วันเวลาปัจจุบัน 10 ส.ค. 2025, 12:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 14  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


โฮฮับ เขียน:
ผมเห็นบางคนไปกล่าวว่า ทุกชีวิตเกิดมาต้องแก่ต้องตายมันเป็นอนิจจัง
มันผิดครับ


1. ถ้ามันผิด งั้นควรจะใช้คำว่าอะไรดีครับ ถึงจะถูกต้อง ถ้าไม่ให้ใช้คำว่า อนิจจัง

2.แล้วคำว่า อนิจจัง วัฏสังขารา ในบทสวดมนต์ล่ะครับ
ไม่ได้แปลว่า สังขารคือสิ่งไม่เที่ยงตามที่ผู้แปลได้แปลไว้เหรอครับ


โฮฮับ เขียน:
ส่วนเรื่องการเกิดแก่ เจ็บตายมันอยู่นอกกฎไตรลักษณ์ ใช้ว่าอนิจจังไม่ได้
เพราะทุกคนจะต้องประสบ แม้กระทั่งพระอรหันต์ก่อนจะบรรลุก็ต้องเกิดเสียก่อน
ถึงแม้จะบรรลุเป็นอรหันต์แล้วก็ต้องแก่เจ็บและตายไปในที่สุด
ดังนั้นเราต้องเรียกขบวนการนี้ว่า นิจจัง มันเที่ยงครับ


คุณเรียก การเกิดแก่เจ็บตาย ว่าขบวนการ ผมขอเรียกใหม่ครับ
ผมขอใช้คำว่า กระบวนการ

และคุณบอกว่า การเกิดแก่เจ็บตาย มันเที่ยง อันนี้ผมเห็นด้วย
เห็นด้วยตรงที่ว่า สังขารของสิ่งมีชีวิต มีเกิด และดับ เลี่ยงไม่ได้


ที่จริงผมก็เห็นด้วยกับคุณซะเป็นส่วนมาก แต่เผอิญว่าผมไม่ชอบพิมพ์อะไรยาวๆ
หรือพิมพ์อะไรยืดเยื้อ เอาแค่รู้กันพอสังเขปว่าผมเห็นด้วยกับคุณก็พอละ

อย่าลืมตอบคำถามของผม ทั้ง 2 ข้อนะครับ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1: อืมม

เอกอนไม่ค่อยเข้าใจความนัยเลยแฮะ
ไม่เป็นไร :b1:

:b12: :b12: :b12:

ก็อยู่แบบนี้ต่อไป.....เอามือลูบคลำกำเล่น...ใบมีดโกนไปเรื่อยๆ


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 15 ก.ย. 2011, 09:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 09:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
eragon_joe เขียน:
:b1: อืมม

เอกอนไม่ค่อยเข้าใจความนัยเลยแฮะ
ไม่เป็นไร :b1:

:b12: :b12: :b12:

ก็อยู่แบบนี้ต่อไป


:b1: :b1:

เอกอนจะอยู่ไปตามใจท่านได้รึเปล่าก็ไม่รู้

:b16: :b16:

เพราะเท่าที่รู้ ก็ระลึกได้ว่า นี่เราก็อยู่ไปตามกรรมนั่นล่ะ :b1:
กรรม นำพาไปเช่นไร เรียนรู้ที่จะ
รับรู้ กรรม ไปอย่างเป็น ปกติ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ น่ะ


:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 10:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
eragon_joe เขียน:
:b1: อืมม

เอกอนไม่ค่อยเข้าใจความนัยเลยแฮะ
ไม่เป็นไร :b1:

:b12: :b12: :b12:

ก็อยู่แบบนี้ต่อไป.....เอามือลูบคลำกำเล่น...ใบมีดโกนไปเรื่อยๆ


:b34: นี่แนะ หลับอยู่ มีการกลับเข้ามาแก้ไส้อีก :b32: :b32:

:b16: ท่านเล่นออกความเห็นแบบแทงสั้น ๆ อย่างนี้
สั้นซะจนตามไม่ทัน smiley smiley

อิอิ คร๊าบบบบ smiley smiley
เข้าใจ หลับอยู่หวังดี ก็รู้ :b16: :b16:

สหายผู้หวังดีในธรรมหลายท่านก็เตือนเสมอ
อิอิ หลับอยู่ก็อีกคน smiley smiley
สงสัยจะต้องเชื่อแล้วล่ะ :b9: :b9: :b9:

smiley smiley smiley


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 15 ก.ย. 2011, 13:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 11:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


http://media.watnapahpong.org/video/1BG8UNNYAYB3/สนทนาธรรมค่ำวันเสาร์-10-กย-2554

:b1: เห็นช่วงต้นกล่าวถึงอริยสัจจ์ พอดี :b12: ก็เลยหยิบมาแปะ อิอิ :b12:

และมีการกล่าวถึง ฝั่ง ๆ อิอิ ซึ่งเห็นท่านมู ก็ได้กล่าวถึงเรื่อง ขึ้นฝั่ง อยู่พอดี :b12:

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ผมเห็นบางคนไปกล่าวว่า ทุกชีวิตเกิดมาต้องแก่ต้องตายมันเป็นอนิจจัง
มันผิดครับ

1. ถ้ามันผิด งั้นควรจะใช้คำว่าอะไรดีครับ ถึงจะถูกต้อง ถ้าไม่ให้ใช้คำว่า อนิจจัง


อนึ่งคุณต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า เราทุกคนย่อมรู้กันอยู่แล้วว่า คนเกิดมา ต้องแก่ต้องเจ็บและตาย
มันเป็นสัจจะธรรม
สังเกตุดูนะครับว่าเรารู้และไม่ปฏิเสธ ทั้งๆบางครั้งปรากฎการณ์นั้นยังไม่มาให้เราเห็น
อย่างเช่นเราเห็นเด็กเกิดใหม่สักคน เราก็รู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้ต่อไปก็ต้องแก่ต้องเจ็บและตาย
สิ่งที่เรารู้ทั้งๆที่มันยังไม่มาถึง เหตุการณ์ย่อมเป็นจริงเสมอชนิดหลีกไม่ได้ เขาเรียกว่า
เที่ยงเป็นนิจจังครับ คือไม่มีวันที่มันจะแปลเปลี่ยนไปจากนี้ได้
สมมุติว่าเราบอกว่าชีวิตมนุษย์ไม่เที่ยง แบบนี้มันก็หมายถึงสิ่งที่เรารู้มาว่า คนต้องเกิดแก่เจ็บตาย
อันนี้ก็ไม่แน่ไม่นอนซิครับ มนุษย์อาจไม่เจ็บไม่ตายก็ได้ เห็นไม่ครับว่ามันผิดหลักสัจจะธรรม

ดังนั้นเราต้องกล่าวว่า ชีวิตของมนุษย์เป็นนิจจัง เที่ยงตรงต่อสัจจะธรรม
การเกิดแล้วแก่ก็เที่ยง การแก่แล้วเจ็บก็เที่ยง เจ็บแล้วต้องตายก็เที่ยงครับ

พุทธคุณ เขียน:
2.แล้วคำว่า อนิจจัง วัฏสังขารา ในบทสวดมนต์ล่ะครับ
ไม่ได้แปลว่า สังขารคือสิ่งไม่เที่ยงตามที่ผู้แปลได้แปลไว้เหรอครับ[/size][/color]

ใช่ครับสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง แต่คำว่าสังขารที่ว่านี้ มันไม่ใช่ร่างกายที่ผุพังของเราครับ
ร่างกายของเราเป็นเพียงธาตุสี่ที่จิตมาอาศัยอยู่เท่านั้น

ดังนั้นที่ว่าสังขาร มันก็คือสภาวะในขณะที่จิตอาศัยอยู่ในร่างกาย
แล้วจิตหลงยึดมั่นถือมั่นเอาร่างกายมาเป็นตัวตน โดยหารู้ไม่ว่ามันเป็นเพียงก้อนธาตุ
สักวันจิตนี้จะต้องละทิ้งร่างกายนี้ไป ไม่สามารถถือครองได้ตลอดไป

สังเกตุดูครับมีประโยคคำพูดที่เกี่ยวกับความตายไว้ว่า "ละสังขาร"
สังขารในที่นี้ก็ไม่กายที่ตายไปครับ แต่มันเป็นอาการของจิตที่ต้องละทิ้งกาย โดยตอนแรก
จิตหลงไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนเดียวกับจิต
ฉะนั้นละสังขาร ก็คือละทิ้งการปรุงแต่งแห่งจิตที่มีต่อกายนั้นๆครับ
นี่แหล่ะครับ ความหมายของอนิจจัง วัฏสังขารา ท่านเน้นเรื่องจิตครับ
ไม่ใช่ร่างกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 20:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร..ก็ด้วยปัจจัยของตัณหาและอุปทานของจิตอวิชชา...เองแท้ ๆ

เรียกว่า..สนิมเกิดแต่เนื้อในตน...

จะได้รึเปล่าละเนี้ย?? s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 23:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เพราะ เอกอนเห็นเอกอนท่องไป....พบปะกับธรรมต่าง ๆ มากมาย
เพราะ เอกอนมี... จึงปรากฎเอกอนท่องไป
และถ้า เอกอนไม่มี... จะปรากฎ...อะไร
และ ปัจจัยใด... ทำให้เอกอน ไม่ปรากฎ


tongue ปรากฏว่ามีเอกอนไหลตามสังขารคิดไปเสียแล้วละค่ะ

eragon_joe เขียน:
อวิชชา คือ การไม่รู้ในขันธ์ตามความเป็นจริง (สัจจะแห่งขันธ์)
ทำให้เกิดการเข้าไปยึดมั่นขันธ์ อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็น
วิญญาณที่เข้าไปครอบครอง ปรากฎเป็นก้อนรูป-นามที่มีการถือครอง
ซึ่งจริง ๆ แล้ว............ :b10: :b10:


:b1: จริงๆ แล้ว........อวิชชานั่นแหละเป็นตัวแม่ของขันธ์ทั้งหมด
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นบรรพบุรุษของปฏิจจมุปบาทตลอดทั้งสายเลยละค่ะ

น้องเอกอนอาจจะสับสนระหว่าง สังขารในปฏิจจสมุปบาท กับ สังขารในขันธ์ ๕ อยู่นะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2011, 23:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
เพราะไม่รู้ จึงได้หลงกระทำบุญบ้างบาปบ้าง ไม่บุญไม่บาปบ้าง
เพราะไม่รู้ จึงได้กระทำกรรม อันเป็นบุญบ้าง บาปบ้าง ไม่บุญไม่บาปบ้าง

เพราะอวิชชา ทำให้เกิดสังขารนั่นเอง

สังขารคือบุญบ้าง(ปุญญาภิสังขาร)
สังขารคือบาปบ้าง(อปุญญาภิสังขาร)
สังขารคือไม่บุญไม่บาปบ้าง(อเนญชาภิสังขาร)

พระอรหันต์ ไม่มีอวิชชา จึงไม่กระทำกรรมใดๆ สิ่งที่พระอรหันต์ทำเรียกว่า กิริยา ไม่จัดเป็นกรรม

สังขารที่กล่าวถึงข้างบน ทำให้เกิดวิญญาณ
ในที่นี้คือ วิปากวิญญาณ อันเป็นวิญญาณที่เกิดเพราะวิบากผลแห่งกรรมที่กล่าวถึงข้างบนนั้น

ยกตัวอย่างเช่น ปฏิสนธิจิต เป็นต้น นี่คือ วิปากวิญญาณ

เพราะว่า วิญญาณ มี 4 ประเภท คือ

กุศล อกุศล วิบาก กิริยา

ผู้ที่ยังมีอวิชชาอยู่ ยังมีวิญญาณประเภทกุศล อกุศล เกิดขึ้นกระทำกรรมใหม่
มีวิญญาณประเภทวิบาก เพราะผลแห่งกรรมเก่า ที่ได้เคยกระทำแล้วในอดีต
และมีวิญญาณประเภท กิริยา อันเป็นวิญญาณอัตโนมัติ

พระอรหันต์ หมดอวิชชาแล้ว เหลือวิญญาณ แค่สองประเภทเท่านั้นคือ วิบาก และกิริยา

พระอรหันต์ ยังต้องรับผลแห่งกรรม ที่ได้เคยกระทำแล้วในอดีต โดยเกิดวิบากจิต ขึ้นสลับกับกิริยาจิต
ตลอดวัน ตลอดคืน


tongue คห.นี้ดิฉันของชมว่าคุณโกวิทออกตัวได้ดีค่ะ
แต่แผ่วกลางและตายตอนจบจริงๆ

การกระทำของพระอรหันต์ไม่จัดเป็นกรรมนั้นถูกต้องค่ะ

เพราะว่าอิริยาบถของพระอรหันต์นั้นเป็นมหากิริยา
สักแต่ว่าอิริยาบถเคลื่อนไหวไปตามกลไกหน้าที่ของร่างกายเท่านั้น
ส่วนภายในปราศจากสังขารและกิริยาอาการใดๆ ทั้งสิ้น

เพราะอวิชชาทำให้เกิดสังขาร สังขารทำให้เกิดวิญญาณ

พระอรหันต์ดับอวิชชาหมดแล้ว
ต้นตอของวงจรปฏิจสมุปบาทถูกตัดขาดสิ้นแล้ว

คุณโกวิทลองกลับไปคิดดูเล่นๆ ก็ได้นะคะว่า........

เมื่ออวิชชาดับแล้ว สังขารดับแล้ว ยังเหลือวิญญาณสองประเภทนั้นอยู่ได้อย่างไร

และ

พระอรหันต์ที่ยังต้องรับผลแห่งกรรมที่ได้เคยกระทำแล้วในอดีตนั้น
แท้จริงแล้วยังมีจิตของพระอรหันต์ที่ต้องมารองรับของพรรค์นั้นอยู่จริงหรือ

และสุดท้าย.......

พระอรหันต์ประเภทไหนกันที่ยังมีอาการทางจิตตลอดวันตลอดคืน :b14:

ดิฉันเพียงแต่ถามดูเล่นๆ เท่านั้นนะคะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 00:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


potikul เขียน:
ถ้าอวิชชาไม่เป็นปัจจัยให้เิกิดสังขาร พวกเราคงไม่มานั่งพิมพ์ ปรุงแต่งให้ได้อ่านกันซีนะครับ :b8: :b8: :b8:


:b1: ขอโทษนะคะ

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ดับอวิชชาหมดสิ้นแล้วท่านก็ยังมานั่งอบรมสั่งสอนคนอยู่ค่ะ
เพราะว่าอิริยาบถเป็นเรื่องของกาย ความหลุดพ้นเป็นเรื่องของใจ

ตราบใดที่ยังไม่ถึงเวลาดับขันธ์ปรินิพพานธาตุขันธ์ก็ยังต้องทำงานของเค้าอยู่น่ะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 00:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:
จะไปหวังหลุดพ้นหรอ แค่รู้ขันธ์ที่อยู่ในยังหมดสิทธิ์!ทำกุศลฌาณให้ได้ก่อนเหอะ


:b16: ความเข้าใจของเขามีอยู่แค่ไหน เขาก็หวังได้แค่นั้นนั่นแหละนะคะ
เรื่องแบบนี้บังคับบัญชากันไม่ได้หรอกค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 00:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


จางบางลางเลือน เขียน:
ปฏิจจสมุปบาท ที่ตรัสจากพระโอษฐ์

อวิชชา คือ ความไม่รู้ อริยสัจจ4
สังขาร คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร

กายสังขาร คือ ลมหายใจ
วจีสังขาร คือ วิตก วิจารณ์
จิตตสังขาร คือ สัญญาเวทนาเจตนา ผัสสะมนสิการ


เพราะยังไม่มีความรู้แจ้งในอริยสัจจ์ จึงยังมีสังขารสาม

และเมื่อรู้แจ้ง อริยสัจจ์ สังขารทั้งสาม จะสิ้นไปด้วย วิราคะธรรม

เพราะ มีสังขารสาม จึงมี วิญญาณหก คือ วิญญาณทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

นี่คือปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ท่านผู้รู้ท่านใดพอจะไขความได้บ้างไหมหนอ

ว่า ความไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ทำให้มีสังขารสามได้อย่างไร
และสังขารสามทำให้มี วิญญาณทางอายตนหกได้อย่างไร

:b8: :b8: :b8:


:b8: สวัสดีค่ะ

คุณจางบางฯ ยกอริยสัจจ์จากพระโอษฐ์มา ดิฉันขออนุโมทนาค่ะ

กับคำถามว่า ความไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ทำให้มีสังขารสามได้อย่างไร
และสังขารสามทำให้มี วิญญาณทางอายตนหกได้อย่างไร

ดิฉันขอตอบเท่าที่รู้อยู่นะคะ

ข้อแรก : ความไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ทำให้มีสังขารสามได้อย่างไร

ข้อนี้คุณคงจะพอรู้แล้วว่าอริยสัจจ์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ได้แก่
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค นั้นเป็นความจริงสี่ประการที่มีอยู่

อวิชชา ความไม่รู้อริยสัจจ4 ก็คือความหลงที่มีอยู่นั่นเอง

เพราะความหลงมีอยู่จึงไม่รู้ว่าอะไรคือทุกข์ แม้กำลังทุกข์ก็ไม่รู้ว่าตนทุกข์
เพราะความหลงมีอยู่จึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ แม้รู้ว่าตนกำลังทุกข์แต่หาสาเหตุไม่เจอจึงดับทุกข์ไม่ได้
เพราะไม่มีความหลงเหลืออยู่อีกเลยจึงดับทุกข์สิ้นเชิง
เพราะรู้ว่าอะไรคือหนทางแห่งความดับทุกข์ เมื่อจิตหวั่นไหวก็มีสติรู้ว่าเป็นทุกข์เพราะทนอยู่ไม่ได้
เนื่องจากความหลงเป็นเหตุทำให้หวั่นไหว ดังนั้นมรรคจึงต้องดับที่ต้นตอก็คืออวิชชาความหลงนั่นเอง

และข้อต่อมา : สังขารสามทำให้มี วิญญาณทางอายตนหกได้อย่างไร

ขอตอบว่า........สังขารในปฏิจจสมุปบาทเป็นความปรุ่งแต่งแห่งจิตค่ะ
ต่างจากสังขารในขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นความปรุ่งแต่แห่งธาตุ

ความปรุงแต่งแห่งจิตก็คือความคิดความรู้สึกแม้ไม่มีร่างกายก็มีอยู่ได้
ความปรุงแต่งแห่งธาตุขันธ์ก็คือร่างกายอันประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ดินน้ำไฟลมนั่นเอง

คำว่า "สังขารสามทำให้มี วิญญาณทางอายตนหก" อาจไม่ค่อยถูกต้องนัก
หากไล่ดูตามวงจรปฏิจสมุปบาทแล้วจะเห็นว่า วิญญาณเกิดก่อนสฬายตนะ
เพราะมีวิญญาณจึงมีนามรูปก่อนแล้วจึงค่อยมีสฬายตนะตามลำดับค่ะ

สังขารทำให้มีวิญญาณได้อย่างไร

......เมื่อมีการปรุงแต่ง(จิตสังขาร)เกิดขึ้นแล้ว
ธาตุรู้ย่อมรู้อยู่ว่ามีการรับรู้ถึงสิ่งที่ถูกความหลงปรุงแต่งขึ้นมา
การรับรู้นั้นเรียกว่าวิญญาณหมายถึงผู้รับรู้
(บางท่านอาจจะสับสนระหว่างวิญญาณธาตุกับธาตุรู้)
จากนั้นวิญญาณจึงเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปหรือกายกับจิต
นามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ.........ตามลำดับดังนี้ค่ะ

สรุปข้อนี้ได้ว่าวิญญาณเกิดก่อนที่จะมีอายตนหก
ดังนั้นอาตนหกจึงมีวิญญาณครองด้วยประการฉะนี้ค่ะ
tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 00:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ขออธิบายคำว่าสังขารเพิ่มเติมหน่อยครับ ผมเห็นมีหลายๆท่าน
แสดงความเห็นบ้าง โพสบทความของคนอื่นบ้าง ในเรื่องของสังขาร
ผมดูแล้วทั้งคนโพสและเจ้าของบทความยังขาดความเข้าใจในเรื่องของสังขาร

พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำเสมอว่า การทำวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรม เราต้องรู้
เฉพาะกายใจของเราเท่านั้น ไม่ใช่ไปเพ่งพิจารณาสิ่งที่เป็นธรรมชาติภายนอกกายใจเรา


tongue ยินดีที่ได้รู้จักคุณโฮฮับค่ะ

ติดตามดูน้องฮานะกับคุณโฮฮับมานานวันนี้ดิฉันขอออกโรงบ้างนะคะ

ก่อนอื่นต้องขอติงสักเล็กน้อยถึงข้อความที่คุณเอ่ยอ้างมา
สองย่อหน้านั้นมีความขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียวค่ะ

คุณอ้างว่า...........
พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำเสมอว่า การทำวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรม เราต้องรู้
เฉพาะกายใจของเราเท่านั้น ไม่ใช่ไปเพ่งพิจารณาสิ่งที่เป็นธรรมชาติภายนอกกายใจเรา

ทั้งที่คุณเองก็เพิ่งจะแสดง คห.ออกมาว่า.........
ขออธิบายคำว่าสังขารเพิ่มเติมหน่อยครับ ผมเห็นมีหลายๆท่าน
แสดงความเห็นบ้าง โพสบทความของคนอื่นบ้าง ในเรื่องของสังขาร
ผมดูแล้วทั้งคนโพสและเจ้าของบทความยังขาดความเข้าใจในเรื่องของสังขาร

:b1: คุณโฮฮับเป็นผู้มีความรู้มากคนหนึ่งเลยนะคะ
เพียงแต่ยังไม่ได้นำความรู้มาใช้ให้ถูกทางเท่านั้นเองค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 00:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ตัวอย่างเช่น ให้พิจารณาหาไตรลักษณ์ท่านต้องการให้เราพิจารณา
การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของรูปนามภายในใจเรา ไม่ใช่ไปพิจารณา
สิ่งภายนอกกายใจเราว่ามันไม่เที่ยง ด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้เกิดความสับสนขึ้นกับคำว่าสังขาร

สังขารว่าด้วย ลักษณะตามสภาวะแล้ว มันเป็นนามหาใช่
ร่างกายที่ทั่วๆไปไม่

เหตุที่แท้จริงแล้ว การที่เรามองร่างกายของคนอื่นจนเกิดสภาวะสังขารขึ้น
สังขารที่เกิดขึ้นมันเกิดที่ใจเรา ไม่ใช่ร่างกายคนอื่นเป็นสังขาร
มันเกิดจากจักขุวิญาณแล้วมาปรุงแต่งว่า เด็กสวย น่ารักต่างๆอย่างนี้

ผมเห็นบางคนไปกล่าวว่า ทุกชีวิตเกิดมาต้องแก่ต้องตายมันเป็นอนิจจัง
มันผิดครับ สิ่งที่เรียกว่า อนิจจัง จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นตั้งอยู่ในกฎของไตรลักษณ์
ซึ่งกฎที่ว่ามันเป็นเรื่องของจิตของนามล้วนๆ

ส่วนเรื่องการเกิดแก่ เจ็บตายมันอยู่นอกกฎไตรลักษณ์ ใช้ว่าอนิจจังไม่ได้
เพราะทุกคนจะต้องประสบ แม้กระทั่งพระอรหันต์ก่อนจะบรรลุก็ต้องเกิดเสียก่อน
ถึงแม้จะบรรลุเป็นอรหันต์แล้วก็ต้องแก่เจ็บและตายไปในที่สุด
ดังนั้นเราต้องเรียกขบวนการนี้ว่า นิจจัง มันเที่ยงครับ


:b1: เท่าที่คุณอธิบาย "สังขาร" มานั้นยังไม่เข้าร่องเข้ารอยเลยค่ะ
เอาสังขารขันธ์และสังขารในปฏิจสมุปบาทมาบนเปกันจนตนก็ยังสับสนอยู่เนืองๆ

หากจะอธิบายสังขารในปฏิจสมุปบาทก็ไม่ใช่ทั้งรูปและนามนะคะ
หากจะอธิบายในแง่ของขันธ์ ๕ การที่คนทั่วไปเข้าใจว่าสังขารเป็นร่างกายนั่นก็ถูกต้องของเขาแล้วละค่ะ

ส่วนความเห็นว่าการเกิดแก่เจ็บตายไม่อยู่ในกฏไตรลักษณ์นั้น
ก็สมควรแล้วละค่ะที่น้องฮานะบอกว่าคุณเป็นมิจฉาทิฏฐิ

:b1: หากจะกล่าวให้ถูกทางควรกล่าวว่า..........
กฎไตรลักษณ์เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

คุณอ้างว่า : ส่วนเรื่องการเกิดแก่ เจ็บตายมันอยู่นอกกฎไตรลักษณ์ ใช้ว่าอนิจจังไม่ได้

จริงๆ แล้วการเกิดแก่เจ็บตายใช้ว่า อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา ทั้งสามอย่างยังได้เลยค่ะ

เพราะการเกิดแก่เจ็บตายของสังขารขันธ์นั้นก็อยู่ในกฏที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้คือไตรลักษณ์นั่นเอง
อนิจจัง สังขารขันธ์ไม่เที่ยง ทุกขัง สังขารขันธ์เป็นทุกข์ อนัตตา สังขารขันธ์ไม่ใช่ตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้
ทุกคนจะต้องประสบกับสิ่งนั้นและจะเห็นไตรลักษณ์ได้จากความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ภายใต้กฎที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง

หากจะกล่าวถึงสังขารในปฏิจสมุปบาทภายใต้กฏใต้ลักษณ์ก็จะเป็นไปในทำนองเดียวกัน
นอกจากพระอรหันต์แล้วทุกคนก็จะต้องประสบกับความไม่เที่ยงของจิตสังขารอยู่ตลอดเวลา
และจะเห็นไตรลักษณ์ได้เมื่อเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของจิตสังขารนั่นเอง

คุณโฮฮับมีความรู้มากอยู่ก็จริงแต่ความเข้าใจยังมีน้อยเหลือเกินค่ะ
และเพราะว่าความเข้าใจยังไม่สมดุลกับความรู้ที่มีอยู่นี้เอง
ทำให้ไม่สามารถนำความรู้มาใช้ให้ถูกทางได้

:b1: ดังนั้นควรพิจารณาตนเองให้ถี่ถ้วนก่อนดีกว่าค่ะ

รักษาดวงตาของคุณให้หายดีเสียก่อนจะได้มองอะไรๆ ได้ชัดเจนและถูกทางมากขึ้น
เท่าที่คุณทำอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างจากคนตาเขที่พยายามลากจูงคนตาบอดเท่าไหร่เลย

เมื่อความรู้ความเข้าใจเต็มที่แล้วค่อยนำมาชี้แนะผู้อื่นก็ยังไม่สายนะคะ
tongue ดิฉันชี้แนะให้ด้วยความปรารถนาดีจากใจจริงค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2011, 00:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ค. 2011, 19:14
โพสต์: 115


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
พุทธคุณ เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ผมเห็นบางคนไปกล่าวว่า ทุกชีวิตเกิดมาต้องแก่ต้องตายมันเป็นอนิจจัง
มันผิดครับ

1. ถ้ามันผิด งั้นควรจะใช้คำว่าอะไรดีครับ ถึงจะถูกต้อง ถ้าไม่ให้ใช้คำว่า อนิจจัง


อนึ่งคุณต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า เราทุกคนย่อมรู้กันอยู่แล้วว่า คนเกิดมา ต้องแก่ต้องเจ็บและตาย
มันเป็นสัจจะธรรม
สังเกตุดูนะครับว่าเรารู้และไม่ปฏิเสธ ทั้งๆบางครั้งปรากฎการณ์นั้นยังไม่มาให้เราเห็น
อย่างเช่นเราเห็นเด็กเกิดใหม่สักคน เราก็รู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้ต่อไปก็ต้องแก่ต้องเจ็บและตาย
สิ่งที่เรารู้ทั้งๆที่มันยังไม่มาถึง เหตุการณ์ย่อมเป็นจริงเสมอชนิดหลีกไม่ได้ เขาเรียกว่า
เที่ยงเป็นนิจจังครับ คือไม่มีวันที่มันจะแปลเปลี่ยนไปจากนี้ได้
สมมุติว่าเราบอกว่าชีวิตมนุษย์ไม่เที่ยง แบบนี้มันก็หมายถึงสิ่งที่เรารู้มาว่า คนต้องเกิดแก่เจ็บตาย
อันนี้ก็ไม่แน่ไม่นอนซิครับ มนุษย์อาจไม่เจ็บไม่ตายก็ได้ เห็นไม่ครับว่ามันผิดหลักสัจจะธรรม

ดังนั้นเราต้องกล่าวว่า ชีวิตของมนุษย์เป็นนิจจัง เที่ยงตรงต่อสัจจะธรรม
การเกิดแล้วแก่ก็เที่ยง การแก่แล้วเจ็บก็เที่ยง เจ็บแล้วต้องตายก็เที่ยงครับ


:b1: คุณโฮฮับกล่าวเช่นนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงปริมาณความเข้าใจว่ายังไม่ถึงที่สุดค่ะ
เพราะยังเป็นการมองเพียงแง่เดียวมุมเดียวต่อให้อธิบายอย่างไรก็ไม่ครอบคลุมทั้งหมด
หากแต่ละฝ่ายยังดึงดันยืนยันความคิดของตนอยู่อย่างนี้ก็จะมีเรื่องให้ถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุด

มุมหนึ่งมองว่าชีวิตเที่ยงตรงต่อสัจธรรม ต้องเกิดแก่เจ็บตายเพราะเป็นสิ่งแน่นอนของชีวิต

อีกมุมหนึ่งมองว่าชีวิตไม่เที่ยงนั้นเป็นสัจธรรม เกิดแล้วแก่แล้วเจ็บแล้วตายเพราะชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน

จริงๆ แล้วก็ถูกทั้งคู่แต่เมื่อต่างยังติดอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งจึงทำให้ไม่รู้แจ้งเห็นแจ้งทั้งหมดค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 207 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 14  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร