วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 19:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 19:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาสาธุกับเรื่องอาหารของนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ที่คุณ eragon_joe ยกมาแสดงซึ่งสรุปได้ว่าเป็น

"อโยนิโสมนสิการ"

ความหมายของ อโยนิโสมนสิการ ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆก็คือ "ไม่ตั้งใจจริง"


หากเข้าใจ..อโยนิโส....เป็นความไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม...ผมว่าดูจะทำให้เข้าใจ..การโยนิโส...ไม่ลึกซึ่งพอ...ทำให้หลงทางได้ง่าย...เพราะแค่คิดว่า...เราก็ตั้งใจอย่างจริงจัง...ก็เป็นการโยนิโสแล้ว...ทำให้พลาดในการหยุดมิจฉาญาณ...

หลงทำตามมิจฉาญาณแบบไม่รู้ตัว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 20:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาสาธุกับเรื่องอาหารของนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ที่คุณ eragon_joe ยกมาแสดงซึ่งสรุปได้ว่าเป็น

"อโยนิโสมนสิการ"

ความหมายของ อโยนิโสมนสิการ ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆก็คือ "ไม่ตั้งใจจริง"


หากเข้าใจ..อโยนิโส....เป็นความไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม...ผมว่าดูจะทำให้เข้าใจ..การโยนิโส...ไม่ลึกซึ่งพอ...ทำให้หลงทางได้ง่าย...เพราะแค่คิดว่า...เราก็ตั้งใจอย่างจริงจัง...ก็เป็นการโยนิโสแล้ว...ทำให้พลาดในการหยุดมิจฉาญาณ...

หลงทำตามมิจฉาญาณแบบไม่รู้ตัว...

tongue
สวัสดีคุณกบ หายไปนาน ดีใจที่ได้พบเจอ

โยนิโส มนสิการ ....ที่นิยมแปลกันว่า มีความแยบคาย .....ก็ดีอยู่

แต่การแปลว่า....ตั้งใจจริง ก็ไม่ผิดไปมากนักเพราะเป็นคำแปลของคำท้าย ดูที่

อ้างคำพูด:
ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆ


[b]ถ้าจะแปลให้ครบก็ต้องบอกว่า ....ตั้งใจทำจริงโดยมีความแยบคายประกอบด้วย

โยนิโส.....แยบคาย

มนสิการ....ตั้งใจจริง
[/b]
:b11:
ที่กลัวเป็นมิจฉาญาณ นั้นก็ขอขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลเจตนา
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:

สมถะเปรียบเหมือนการเอาเหตุ ไปขังไว้ บังไว้ไม่ให้กระทบปัจจัย

]ส่วนวิปัสสนา เปรียบเหมือนการถอนเหตุออกทิ้งเสียได้ ปัจจัยทั้งหลายไม่มีเหตุตั้งรับ ปัจจัยทั้งหลายก็จึงเป็นสักแต่ว่าปัจจัp

นี่จึงเป็นที่มาของประเด็นกระทู้ที่ว่า "เหตุแห่งการที่สงบ สยบ หรือขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ออกไม่ได้"คืออะไร? หรือเพราะอะไร?

และได้บอกเหตุตลอดจนวิธีสงบ สยบ และขุดถอนนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 มาดังที่กล่าวแล้วนี้



เพราะความไม่รู้ของโสกะ การดำเนินรอยตามคนที่ขาดปัญญา เอาคนที่เป็นโมฆะบุรุษมาเป็นอาจารย์
ที่ว่าเป็นโมฆะบุรุษก็เพราะ ตั้งตนเป็นเป็นครูสอนกรรมฐาน ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ
แก่นแท้ของปริยัติ มิหน่ำซ้ำเอาสิ่งที่เป็นเหมือนเดรัจฉานวิชามาสอดใส่ในสิ่งที่ตัวสอน

จงตั้งใจฟังให้ดีน่ะโสกะ.....................

สมถภาวนา เป็นการกดข่มนิวรณ์มิให้กำเริบหรือให้มันรำงับลง

วิปัสสนา เป็นการตั้งมั่นของจิตที่มุ่งตรงต่อสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง

การจะดับนิวรณ์ให้สนิทได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องไปดับกิเลส
ที่เรียกว่า......สังโยชน์
นิวรณ์๕ก็เป็นส่วนหนึ่งของสังโยชน์๑๐.........


วิธีที่จะดับนิวรณ์๕หรือสังโยชน์นั้นจะต้องใช้.........


สติปัฏฐาน๔เท่านั้น
เข้าใจมั้ยโสกะ

:b13: :b13: :b13:
ฟังแนะนำเพียงแค่นี้ก็รู้ว่าโฮฮับฟั่นเฟือนในธรรม

อ้างคำพูด:
การจะดับนิวรณ์ให้สนิทได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องไปดับกิเลส
ที่เรียกว่า......สังโยชน์
นิวรณ์๕ก็เป็นส่วนหนึ่งของสังโยชน์๑๐.........


Onion_L
ดังอ้างอิงมานี้ก็แสดงว่าปฏิบัติผิดธรรมแล้ว

นิวรณ์ 5 ต้องสงบรำงับก่อน จึงจะเข้าไปถึงขั้นตอนถอนอนุสัย คือสังโยชน์ 10 ได้

ไม่ใช่ถอนอนุสัย คือสังโยชน์ 10 ให้ได้เสียก่อนแล้วนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 จึงจะสงบ
:b16:
อโศกะได้สรุปเรียงตามลำดับแห่งธรรมไว้แล้วว่า

สมถะภาวนา สงบ สยบ กลบ บัง นิวรณ์ธรรมไว้ชั่วคราว เพื่อให้จิตควรแก่งานเจริญวิปัสสนาภาวนา

วิปัสสนาภาวนา ขุดถอนนิวรณ์ 5 ออกจนหมดสิ้น


การละสังโยชน์ทั้ง 10 ได้เป็นผล ของการเจริญวิปัสสนาภาวนา
onion onion onion

อ้างคำพูด:
วิธีที่จะดับนิวรณ์๕หรือสังโยชน์นั้นจะต้องใช้.........

สติปัฏฐาน๔เท่านั้น[/size] เข้าใจมั้ยโสกะ

:b7:
นี่ก็ไม่ใช่อีก

วิธีที่จะขุดถอนนิวรณ์ 5 และทำลายสังโยชน์ ทั้ง 10 ต้องใช้โพธิปักขิยธรรมทั้ง 37 ประการ จึงจะครบถ้วนสมบูรณ์ธรรม

onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
เรื่องนี้ทำให้คิดถึงคำสอนของหลวงพ่อไททยใหญ่รูปหนึ่งท่่านบอกว่า
"ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติธรรม จะค้นหาธรรม ค้นหาอนัตตา เหมือนคนที่ทำลูกน้อย 3 ขวบเดินพลัดหลงในงานมหกรรมอะไรสักอย่างหนึ่งที่มีผู้คนมาชุมนุมกันเป็นพันเป็นหมื่น ความกระตือรือร้น ตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะค้นหาลูกน้อยให้พบทันเวลาอย่างนั้น ถ้าเอามาใช้ในการปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนาภาวนา มนุษย์ทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำพระนิพพานให้แจ้งได้ในปัจจุบันชาตินี้"


ยกตัวอย่างได้แย่มากครับ โยงโน้นผสมนี้จนหาความหมายไม่ได้.....
แบบนี้และที่เขาเรียก คนขาดซึ่งโยนิโสมนสิการ

ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลยมีตัวอย่างให้เห็นๆ

เอาเรื่องเด็กหายมาเป็นตัวอย่างในเรื่องของอารมณ์สังขาร ....ไม่ได้ความเลยครับ
อารมณ์หรือสังขาร เราเป็นชาวพุทธย่อมต้องรู้ว่า สังขารมันอยู่ภายในกายใจเรา
ทุกอย่างมันเกิดที่กายใจเรา ดังนั้นมันไม่มีทางที่จะหายไปไหนได้


การยกเอาเรื่องเด็กหาย มาเปรียบกับสภาวะที่เกิดภายในกายใจของเรา
แสดงให้เห็นถึงความขาดซึ่งสติ ปัญญา ที่สำคัญไม่มีโยนิโสฯเลยแม้แต่น้อย

อารมณ์หรือสังขาร มันเป็นธรรมชาติของกายใจเรา
มันเกิดภายในกายใจเรา อารมณ์ของเราย่อมต้องเกิดที่กายใจเรา
มันไม่มีทางไปเกิดที่กายใจคนอื่น มันจึงไม่มีทางหายไปไหน
เป็นเพียงแต่ จิตของเราที่ลงลืมไปรู้สิ่งที่เกิดภายในกายใจเท่านั้น
:b13:

:b13: :b13: :b13:
อุปมาเรื่องพ่อแม่หาลูกที่พลัดหลงหายในงาน โฮฮับไม่เข้าใจ ไม่รู้ซึ้งถึงธรรมชาติของจิตใจผู้ที่เป็นพ่อแม่ที่ทำลูกหาย

แสดงว่าจิตใจของโฮฮับนั้นยังหยาบมากขนาดสามัญสำนึกของมนุษย์ในเรื่องความรักลูกนี้ยังไม่เข้าใจ เรื่องละเอียดในกายง่ายๆ อย่างลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย ยังเข้าใจไม่ได้ ไม่เห็นคุณค่า

แล้วอย่างนี้เรื่องในจิตที่เป็นนามธรรมซึ่งละเอียดอ่อนยิ่งนักโฮฮับจะไปเข้าใจได้อย่างไร

ลองไปถามเพื่อนบ้านข้างเคียงที่เขามีลูกซิครับ ว่าถ้าเขาทำลูกพลัดหลงหายในงาน ใจเขาจะเป็นอย่างไร
แล้วเขาจะต้องรีบทำอะไรบ้าง?

โฮฮับยังไม่เคยมีลูกหรือครับ หรือมีลูกแล้วปล่อยให้แม่บ้านหรือภรรยาเลี้ยงแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่เอาใจใส่ ไม่รักลูก

ฝึกเอาใจเขามาใส่ใจเราดูบ้างนะครับ จิตใจจะได้นิ่มนวลอ่อนโยน เป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้


:b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 21:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:

คูณวลัยพรรีบร้อน และใจร้อนไปหน่อย อาจจะเพราะความหวังดี ด้วยคิดว่าอโศกะไม่รู้เรื่องวิปัสสนาภาวนา จึงเมตตาช่วยอธิบายมาเสียตั้งยาว ก็ขอขอบคุณและอนุโมทนา



เริ่มเคยชินกับ พฤติกรรมเดิมๆซ้ำๆของคุณมากขึ้น

ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะกล่าวอะไรมา ไม่เป็นไรหรอก

เพราะรู้แล้วว่า เป็นการกระทำ ที่คุณแสดงออกมา กระทำด้วยความเคยชิน
ที่คุณได้กระทำเนืองๆ จนติดเป็นนิสัย

:b13: :b13: :b13:
ก็เช่นกันนะครับ ผมก็ทราบซึ้งและรู้จักวลัยพรจนหมดสิ้น จากความเคยชินและอุปนิสัยที่วลัยพรแสดงออกตลอดมา

ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ แต่ข้ามภพข้ามชาติมาแล้วหลายภพชาติ ที่วลัยพร โฮฮับ กรัชกาย กบ เอก้อน คิงคอง Amazing และอีกหลายๆท่าน เป็นอย่างนี้

ในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเรื่อง ทุกคน ล้วนเกี่ยวข้องกันมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมาจึงยังได้วนเวียนมาพบกัน มีกุศลอกุศลกรรมต่อกันไม่รู้จบ

จนกว่าเมื่อไหร่มีสติ สัมปชัญญะ ปัญญา รู้จักแปลงวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส เอามาเป็นเครื่องมือช่วยในการขุดถอน อัตตา มานะทิฏฐิของตน ออกจากใจ จึงจะได้ประโยชน์ ปลดเปลื้องหนี้เวรหนี้กรรมที่มีต่อกัน เพราะตามไม่ทันเมื่อใครคนได้คนหนึ่งถึงโลกุตรธรรมเสียก่อน

smiley smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
วันนี้ ขอยกตัวอย่างการสนทนาธรรมในลานธรรมอีกแห่งหนึ่งที่มีแต่กัลยาณมิตรที่สนทนาธรรมกันด้วยมิตรกะจิตมิตรกะใจ ไม่มาคอยจับผิด เกทับ บลัฟกัน มันผิด กูถูก ฯลฯ
มีแต่การมาเสริมธรรมกันให้เป็นที่น่ารื่่นรมย์สมเป็นลานแห่งธรรมอันร่มเย็น


ไอ้ที่คุณพูดถึง มันไม่ใช่การสนทนาธรรม แต่มันเป็นการมอมเมา
พากันลงหุบเหวแห่งอวิชา................โดยหลักธรรมวินัย สาวกของพุทธองค์
จะต้องมีธัมสากัจฉา มีการถกกันในเรื่องธรรมว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร


ยิ่งเป็นเว็บบอร์ดสาธารณะ ยิ่งต้องเปิดโอกาสให้มีการถกเถียงพูดจา
เพื่อให้เห็นธรรมหลายๆแง่มุม

มันไม่ใช่อย่างโสกะเอามามั่ว ธรรมะโลกไหน ที่มันต้องเชื่อตามๆกันห้ามแย้ง
เห็นมีแต่ ลัทธิวูดู พ่อมดหมอผี


อีกอย่างครับ จะบอกอะไรให้ อย่าเอารูปนักบวชมาข่มขู่ชาวบ้าน
มันไม่มีประโยชน์ ตรงข้ามมันจะทำให้เสื่อมเสีย
ต่อคนที่คุณมาอ้างซะมากกว่า
ถามจริงนักบวชนิกายไหนครับ ผมว่าไม่ใช่พุทธแน่
เพราะพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ
เขาไม่ห้อยลูกปะคำน่ะครับ มันเป็นเดรัจฉานวิชา
เข้าใจมั้ยโสกะ :b6:

Onion_L Onion_R
นรกกินหัวโฮฮับเสียแล้ว ด้วยความอหังการ มนังการ ทำปรามาส ปราศจาก หิริโอตัปปะ
จงไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิดนะโฮฮับ

:b29: :b29:
:b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
รูปแบบ การปฏิบัติ ในแต่ละสถานที่ แตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยที่กระทำของบุคคลนั้น


การห้อยลูกปะคำที่คอ

เมื่อก่อน เคยเห็นภาพเหล่านี้ ก็คิดว่า คงเหมือนหลวงจีน ที่ใช้ประคำห้อยคอ

ช่วงที่ไปอยู่แพร่ เห็นพระบวชใหม่ มีประคำใส่อยู่ที่คอกันทุกคน จึงถามเจ้านายว่า ทำไมต้อใส่ประคำด้วย

เจ้านายเป็นคนจ.แพร่ อธิบายให้ฟังว่า เอาไว้นับ เรียกว่า นับหมาก เหมือนการบริกรรมภาวนา อิติปิโส ๑๐๘ เพียงแต่ที่นั่น ไม่ได้ใช้อิติปิโสในการนับ แต่เป็นภาษาเหนือ วลัยพรก็ไม่ได้ถามว่า แปลว่าอะไร

ที่ให้ใส่คอไว้ คือ ให้นับเนืองๆ แขวนไว้ที่คอ สามารถถอดออกมานับได้ตลอดเวลา
เหมือนรูปแบบการปฏิบัติอื่นๆ ที่ใช้คำบริกรรมภาวนาน่ะแหละ

เหมือนอาการหัวใจเต้น หรือ ใครจะเรียกว่า ตอดๆก็ไม่ผิด
เป็นรูปแบบของการทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ
รู้กาย เหมือนรู้ท้องพองยุบ ตามลมหายใจเข้าออก รู้ตามปกติของอาการที่เกิดขึ้นกับกาย

เพียงแต่ ไปรู้ที่อาการหัวใจเต้นตุ้บตั้บอยู่ เท่านั้นเอง
คือ รู้ชัดอาการที่เกิดขึ้นของกายตรงไหนได้ ก็รู้ไปตามนั้น

เพราะเหตุปัจจัย สร้างมาไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะปฏิบัติรูปแบบไหน
สุดท้ายก็รู้เหมือนๆกัน


การรู้จังหวะการเต้นของหัวใจ ไม่ใช่ความพิเศษอันใด
เหมือนพุทธโธ เหมือนพองหนอ ยุบหนอ เหมือนรูปแบบการปฏิบัติอื่นๆน่ะแหละ

ถ้าไม่ไปยึดติดในสภาวะที่เกิดขึ้น หรือคำเรียกต่างๆ

สักแต่ว่ารู้ว่า มีสภาวะนั้นๆเกิดขึ้น
สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น ย่อมเกิด ดับ เป็นเรื่องปกติ
มีสภาวะอื่นๆมาสอนต่อ มีหน้าที่คือ เรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น

เหตุของความไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้น
ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะที่เกิดขึ้น มีความยินดีกับสภาวะที่เกิดขึ้น

สภาวะที่เกิดขึ้น ที่เป็นความปกติ จึงเปลี่ยนสภาพเป็น อุปกิเลส
เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด อุปสรรค ในการปฏิบัติไปทันที

คือ แทนที่สภาวะจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ก็จมแช่อยู่กับสภาวะนั้นๆ จนกว่ามีเหตุปัจจัยใหม่ ที่ทำให้หลุดจากสภาวะอุปกิเลสที่เกิดขึ้น

หากยังชอบสอนผู้อื่น ทั้งๆที่ผู้สอนก็ไม่รู้ชัดในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น
เหตุจาก การสร้างเหตุทำให้ผู้มีเหตุปัจจัยร่วม ทำให้ผู้นั้นหลงสภาวะ
คือ เชื่อตามคำบอกเล่า เกิดจาก มีเหตุปัจจัยต่อกัน ให้มาเชื่อกัน

ผลกระทบกลับมาหาผู้สอน คือ สภาวะการปฏิบัติไม่ก้าวหน้า หลงติดกับอุปกิเลส อยู่แค่นั้น
จนกว่าจะหยุดสร้างเหตุให้ผู้อื่นหลงสภาวะ

เมื่อนั้น จึงจะหลุดจากอุปกิเลส ที่ติดกับอยู่

:b27:
วันนี้ วลัยพรแสดงธรรมได้นุ่มนวลเป็นกลางดี อนุโมทนา

ความเป็นห่วงผู้อื่นในตอนท้ายกลัวจะไปติดหลงในกรรมฐานและวิธีการ นั่นก็เป็นกุศลจิต กุศลเจตนา ดีแล้ว

วิสัยครูบาอาจารย์ที่ท่านจะสอนศิษย์ ก็ดุจนายแพทย์ที่จะสั่งยารักษาคนไข้ ต้องสังเกต พิจารณา ด้วยความละเอียดละออ พินิจพิเคราะห์แยบคาย จัดยาให้เหมาะกับอาการไข้และธาตุขันธ์ของผู้ป่วย จำแนกแยกแยะแตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน จึงจะทำให้ผู้ป่วยนั้นหายจากโรค ภัย ไข้เจ็บได้

เรื่องลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย(อัฐกลาปะ) นั้น ก็เป็นยาอีกขนานหนึ่งที่ใช้ได้ผลกับคนไข้บางประเภท เช่นเดียวกับกรรมฐานทั้ง 40 กองอันมีมาแต่โบราณ

ความยึดติดไม่ยึดติดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว ต้องรู้ตัว แก้ไขตัวเองเอาเองเมื่อถึงเวลา


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




พระทรงเครื่อง.jpg
พระทรงเครื่อง.jpg [ 78.59 KiB | เปิดดู 2524 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
walaiporn เขียน:
รูปแบบ การปฏิบัติ ในแต่ละสถานที่ แตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยที่กระทำของบุคคลนั้น
การห้อยลูกปะคำที่คอ
เมื่อก่อน เคยเห็นภาพเหล่านี้ ก็คิดว่า คงเหมือนหลวงจีน ที่ใช้ประคำห้อยคอ

ช่วงที่ไปอยู่แพร่ เห็นพระบวชใหม่ มีประคำใส่อยู่ที่คอกันทุกคน จึงถามเจ้านายว่า ทำไมต้อใส่ประคำด้วย


เป็นพระภิกษุในนิกาย...เถรวาท ก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัยที่มีกำหนดไว้อย่างเที่ยงตรง
ไม่พยายามเลี่ยงพระวินัยให้เป็นอย่างอื่น

พระภิกษุในลัทธิเถรวาท สามารถครองผ้าได้เพียง๓ผืน
นั้นก็คือ ไตรจีวร

ในหลักของพระวินัยที่ว่าด้วย.....เสขิยวัตร
ห้ามภิกษุใส่หรือสวมสิ่งใด เกินจากผ้าครอง๓ผืน ถ้าเกินจากนั้น ถือว่า ตกแต่งเครื่องประดับ
พระวินัยห้ามพระภิกษุตกแต่งเครื่องประดับ

การจะถามสิ่งใดที่เกี่ยวกับพระวินัยหรือศีลของภิกษู
ไม่ใช่ไปถามฆราวาสหรือถามพระที่ไม่ใส่ใจในพระวินัย
เพราะคนเหล่านั้นก็จะตอบคำถามตามกิเลสของตน โดยไม่ยึดเอาพระวินัยมาเป็นหลัก


พระวินัยท่านให้ครองผ้าสามผืน ก็ต้องครองผ้าสามผืน
ไม่ใช่มาเลี่ยงบาลี บอกว่ามันเป็นเครื่องมือในการภาวนา


ยิ่งถ้าเป็นอาจารย์ของโสกะจะมาแถว่าเป็น เครื่องมือเจริญภาวนายิ่งเป็นการมุสา
เพราะพิจารณาจากการที่โสกะ เอาเรื่องวิธีการปฏิบัติมาโม้
มันก็ไม่ใช่การนับลูกปะคำ ดังนั้นอาจารย์ของโสกะสวมลูกปะคำเป็นเพียงเพื่อ
เพิ่มความขลังอยากให้คนหลงเชื่อว่า ตนมีบุญญาบารมี ในทำนองอิทธิปาฏิหารย์
แบบนี้แหล่ะมันเป็นเดรัจฉานฯ

Onion_L
นี่ยิ่งเป็นการแสดงออกถึงความที่จมและหมกมุ่นอยู่ในตำรา ไม่เงยหน้า อ้าปาก ออกจากกะลามาดูโลกกว้างเสียบ้างนะโฮฮับ

ครองผ้า 3 ผืน อย่างโฮฮับว่า คือพระที่ถูกต้องในนิกายเถรวาท ถ้าเอาอย่างนี้จริงๆ โฮฮับจะไปเข้าวัดไหนก็แทบไม่ได้แล้วทั่วประเทศไทย เพราะเดี๋ยวนี้ พระวัดไหนท่านก็มีผ้าผืนที่ 4 คืออังสะสวมกันแทบทั้งหมด
ลองไปเที่ยววัดไหว้พระเจ้าพระสงฆ์ สังเกตชีวิตความเป็นอยู่ของท่านบ้างสิ

อย่ามัวงมโข่งอยู่กับตำรา และอัตตา มานะทิฏฐิ จนสำคัญผิดว่าตนเองรู้ถูกต้องมากกว่าพระเณร จนเกิดอหังการ มนังการ ลืมตัวลืมตน จนทำสังฆปรามาส...อริยุวาทตันตราย ทำลายโอกาสดีที่ได้เกิดมาเป็นคนของตนไปเสียสิ้น

:b34: :b34: :b34:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2013, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
รูปแบบ การปฏิบัติ ในแต่ละสถานที่ แตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยที่กระทำของบุคคลนั้น


การห้อยลูกปะคำที่คอ

เมื่อก่อน เคยเห็นภาพเหล่านี้ ก็คิดว่า คงเหมือนหลวงจีน ที่ใช้ประคำห้อยคอ

ช่วงที่ไปอยู่แพร่ เห็นพระบวชใหม่ มีประคำใส่อยู่ที่คอกันทุกคน จึงถามเจ้านายว่า ทำไมต้อใส่ประคำด้วย

เจ้านายเป็นคนจ.แพร่ อธิบายให้ฟังว่า เอาไว้นับ เรียกว่า นับหมาก เหมือนการบริกรรมภาวนา อิติปิโส ๑๐๘ เพียงแต่ที่นั่น ไม่ได้ใช้อิติปิโสในการนับ แต่เป็นภาษาเหนือ วลัยพรก็ไม่ได้ถามว่า แปลว่าอะไร

ที่ให้ใส่คอไว้ คือ ให้นับเนืองๆ แขวนไว้ที่คอ สามารถถอดออกมานับได้ตลอดเวลา
เหมือนรูปแบบการปฏิบัติอื่นๆ ที่ใช้คำบริกรรมภาวนาน่ะแหละ

เหมือนอาการหัวใจเต้น หรือ ใครจะเรียกว่า ตอดๆก็ไม่ผิด
เป็นรูปแบบของการทำกรรมฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ
รู้กาย เหมือนรู้ท้องพองยุบ ตามลมหายใจเข้าออก รู้ตามปกติของอาการที่เกิดขึ้นกับกาย

เพียงแต่ ไปรู้ที่อาการหัวใจเต้นตุ้บตั้บอยู่ เท่านั้นเอง
คือ รู้ชัดอาการที่เกิดขึ้นของกายตรงไหนได้ ก็รู้ไปตามนั้น

เพราะเหตุปัจจัย สร้างมาไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะปฏิบัติรูปแบบไหน
สุดท้ายก็รู้เหมือนๆกัน


การรู้จังหวะการเต้นของหัวใจ ไม่ใช่ความพิเศษอันใด
เหมือนพุทธโธ เหมือนพองหนอ ยุบหนอ เหมือนรูปแบบการปฏิบัติอื่นๆน่ะแหละ

ถ้าไม่ไปยึดติดในสภาวะที่เกิดขึ้น หรือคำเรียกต่างๆ

สักแต่ว่ารู้ว่า มีสภาวะนั้นๆเกิดขึ้น
สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น ย่อมเกิด ดับ เป็นเรื่องปกติ
มีสภาวะอื่นๆมาสอนต่อ มีหน้าที่คือ เรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น

เหตุของความไม่รู้ชัดในสภาวะที่เกิดขึ้น
ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ในสภาวะที่เกิดขึ้น มีความยินดีกับสภาวะที่เกิดขึ้น

สภาวะที่เกิดขึ้น ที่เป็นความปกติ จึงเปลี่ยนสภาพเป็น อุปกิเลส
เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด อุปสรรค ในการปฏิบัติไปทันที

คือ แทนที่สภาวะจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ก็จมแช่อยู่กับสภาวะนั้นๆ จนกว่ามีเหตุปัจจัยใหม่ ที่ทำให้หลุดจากสภาวะอุปกิเลสที่เกิดขึ้น

หากยังชอบสอนผู้อื่น ทั้งๆที่ผู้สอนก็ไม่รู้ชัดในสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น
เหตุจาก การสร้างเหตุทำให้ผู้มีเหตุปัจจัยร่วม ทำให้ผู้นั้นหลงสภาวะ
คือ เชื่อตามคำบอกเล่า เกิดจาก มีเหตุปัจจัยต่อกัน ให้มาเชื่อกัน

ผลกระทบกลับมาหาผู้สอน คือ สภาวะการปฏิบัติไม่ก้าวหน้า หลงติดกับอุปกิเลส อยู่แค่นั้น
จนกว่าจะหยุดสร้างเหตุให้ผู้อื่นหลงสภาวะ

เมื่อนั้น จึงจะหลุดจากอุปกิเลส ที่ติดกับอยู่

:b27:
วันนี้ วลัยพรแสดงธรรมได้นุ่มนวลเป็นกลางดี อนุโมทนา

ความเป็นห่วงผู้อื่นในตอนท้ายกลัวจะไปติดหลงในกรรมฐานและวิธีการ นั่นก็เป็นกุศลจิต กุศลเจตนา ดีแล้ว

วิสัยครูบาอาจารย์ที่ท่านจะสอนศิษย์ ก็ดุจนายแพทย์ที่จะสั่งยารักษาคนไข้ ต้องสังเกต พิจารณา ด้วยความละเอียดละออ พินิจพิเคราะห์แยบคาย จัดยาให้เหมาะกับอาการไข้และธาตุขันธ์ของผู้ป่วย จำแนกแยกแยะแตกต่างกันไปไม่เหมือนกัน จึงจะทำให้ผู้ป่วยนั้นหายจากโรค ภัย ไข้เจ็บได้

เรื่องลมหายใจ หัวใจเต้น ชีพจร กระแสสั่นสะเทือนในร่างกาย(อัฐกลาปะ) นั้น ก็เป็นยาอีกขนานหนึ่งที่ใช้ได้ผลกับคนไข้บางประเภท เช่นเดียวกับกรรมฐานทั้ง 40 กองอันมีมาแต่โบราณ

ความยึดติดไม่ยึดติดนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว ต้องรู้ตัว แก้ไขตัวเองเอาเองเมื่อถึงเวลา


:b8:




เห็นคำสรรเสริญ ยกยอปอปั้นคราใด รู้สึกคลื่นไส้จริงๆ



นี่ก็ทั้งปี เรื่องสีลัพพตปรามาสล่ะก็ ถนัดนัก

asoka เขียน:


อย่ามัวงมโข่งอยู่กับตำรา และอัตตา มานะทิฏฐิ จนสำคัญผิดว่าตนเองรู้ถูกต้องมากกว่าพระเณร จนเกิดอหังการ มนังการ ลืมตัวลืมตน จนทำสังฆปรามาส...อริยุวาทตันตราย ทำลายโอกาสดีที่ได้เกิดมาเป็นคนของตนไปเสียสิ้น







ใครจะมาเก่งเกินพระพุทธเจ้า ไม่มีหรอก มีแต่การอวดอ้าง ยกตนข่มท่าน


คำที่ควรกล่าว

ภิกษุทั้งหลาย ! บาปกรรมแม้ประมาณน้อย
บุคคล บางคนทำแล้ว บาปกรรมนั้น นำเขาไปนรกได้

ส่วนบาปกรรมประมาณน้อยอย่างเดียวกันนั้น บางคนทำแล้ว
กรรมนั้นเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ไม่ปรากฏผลมาก ต่อไปเลย…

ภิกษุทั้งหลาย ! ใครกล่าวว่า
คนทำกรรม อย่างใดๆ ย่อมเสวยกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนั้นๆ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีไม่ได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ไม่ปรากฏ

ส่วนใครกล่าวว่า

คนทำกรรม อันจะพึงให้ผล อย่างใดๆ
ย่อมเสวยผลของกรรมนั้นอย่างนั้นๆ ดังนี้

เมื่อเป็นอย่างนี้ การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมมีได้
ช่องทางที่จะทำที่สุดทุกข์โดยชอบก็ย่อมปรากฏ.
ติก. อํ. ๒๐/๓๒๐/๕๔๐.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาสาธุกับเรื่องอาหารของนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ที่คุณ eragon_joe ยกมาแสดงซึ่งสรุปได้ว่าเป็น

"อโยนิโสมนสิการ"

ความหมายของ อโยนิโสมนสิการ ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆก็คือ "ไม่ตั้งใจจริง"


หากเข้าใจ..อโยนิโส....เป็นความไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม...ผมว่าดูจะทำให้เข้าใจ..การโยนิโส...ไม่ลึกซึ่งพอ...ทำให้หลงทางได้ง่าย...เพราะแค่คิดว่า...เราก็ตั้งใจอย่างจริงจัง...ก็เป็นการโยนิโสแล้ว...ทำให้พลาดในการหยุดมิจฉาญาณ...

หลงทำตามมิจฉาญาณแบบไม่รู้ตัว...

tongue
สวัสดีคุณกบ หายไปนาน ดีใจที่ได้พบเจอ

โยนิโส มนสิการ ....ที่นิยมแปลกันว่า มีความแยบคาย .....ก็ดีอยู่

แต่การแปลว่า....ตั้งใจจริง ก็ไม่ผิดไปมากนักเพราะเป็นคำแปลของคำท้าย ดูที่

อ้างคำพูด:
ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆ


[b]ถ้าจะแปลให้ครบก็ต้องบอกว่า ....ตั้งใจทำจริงโดยมีความแยบคายประกอบด้วย

โยนิโส.....แยบคาย

มนสิการ....ตั้งใจจริง
[/b]
:b11:
ที่กลัวเป็นมิจฉาญาณ นั้นก็ขอขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลเจตนา
:b8:

มั่วไปเรื่อย........ตั้งใจจริง ท่านเรียกว่า......วิริยะ

อยากเตือนโสกะ ไม่มีความรู้ในบัญญัติ ก็ไม่ควรเอามาพูด
มันทำให้ตนเองดูเป็นตัวตลก :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 05:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
วันนี้ ขอยกตัวอย่างการสนทนาธรรมในลานธรรมอีกแห่งหนึ่งที่มีแต่กัลยาณมิตรที่สนทนาธรรมกันด้วยมิตรกะจิตมิตรกะใจ ไม่มาคอยจับผิด เกทับ บลัฟกัน มันผิด กูถูก ฯลฯ
มีแต่การมาเสริมธรรมกันให้เป็นที่น่ารื่่นรมย์สมเป็นลานแห่งธรรมอันร่มเย็น


ไอ้ที่คุณพูดถึง มันไม่ใช่การสนทนาธรรม แต่มันเป็นการมอมเมา
พากันลงหุบเหวแห่งอวิชา................โดยหลักธรรมวินัย สาวกของพุทธองค์
จะต้องมีธัมสากัจฉา มีการถกกันในเรื่องธรรมว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร


ยิ่งเป็นเว็บบอร์ดสาธารณะ ยิ่งต้องเปิดโอกาสให้มีการถกเถียงพูดจา
เพื่อให้เห็นธรรมหลายๆแง่มุม

มันไม่ใช่อย่างโสกะเอามามั่ว ธรรมะโลกไหน ที่มันต้องเชื่อตามๆกันห้ามแย้ง
เห็นมีแต่ ลัทธิวูดู พ่อมดหมอผี


อีกอย่างครับ จะบอกอะไรให้ อย่าเอารูปนักบวชมาข่มขู่ชาวบ้าน
มันไม่มีประโยชน์ ตรงข้ามมันจะทำให้เสื่อมเสีย
ต่อคนที่คุณมาอ้างซะมากกว่า
ถามจริงนักบวชนิกายไหนครับ ผมว่าไม่ใช่พุทธแน่
เพราะพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ
เขาไม่ห้อยลูกปะคำน่ะครับ มันเป็นเดรัจฉานวิชา
เข้าใจมั้ยโสกะ :b6:

Onion_L Onion_R
นรกกินหัวโฮฮับเสียแล้ว ด้วยความอหังการ มนังการ ทำปรามาส ปราศจาก หิริโอตัปปะ
จงไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิดนะโฮฮับ

:b29: :b29:
:b34: :b34: :b34:


ตัวเองเป็นศิษย์เลว ยังมีหน้ามาโทษชาวบ้าน กำลังถกเถียงธรรมของพระพุทธเจ้า
ดันเอารูปอาจารย์ตนมาเป็นโล่ห์ปกป้องตัวเอง ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ

ยกตัวอย่างเรากำลังทะเลาะกัน คุณปาก้อนหินใส่ผม
ผมโดนก้อนหิน เลยเอาขี้หมาที่อยู่ข้างๆปาสวนไป .....เจตนาผมจะปาขี้หมาใส่หน้าคุณ
แต่เพราะความเป็นศิษย์ที่ไม่เอาไหน ดันเอารูปอาจารย์ตนขึ้นมาปิดใบหน้าตน


ถามหน่อยขี้หมาที่ผมตั้งใจจะขว้างหน้าคุณ
มันจะโดนหน้าคุณหรือหน้าอาจารย์คุณครับ
และถ้าคุณไม่เอารูปอาจารย์คุณขึ้นมาปิด มันจะโดนหน้าอาจารย์คุณมั้ย
การที่ขี้หมาโดนหน้าอาจารย์คุณ มันเป็นความผิดของผมหรือของคุณกันแน่โสกะ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 05:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
walaiporn เขียน:
รูปแบบ การปฏิบัติ ในแต่ละสถานที่ แตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยที่กระทำของบุคคลนั้น
การห้อยลูกปะคำที่คอ
เมื่อก่อน เคยเห็นภาพเหล่านี้ ก็คิดว่า คงเหมือนหลวงจีน ที่ใช้ประคำห้อยคอ

ช่วงที่ไปอยู่แพร่ เห็นพระบวชใหม่ มีประคำใส่อยู่ที่คอกันทุกคน จึงถามเจ้านายว่า ทำไมต้อใส่ประคำด้วย


เป็นพระภิกษุในนิกาย...เถรวาท ก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัยที่มีกำหนดไว้อย่างเที่ยงตรง
ไม่พยายามเลี่ยงพระวินัยให้เป็นอย่างอื่น

พระภิกษุในลัทธิเถรวาท สามารถครองผ้าได้เพียง๓ผืน
นั้นก็คือ ไตรจีวร

ในหลักของพระวินัยที่ว่าด้วย.....เสขิยวัตร
ห้ามภิกษุใส่หรือสวมสิ่งใด เกินจากผ้าครอง๓ผืน ถ้าเกินจากนั้น ถือว่า ตกแต่งเครื่องประดับ
พระวินัยห้ามพระภิกษุตกแต่งเครื่องประดับ

การจะถามสิ่งใดที่เกี่ยวกับพระวินัยหรือศีลของภิกษู
ไม่ใช่ไปถามฆราวาสหรือถามพระที่ไม่ใส่ใจในพระวินัย
เพราะคนเหล่านั้นก็จะตอบคำถามตามกิเลสของตน โดยไม่ยึดเอาพระวินัยมาเป็นหลัก


พระวินัยท่านให้ครองผ้าสามผืน ก็ต้องครองผ้าสามผืน
ไม่ใช่มาเลี่ยงบาลี บอกว่ามันเป็นเครื่องมือในการภาวนา


ยิ่งถ้าเป็นอาจารย์ของโสกะจะมาแถว่าเป็น เครื่องมือเจริญภาวนายิ่งเป็นการมุสา
เพราะพิจารณาจากการที่โสกะ เอาเรื่องวิธีการปฏิบัติมาโม้
มันก็ไม่ใช่การนับลูกปะคำ ดังนั้นอาจารย์ของโสกะสวมลูกปะคำเป็นเพียงเพื่อ
เพิ่มความขลังอยากให้คนหลงเชื่อว่า ตนมีบุญญาบารมี ในทำนองอิทธิปาฏิหารย์
แบบนี้แหล่ะมันเป็นเดรัจฉานฯ

Onion_L
นี่ยิ่งเป็นการแสดงออกถึงความที่จมและหมกมุ่นอยู่ในตำรา ไม่เงยหน้า อ้าปาก ออกจากกะลามาดูโลกกว้างเสียบ้างนะโฮฮับ

ครองผ้า 3 ผืน อย่างโฮฮับว่า คือพระที่ถูกต้องในนิกายเถรวาท ถ้าเอาอย่างนี้จริงๆ โฮฮับจะไปเข้าวัดไหนก็แทบไม่ได้แล้วทั่วประเทศไทย เพราะเดี๋ยวนี้ พระวัดไหนท่านก็มีผ้าผืนที่ 4 คืออังสะสวมกันแทบทั้งหมด
ลองไปเที่ยววัดไหว้พระเจ้าพระสงฆ์ สังเกตชีวิตความเป็นอยู่ของท่านบ้างสิ

อย่ามัวงมโข่งอยู่กับตำรา และอัตตา มานะทิฏฐิ จนสำคัญผิดว่าตนเองรู้ถูกต้องมากกว่าพระเณร จนเกิดอหังการ มนังการ ลืมตัวลืมตน จนทำสังฆปรามาส...อริยุวาทตันตราย ทำลายโอกาสดีที่ได้เกิดมาเป็นคนของตนไปเสียสิ้น

:b34: :b34: :b34:


ไม่ได้ความเลย กำลังเถียงกันถึงความถูกต้องในธรรมวินัย
ดันอ้างเรื่องที่มันผิดหลักการจากพระธรรมวินัย
ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ ไม่ใช่มาแถพูดให้ผิดเป็นถูก

รู้เปล่าว่าที่โสกะกำลังแถอยู่นี่ เป็นลักษณะของคนดีในสายตาของมวลมหาประชาชน :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 17:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




แพทย์แผนไทย.jpg
แพทย์แผนไทย.jpg [ 43.76 KiB | เปิดดู 2492 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b8:
ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาสาธุกับเรื่องอาหารของนิวรณ์ธรรมทั้ง 5 ที่คุณ eragon_joe ยกมาแสดงซึ่งสรุปได้ว่าเป็น

"อโยนิโสมนสิการ"

ความหมายของ อโยนิโสมนสิการ ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆก็คือ "ไม่ตั้งใจจริง"


หากเข้าใจ..อโยนิโส....เป็นความไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม...ผมว่าดูจะทำให้เข้าใจ..การโยนิโส...ไม่ลึกซึ่งพอ...ทำให้หลงทางได้ง่าย...เพราะแค่คิดว่า...เราก็ตั้งใจอย่างจริงจัง...ก็เป็นการโยนิโสแล้ว...ทำให้พลาดในการหยุดมิจฉาญาณ...

หลงทำตามมิจฉาญาณแบบไม่รู้ตัว...

tongue
สวัสดีคุณกบ หายไปนาน ดีใจที่ได้พบเจอ

โยนิโส มนสิการ ....ที่นิยมแปลกันว่า มีความแยบคาย .....ก็ดีอยู่

แต่การแปลว่า....ตั้งใจจริง ก็ไม่ผิดไปมากนักเพราะเป็นคำแปลของคำท้าย ดูที่

อ้างคำพูด:
ถ้าแปลเป็นไทยๆง่ายๆ


[b]ถ้าจะแปลให้ครบก็ต้องบอกว่า ....ตั้งใจทำจริงโดยมีความแยบคายประกอบด้วย

โยนิโส.....แยบคาย

มนสิการ....ตั้งใจจริง
[/b]
:b11:
ที่กลัวเป็นมิจฉาญาณ นั้นก็ขอขอบคุณและอนุโมทนาในกุศลเจตนา
:b8:

มั่วไปเรื่อย........ตั้งใจจริง ท่านเรียกว่า......วิริยะ

อยากเตือนโสกะ ไม่มีความรู้ในบัญญัติ ก็ไม่ควรเอามาพูด
มันทำให้ตนเองดูเป็นตัวตลก :b32:

:b13: :b13: :b13:
วิริยะ....แปลว่า ความเพียร ความพยายาม ที่จะทำกิจให้สำเร็จ

มนสิการ.....แปลว่า ตั้งใจจริง...ในการทำกิจใดๆ

โฮฮับ ไม่เข้าใจความหมายในเชิงปฏิบัติ 2 คำนี้ เพราะยึดติดทฤษฎีมากเกินไป ไม่ค่อยนั่งดูนั่งสังเกตกายใจของตนเอง จึงยากที่จะซึ้งถึงรากที่มาแห่งศัพท์บัญญัติทั้ง 2 คำนี้

เพิ่มภาวนาให้มากๆในชีวิตประจำวัน ทำอย่างเต็มที่อย่างน้อยวั้นละ 2 ชั่วโมงจึงจะดีนะโฮฮับ

:b53: :b53:
:b45: :b45:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 17:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




พระครองผ้าอังสะ.jpg
พระครองผ้าอังสะ.jpg [ 53.79 KiB | เปิดดู 2492 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
walaiporn เขียน:
รูปแบบ การปฏิบัติ ในแต่ละสถานที่ แตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยที่กระทำของบุคคลนั้น
การห้อยลูกปะคำที่คอ
เมื่อก่อน เคยเห็นภาพเหล่านี้ ก็คิดว่า คงเหมือนหลวงจีน ที่ใช้ประคำห้อยคอ

ช่วงที่ไปอยู่แพร่ เห็นพระบวชใหม่ มีประคำใส่อยู่ที่คอกันทุกคน จึงถามเจ้านายว่า ทำไมต้อใส่ประคำด้วย


เป็นพระภิกษุในนิกาย...เถรวาท ก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัยที่มีกำหนดไว้อย่างเที่ยงตรง
ไม่พยายามเลี่ยงพระวินัยให้เป็นอย่างอื่น

พระภิกษุในลัทธิเถรวาท สามารถครองผ้าได้เพียง๓ผืน
นั้นก็คือ ไตรจีวร

ในหลักของพระวินัยที่ว่าด้วย.....เสขิยวัตร
ห้ามภิกษุใส่หรือสวมสิ่งใด เกินจากผ้าครอง๓ผืน ถ้าเกินจากนั้น ถือว่า ตกแต่งเครื่องประดับ
พระวินัยห้ามพระภิกษุตกแต่งเครื่องประดับ

การจะถามสิ่งใดที่เกี่ยวกับพระวินัยหรือศีลของภิกษู
ไม่ใช่ไปถามฆราวาสหรือถามพระที่ไม่ใส่ใจในพระวินัย
เพราะคนเหล่านั้นก็จะตอบคำถามตามกิเลสของตน โดยไม่ยึดเอาพระวินัยมาเป็นหลัก


พระวินัยท่านให้ครองผ้าสามผืน ก็ต้องครองผ้าสามผืน
ไม่ใช่มาเลี่ยงบาลี บอกว่ามันเป็นเครื่องมือในการภาวนา


ยิ่งถ้าเป็นอาจารย์ของโสกะจะมาแถว่าเป็น เครื่องมือเจริญภาวนายิ่งเป็นการมุสา
เพราะพิจารณาจากการที่โสกะ เอาเรื่องวิธีการปฏิบัติมาโม้
มันก็ไม่ใช่การนับลูกปะคำ ดังนั้นอาจารย์ของโสกะสวมลูกปะคำเป็นเพียงเพื่อ
เพิ่มความขลังอยากให้คนหลงเชื่อว่า ตนมีบุญญาบารมี ในทำนองอิทธิปาฏิหารย์
แบบนี้แหล่ะมันเป็นเดรัจฉานฯ

Onion_L
นี่ยิ่งเป็นการแสดงออกถึงความที่จมและหมกมุ่นอยู่ในตำรา ไม่เงยหน้า อ้าปาก ออกจากกะลามาดูโลกกว้างเสียบ้างนะโฮฮับ

ครองผ้า 3 ผืน อย่างโฮฮับว่า คือพระที่ถูกต้องในนิกายเถรวาท ถ้าเอาอย่างนี้จริงๆ โฮฮับจะไปเข้าวัดไหนก็แทบไม่ได้แล้วทั่วประเทศไทย เพราะเดี๋ยวนี้ พระวัดไหนท่านก็มีผ้าผืนที่ 4 คืออังสะสวมกันแทบทั้งหมด
ลองไปเที่ยววัดไหว้พระเจ้าพระสงฆ์ สังเกตชีวิตความเป็นอยู่ของท่านบ้างสิ

อย่ามัวงมโข่งอยู่กับตำรา และอัตตา มานะทิฏฐิ จนสำคัญผิดว่าตนเองรู้ถูกต้องมากกว่าพระเณร จนเกิดอหังการ มนังการ ลืมตัวลืมตน จนทำสังฆปรามาส...อริยุวาทตันตราย ทำลายโอกาสดีที่ได้เกิดมาเป็นคนของตนไปเสียสิ้น

:b34: :b34: :b34:


ไม่ได้ความเลย กำลังเถียงกันถึงความถูกต้องในธรรมวินัย
ดันอ้างเรื่องที่มันผิดหลักการจากพระธรรมวินัย
ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ ไม่ใช่มาแถพูดให้ผิดเป็นถูก

รู้เปล่าว่าที่โสกะกำลังแถอยู่นี่ เป็นลักษณะของคนดีในสายตาของมวลมหาประชาชน :b13:

:b12: :b12: :b12: :b12:
5555555

ใครแถกันแน่โฮฮับ ทำไมไม่กล้าสู้หน้ากับความจริง

ตอบมาให้ได้ก่อนว่า

พระเถรวาททั่วไทยหรือทั่วไปทุกวันนี้ ท่านครองผ้าผืนที่ 4 คือ ผ้าอังสะ นั้นมันเป็นความจริงหรือไม่โฮฮับ
กล้าไปปรับ เอาผิดพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหลายทั่วไทยได้ไหมว่าที่ท่านไม่ครองผ็าเพียง 3 ผืนนั้น ผิดพุทธวัจจนะ

:b34: :b34: :b34:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2013, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
วันนี้ ขอยกตัวอย่างการสนทนาธรรมในลานธรรมอีกแห่งหนึ่งที่มีแต่กัลยาณมิตรที่สนทนาธรรมกันด้วยมิตรกะจิตมิตรกะใจ ไม่มาคอยจับผิด เกทับ บลัฟกัน มันผิด กูถูก ฯลฯ
มีแต่การมาเสริมธรรมกันให้เป็นที่น่ารื่่นรมย์สมเป็นลานแห่งธรรมอันร่มเย็น


ไอ้ที่คุณพูดถึง มันไม่ใช่การสนทนาธรรม แต่มันเป็นการมอมเมา
พากันลงหุบเหวแห่งอวิชา................โดยหลักธรรมวินัย สาวกของพุทธองค์
จะต้องมีธัมสากัจฉา มีการถกกันในเรื่องธรรมว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร


ยิ่งเป็นเว็บบอร์ดสาธารณะ ยิ่งต้องเปิดโอกาสให้มีการถกเถียงพูดจา
เพื่อให้เห็นธรรมหลายๆแง่มุม

มันไม่ใช่อย่างโสกะเอามามั่ว ธรรมะโลกไหน ที่มันต้องเชื่อตามๆกันห้ามแย้ง
เห็นมีแต่ ลัทธิวูดู พ่อมดหมอผี


อีกอย่างครับ จะบอกอะไรให้ อย่าเอารูปนักบวชมาข่มขู่ชาวบ้าน
มันไม่มีประโยชน์ ตรงข้ามมันจะทำให้เสื่อมเสีย
ต่อคนที่คุณมาอ้างซะมากกว่า
ถามจริงนักบวชนิกายไหนครับ ผมว่าไม่ใช่พุทธแน่
เพราะพระสงฆ์ในศาสนาพุทธ
เขาไม่ห้อยลูกปะคำน่ะครับ มันเป็นเดรัจฉานวิชาเข้าใจมั้ยโสกะ :b6:


นรกกินหัวโฮฮับเสียแล้ว ด้วยความอหังการ มนังการ ทำปรามาส ปราศจาก หิริโอตัปปะ
จงไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถิดนะโฮฮับ[/color]


ตัวเองเป็นศิษย์เลว ยังมีหน้ามาโทษชาวบ้าน กำลังถกเถียงธรรมของพระพุทธเจ้า
ดันเอารูปอาจารย์ตนมาเป็นโล่ห์ปกป้องตัวเอง ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ

ยกตัวอย่างเรากำลังทะเลาะกัน คุณปาก้อนหินใส่ผม
ผมโดนก้อนหิน เลยเอาขี้หมาที่อยู่ข้างๆปาสวนไป .....เจตนาผมจะปาขี้หมาใส่หน้าคุณ
แต่เพราะความเป็นศิษย์ที่ไม่เอาไหน ดันเอารูปอาจารย์ตนขึ้นมาปิดใบหน้าตน


ถามหน่อยขี้หมาที่ผมตั้งใจจะขว้างหน้าคุณ
มันจะโดนหน้าคุณหรือหน้าอาจารย์คุณครับ
และถ้าคุณไม่เอารูปอาจารย์คุณขึ้นมาปิด มันจะโดนหน้าอาจารย์คุณมั้ย
การที่ขี้หมาโดนหน้าอาจารย์คุณ มันเป็นความผิดของผมหรือของคุณกันแน่โสกะ


ค่อยๆพูดค่อยๆจากันเถอะครับ :b9: อย่าให้ถึงกับเอาขี้หมูขี้หมาปาใส่กันเลย เลอะเทอะเปลืองน้ำล้างเปล่าๆ จะให้ดีนัดดวลกันสิครับ พบกันครึ่งทาง คนหนึ่งอยู่ กรุงเทพฯ อีกคนหนึ่ง อ.ฝาง จ. เชียงใหม่ ครึ่งทางประมาณไหนเนี่ยคำนวณดูจะ จ. ตาก พอไหวไหมครับ ตัวเมืองตากมีศาลพระเจ้าตากสิน ดีเหมือนกันนะ ดวลกันต่อหน้าศาลพระเจ้าตากเลย :b32: ท่านเป็นนักรบคงชื่นชมเรา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร