วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 18:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18, 19, 20 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2013, 13:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
คำสอนของพระพุทธเจ้า

วิธีปฏิบัติ เพื่อบรรลุ มรรค ผล นิพพาน ตามคำสอนพระพุทธเจ้า



อุปัชฌายสูตร


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า

เราทั้งหลายจักเป็นผู้คุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย

เป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ

ประกอบความเพียร เป็นเครื่องตื่นอยู่ เห็นแจ้งกุศลธรรมทั้งหลาย

ประกอบการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย ทุกวัน ทุกคืน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ


http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 603&Z=1648




หมายเหตุ:

การเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย ได้แก่
ขณะที่ผัสสะเกิด สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างนานา

ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น(หยุดสร้างเหตุนอกตัว)
ชั่วขณะที่ ไม่สร้างเหตุออกไป ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
เป็นเหตุให้ สภาวะโพธิปักขิยธรรม จึงเกิดขึ้น ชั่วขณะ

ประกอบการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งหลาย ทุกวัน ทุกคืน

การหยุดสร้างเหตุนอกตัวเนืองๆ เป็นการเจริญโพธิปักขิยธรรม



แท้กับเทียม

พระไตรปิฎกแท้ จะมีแการถ่ายทอดคำสอน ของพระพุทธเจ้า

พระไตรปิฎกเทียม หรือ สอดไส้ แอบอ้างเข้ามา
จะมีแต่คำสอนของ อรรกถาจารย์ ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า

ญาณ ๑

ญาณ ๒ http://84000.org/tipitaka/read/?31/94-98

ญาณ ๓ http://84000.org/tipitaka/read/?31/99-102

ญาณ ๔ http://84000.org/tipitaka/read/?31/103-111

ญาณ ๕ http://84000.org/tipitaka/read/?31/112-114

ญาณ ๖ - ๘ http://84000.org/tipitaka/read/?31/115-119

ญาณ ๙ ๑๒ http://84000.org/tipitaka/read/?31/120-135

ญาณ ๑๓ http://84000.org/tipitaka/read/?31/136-142

ญาณ ๑๔ http://84000.org/tipitaka/read/?31/143-147

ญาณ ๑๕ http://84000.org/tipitaka/read/?31/148-151

ญาณ ๑๖ http://84000.org/tipitaka/read/?31/152-159


เรื่อง ญาณ ๑๖ ทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้ว
เป็นความปกติของสภาวะ ของจิตเป็นสมาธิ ที่มีความรู้สึกตัว เกิดขึ้นร่วมด้วย

ไม่ใช่ความวิเศษอันใดเลย

เหตุของความไม่รู้ ขาดผู้แนะนำ ที่รู้ชัดในสภาวะ

เป็นเหตุให้ เกิดความหลง ในเรื่องราวของสิ่งที่เรียกว่า ญาณ ๑๖

ทั้งๆที่ เป็นความปกติของสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะจิตเป็นสมาธิ มีความรู้สึกตัว เกิดขึ้น ขณะนั้นๆอยู่

เมื่อไม่รู้ และมีเหตุปัจจัยร่วมกับผู้แนะนำ ซึ่งไม่รู้ชัดในสภาวะเช่นเดียวกัน
จึงกอดคอกันตาย(หลงสภาวะ) ทั้งผู้ให้คำแนะนำและผู้รับคำแนะนำ

สภาวะจึงไม่ก้าวหน้า จมแช่ ติดอยู่ในอุปกิเลส
ยึดติดในสิ่งที่เรียกว่า ญาณ ๑๖

ถ้ามาอ่านเจอแบบนี้ แล้วคิดว่า เรื่องญาณ ๑๖ นี้ มีอยู่ในพระไตรปิฎกจริง
ตายทันทีเลย(หลง) เพราะหลงคิดว่า เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

แท้จริงแล้ว เป็นคำสอนของ อรรถกถาจารย์

ที่นำคำสอนของพระพุทธเจ้า จับประยุคขึ้นมาใหม่
แล้วสอดไส้ลงไปในพระไตรปิฎก ทำเหมือนกับว่า เป็นพระไตรปิฎก

เป็นสัทธรรมปฏิรูป แบบสมบูรณ์





ตรงนี้ วลัยพร หมายถึง คนที่ทำให้เป็นพระไตรปิฎกขึ้นมา

ไม่ได้หมายถึง อรรถกถาจารย์


ที่สำคัญ เหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ เกิดจาก คำที่บอกเล่า ไม่ตรงกับต้นฉบับ

ตำราสอบอารมณ์ ที่วลัยพรมีอยู่ เป็นของทางพม่า

เนื้อหาของการนำมาเผยแผ่ เป็นลักษณะของการปฏิบัติ

ก็เหมือนที่เคยอ่านๆเจอกัน เรื่อง ญาณ ๑๖

เพียงมีจุดแต่งต่างกัน ตรงที่

คำสั่งที่พระอาจารย์รุ่นแรกๆ ท่านสั่งเสียไว้ ทำนองว่า
ต้องตั้งใจทำความเพียร ตั้งสติกำหนด อย่างแรงกล้า

ถ้าผู้ใดมีสภาวะเหล่านี้ เกิดขึ้นแล้ว ไม่ตกต่ำอย่างแน่นอน คือ
หากสิ้นชีวิตไปก่อน ไม่ไปอบาย และ การเวียนว่ายตายเกิด สั้นลง อย่างแน่นอน


เพียงแต่ รุ่นหลัง กลับมีคำว่า ญาณนี้เกิด เป็นจุลโสดา เป็นโสดาเป็นอนาคา เป็นอรหันต์ ใส่ลงไปในตำรา

ตำราที่วลัยพรได้มา ไม่มีเขียนแบบนั้นะ


เรื่องราวเกี่ยวกับ สภาวะญาณ ๑๖ จึงผิดเพี้ยนไปจากคำที่ท่านสั่งเสียไว้
คือ ท่านเพียงแค่บอกว่า ถ้าทำตามที่ท่านเขียนไว้ทั้งหมด และมีสภาวะเหล่านี้เกิดขึ้น
ถ้าทำสำเร็จ มีทั้งหมด ๔ รอบ เป็นอรหันต์แน่นอน

สิ่งที่ท่านเน้น เรื่องปฏิบัติ คือ สติปัฏฐาน ๔

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2013, 18:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




buddha2_resize.gif
buddha2_resize.gif [ 37.14 KiB | เปิดดู 3250 ครั้ง ]
onion

โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการมีหลักจำง่ายๆดังนี้

๓๔ ๒๕ ๑๗ ๑๘ ต้องอ่านว่า "สามสี่ สองห้า หนึ่งเจ็ด หนึ่งแปด"

๓๔ คือ สัมมัปทาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ อิทธิบาท ๔

๒๕ คือ อินทรีย์ ๕ พละ ๕

๑๗ คือ โภชงค์ ๗

๑๘ คือ มรรคมีองค์ ๘
:b48:
สามสี่ ๓ ๔
สัมมัปทาน ๔
๑.ปหานปธาน บาปอกุศลเก่าๆที่เคยทำ เพียรละ
๒.สังวรปธาน บาปอกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรระวัง ไม่ให้เกิด
๓.อนุรักขนาปธาน กุศลเก่าๆที่เคยทำ เพียรรักษาและทำให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
. ๔.ภาวนาปธาน กุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรทำให้เกิด กุศลใหม่ในที่นี้หมายถึง มรรค ๔ มรรคยังไม่เคยเกิดขึ้นในใจเพียรทำให้เกิด

สติปัฏฐาน ๔

๑.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นกายในกาย
๒.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
๓.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นจิตในจิต
๔.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม

สติปัฏฐานทั้ง ๔ รวมไว้ที่ ปัจจุบันอารมณ์

อิทธิบาท ๔

๑.ฉันทะ ความพอใจ รักใคร่ ในสิ่งนั้นๆ
๒.วิริยะ ความเพียรพยายามที่จะทำสิ่งนั้นๆให้สำเร็จ
๓.จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นเรื่องนั้นไม่ทอดทิ้งธุระ
๔.วิมังสา ความใคร่ครวญ สังเกต พิจารณา หาเหตุหาผลในเรื่องนั้นๆ

สองห้า ๒ ๕

อินทรีย์ ๕ กับ พละ ๕

มีองค์ธรรมที่เหมือนกันซึ่งเรียงลำดับตามขั้นตอนของสภาวธรรม เป็น
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา


อินทรีย์ ๕ ความเป็นใหญ่ทั้ง ๕

๑.ศรัทธินทรีย์ มีความศรัทธาเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง
๒.วิริยินทรีย์ มีความเพียรเป็นอย่างยิ่ง
๓.สตินทรีย์ มีความระลึกรู้ทันปัจจุบันอารมณ์หรือสติปัฏฐาน 4 ได้ดียิ่ง
๔.สมาธินทรีย์ มีสมาธิอันยิ่ง คือฌาณ 4 สังขารุเปกขาญาน หรือสัมมาสมาธิ
๕.ปัญญินทรีย์ มีปัญญาอันยิ่ง คือสัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะละเอียดคมกล้า

พละ ๕ พลัง ขุมกำลังทั้ง ๕

๑.ศรัทธาพละ กำลัง ที่ได้จากแรงศรัทธา
๒.วิริยะพละ กำลังที่ได้จากแรงความเพียร
๓.สติพละ กำลังแห่งสติ
๔.สมาธิพละ กำลังที่ได้จากสมาธิ
๕.ปัญญาพละ กำลังที่ได้จากปัญญา

หนึ่งเจ็ด ๑ ๗

โภชฌงค์ ๗

๑.สติสัมโพชฌงค์ สติ ความระลึกรู้อยู่กับสติปัฏฐานทั้ง 4 และปัจจุบันอารมณ์
๒.ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ การพิจารณา ใคร่ครวญ แยกแยะ แจกแจงธรรม
๓.วิริยสัมโพชฌงค์ ความเพียรในสัมมัปทาน 4 หรือสัมมาวายามะ
๔.ปีติสัมโพชฌงค์ ความอิ่มเอิบซาบซ่านกาย ใจ
๕.ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความเบากาย เบาใจ
๖.สมาธิสัมโพชฌงค์ ความตั้งมั่นของจิต
๗.อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ความวางเฉยหยุดความปรุงแต่ง

หนึ่งแปด ๑ ๘

มรรค ๘

เป็นหลักปฏิบัติธรรมที่เป็นทางสายกลางเพราะเจริญ ปัญญา ศีล สติ สมาธิ ไปพร้อมๆกันสนับสนุนซึ่งกันและกันไปจนกว่าจะถึงที่หมายปลายทางคือ นิพพาน แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม-

ก.ปัญญามรรค มี ๒ ข้อ คือ

๑.สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นถูกต้อง คือเห็นอริสัจ ๔ และเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็น อนัตตา ในทางปฏิบัติคือตาปัญญาที่ไป เห็น ดู รู้
๒.สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ความคิดถูกต้อง คือคิดออกจากความยินดี ยินร้ายและการเบียดเบียน ทางปฏิบัติคือตาปัญญาที่ไป สังเกต พิจารณา

ข. ศีลมรรค มี ๓ ข้อ คือ

๓.สัมมาวาจา การพูดจาชอบ คือไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ในทางปฏิบัติคือการพูดแต่เรื่องอนัตตาและวิธีที่จะทำให้เข้าถึงอนัตตาและนิพพาน

๔.สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ คือการงานที่ไม่ผิดศีล ๕ ในทางปฏิบัติคือการเจริญมรรคทั้ง ๘ ทำงานค้นหาอนัตตา ปล่อยวางอัตตาจนกว่าจะเข้าถึงนิพพานได้โดยสมบูรณ์

๕.สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพชอบ คืออาชีพที่ไม่ผิดและไม่สนับสนุนให้ทำผิดศีล ๕ ในทางปฏิบัติคือการทำมาหาเลี้ยงชีพให้มีชีวิตรอดมาทำสัมมากัมมันตะคือเจริญมรรค ๘ เพื่อให้เข้าถึงนิพพานได้โดยเร็ว

ค.สมาธิมรรค มี ๓ ข้อ คือ

๖.สัมมาวายามะ ความพากเพียรชอบ แบ่งออกอีกเป็น ๔ ข้อย่อย เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า สัมมัปปทาน ๔ คือ
๑.บาปอกุศลเก่าๆที่เคยทำ เพียรละ
๒.บาปอกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรระวัง ไม่ให้เกิด
๓.กุศลเก่าๆที่เคยทำ เพียรรักษาและทำให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
. ๔.กุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรทำให้เกิด กุศลใหม่ในที่นี้หมายถึง มรรค ๔ มรรคยังไม่เคยเกิดขึ้นในใจเพียรทำให้เกิด

๗.สัมมาสติ ความระลึกชอบ คือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม นั่นเลยทีเดียว ในทางปฏิบัติความรู้ทันปัจจุบันอารมณ์นับเป็นสัมมาสติ

๘.สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ คือความที่จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง อยู่กับงานพิสูจน์ อนัตตา หรือการเจริญมรรคทั้ง ๘ จนสามารถทำให้จิตนิ่ง ตั้งมั่นได้ถึงระดับฌาน ๔ หรือ
สังขารุเปกขาญาณ
:b11:
:b37:
:b38:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2013, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โสกะนี่ไร้เดียงสาจริงๆ ปากบอกว่า ปริยัติกับตำราไม่สำคัญ
แต่พอโดนเข้าโต้แย้ง จนปัญญาที่จะตอบ
ก็เลยต้องอาศัยก็อปปี้ตำรามาโพสตอบชาวบ้าน
มันตลกตรงที่จะโพสอะไรไม่ได้ไตร่ตรองเลยว่า ตัวเองเข้าใจกับสิ่งที่เอามาโพสหรือแล้วเปล่า

คุณโสกะครับ ผมอ่านข้อความที่คุณโพสแล้วขำกลิ้งเลยครับ
รู้หรือเปล่า พออ่านเสร็จ ผมมีความรู้สึกตำหนิคนที่เขียนบทความนี้
ผมนึกในใจครับว่า.....ไอ้คนเขียน มันเอาพุทธพจน์ เอาบัญญัติของครูบาอาจารย์
มามั่วผสมปนเปกัน ใส่จินตนาการของโยคีลงไป เนื้อหามันเลยเป็นหัวมังกุท้ายมังกร :b32:


เดี๋ยวจะหยิบยก ข้อความบ้างข้อความ
มาให้ดูว่า คนเขียนมันไม่รู้เรื่องอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2013, 08:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
มรรค ๘

เป็นหลักปฏิบัติธรรมที่เป็นทางสายกลางเพราะเจริญ ปัญญา ศีล สติ สมาธิ ไปพร้อมๆกันสนับสนุนซึ่งกันและกันไปจนกว่าจะถึงที่หมายปลายทางคือ นิพพาน แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม-


มันมีที่ไหนกันมรรค๘ :b32:

คนมันไม่เข้าใจ ก็เลยหยิบเอาอริยมรรคมีองค์๘....มามั่ว

อริยมรรคมีองค์๘ ไม่ใช่หลักในการปฏิบัติ พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ...ไม่ใช่วิธีปฏิบัติ
องค์อริยมรรคในแต่ล่ะองค์ หมายความว่า เราต้องปฏิบัติให้ได้องค์อริยมรรค

ยกตัวอย่างให้ดูคร่าวๆ ในโพธิปักขิยธรรม หลักการหรือวิธีปฏิบัติก็คือ...โพชฌงค์๗

โพชฌงค์๗ เป็นการปฏิบัติ ส่วนอริยมรรคมีองค์๘เป็นผลของการปฏิบัติในโพชฌงค์เจ็ด



แล้วที่บอกว่ามรรค๘ ไม่รู้เอาจากที่ไหน ถ้าให้ความหมายของมรรคว่าหนทาง
หนทางไปสู่นิพพาน ไม่ได้มีแค่๘

หนทางไปสู่นิพพาน.....มีถึง๓๗ ไม่ใช่๘ หนทางที่ว่าก็คือ ..โพธิปักขิยธรรม๓๗ประการ

ในส่วนมรรคเพื่อให้ถึงอริยมรรคมีองค์๘ ท่านเรียกมรรคนั้นว่า.....ไตรสิกขา
แบ่งย่อยเป็นองค์มรรคก็คือ.....
อธิปัญญา เป็นมรรคเพื่อนำไปสู่.......สัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะ

อธิศีล เป็นมรรคเพื่อนำไปสู่....สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะ

อธิจิต เป็นมรรคเพื่อนำไปสู่....สัมมาสติ สัมมาวายามะและสัมมาสมาธิ
:b13:

คำเตือน....ถ้าไม่รู้จริง ก็อย่าพยายามมั่ว :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2013, 21:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
มรรค ๘

เป็นหลักปฏิบัติธรรมที่เป็นทางสายกลางเพราะเจริญ ปัญญา ศีล สติ สมาธิ ไปพร้อมๆกันสนับสนุนซึ่งกันและกันไปจนกว่าจะถึงที่หมายปลายทางคือ นิพพาน แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม-


มันมีที่ไหนกันมรรค๘ :b32:

คนมันไม่เข้าใจ ก็เลยหยิบเอาอริยมรรคมีองค์๘....มามั่ว

อริยมรรคมีองค์๘ ไม่ใช่หลักในการปฏิบัติ พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ...ไม่ใช่วิธีปฏิบัติ
องค์อริยมรรคในแต่ล่ะองค์ หมายความว่า เราต้องปฏิบัติให้ได้องค์อริยมรรค

ยกตัวอย่างให้ดูคร่าวๆ ในโพธิปักขิยธรรม หลักการหรือวิธีปฏิบัติก็คือ...โพชฌงค์๗

โพชฌงค์๗ เป็นการปฏิบัติ ส่วนอริยมรรคมีองค์๘เป็นผลของการปฏิบัติในโพชฌงค์เจ็ด



แล้วที่บอกว่ามรรค๘ ไม่รู้เอาจากที่ไหน ถ้าให้ความหมายของมรรคว่าหนทาง
หนทางไปสู่นิพพาน ไม่ได้มีแค่๘

หนทางไปสู่นิพพาน.....มีถึง๓๗ ไม่ใช่๘ หนทางที่ว่าก็คือ ..โพธิปักขิยธรรม๓๗ประการ

ในส่วนมรรคเพื่อให้ถึงอริยมรรคมีองค์๘ ท่านเรียกมรรคนั้นว่า.....ไตรสิกขา
แบ่งย่อยเป็นองค์มรรคก็คือ.....
อธิปัญญา เป็นมรรคเพื่อนำไปสู่.......สัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะ

อธิศีล เป็นมรรคเพื่อนำไปสู่....สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจาและสัมมาอาชีวะ

อธิจิต เป็นมรรคเพื่อนำไปสู่....สัมมาสติ สัมมาวายามะและสัมมาสมาธิ
:b13:

คำเตือน....ถ้าไม่รู้จริง ก็อย่าพยายามมั่ว :b6:

Onion_L Onion_L

ขอคืนคำนี้ไปให้โฮฮับทั้งหมด(เพราะมันเป็นคุณสมบัติของโฮฮับจริงๆ)

คำเตือน....ถ้าไม่รู้จริง ก็อย่าพยายามมั่ว

:b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 18:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
โสกะนี่ไร้เดียงสาจริงๆ ปากบอกว่า ปริยัติกับตำราไม่สำคัญ
แต่พอโดนเข้าโต้แย้ง จนปัญญาที่จะตอบ
ก็เลยต้องอาศัยก็อปปี้ตำรามาโพสตอบชาวบ้าน
มันตลกตรงที่จะโพสอะไรไม่ได้ไตร่ตรองเลยว่า ตัวเองเข้าใจกับสิ่งที่เอามาโพสหรือแล้วเปล่า

คุณโสกะครับ ผมอ่านข้อความที่คุณโพสแล้วขำกลิ้งเลยครับ
รู้หรือเปล่า พออ่านเสร็จ ผมมีความรู้สึกตำหนิคนที่เขียนบทความนี้
ผมนึกในใจครับว่า.....ไอ้คนเขียน มันเอาพุทธพจน์ เอาบัญญัติของครูบาอาจารย์
มามั่วผสมปนเปกัน ใส่จินตนาการของโยคีลงไป เนื้อหามันเลยเป็นหัวมังกุท้ายมังกร :b32:


เดี๋ยวจะหยิบยก ข้อความบ้างข้อความ
มาให้ดูว่า คนเขียนมันไม่รู้เรื่องอย่างไร

:b12: :b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
โสกะนี่ไร้เดียงสาจริงๆ [b]ปากบอกว่า ปริยัติกับตำราไม่สำคัญ[/b]
แต่พอโดนเข้าโต้แย้ง จนปัญญาที่จะตอบ
ก็เลยต้องอาศัยก็อปปี้ตำรามาโพสตอบชาวบ้าน
มันตลกตรงที่จะโพสอะไรไม่ได้ไตร่ตรองเลยว่า ตัวเองเข้าใจกับสิ่งที่เอามาโพสหรือแล้วเปล่า

Onion_L Onion_L Onion_L
คำพูดที่คาดสีแดงไว้นั้น ...ปากบอกว่า ปริยัติกับตำราไม่สำคัญ....

เป็นคำพูดที่โฮฮับมากล่าวตู่สรุปเอาเอง ด้วยนิสัยชอบบิดเบือนข่าวและความจริง แม่กระทั่งบิดเบือนธรรม

อโศกะได้ชี้แจงหลายครั้งแล้วว่าให้ไปอ่านดูดีๆ หัวข้อกระทู้บอกชัดว่า

"ครึ่งชั่วโมง ทำใจให้สงบจากนิวรณ์ 5 ไม่ได้ รู้มากมายก็ไร้ค่า"

เป็นเรื่องที่อยากจะมาเตือนสตินักศึกษาและปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้รู้ว่า

ความรู้ทางด้านทฤษฎีหรือ ปริยัติธรรมนั้น ควรฉลาดเลือกเฟ้นเอาเฉพาะที่เหมาะสมกับจริต นิสัย ระดับความรู้ และบุญวาสนาบารมีที่สร้างสมมาของแต่ละคน อย่ากอบโกยเอามาใส่ตัวใส่ใจเสียหมดโดยไม่พิจารณาเลือกเฟ้น เพราะมิฉนั้นแล้ว ความรู้ปริยัติที่มากเกินพอดี จะกลับกลายมาเป็นอุปสรรค เป็นอุทธัจจะนิวรณ์ ขวางกั้นการปฏิบัติธรรมของเจ้าของ ดังสุภาษิตที่ว่า

"ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"

วิธีพิสูจน์ก็ดังหัวเรื่องของกระทู้นี้ คือ ถ้านั่งเจริญภาวนาเพื่อจะทำสติปัฏฐาน 4 หรือวิปัสสนาภาวนา กว่าที่ร่างกายและจิตใจจะสงบ สยบนิวรณ์ธรรมลงได้ จนควรแก่งานเจริญวิปัสสนาภาวนา ถ้ามันเนิ่นนานเกินครึ่งชั่วโมงขึ้นไป ก็แสดงว่าความรู้มากมายที่เรียนมาไม่ได้ช่วยอะไรได้เท่าที่ควรเลย

วิสัยของผู้ที่จะสามารถเจริญวิปัสสนาภาวนา หรือสติปัฏฐาน 4 ได้ในชีวิตประจำวันนั้น ต้อง กำหนดจิต ตั้งจิต ตั้งใจจริง(มนสิการ) แล้วมีโยนิโส ความแยบคายตามมาสนับสนุน และสามารถทำจิตใจให้สงบ นิวรณ์ 5 รำงับลงได้ภายในชั่วไม่เกิน 2 - 3 อึดใจ จึงจะใช้ได้ คือต้องเข้าสมาธิถึงขณิกะสมาธิหรือ อุปจาระสมาธิ ระดับฌาณ 1 ได้อย่างฉับพลันทันที ที่เรียกว่า "เป็นวสี"

เพราะฉะนั้นลองพิสูจน์ตนเองกันดูนะครับ ว่าความรู้ที่ฉันศึกษา สร้างสมมาทั้งหมด สามารถมาทำให้ฉันเป็นอย่างที่อโศกะ ตั้งข้อสังเกตไว้ข้างต้นหรือไม่?

ถ้าเป็นแล้ว ก็สาธุอนุโมทนาตาม

ถ้าหากยังไม่เป็น ก็พึงควร วิเคราะห์ วิตก วิจารณ์ วิจัยตนเองว่าเพราะเหตุอะไร จะปรับปรุงแก้ไข พัฒนาตนเองได้อย่างไร......ดังนี้


นี่คือวัตถุประสงค์ของกระทู้นี้

แต่กระทู้ถูกทำให้พองตัวไปในเรื่องอื่นเสียนาน ต้องขออภัย เพราะเป็นเรื่องของหนี้เวรหนี้กรรมเก่าที่ติดค้างกันมากับหลายท่านหลายคน ต้องมาชำระกันต่อหน้าสาธารณะชน ในกระทู้ต่างๆและในลานธรรมจักรแห่งนี้

แต่ก็ขอให้ทุกท่านได้ค้นพบประโยชน์ จับได้ประเด็นที่จะนำไปประยุกต์ใช้ปรับปรุงการปฏิบัติธรรมของท่าน

พึงแปลงวิกฤติ ให้เป็นโอกาส ดังเช่นอโศกะเองก็ทำอยู่ทุกวัน คือ เอาสิ่งขัดข้อง ความขัดขวางทั้งหลายมาเป็นอุบายคุ้ยค้น เอาอัตตะและมานะทิฏฐิ กิเลส ตัณหา อวิชชาที่ยังคงเหลือค้างอยู่ในจิตในใจ ออกมาชำระให้เบาบางไปทุกวัน จนกว่าจะขาวรอบได้ในที่สุด

จึงอยู่ด้วยความดีใจ สุขใจ และขอบคุณทุกวัน ที่มีหลายท่านมาช่วยเสริมบารมีธรรม สมดั่งความที่ว่า

"มารบ่มี บารมีบ่เกิด"

ขอความสุข ความเจริญและความสำเร็จทั้งทางโลกทางธรรมจงบังเกิดมีแก่สาธุชนกัลยาณชน กัลยาณมิตรทุกท่านทุกคน เนื่องในโอกาสวาระดิถีปีใหม่ 2557 ที่จะมาถึงเร็วๆนี้ เทอญ
:b8:
tongue
smiley
:b38:
:b37:
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครเชื่อใคร หรือ ไม่เชื่อใคร เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน

เพราะโสกะ ไม่รู้ชัดในเรื่องเหตุปัจจัย จึงชอบโฆษณาชวนเชื่อ

หากรู้ชัดในเรื่องเหตุปัจจัย จึงไม่จำเป็นต้องพูดโฆษณาชวนเชื่อ





สิ่งที่โสกะแสดงออกเนื่องๆ เป็นประเภท ปากหวาน ก้นเปรี้ยว

พอถูกใจ จะพูดเอาใจ คำยกยอปอปั้น มาเป็นระนาว

พอไม่ถูกใจ ทั้งยกตนข่มท่าน ทั้งด่า ทั้งขมขู่ ทั้งแช่ง มาเป็นชุดเช่นกัน

ชอบแสดงอาการ ถ่มย้ำลาย รดฟ้า เป็นประจำ





ติเพื่อก่อ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 19:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ใครเชื่อใคร หรือ ไม่เชื่อใคร เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน

เพราะโสกะ ไม่รู้ชัดในเรื่องเหตุปัจจัย จึงชอบโฆษณาชวนเชื่อ

หากรู้ชัดในเรื่องเหตุปัจจัย จึงไม่จำเป็นต้องพูดโฆษณาชวนเชื่อ





สิ่งที่โสกะแสดงออกเนื่องๆ เป็นประเภท ปากหวาน ก้นเปรี้ยว

พอถูกใจ จะพูดเอาใจ คำยกยอปอปั้น มาเป็นระนาว

พอไม่ถูกใจ ทั้งยกตนข่มท่าน ทั้งด่า ทั้งขมขู่ ทั้งแช่ง มาเป็นชุดเช่นกัน

ชอบแสดงอาการ ถ่มย้ำลาย รดฟ้า เป็นประจำ





ติเพื่อก่อ

:b12: :b12: :b12:

จงอยู่เป็นสุข เป็นสุข เถิด นะวลัยพร

อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้นจากความทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเทอญ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2013, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
ใครเชื่อใคร หรือ ไม่เชื่อใคร เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน

เพราะโสกะ ไม่รู้ชัดในเรื่องเหตุปัจจัย จึงชอบโฆษณาชวนเชื่อ

หากรู้ชัดในเรื่องเหตุปัจจัย จึงไม่จำเป็นต้องพูดโฆษณาชวนเชื่อ





สิ่งที่โสกะแสดงออกเนื่องๆ เป็นประเภท ปากหวาน ก้นเปรี้ยว

พอถูกใจ จะพูดเอาใจ คำยกยอปอปั้น มาเป็นระนาว

พอไม่ถูกใจ ทั้งยกตนข่มท่าน ทั้งด่า ทั้งขมขู่ ทั้งแช่ง มาเป็นชุดเช่นกัน

ชอบแสดงอาการ ถ่มย้ำลาย รดฟ้า เป็นประจำ





ติเพื่อก่อ

:b12: :b12: :b12:

จงอยู่เป็นสุข เป็นสุข เถิด นะวลัยพร

อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้นจากความทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเทอญ

:b8:






กล่าวได้ชอบ

ดีแล้วๆๆๆๆ โสกะกล่าวได้ดีแล้ว

ฝึกบริกรรมแบบนี้บ่อยๆนะ

ความพยาบาทจะได้ลดน้อยลงไป

การกล่าวเพ่งโทษนอกตัว

การใช้คำพูดกดข่มผู้อื่น

การใช้คำพูด สรรเสริญ ยกยอปอปั้นผู้อื่น

การยกสิ่งนั้น สิ่งนี้ หยิบยกมาข่มขู่ผู้อื่น

การแช่งผู้อื่น


สิ่งต่างๆเหล่านี้ จะลดน้อยลงไป

เพราะจิตอยู่กับคำบริกรรมดังกล่าว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2013, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
ใครเชื่อใคร หรือ ไม่เชื่อใคร เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่มีต่อกัน

เพราะโสกะ ไม่รู้ชัดในเรื่องเหตุปัจจัย จึงชอบโฆษณาชวนเชื่อ

หากรู้ชัดในเรื่องเหตุปัจจัย จึงไม่จำเป็นต้องพูดโฆษณาชวนเชื่อ


สิ่งที่โสกะแสดงออกเนื่องๆ เป็นประเภท ปากหวาน ก้นเปรี้ยว

พอถูกใจ จะพูดเอาใจ คำยกยอปอปั้น มาเป็นระนาว

พอไม่ถูกใจ ทั้งยกตนข่มท่าน ทั้งด่า ทั้งขมขู่ ทั้งแช่ง มาเป็นชุดเช่นกัน

ชอบแสดงอาการ ถ่มย้ำลาย รดฟ้า เป็นประจำ


ติเพื่อก่อ

:b12: :b12: :b12:

จงอยู่เป็นสุข เป็นสุข เถิด นะวลัยพร

อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้นจากความทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเทอญ

:b8:


โสกะนี่มันไร้ราคาจริงๆ พูดจาไม่มีหลักเกณท์ กลับไปกลับมาไร้จุดยืน

เดียวด่าเขา เดียวสาปแช่ง พอคนเขาว่า ก็เสแสร้งพูดดี

พอคนเขาจี้จุดบกพร่อง ก็ตีหน้าซื่อ พร่ำเพ้อท่องมนต์

ทำแบบนี้ รูปที่เอามาโชว์ สงสัยไม่ใช่ตัวจริง
โสกะต้องเป็นพวกเด็กวัยรุ่น เอารูปอุ้ย รูปปู่มาโชว์
ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อ ไม่ให้คนอื่นกล้าเถียงคนแก่ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2013, 10:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




100_3755_resize_resize.JPG
100_3755_resize_resize.JPG [ 51.24 KiB | เปิดดู 3151 ครั้ง ]
:b16:
ป็นสุข เป็นสุข เถิด นะวลัยพร

อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตน ให้พ้นจากความทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเทอญ
:b8:


โสกะนี่มันไร้ราคาจริงๆ พูดจาไม่มีหลักเกณท์ กลับไปกลับมาไร้จุดยืน

เดียวด่าเขา เดียวสาปแช่ง พอคนเขาว่า ก็เสแสร้งพูดดี

พอคนเขาจี้จุดบกพร่อง ก็ตีหน้าซื่อ พร่ำเพ้อท่องมนต์

ทำแบบนี้ รูปที่เอามาโชว์ สงสัยไม่ใช่ตัวจริง
โสกะต้องเป็นพวกเด็กวัยรุ่น เอารูปอุ้ย รูปปู่มาโชว์
ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อ ไม่ให้คนอื่นกล้าเถียงคนแก่
:b32:
นี่จะปีใหม่แล้วนะ ยังไม่หยุดพฤติกรรมแคะไค้ ไล่เรียง จับผิด โจมตี ราวีผู้อื่นอีกหรือ โฮฮับ

เลิกได้แล้ว พอได้แล้ว ที่ผ่านมาทั้งหมด ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าของกระทู้นี้นั้นดุจการแสดงฉากหนึ่ง ซึ่งได้จบไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว.......มาตั้ังใจใหม่ ตั้งต้นใหม่ให้ดี เป็นศิริมงคลแก่ชีวิต เพิ่มพูนมิตร มากกว่าพอกพูนศัตรู

พฤติกรรมเยี่ยงนิทานอีสป เรื่องหมาป่ากับลูกแกะ ที่ทำต่อน้อง bbby นั่นก็ขอให้เลิกเสีย

ความพยายามที่จะเป็นจ่าฝูงอยู่ตลอดเวลา ใครเหนือกว่าข้าไม่ได้นั้นก็ วางเสีย เพื่อความสุข สงบเย็นในลานธรรม

ทางใครทางมัน อย่ามาขัดขวางกันให้เกิดโทสะ ปฏิฆะ อกุศลจิตต่อกันอยู่เลย เลิกเถอะ อโหสิกรรมต่อกันและกัน แสดงความเห็นกันมามากพอแล้ว รู้จักกันดีพอแล้ว สาธารณะสชนทั้งหลายก็รู้จักนิสัยใจคอของทุกคนดีแล้ว พอแล้ว จะได้มุ่งหน้า สนทนาธรรม เผยแพร่ธรรมไปด้วยมิตรไมตรีและสงบเป็นสุข บนทางแห่งความถนัดของใครของมัน อย่ามากีดขวางทางกันอยู่เลย เป็นบาปเป็นกรรมต่อกันเปล่าๆ

เบื่อแล้ว เหตุผลและความเห็นของโฮฮับ อย่าให้ต้องมากมายต่อไปจนถึงความสะอิดสะเอียนใจ

ทางใครทางมันนะ

:b11:
:b4: :b4: :b4:

นี่แหละคือกฏเกณฑ์ ของอโศกะ

เมตตา ให้อภัย มีน้ำใจไมตรีต่อกัน อยู่ร่วมกันอย่างศานติสุข
tongue
smiley
:b8:
:b27:
:b38:
:b37:
:b36:
Happy New Year 2014
:b37:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2013, 06:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
นั่งสงบ สยบนิวรณ์ธรรมทั้ง5ให้ได้สัก 1 ครั้ง 5-10 นาทีส่งท้ายปีเก่าตอนเค้าท์ดาวน์

แล้วทำให้ได้อีก 1 รอบในเช้าวันปีใหม่ 2547


ท่านจะมีโชคตลอดปี มีชีวิตที่ดีตลอดไป

ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรมทุกท่านเทอญ
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2013, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
นี่จะปีใหม่แล้วนะ ยังไม่หยุดพฤติกรรมแคะไค้ ไล่เรียง จับผิด โจมตี ราวีผู้อื่นอีกหรือ โฮฮับ

เลิกได้แล้ว พอได้แล้ว ที่ผ่านมาทั้งหมด ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าของกระทู้นี้นั้นดุจการแสดงฉากหนึ่ง ซึ่งได้จบไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว.......มาตั้ังใจใหม่ ตั้งต้นใหม่ให้ดี เป็นศิริมงคลแก่ชีวิต เพิ่มพูนมิตร มากกว่าพอกพูนศัตรู


โสกะคงจะลืมไปว่า นี่คือเว็บบอร์ด........
หลักเกณท์ของเว็บบอร์ดเขามีไว้ให้รู้ว่า เป็นสถานที่แสดงความคิดเห็น
ซึ่งในความคิดเห็นมีได้ทั้งเห็นด้วยและโต้แย้ง และการสนทนาอาจมีการกระทบกระทั่งกันด้วยคำพูด

ทางเว็บจึงกำหนดให้เราใช้ นามแฝงได้
การใช้นามแฝงหรือยูสเนม ถ้าเป็นในเว็บธรรมะก็เพื่อให้เรามีสติไม่ไปยึดติดกับ
สิ่งที่จะก่อให้เกิดอกุศล ทั้งจากการกระทำของเราหรือผู้อื่น

แต่โสกะไม่เป็นอย่างนั้น โสกะยึดติดกับการกระทำของตนเอง
และยังยึดติดกับความเห็นของคนอื่น เอาคำพูดของผู้อื่น มาเป็นอกุศลในใจตนเอง


การที่โสกะมักจะเอารูปตัวเองมาโชว์ ทั้งๆที่รู้ว่า มันเป็นสถานที่สาธารณะ
นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า....โสกะมีความอยากใคร่ดีในอารมณ์ ติดในสักกายทิฐิชนิดถอนตัวไม่ขึ้น

นี่แหล่ะหนอ! ผู้เฒ่าหลงโลก ลืมธรรม
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ธ.ค. 2013, 11:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
พฤติกรรมเยี่ยงนิทานอีสป เรื่องหมาป่ากับลูกแกะ ที่ทำต่อน้อง bbby นั่นก็ขอให้เลิกเสีย


เพื่อนในนี้ต่างก็รู้ว่า ผมเป็นคนอย่างไร ผมเสแสร้งไม่เป็นครับ
คราวใดที่ผมจะพูดในลักษณะดัดจริต แบบที่โสกะกำลังทำอยู่ มันพาลจะอาเจียน

แม้กับน้องคิงคองเอง ผมก็ไม่เคยพูดเพราะกับเธอ
ไม่เหมือนคุณนี่ครับ กับน้องคองใหม่ๆก็น้องคองจ๋า น้องคองจ๊ะ
พอโดนน้องเขาสอนมวยจี้ใจดำเข้าหน่อย จากหวานกลับกลายเป็นคำแช่งคำด่า :b9:

กับคุณเต้ก็เหมือนกัน ปุ๊ดโด่เอ้ย! แสดงอาการออกนอกหน้า....
น้องbbbyจ๋าจ๊ะๆๆๆ ดูแล้วเหมือน....หมาหยอกไก่ :b32:

asoka เขียน:
:

ความพยายามที่จะเป็นจ่าฝูงอยู่ตลอดเวลา ใครเหนือกว่าข้าไม่ได้นั้นก็ วางเสีย เพื่อความสุข สงบเย็นในลานธรรม


คุณเริ่มเพี้ยนแล้วครับ ดูให้ดีก่อนว่า ผมใช้ชื่ออะไรในการแสดงความเห็น
ต่อให้ความเห็นผมวิเศษวิโสอย่างไร ก็ไม่มีใครรู้ว่านายโฮฮับคือใคร

ผิดกับคุณครับ เอารูปมาโชว์หรา มองที่อยู่โฆษณาสำนักเสร็จสรรพ

ใครกันแน่ที่สมควรวางครับ :b32:

asoka เขียน:
:

ทางใครทางมัน อย่ามาขัดขวางกันให้เกิดโทสะ ปฏิฆะ อกุศลจิตต่อกันอยู่เลย เลิกเถอะ อโหสิกรรมต่อกันและกัน แสดงความเห็นกันมามากพอแล้ว รู้จักกันดีพอแล้ว สาธารณะสชนทั้งหลายก็รู้จักนิสัยใจคอของทุกคนดีแล้ว พอแล้ว จะได้มุ่งหน้า สนทนาธรรม เผยแพร่ธรรมไปด้วยมิตรไมตรีและสงบเป็นสุข บนทางแห่งความถนัดของใครของมัน อย่ามากีดขวางทางกันอยู่เลย เป็นบาปเป็นกรรมต่อกันเปล่าๆ

เบื่อแล้ว เหตุผลและความเห็นของโฮฮับ อย่าให้ต้องมากมายต่อไปจนถึงความสะอิดสะเอียนใจ

ทางใครทางมันนะ[/b][/color]

นี่แหละคือกฏเกณฑ์ ของอโศกะ

เมตตา ให้อภัย มีน้ำใจไมตรีต่อกัน อยู่ร่วมกันอย่างศานติสุข


ถ้าทางใครทางมัน....โสกะต้องไปแสดงความเห็นในห้องส้วมที่บ้านโสกะครับ
ไม่ใช่มาแสดงความเห็นในเว็บบอร์ดสาธารณะ

ทางเว็บบอร์ดเขามีช่อง..อ้างอิงไว้ เพื่อให้คนอื่นเอาไว้โต้แย้ง
เมื่อไม่เห็นด้วยครับ ยิ่งคุณเอาเรื่องของโยคีมามั่วกับธรรมของพระพุทธเจ้า
ใครเห็นเข้าก็มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้ง อย่าว่าแต่โต้แย้งเลยครับ
ต่อให้ด่ายังทำได้เลยครับ
:b13:

อย่าลืมครับ ถ้าไม่อยากให้ใครโต้แย้ง ก็ไปพูดในห้องน้ำส่วนตัว
ถ้ากลัวเพื่อนบ้านหาว่าบ้าพูดคนเดียว ก็เอาลูกๆหลานๆมานั่งฟัง
แล้วก็แจกไอติมมันคนล่ะแท่ง แค่นี้เองครับ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2013, 00:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


โค้ด:
นี่แหละคือกฏเกณฑ์ ของอโศกะ

เมตตา ให้อภัย มีน้ำใจไมตรีต่อกัน อยู่ร่วมกันอย่างศานติสุข


:b8: เมตตาเนี่ยดีครับ ผมสาธุ

แต่คาดหวังให้คนอื่นมีเมตตาเนี่ย ไม่ดี จะทุกข์ครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 14, 15, 16, 17, 18, 19, 20 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร