วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 06:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:

ลองแบบยากดูก่อนนะว่าได้ไหม

ให้กำหนดวิญญาณตัวรู้ มาเป็นตัวเราก่อน(เรียกว่าจิตก็ได้)

แล้วเข้าสมาธิให้ได้เท่าที่ได้แล้วถอยมาที่อารมณ์ คิด (ตอนนี้จะเป็นวิปัสสนาญาณ)

ก็ใช้ตัวรู้นั้นพิจารณา รูป ก่อน ไล่ไปตั้งแต่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ เรา(ตัวรู้)

เอาเท่านี้ก่อน


ขออภัยที่ตอบช้านะครับ

ถ้าทำอันนี้ได้แล้วอ่ะครับ แล้วยังไงต่อไปหรอครับ

ถ้าทำอันนี้ได้แล้วอ่ะครับ

ขอขยายความที่ว่าทำอันนี้ได้แล้วนั้น คือ สามารถแยกจิตตัวรู้ออกไปดูและเห็นร่างกายตัวเอง

แล้วพิจารณา ธาตุทั้งสี่ ในกายเรา ว่า ธาตุดิน ได้แก่ เนื้อ หนัง กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ กระเพาะ

ธาตุน้ำ ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ธาตุลม ได้แก่ ลมหายใจเข้าออก ธาตุไฟ ได้แก่

ความอบอุ่นในร่างกาย ธาตุทั้งสี่ที่มาประชุมกัน เรียกว่า รูปขันธ์ ว่าไม่ใช่เรา เราไม่มีใน ร่างกายนี้

เพราะธาตุทั้งสี่นี้เติบโตมาเพราะอาหารที่เรากินเข้าไปทำให้ กายเราเติบโตมา ธาตุทั้งสี่นี้เป็นของโลก

เราเพียงยืมใช้ชั่วคราวต่อเมื่อเราตายลง จิตวิญญาณเมื่อออกจากร่างนี้แล้ว รูปกายนี้ก็คืนให้กับโลก

และจะแตกสลายไปตามกาลเวลา เมื่อพิจารณาอยู่เช่นนี้จนเห็นตามความเป็นจริงแล้ว เราก็ย่อมไม่

ติดในรูปขันธ์ เห็นรูปนี้ ว่าไม่ใช่เรา เพราะถ้าเป็นของเราจริง เราย่อมบังคับบัญชามันได้ ว่า อย่าแก่นะ

อย่าเจ็บนะ อย่าตายนะ แต่เราบังคับบัญฃามันไม่ได้เพราะมันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสว่า

สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา (ถ้าทำได้ถึงตรงนี้)...............................

ก็มาต่อโดย พิจารณาขันธ์๕ อีก ๔ ตัวที่เหลือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าไม่ใช่เรา

เราไม่มีใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนไป เวลาพิจารณาวิปัสสนา

ถ้า จิตเริ่มฟุ้งซ่าน ก็ให้หันมาจับสมาธิเข้าให้ได้เต็มเท่าที่ทำได้แล้วถอนมาที่คำภาวนา แล้วเริ่ม

พิจารณาขันธ์๕ ต่อ(แต่ถ้าแยกจิตตัวรู้ออกนอกตัวได้ชัดเจนก็ไม่จำเป็นต้องเข้าสมาธิบ่อยๆก็ได้)

พระปุถุชน 500 รูป ได้ไปกราบลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปปฏิบัติธรรมในป่าในช่วงเข้าพรรษา

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า พวกท่านได้ไปลาท่านสารีบุตร หรือยัง พระปุถุชนทั้ง 500 รูปตอบ ยังพะยะคะ

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า พวกท่านไปลาพระสารีบุตรก่อน

เมื่อพระปุถุชนฯ ไปลาพระสารีบุตร จึงถือโอกาสถามพระสารีบุตร ว่า

พวกข้าพเจ้าเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา จะปฏิบัติธรรมข้อไหนดี ถึงจะเป็น พระโสดาบัน

พระสารีบุตร...ให้พิจารณาขันธ์๕ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา เราไม่มีใน

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะเป็น พระโสดาบัน


แล้วถ้าพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นพระโสดาบันแล้ว จะปฏิบัติธรรมข้อไหนดี ถึงจะเป็น พระสกิทาคามี

พระสารีบุตร...ก็พิจารณาขันธ์๕ นี้แหละว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา เราไม่มีใน

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นก็จะเป็น พระสกิทาคามี


แล้วถ้าพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นพระสกิทาคามีแล้ว จะปฏิบัติธรรมข้อไหนดี ถึงจะเป็น พระอนาคามี

พระสารีบุตร...ก็พิจารณาขันธ์๕ นี้แหละว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา เราไม่มีใน

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นก็จะเป็น พระอนาคามี


แล้วถ้าพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นพระอนาคามีแล้ว จะปฏิบัติธรรมข้อไหนดี ถึงจะเป็น พระอรหันต์

พระสารีบุตร...ก็พิจารณาขันธ์๕ นี้แหละว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา เราไม่มีใน

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นก็จะเป็น พระอรหันต์


เมื่อข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องพิจารณา ขันธ์๕ อีกแล้วใช่ไหม

พระสารีบุตร...เมื่อพวกท่านทั้งหลายเป็นพระอรหันต์แล้ว ต้องพิจารณา ขันธ์๕ ให้มากยิ่งขึ้นอีก

เป็นร้อยเท่าพันเท่าเพื่อความอยู่เป็นสุข


ป.ล.ทั้งหมดนี้แหละที่ คุณพงพัน ต้องพิจารณาต่อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:

รบกวนอีกหน่อยนะครับ
แล้วศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของใครอ่ะครับ เราสามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้หรือเปล่าครับ


ศีล สมาธิ ปัญญา เป็น อริยะมรรค เป็นทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้
เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เราสามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้ในระหว่างที่เดินทาง
เมื่อขึ้นฝั่งพระนิพพานแล้ว เราก็ไม่ต้องแบกมันขึ้นฝั่งไปด้วยนะ เพราะว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของเรา(ขันธ์๕)สุดท้ายเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ศีล สมาธิ ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้อ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ
ผมรบกวนขอถามถึงสภาวะ เมื่อรู้แจ้งในการพิจารณาขันธ์๕ ทั้งหมดแล้ว
จะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็น อริยะมรรค เป็นทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้
เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เราสามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้ในระหว่างที่เดินทาง
เมื่อขึ้นฝั่งพระนิพพานแล้ว เราก็ไม่ต้องแบกมันขึ้นฝั่งไปด้วยนะ เพราะว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของเรา(ขันธ์๕)สุดท้ายเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ศีล สมาธิ ปัญญา


การจะเห็นพระนิพพานได้นั้น เราจะต้องปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญา ก่อน
หรือว่าต้องเห็นพระนิพพานก่อนแล้วค่อยปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญา หรือครับ


แก้ไขล่าสุดโดย พงพัน เมื่อ 08 ก.พ. 2010, 14:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
อ้อ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ
ผมรบกวนขอถามถึงสภาวะ เมื่อรู้แจ้งในการพิจารณาขันธ์๕ ทั้งหมดแล้ว
จะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นครับ

ก็จะยังมีอารมณ์กระทบกระทั่งเหมือนปุถุชนคนธรรมดาทุกอย่าง

เพียงแต่เราดับอารมณ์นั้นได้ทันท่วงที เนื่องด้วยเรา รู้แจ้งโลกแล้ว

เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์นั้นๆ เพราะเรารู้แล้วว่ามันเป็น ขันธ์๕

จะเกิดอะไรขึ้นครับ...เมื่อเห็นธรรมแล้วก็จะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็น อริยะมรรค เป็นทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้
เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เราสามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้ในระหว่างที่เดินทาง
เมื่อขึ้นฝั่งพระนิพพานแล้ว เราก็ไม่ต้องแบกมันขึ้นฝั่งไปด้วยนะ เพราะว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของเรา(ขันธ์๕)สุดท้ายเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ศีล สมาธิ ปัญญา


การจะเห็นพระนิพพานได้นั้น เราจะต้องปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญา ก่อน
หรือว่าต้องเห็นพระนิพพานก่อนแล้วค่อยปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญา หรือครับ

ไม่เรียกว่า การปล่อยวาง เป็นการที่เรา รู้เท่าทันมัน เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น ศีล สมาธิ ปัญญา

จะเห็นพระนิพพานตอนที่ปัญญารู้แจ้ง แต่ก็สามารถรู้จักพระนิพพานก่อนปัญญารู้แจ้งได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
พงพัน เขียน:
อ้อ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณครับ
ผมรบกวนขอถามถึงสภาวะ เมื่อรู้แจ้งในการพิจารณาขันธ์๕ ทั้งหมดแล้ว
จะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นครับ

ก็จะยังมีอารมณ์กระทบกระทั่งเหมือนปุถุชนคนธรรมดาทุกอย่าง

เพียงแต่เราดับอารมณ์นั้นได้ทันท่วงที เนื่องด้วยเรา รู้แจ้งโลกแล้ว

เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์นั้นๆ เพราะเรารู้แล้วว่ามันเป็น ขันธ์๕

จะเกิดอะไรขึ้นครับ...เมื่อเห็นธรรมแล้วก็จะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



ถ้าแจ้งแล้วว่าทุกสิ่งเป็นขันธ์๕ ยังจะมีผู้ไม่ยึดมั่นอีกหรือครับ
ยึดมั่นจะต่างอะไรกับไม่ยึดมั่นหรือครับ
แล้วการเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เห็นได้อย่างไรหรือครับ





lnwoสูsย์ เขียน:
พงพัน เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็น อริยะมรรค เป็นทางที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้
เราสามารถทำให้เกิดขึ้นได้ เราสามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้ในระหว่างที่เดินทาง
เมื่อขึ้นฝั่งพระนิพพานแล้ว เราก็ไม่ต้องแบกมันขึ้นฝั่งไปด้วยนะ เพราะว่า
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นของเรา(ขันธ์๕)สุดท้ายเราก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ศีล สมาธิ ปัญญา


การจะเห็นพระนิพพานได้นั้น เราจะต้องปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญา ก่อน
หรือว่าต้องเห็นพระนิพพานก่อนแล้วค่อยปล่อยวาง ศีล สมาธิ ปัญญา หรือครับ

ไม่เรียกว่า การปล่อยวาง เป็นการที่เรา รู้เท่าทันมัน เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น ศีล สมาธิ ปัญญา

จะเห็นพระนิพพานตอนที่ปัญญารู้แจ้ง แต่ก็สามารถรู้จักพระนิพพานก่อนปัญญารู้แจ้งได้


รู้จักพระนิพพานก่อนปัญญารู้แจ้งนี่เป็นอย่างไรหรือครับ
เห็นพระนิพพานตอนปัญญารู้แจ้งเป็นอย่างไรหรือครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รู้จักพระนิพพานก่อนปัญญารู้แจ้งนี่เป็นอย่างไรหรือครับ

รู้จัก(ปริยัติ)รู้จริง(ปฏิบัติ)รู้จริงในไตรลักษณ์ แต่ยังไม่ รู้แจ้ง(ปฏิเวช)

155 ไม่ใช่อรหันต์เสมอไป

ปัญหา ผู้ที่รู้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างแจ่มแจ้งทั้งสายทุกข์ ทั้งสายดับทุกข์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะจัดว่าเป็นพระขีณาสพได้หรือยัง ?

พระนารทะตอบ “ ท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผลเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ท่านผู้มีอายุเปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือก โพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้น บุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิวกระหายเดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้นก็รู้ว่ามีน้ำ แต่จะสัมผัสด้วยการไม่ได้ ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ฉันนั้นเหมือนกัน”

โกสัมพีสูตร นิ. สํ. (๒๗๔)
ตบ. ๑๖ : ๑๔๓-๑๔๔ ตท. ๑๖ : ๑๓๐
ตอ. K.S. II : ๘๓

เห็นพระนิพพานตอนปัญญารู้แจ้งเป็นอย่างไรหรือครับ

ตัวเลขมากมาย บวก ลบ คูณ หาร เรามองดูโจทย์ก็รู้แล้วว่าผลลัพย์นั้นเป็นตัวเลขแน่นอน

ปัญญารู้แจ้ง.....เมื่อเราทำโจทย์เลขแล้วได้ผลลัพย์

เห็นพระนิพพาน....เห็นผลลัพย์ที่แน่นอนแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
ก็จะยังมีอารมณ์กระทบกระทั่งเหมือนปุถุชนคนธรรมดาทุกอย่าง

เพียงแต่เราดับอารมณ์นั้นได้ทันท่วงที เนื่องด้วยเรา รู้แจ้งโลกแล้ว

เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์นั้นๆ เพราะเรารู้แล้วว่ามันเป็น ขันธ์๕

จะเกิดอะไรขึ้นครับ...เมื่อเห็นธรรมแล้วก็จะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



ถ้าแจ้งแล้วว่าทุกสิ่งเป็นขันธ์๕ ยังจะมีผู้ไม่ยึดมั่นอีกหรือครับ
ยึดมั่นจะต่างอะไรกับไม่ยึดมั่นหรือครับ
แล้วการเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เห็นได้อย่างไรหรือครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
รู้จักพระนิพพานก่อนปัญญารู้แจ้งนี่เป็นอย่างไรหรือครับ

รู้จัก(ปริยัติ)รู้จริง(ปฏิบัติ)รู้จริงในไตรลักษณ์ แต่ยังไม่ รู้แจ้ง(ปฏิเวช)

155 ไม่ใช่อรหันต์เสมอไป

ปัญหา ผู้ที่รู้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างแจ่มแจ้งทั้งสายทุกข์ ทั้งสายดับทุกข์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะจัดว่าเป็นพระขีณาสพได้หรือยัง ?

พระนารทะตอบ “ ท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผลเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ท่านผู้มีอายุเปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือก โพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้น บุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิวกระหายเดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้นก็รู้ว่ามีน้ำ แต่จะสัมผัสด้วยการไม่ได้ ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ฉันนั้นเหมือนกัน”

โกสัมพีสูตร นิ. สํ. (๒๗๔)
ตบ. ๑๖ : ๑๔๓-๑๔๔ ตท. ๑๖ : ๑๓๐
ตอ. K.S. II : ๘๓

เห็นพระนิพพานตอนปัญญารู้แจ้งเป็นอย่างไรหรือครับ

ตัวเลขมากมาย บวก ลบ คูณ หาร เรามองดูโจทย์ก็รู้แล้วว่าผลลัพย์นั้นเป็นตัวเลขแน่นอน

ปัญญารู้แจ้ง.....เมื่อเราทำโจทย์เลขแล้วได้ผลลัพย์

เห็นพระนิพพาน....เห็นผลลัพย์ที่แน่นอนแล้ว


จากผลลัพธ์ที่ได้เมื่อปัญญารู้แจ้งแล้ว
ขอคำอธิบายหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมจึงไม่มีการกลับมาเกิดอีกแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:
ก็จะยังมีอารมณ์กระทบกระทั่งเหมือนปุถุชนคนธรรมดาทุกอย่าง

เพียงแต่เราดับอารมณ์นั้นได้ทันท่วงที เนื่องด้วยเรา รู้แจ้งโลกแล้ว

เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์นั้นๆ เพราะเรารู้แล้วว่ามันเป็น ขันธ์๕

จะเกิดอะไรขึ้นครับ...เมื่อเห็นธรรมแล้วก็จะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



ถ้าแจ้งแล้วว่าทุกสิ่งเป็นขันธ์๕ ยังจะมีผู้ไม่ยึดมั่นอีกหรือครับ
ยึดมั่นจะต่างอะไรกับไม่ยึดมั่นหรือครับ
แล้วการเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เห็นได้อย่างไรหรือครับ

ต้องมีผู้ที่ไม่ยึดมั่นซิ ไม่งั้นเอาอะไรมารู้แจ้งละ ก็ ขันธ็๕ รู้ ขันธ์๕ ไม่ยึดมั่น ขันธ์๕

ต้องต่างกันแน่นอน เพราะถ้ายึดมั่นอยู่ก็ต้องไม่พ้นทุกข์ ถ้าไม่ยึดมั่นก็พ้นทุกข์

ต้องเห็นธรรมแล้วก็จะเห็นพระนิพพานและเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ปัจจัตตัง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:
รู้จักพระนิพพานก่อนปัญญารู้แจ้งนี่เป็นอย่างไรหรือครับ

รู้จัก(ปริยัติ)รู้จริง(ปฏิบัติ)รู้จริงในไตรลักษณ์ แต่ยังไม่ รู้แจ้ง(ปฏิเวช)

155 ไม่ใช่อรหันต์เสมอไป

ปัญหา ผู้ที่รู้เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างแจ่มแจ้งทั้งสายทุกข์ ทั้งสายดับทุกข์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน จะจัดว่าเป็นพระขีณาสพได้หรือยัง ?

พระนารทะตอบ “ ท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผลเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ท่านผู้มีอายุเปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทางกันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือก โพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้น บุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิวกระหายเดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้นก็รู้ว่ามีน้ำ แต่จะสัมผัสด้วยการไม่ได้ ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันต์ขีณาสพ ฉันนั้นเหมือนกัน”

โกสัมพีสูตร นิ. สํ. (๒๗๔)
ตบ. ๑๖ : ๑๔๓-๑๔๔ ตท. ๑๖ : ๑๓๐
ตอ. K.S. II : ๘๓

เห็นพระนิพพานตอนปัญญารู้แจ้งเป็นอย่างไรหรือครับ

ตัวเลขมากมาย บวก ลบ คูณ หาร เรามองดูโจทย์ก็รู้แล้วว่าผลลัพย์นั้นเป็นตัวเลขแน่นอน

ปัญญารู้แจ้ง.....เมื่อเราทำโจทย์เลขแล้วได้ผลลัพย์

เห็นพระนิพพาน....เห็นผลลัพย์ที่แน่นอนแล้ว


จากผลลัพธ์ที่ได้เมื่อปัญญารู้แจ้งแล้ว
ขอคำอธิบายหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมจึงไม่มีการกลับมาเกิดอีกแล้ว

ถ้า คุณพงพัน รู้ว่าข้างหน้ามีกองเพลิง คุณพงพันยังจะเดินเข้าไปในกองเพลิงอีกใหม่

เมื่อรู้แจ้งในขันธ์๕ทั้งหมดแล้ว วิชาเกิดแล้วอวิชชาก็ดับไปแล้ว โซ่แห่งชีวิตก็ขาดจากกัน

เมื่อรู้แจ้งตัณหา ความอยากในภพก็ไม่มี เมื่อไม่มีความอยากเกิดในภพ ก็ไม่มีเชื้อให้เกิด

มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง เดินหลงทางเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ได้มีนางยักษ์แปลง ได้แปลงเป็นหญิงสาว
งดงาม เมื่อชายหนุ่มได้พบหญิงสาวก็เกิดความหลงรักโดยไม่รู้ว่าเป็นนางยักษ์แปลงมา
หญิงสาวก็ได้ชักชวน ชายหนุ่มไปอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยาที่ปราสาทของนาง ชายหนุ่มก็
เพลิดเพลินมีแต่ความสุขสำราญใจ ชนิดหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ เมื่อกาลเวลาผ่านไป1ปี
หญิงสาวนั้นก็กลับกลายมาเป็นนางยักษ์ และจับชายหนุ่มนั้นขึ้นมาเตรียมเด็ดหัวแล้วกิน
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะโดนนางยักษ์กิน ก็รำพึงรำพันกลับตัวเอง ว่า ถ้าเรารู้ว่าหญิงสาว
นั้นเป็นนางยักษ์แปลงมา เราคงไม่หลงเข้าใจผิดและไม่หลงไหลในความงามที่ลวงเรา
ทำให้เราต้องการในตัวหญิงสาวนั้น จนเป็นเหตุให้เราต้องถูกนางยักษ์จับกินในครั้งนี้
นี่เป็นเพราะเรา ไม่รู้ ความจริงนี่เอง....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
พงพัน เขียน:
lnwoสูsย์ เขียน:
ก็จะยังมีอารมณ์กระทบกระทั่งเหมือนปุถุชนคนธรรมดาทุกอย่าง

เพียงแต่เราดับอารมณ์นั้นได้ทันท่วงที เนื่องด้วยเรา รู้แจ้งโลกแล้ว

เราจึงไม่ยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์นั้นๆ เพราะเรารู้แล้วว่ามันเป็น ขันธ์๕

จะเกิดอะไรขึ้นครับ...เมื่อเห็นธรรมแล้วก็จะได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า



ถ้าแจ้งแล้วว่าทุกสิ่งเป็นขันธ์๕ ยังจะมีผู้ไม่ยึดมั่นอีกหรือครับ
ยึดมั่นจะต่างอะไรกับไม่ยึดมั่นหรือครับ
แล้วการเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เห็นได้อย่างไรหรือครับ

ต้องมีผู้ที่ไม่ยึดมั่นซิ ไม่งั้นเอาอะไรมารู้แจ้งละ ก็ ขันธ็๕ รู้ ขันธ์๕ ไม่ยึดมั่น ขันธ์๕

ต้องต่างกันแน่นอน เพราะถ้ายึดมั่นอยู่ก็ต้องไม่พ้นทุกข์ ถ้าไม่ยึดมั่นก็พ้นทุกข์

ต้องเห็นธรรมแล้วก็จะเห็นพระนิพพานและเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(ปัจจัตตัง)


ผมหมายถึงหลังจากการที่ขันธ์๕ รู้แจ้งขันธ์๕ แล้วน่ะครับ

จะยึดมั่นหรือไม่ยึดมั่น จะต่างกันหรือครับ

เมื่อยึดก็เป็นขันธ์ยึดขันธ์ ไม่ยึดก็เป็นขันธ์ไม่ยึดขันธ์ เหลือแต่ขันธ์ล้วนๆ ไม่มีความเป็นเราอยู่ในขันธ์แล้ว

สุดท้ายแล้วต้องไม่ยึดมั่นตัวผู้ไม่ยึดมั่นด้วยใช่หรือไม่ครับ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความมีในทุกสิ่งเป็นทุกข์

แม้แต่ธุลีทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นทุกข์ของมัน ทุกข์ในความมีมัน

อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา ผู้มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่ามันเป็นทุกข์

พระองค์ยังทำกระบวนการนิโรธ กับธุลีทุกข์นี้

แล้วความมีตัวผู้ไม่ยึดมั่นอยู่ แสดงว่ายังมีความมีอยู่สิครับ

ความมีอยู่ก็ยังมีสมมติอยู่ จึงยังไม่เข้าใจความเป็นวิมุติหรืออนัตตาที่แท้จริงใช่หรือไม่ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ม.ค. 2010, 12:33
โพสต์: 91

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พงพัน เขียน:


ผมหมายถึงหลังจากการที่ขันธ์๕ รู้แจ้งขันธ์๕ แล้วน่ะครับ

จะยึดมั่นหรือไม่ยึดมั่น จะต่างกันหรือครับ

เมื่อยึดก็เป็นขันธ์ยึดขันธ์ ไม่ยึดก็เป็นขันธ์ไม่ยึดขันธ์ เหลือแต่ขันธ์ล้วนๆ ไม่มีความเป็นเราอยู่ในขันธ์แล้ว

สุดท้ายแล้วต้องไม่ยึดมั่นตัวผู้ไม่ยึดมั่นด้วยใช่หรือไม่ครับ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความมีในทุกสิ่งเป็นทุกข์

แม้แต่ธุลีทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นทุกข์ของมัน ทุกข์ในความมีมัน

อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดา ผู้มีจิตหยาบเกินกว่าจะสัมผัสว่ามันเป็นทุกข์

พระองค์ยังทำกระบวนการนิโรธ กับธุลีทุกข์นี้

แล้วความมีตัวผู้ไม่ยึดมั่นอยู่ แสดงว่ายังมีความมีอยู่สิครับ

ความมีอยู่ก็ยังมีสมมติอยู่ จึงยังไม่เข้าใจความเป็นวิมุติหรืออนัตตาที่แท้จริงใช่หรือไม่ครับ

อย่าลืมว่า ตอนแรก อสูรย์ ให้ คุณพงพัน (ยืม)กำหนดวิญญาณตัวรู้ ให้มาเป็นตัวเรา(จิต)ตัวรู้

เพื่อแยกออกจากขันธ์๕ จะได้เห็น ขันธ์๕ ชัดเจนเมื่อพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนรู้แจ้ง ขันธ์๕แล้ว

ก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์๕ (คือรู้เท่าทันขันธ์๕ไม่ใช่การดับขันธ์๕ จำไว้ให้ดี)

เมื่อยึดก็เป็นขันธ์ยึดขันธ์ ไม่ยึดก็เป็นขันธ์ไม่ยึดขันธ์ เหลือแต่ขันธ์ล้วนๆ ไม่มีความเป็นเราอยู่ในขันธ์แล้ว

สุดท้ายแล้วต้องไม่ยึดมั่นตัวผู้ไม่ยึดมั่นด้วยใช่หรือไม่ครับ


ใช่...ก็ตัวผู้ไม่ยึดมั่นนั้น เรายืมมาจาก วิญญาณขันธ์ ใน ขันธ์๕ นั่นแหละ

พระองค์ยังทำกระบวนการนิโรธ กับธุลีทุกข์นี้

แล้วความมีตัวผู้ไม่ยึดมั่นอยู่ แสดงว่ายังมีความมีอยู่สิครับ

ความมีอยู่ก็ยังมีสมมติอยู่ จึงยังไม่เข้าใจความเป็นวิมุติหรืออนัตตาที่แท้จริงใช่หรือไม่ครับ


แล้วพระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้ว ขันธ์๕ ของพระองค์ ไม่อยู่แล้วหรือ ที่ว่าขันธ์๕ เป็นอนัตตานั้น

ว่าโดยปรมัถต์ ให้เห็นว่าไม่ใช่เรา เราไม่มีในตัวตนนั้น(อย่าลืมว่า ว่าโดยปรมัถต์)

(ปรมัถต์...อุบายให้เห็นสภาวะตามความเป็นจริง)

สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีอุปาทิเหลือ ยังเกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์

กล่าวคือดับกิเลสแต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ

อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีอุปาทิเหลือ หรือนิพพานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเบญจขันธ์

กล่าวคือดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่อีก

ใช้ตัณหาดับตัณหาแล้วละตัณหานั้นซะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 14:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


lnwoสูsย์ เขียน:
พงพัน เขียน:
จากผลลัพธ์ที่ได้เมื่อปัญญารู้แจ้งแล้ว
ขอคำอธิบายหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมจึงไม่มีการกลับมาเกิดอีกแล้ว

ถ้า คุณพงพัน รู้ว่าข้างหน้ามีกองเพลิง คุณพงพันยังจะเดินเข้าไปในกองเพลิงอีกใหม่

เมื่อรู้แจ้งในขันธ์๕ทั้งหมดแล้ว วิชาเกิดแล้วอวิชชาก็ดับไปแล้ว โซ่แห่งชีวิตก็ขาดจากกัน

เมื่อรู้แจ้งตัณหา ความอยากในภพก็ไม่มี เมื่อไม่มีความอยากเกิดในภพ ก็ไม่มีเชื้อให้เกิด

มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง เดินหลงทางเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ได้มีนางยักษ์แปลง ได้แปลงเป็นหญิงสาว
งดงาม เมื่อชายหนุ่มได้พบหญิงสาวก็เกิดความหลงรักโดยไม่รู้ว่าเป็นนางยักษ์แปลงมา
หญิงสาวก็ได้ชักชวน ชายหนุ่มไปอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยาที่ปราสาทของนาง ชายหนุ่มก็
เพลิดเพลินมีแต่ความสุขสำราญใจ ชนิดหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ เมื่อกาลเวลาผ่านไป1ปี
หญิงสาวนั้นก็กลับกลายมาเป็นนางยักษ์ และจับชายหนุ่มนั้นขึ้นมาเตรียมเด็ดหัวแล้วกิน
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะโดนนางยักษ์กิน ก็รำพึงรำพันกลับตัวเอง ว่า ถ้าเรารู้ว่าหญิงสาว
นั้นเป็นนางยักษ์แปลงมา เราคงไม่หลงเข้าใจผิดและไม่หลงไหลในความงามที่ลวงเรา
ทำให้เราต้องการในตัวหญิงสาวนั้น จนเป็นเหตุให้เราต้องถูกนางยักษ์จับกินในครั้งนี้
นี่เป็นเพราะเรา ไม่รู้ ความจริงนี่เอง....


มีผู้ปฏิบัติธรรมมากมายที่ทราบว่าการเกิดเป็นกองเพลิงกองใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า

แต่ก็ยังไม่สามารถปฏิบัติให้หลุดพ้นจากการไม่ต้องเกิดมาผจญกองเพลิงนั้นอีกได้

เพราะฉนั้นการที่จะสามารถไม่ต้องเกิดมาผจญกับกองเพลิงนั้นอีกอย่างแท้จริง

จึงมิใช่เพียงแต่เห็นโดยส่วนผิวเผินของกองเพลิง

ต้องเห็นว่าขันธ์๕นี้แหละเป็นกองเพลิง หรือการพิจารณาขันธ์๕ ลงสู่ความเป็นไตรลักษณ์

ตัวถูกพิจารณาก็เป็นขันธ์ ตัวผู้ถูกพิจารณาก็เป็นขันธ์

แม้พิจารณาแล้วว่าขันธ์๕ นี้ไม่ใช่เราเลย ไม่มีเราอยู่ในขันธ์๕ เกิดเป็นสภาวะความว่างขึ้นมา

(ไม่ใช่ดับ แต่รู้เท่าทันในขันธ์๕ ไม่ลืมอย่างแน่นอนครับ)

ความว่างนั้นก็เกิดขึ้นได้เพราะมีขันธ์๕ และก็เป็นไตรลักษณ์ด้วยเช่นเดียวกัน

ละความยึดมั่นถือมั่นในสมมติทุกสิ่งเข้าสู่ความเป็นวิมุติ

เมื่อรู้เช่นนี้แล้วจึงไม่มีสิ่งใดให้ยึดให้หลงอีกใช่หรือไม่ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 51 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร