใครได้เลย
หน้าที่ของสาวก คือ การแสดงคสามจริง ไม่ได้แสดงว่า รู้ดีไปกว่าไคร แต่เป็นปกติ ที่การแสดงความจริง เหมือนการแสดงภูมิรู้ ทำให้ผู้รับเกิดความไม่พอใจได้ การแสดงความจริงๆ จริงๆ แล้วจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีทิฐิมานะ

พระพุทธองค์แสดงธรรมตามเหตุปัจจัย มรรค ๘, โพธิปักฯ รวมไปถึงขันธ์ ๕ แต่แสดงโดยย่อ ไม่ได้แสดงโดยพิสดาร

สัญญาที่ต้องละ คือ สัญญาที่เกิดมาจากเวทนา ไม่ได้ให้ไปละสัญญาทั้งหมด

อ้างคำพูด:
อนิจสัญญา ทุกขสัญญา อนัตสัญญา
เป็นการแทงเข้าไปถึงระดับลึกสุด อันทำให้ สัจจะเป็นหนึ่ง
ปรากฎต่อ สัขตธรรม อสังขตธรรม เสมอกันไม่ผิดเพี้ยน
สัญญาอันเป็นเหตุให้ก้าวพ้นโลกทั้ง ๓ นี้ จะได้มาแต่ใหนล่ะ? How to?

eragon_joe เขียน:
การพิจารณาไตรลักษณ์ในส่วนหยาบ คือการอธิบายในลักษณะแบบที่ท่าันอธิบายนั่นล่ะ
แต่พอพิจารณาลงไปถึงขนาดนั้นแล้ว มันต้องเห็นด้วย หลักปัจจัย
ในธรรมวินัย ท่านกล่าวถึงความเห็น ไม่ได้ให้เห็นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตาเนื้อ หรือ ตาใน

อ้างคำพูด:
เพราะการรู้โดยไม่เห็นแล้วเชื่อตามความรู้ ความรู้นั้นคือทุกข์ นั่นเป็นสิ่งที่เห็นได้ จึงหยิบมาพิจารณาได้
แต่การรู้โดยการเห็นสภาวะธรรมตรงนั้น สิ่งที่เห็นคือ ทุกข์
ไม่เห็นมีในธรรมวินัยนะ พระพุทธองค์ตรัสความจริง ให้สาวกรู้ตาม ใครปฏิบัติตาม ก็ดับทุกข์ได้ อาศัยเพียงความเห็นเท่านั้น ส่วนจะรู้แจ้งแทงตลอดในธาตุทั้งปวง ก็เห็นมีท่านสอนพวกนักบวชนอกศาสนาที่ได้ฌานอภิญญามาก่อนบวช ให้เจริญทั้งสมถะและวิปัสสนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็ต่อเมื่อ สังโยชน์เบื้องล่าง ๕ สิ้นไปแล้วโน่น
อ้างคำพูด:
การพ้นทุกข์ ไม่ใช่การไม่ทุกข์
การไม่ทุกข์ ทุกคนที่เดินทางมาในทางปฏิับัติก็ได้ชิมกันแล้ว บ้างติด เพราะยังไม่เห็นทุกข์ที่ยิ่งกว่า
บ้างข้ามไปได้ เพราะได้เห็นทุกข์ที่ยิ่งกว่า ทุกข์อันทำให้สัตว์ยังต้องวนเวียนอยู่ในสังสาร
ตรงนี้เป็นคำสอนของพวกพราหมณ์ที่ทรมาณร่างกาย สมัยที่พระพุทธองค์ทรมาณร่างกาย ๖ ปี ก็เพราะคำสอนนี้แหละ แล้วท่านก็กลับมาบอกว่า มันผิดทาง
อ้างคำพูด:
ก็จริง พระไตรให้อ่าน ไม่ได้ให้ตีความ
แต่การตีความ การขยายความที่ปรากฎ เพราะมันไม่รู้เรื่อง จึงต้องตีความ
แล้วปุถุชนจะเอาอะไรไปตีความพระไตรปิฏกล่ะ?



ปัญญา คือ ความรู้ที่นำมาดับทุกข์ได้ รู้ว่า ธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับกฏธรรมชาติ ๒ กฏ หรือ รู้จักความจริงของโลกและชีวิต ความรู้แบบนี้เอามาดับทุกข์ได้ การเอาปัญญานำ คือ เอาความรู้ในกฏธรรมชาติ ๒ กฏนี้นำ

การกำหนดรู้ผัสสะด้วยปัญญา ดับเวทนาได้ ไม่ได้เป็นการออกนอกกฏธรรมชาติ แต่เป็นปกิจสมุปบาทฝ่ายดับ

จิตเป็นนามธรรม สัมผัสรู้ได้ด้วยใจ มันไม่ได้มีตัวมีตน รู้ได้เฉพาะผู้ที่ต้องด้วยวิโมกข์ ๘ การแสดงลักษณะของจิต ก็เหมือนมีผู้หญิงมาถามผู้ชายว่า ถูกแตะผ่าหมากแล้วรู้สึกอย่างไร ... ก็เลยแสดงได้แค่ว่า มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่รู้และจำ ความคิดอยู่ที่ใหน จิตมันก็อยู่ที่นั่นแหละ
โฮฮับ เขียน:
ไตรลักษณ์เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้ร่วมถึงทุกอย่างในธรรมชาติ
ไตรลักษณ์เป็นสภาวะหรือนามมันเกิดขึ้นที่จิตของตนเอง ไม่เกี่ยวกับสิ่งอื่น
ไปเอามาจากใหนนี่?
อ้างคำพูด:
ความกตัญญูรู้คุณเป็นโสภณจิตหรือเปล่าหรือความกตัญญูมีได้เพาะคน สุนัขไม่มี
สุนัขไม่มีความกตัญญูรู้คุณจริงๆ หรอก เป็นเพียงการแสดงออกตามความพอใจไม่พอใจเท่านั้น
อ้างคำพูด:
แบบนั้นหรอครับ แล้วทำไมพวกมหาเปรียญ เจ้าอาวาส
ทำไมยังทำผิดกันเต็มบ้านเต็มเมือง
ก็พวกเขาไม่เคยสดับฯ
อ้างคำพูด:
ปุถุชนคือผู้ที่ไม่สดับและผู้ที่สดับแต่ไม่ทำตามครับ
อืม.. จริง
อ้างคำพูด:
จำได้เปล่าว่าท่านเคยบอกในทำนองว่า "ธรรมใครธรรมมัน "
ไม่เคยบอก บอกแต่ว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่บุคคล
อ้างคำพูด:
ดับได้จริงก็ดีครับ ความหลงมันดับไปด้วยหรือครับ ดับเรื่องเก่าเกิดเรื่องใหม่
วิปัสสนาดับความหลงได้ เรื่องเก่าที่ดับไป คือ อวิชชา เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นมา คือ วิชชา
อ้างคำพูด:
ท่านก็มาพิจารณาว่าสักวันแฟนต้องแก่ สักวันแฟนต้องตายท่านรู้สึกสบายใจขึ้น
ไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้น แต่ดับเหตุปัจจัยของความคิดในทางอกุศล
อ้างคำพูด:
ต่อมาคุณเห็นแฟนคุณไปเดินกับชายอื่น ความทุกข์ที่หายไปหายไปจริงหรือเปล่า
หายไปได้จริงๆ เพราะจิตเราไม่ได้ไปเกี่ยวเรื่องพวกนี้แล้ว
อ้างคำพูด:
มันอะไรของท่านครับ "บอกว่าไม่มีหน้าไหนรู้ความจริง แต่มีผู้ที่มีเฉลยอยู่ในมือ"
เขียนใหม่ให้ชัดเจนขึ้นว่า ไม่มีปุถุชนหน้าในรู้ความจริง ... ผู้ที่มีเฉลยในมือ ก็คือ สัตตบุรุษ หรือ ผู้ที่ได้รู้แล้ว ได้ปฏิบัติจนเกิดผลกับตนเองแล้ว นอกจากนั้นอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถประเมินอะไรได้เลย ถ้าจะรู้ได้ว่า อะไรผิด อะไรถูก ก็ต้องได้ปฏิบัติจนเห็นผลก่อน
อ้างคำพูด:
การได้พบสัตตบุรุษมันยาก ทำไมไม่อ่านพระไตรปิฎกเอาเลยล่ะครับ
ถึงจะได้อ่านพระไตรปิฏกเองจนจบ ใช่ว่าจะได้ความจริงง่ายๆ เพราะตัวหนังสือมันไม่มีชีวิต ข้อความหนึ่งแสดงสิ่งเดีียวกันกับทุกคนก็จริง แต่ผู้อ่านจะได้ความหมาบจากข้อความนั้นแตกต่างกันไปได้ เพราะมีการตีความต่างกัน ... เหมือนที่บอกว่า จะไปเรียนหมอ ก็ให้ไปฟังความรู้พื้นฐานจากอาจารย์หมอเสียก่อน

my-way เขียน:
ยังไม่รู้สัจจะ แห่งขันธ์ห้า เลยต้องเอาขันธ์ห้า มาประคองขันธ์ห้า
แล้วเมื่อไร จะพ้นการอิงอาศัยได้หละครับ
ขันธ์ตามความหมายของท่าน คืออะไรละครับ?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2011, 23:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


my-way เขียน:
ยังไม่รู้สัจจะ แห่งขันธ์ห้า เลยต้องเอาขันธ์ห้า มาประคองขันธ์ห้า
แล้วเมื่อไร จะพ้นการอิงอาศัยได้หละครับ


อ้างอิง Supareak Mulpong
ขันธ์ตามความหมายของท่าน คืออะไรละครับ?


แม้ขันธ์ห้าทั้งสองนัย ตามปฎิจจสมุบาท หรือตามไตรลักษ
แต่ คุณควรจะถามว่า สัจจะหมายถึงอะไรมากกว่า
ถ้าคุณรู้สัจจะ แล้วใยจึงนำขันธ์ห้า มาประคองขันธ์ห้า
ก็เพราะว่า คุณรู้แต่ความหมายของขันธ์
ไม่ว่าจะขันธ์แบบไหนๆก็ตาม

แต่ไม่รู้จัก สัจจะของขันธ์ ทั้งสองแบบ
คุณก็ได้แต่ประคองขันธ์ห้า ต่อไป


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2011, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ค. 2011, 23:50
โพสต์: 143


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฎิบัติ เพื่อละอาสวะ ไม่ได้เพื่อแสวงหาขันธ์ห้า หรือทำนุบำรุงขันธ์ห้า
แต่การปฎิบัตินาๆประการในพระศาสนา ก็เพื่อถึงสัจจะ

ตั่งเป้าหมายให้ถูกทางเสียก่อนครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 542 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 37  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร