วันเวลาปัจจุบัน 14 ส.ค. 2025, 14:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 155 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 11  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 15:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
สติ มีในทุกคนไม่ต้องเจริญ สติจะไม่ทำงานถ้าไม่มีอะไรมากระทบ (สติขี้เกียจ)
สติทำหน้าที่ลากดึงสัญญา หรือความจำ
ในสัญญาจำสิ่งกุศลสติก็ลากดึงกุศลมารับการกระทบ ผลที่แสดงออกมาก็คิดดี ทำดี
สัญญาจำแต่อกุศลสติก็ดึงอกุศล มารับการกระทบ ผลออกมาก็คิดชั่ว ทำชั่ว
สมาธิ คือความสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน สมาธิมาจากการฝึกปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการฝึกทางโลก หรือฝึกทางธรรม

คุณไม่เที่ยงครับ คนบ้าคนเสียจริตมีสติมั้ยครับ :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ สติเกิดเองได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหรือครับ
ถึงได้บอกว่ามันขี้เกียจ :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ ที่คุณบอกว่า "สัญญาดึง อกุศลมารับการกระทบ
ผลออกมาคือคิดชั่วทำชั่ว คุณแน่ใจแล้วหรือว่า เป็นสติที่คุณว่า :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ แน่ใจแล้วหรือว่า สมาธิคือความสงบ และสมาธิ
เกิดจากการฝึกปฏิบัติ :b13:


คนบ้ามีสติ (เป็นคนต้องมีสติอยู่แล้ว) เพราะสติทำหน้าที่ดึงสัญญา คนไม่เข้าใจหาว่าคนไม่มีสติคือ คนบ้า ต้องบอกว่า คนเสียสติ ถึงจะถูก ถ้าคนไม่เสียสติก็ให้เรียกว่า คนมีสติดี
คนบ้า หรือคนธรรมดา มักดึงสัญญาที่เป็นความ พอใจ ไม่พอใจ
ถ้าไม่พอใจก็แสดงอาการออกมา บ้าคลั่ง ทำลายผู้อื่น คนบ้า กับคนธรรมดาไม่ต่างกันเลย

คนพ้นทุกข์ มักดึงสัญญาที่เป็นความจริงมาดับเหตุแห่งทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 17:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพูดธรรมดาๆแต่ได้ทั้งอรรถรสได้ทั้งอรรถทั้งธรรมของพี่ ไม่เที่ยง เกิดดับ ทำให้ผมนึกถึงคำสอนดีๆเกี่ยวกับเรื่อง มนุษย์กับสัตว์เดียรฉาน ของพระอาจารย์มั่น ได้ เป็นเรื่องที่ท่านเมตตาเทศนาสอนเกี่ยวกับ สติและสัมปชัญญะ
**ท่านกล่าวไว้ความว่า "สิ่งที่แตกต่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์นั้นคือ สัมปชัญญะ เพราะเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในมนุษย์ผู้ประเสริษฐ์เท่านั้น ส่วนสตินั้นไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์ต่างก็มีเหมือนกัน มนุษย์ก็มีในแบบมนุษย์ สัตว์ก็มีในแบบของสัตว์ แต่สัมปชัญญะนั้นคือความรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักระงับยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำการใดที่เป็นการทุจริตและอกุศลทั้ง ใจ วาจาและกาย เมื่อรู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดีเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม(และกฏหมาย) หากมนุษย์ไร้ซึ่งสัมปชัญญะแล้วก็ดูไม่แตกต่างจากสัตว์ แถมยังดูน่าละอายยิ่งกว่าสัตว์ เพราะตัวได้เกิดมาในภพภูมิที่ดีกว่าแล้วแท้"
**อาจจะไม่ถูกต้องตรงตัวทุกคำนักเพราะเป็นสิ่งที่มาจากความจำของผม แต่ถูกต้องด้านเกร็ดธรรมแน่นอนครับ อีกอย่างถ้าใครคิดว่ารู้ความหมายของสัมปชัญญะในความหมายอื่นที่ไม่ใช่เช่นนี้ ก็คิดซะว่าได้รู้เพิ่มเติมในอีกความหมายหนึ่ง ถ้าคิดว่าผิดก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ครับ เพราะเป็นห่วงกลัวจะเป็นบาปแก่ผู้ที่วิจารณ์ครับ
ปล.ในวงเล็บนั้นเป็นสิ่งที่ผมคิดเพิ่มบอกตัวเองเท่านั้นครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 17:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ดังนั้น
เรื่องวิปัสสนา คงไม่ได้ง่ายอย่างนั้น แล้วล่ะ

:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 07 ม.ค. 2012, 18:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 18:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
Quote Tipitaka:
ก็วงศ์ของสมณะผู้ครองผ้าขาวไม่อาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ จำเดิมแต่สมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า. พระศาสนาย่อมชื่อว่าเป็นอันเสื่อม จำเดิมแต่คนสุดท้ายที่แทงตลอดสัจจะและคนสุดท้ายที่ทำลายศีล.
จำเดิมแต่นั้น ไม่ห้ามการเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นแล.

อรรถกถาพหุธาตุกสูตรที่ ๕
.............................

หนึ่งเดียวที่เหลือ คือโขติปาละมาณพเถระนี่เองจ่ะ
ที่ไม่สามารถรักษา ดำรงพระศาสนาในพระมหากัสสปะพุทธเจ้า ไว้ได้

[๔๒๒] ดูกรอานนท์ เธอจะพึงมีความคิดเห็นว่า สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นโชติปาล-
*มาณพแน่นอน แต่ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเราได้เป็นโชติปาลมาณพ.
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ยินดีชื่นชมพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล.
จบ ฆฏิการสูตร ที่ ๑.


ขอโทษนะครับผมอธิบายไม่ได้หรอกครับ ผมมีปัญญาน้อย พระสูตรเหล่านี้เป็นหลักสูตรชั้นสูง (ดูกรภิกษุ) ผมเรียนแค่ชั้นต้น (ดูกรฆราวาส) หลักสูตรเหล่านี้เอาไว้สอนอริยบุคคล หรือสงฆ์อริยบุคคลขึ้นไป หรือผู้มีปัญญายิ่ง ยากที่บุคคลธรรมดาเข้าใจได้ง่าย ผมปฏิบัติวิปัสสนาจากน้อย แล้วก็ให้มันมากขึ้นทุกวัน ปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น ทุกข์ก็ค่อยๆ หมดไปทีละน้อยก็แค่นี้เองไม่ได้มีอะไรมาก วิธีนี้ก็พิสูจน์ให้ผมรู้ว่าดับทุกข์ได้จริงๆ จากการปฏิบัติมา วิธีไหนปฏิบัติแล้วดับทุกข์ไม่ได้ก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะในพระไตรปิฎกสอนเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์เท่านั้น ไม่ต้องไปคิดอะไรให้ซับซ้อนปวดหัว หรือยุ่งยาก เพราะความคิด ทำให้เกิดการปรุงแต่ง


ความเห็นคุณ ออกจะดูแคลนพระสูตรนี้
ราวกับว่าเป็น คำสอนที่ไม่เกี่ยวกับทุกข์ การดับทุกข์
เป็นคำสอนที่ไม่เอื้อต่อการวิปัสสนา
เป็นคำสอนที่ซับซ้อนปวดหัว ยุ่งยาก ทำให้เกิดความคิด เกิดการปรุงแต่ง

:b1:

คุณกล่าวว่า "ผมมีปัญญาน้อย" แล้วกล่าว "วิปัสสนาเป็นเรื่องง่าย" ได้อย่างไร

:b1:

คำสอนที่ไม่ได้ทำให้ดับทุกข์ได้
แต่เป็นคำสอนที่เป็นไปในทางสอนเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจธรรม
และคลายความยึดติดได้ ถือเป็นคำสอนของพระพุทธองค์
ที่ผู้ปฏิบัติควรจะใส่ใจหรือไม่

:b1:

การเดินทางของ โชติปาลมาณพ คือ พระไตรปิฏก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 19:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


วิปัสสนาง่ายๆ ได้ผลเร็ว
คำว่า วิปัสสนา เป็นคำที่ฟังดูแล้วสูง แต่การปฏิบัติง่ายๆ แค่การฝึกเติมความจริงใส่ในสัญญาให้มากๆ แล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้นเอง เอาความจริงไปดับความเชื่อ หรือความพอใจ ไม่พอใจ ถ้าไม่มีความจริงในใจ เมื่อมีสิ่งมากระทบ หรือผัสสะ เราก็จะเกิดความพอใจ ไม่พอใจ หลงกับสิ่งที่มากระทบ หลง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ตัณหา อุปทาน และความทุกข์ก็ตามมาทันที

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องที่ยากที่สุด ให้ง่ายที่สุดได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 21:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
[

............ แล้วกล่าว "วิปัสสนาเป็นเรื่องง่าย" ได้อย่างไร

..

:b9: :b9:
ครูบาอาจารย์ที่เคารพท่านก็บอก...ง่าย ๆ นี้แหละ
เรียกว่า..ล่อคนขี้เกียจออกจากถ่ำ :b32: :b32:

การปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมาก...

คนขี้เกียจก็ออกจากถ่ำละซิทีนี้ huh huh

แต่..กว่าจะได้เห็นผล...แค่เกร็ดของผล...นะ...ยาก..ฉิ...ห..า..ย..เลย cry cry

เข้าถ่ำคืนก็ไม่ได้แล้ว... :b6:

อะไรนะ....7 วันบรรลุธรรม...อะไรนั้นหรอ

การตลาด..ดี ๆ นี้เอง

ช่ายแล้วครับ...ทำวิปัสสนาเป็นเรื่องไม่ยาก...มันยากที่ตรงอื่น..นะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 22:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
eragon_joe เขียน:
[

............ แล้วกล่าว "วิปัสสนาเป็นเรื่องง่าย" ได้อย่างไร

..

:b9: :b9:
ครูบาอาจารย์ที่เคารพท่านก็บอก...ง่าย ๆ นี้แหละ
เรียกว่า..ล่อคนขี้เกียจออกจากถ่ำ :b32: :b32:

การปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมาก...

คนขี้เกียจก็ออกจากถ่ำละซิทีนี้ huh huh

แต่..กว่าจะได้เห็นผล...แค่เกร็ดของผล...นะ...ยาก..ฉิ...ห..า..ย..เลย cry cry

เข้าถ่ำคืนก็ไม่ได้แล้ว... :b6:

อะไรนะ....7 วันบรรลุธรรม...อะไรนั้นหรอ

การตลาด..ดี ๆ นี้เอง

ช่ายแล้วครับ...ทำวิปัสสนาเป็นเรื่องไม่ยาก...มันยากที่ตรงอื่น..นะ :b13:



ใช่ครับคนขี้เกียจ ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่ใช่สิครับผมพูดผิด ต้องบอกว่าคนไม่ปฏิบัติถูกต้อง ไม่พยายามไม่มุ่งมั่น ก็ไม่เห็นความจริง ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิต หรือดับเหตุแห่งทุกข์ได้ เราไม่สามารถบรรลุธรรมได้หรอกครับ เพราะเราไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกให้จบ หรือตีความไม่ถูกต้อง เราศึกษาและปฏิบัติธรรมเพื่อดับทุกข์ หรือเพื่อเป็นอาจารย์สอนธรรม ถ้าปฏิบัติแล้วดับทุกข์เก่าได้ ไม่สร้างทุกข์ใหม่ให้เกิดขึ้นนี่ก็เข้าสู่กระแสธรรมแล้วครับ ส่วนจะละให้หมดคงต้องศึกษา และปฏิบัติในขั้นต่อไปเป็นลำดับ ค่อยๆ ลด ค่อยๆ ละ จากปัญญาที่เพิ่มขึ้น สร้างจากน้อยไปมาก ไม่สามารถละให้หมดทีเดียวได้ เราไม่ใช่ผู้วิเศษ


ธรรม คือ ธรรมชาติ
รู้ธรรม คือ รู้กฎธรรมชาติตามหลักไตรลักษณ์
แค่รู้ว่าสรรพสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ท่านก็เข้าสู่กระแสธรรมแล้วครับ ไม่ใช่บรรลุธรรม
แค่นี้ก็มีปัญญาแก้ปัญหาชีวิต ดับทุกข์ขั้นต้นให้กับชีวิตได้แล้วครับ พระพุทธเจ้ารู้ความจริงอย่างนี้ แก้ปัญหาทุกข์ทั้งปวงให้กับมนุษย์ได้


วิปัสสนาภาวนา
วิปัสสนา แปลว่า ความจริง
ภาวนา แปลว่า เจริญ
รวมแปลว่า เจริญความจริง หรือ เจริญปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 23:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
เอิ้ก...เอิ้ก...เอิ้ก...

มันยากตรงแก้ความขี้เกียจของเจ้าของ...นี้แหละ

rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ม.ค. 2012, 23:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คุณไม่เที่ยงครับ คนบ้าคนเสียจริตมีสติมั้ยครับ :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ สติเกิดเองได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหรือครับ
ถึงได้บอกว่ามันขี้เกียจ :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ ที่คุณบอกว่า "สัญญาดึง อกุศลมารับการกระทบ
ผลออกมาคือคิดชั่วทำชั่ว คุณแน่ใจแล้วหรือว่า เป็นสติที่คุณว่า :b13:

คุณไม่เที่ยงครับ แน่ใจแล้วหรือว่า สมาธิคือความสงบ และสมาธิ
เกิดจากการฝึกปฏิบัติ :b13:
นั่งสมาธิชอบตกภวังค์บ่อยมาก(แบบว่าอินทรีย์ยังอ่อน :b12: ) ในภวังค์มันก็สงบดีอยู่นะแต่ยังเห็นกิเลสวิ่งเล่นไปมาอยู่เลย รู้ตัวนะว่างตกภวังค์จับคำบริกรรมแทบไม่ได้ ดังนั้นสมาธิไม่น่าจะใช่ความสงบ ความคิดที่วิ่งในจิตก็มีทั้งดีไม่ดีบ้าง ยิ่งไปจับว่าดีไม่ดียิ่งฟุ้ง เลยคิดว่าจิตก็ส่วนจิต ความคิดก็ส่วนความคิดมันประกอบด้วยปัจจัยของมัน ตราบใดที่มีปัจจัยก็ห้ามมันไม่ได้เลยปล่อย รู้แค่ว่าตัวนี้มันดีหรือไม่ดีแล้วหันมาจับคำบริกรรมต่อมันก็วางได้ ดังนั้นคาดว่าสติไม่ใช่ตัวที่ว่ามา



สมาธิ ไม่ใช่นั่งสมาธิ แล้วนั่งสมาธิดับทุกข์ได้หรือไม่ การนั่งสมาธิทำให้จิตไม่ฟุ้ง เมื่อจิตไม่ฟุ้งก็เกิดความสงบ เมื่อเกิดความสงบคนทำก็สบายใจ เมื่อเลิกทำก็ทุกข์ เมื่อทุกข์ก็ทำอีก ถมไม่เต็ม เติมไม่เต็ม ดับเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้ ไม่ต่างอะไรจากไปกินเหล้า เที่ยวรอบโลก

สมาธิ เกิดขึ้นเองจากการมีศีล (ไม่ใช่ถือศีล) ศีลเกิดขึ้นจากการมีปัญญารู้ความจริง หรือสัมมาทิฐิ

สมาธิในที่นี้คือสมาธิในมรรคมีองค์ 8 เป็นผลที่ได้จากการวิปัสสนาภาวนา
วิปัสสนา เป็นปัจจัยให้เกิด ปัญญา
ปัญญา เป็นปัจจัยให้เกิด ศีล (มีศีล เกิดขึ้นเอง)
ศีล เป็นปัจจัยให้เกิด สมาธิ
สมาธิ เป็นปัจจัยให้เกิดความสงบ (ปราศจากโลภ โกรธ หลง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 00:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าถ่ำคืนก็ไม่ได้แล้ว... :b6:


:b32:

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกพระป่า เขียน:
สวัสดีครับพี่ โฮฮับ
**ผมขอบคุณและน้อมรับในข้อแนะนำของพี่ครับ ผมเลยอยากขอ ปุจฉา พี่ในเรื่องที่พี่แนะนำผมหน่อยนะครับ 1.สมมุติบัญญัติกับอารมณ์ปรมัตถ์ คืออะไร กรุณาอธิบายความเป็นภาษาธรรมดาที่ภูมิสติปัญญาหยาบๆอย่างผมเข้าใจได้ง่าย ยิ่งมีข้ออุปมาอุปมัยด้วยยิ่งดีครับ 2. จิตและอาการของจิตเป็นอย่างไร กรุณาอธิบายความเป็นภาษาธรรมดาที่ภูมิสติปัญญาหยาบๆอย่างผมเข้าใจได้ง่าย ยิ่งมีข้ออุปมาอุปมัยด้วยยิ่งดีครับ ปล.ผมขอคำตอบที่เป็นความรู้ในใจของพี่เองนะครับ
ขอบคุณครับ

ผมขอตอบง่ายๆดูจากคำพูดของคุณเลยนะครับ
ที่ว่า1.สมมุติบัญญัติกับอารมณ์ปรมัตถ์
ลูกพระป่า เขียน:
1.ที่ว่าว่างจากงานจากการ ก็ให้หมั่นพิจารณา ให้มีสติอยู่กับตัวอย่าเผลอ
ขอถามครับ แล้วเวลาที่คุณทำงาน คุณใช้อะไรทำให้หน้าที่การงานสำเร็จลุล่วงครับ**ผมใช้สติและมีสมาธิกับงานที่ทำอยู่ครับ

ถ้าคุณทำงานโดยใช้สติและสมาธิ เวลาว่างจากงานคุณก็ปฏิบัติธรรมด้วยการใช้
สติและสมาธิ
ตัวสมมุติบัญญัติ ก็คือทำงานกับว่างงาน มันมีความแตกต่างกัน
ตัวอารมณ์ปรมัตถ์ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นภายในที่เราเรียกมันว่า สติกับสมาธิ
สติกับสมาธิที่เกิดจาก การทำงานหรือว่างงานของคุณ มันเป็นสิ่งเดียวกัน
เป็นสภาวะที่เหมือนกัน

อันที่จริงแล้ว สมมุติบัญญัติท่านนำมาใช้เพื่อแยกแยะลักษณะ
กระบวนการของรูปหรือร่างกาย แต่ถ้าพูดด้วยความเป็นเหตุปัจจัยแล้ว
การทำงานและการว่างงานแล้วไปพิจารณาธรรมมันเหมือนกัน
การพิจารณาร่างกายให้มีสติ ในทางธรรมมันก็เป็นการทำงานด้วยเหมือนกัน


2.ส่วนจิตกับอาการของจิต...
ลูกพระป่า เขียน:
**ผมขออธิบายความแตกของจิตกับใจในลักษณะของหน้าที่นะครับ คือ จิตทำหน้าที่เป็นผู้รู้ ทั้งภายในทั้งภายนอก ส่วนใจทำหน้าที่เป็นผู้รับ การรับรู้ของใจนี้ผมอธิบายออกมาตรงตัวลำบาก แต่ขอยกเป็นการอุปมาอุปมัยแบบนี้ครับ เหมือนกับอกหัก การเลิกรา การพลัดพราก จากคนที่เรารัก โดยที่เรารู้ดีว่าไม่ได้รักเราอีกแล้ว เรารู้ดีว่าเราควรตัดใจ ไม่ไปเสียใจให้กับเรื่องนี้ แต่เราก็ทำใจไม่ได้ เรายังเสียใจ ทุกข์ใจ ที่ถูกทิ้ง โดนหักอก ประมาณนี้นะครับคือ จิตเรารู้ว่าเมื่อเค้าไม่รักเราแล้วเราก็ควรปล่อยเค้าไป ไม่ต้องไปคิดเสียใจให้เป็นทุกข์ แต่ที่เรายังเสียใจและเป็นทุกข์ นั่นก็เพราะใจเรานี้มันไม่ยอมรับกับความจริงข้อนี้นั้นเอง นี้แหละครับคือความแตกต่างอย่างหยาบของจิตกับใจที่ผมพอจะอธิบายได้ ตามกำลังสติปัญญาหยาบๆของผมครับ

ที่คุณว่าจิตเป็นผู้รู้ ใจเป็นผู้รับพอรับฟังได้ครับ แต่พอคุณยกตัวอย่างอุปมามาอุปมัย
ถึงรู้ว่าคุณกำลังเข้าใจผิด ในความเป็นจริงแล้วใจเป็นผู้รับทั้งนอกและใน เมื่อใจรับมาแล้ว
จิตจะเป็นผู้รู้
ในทางธรรมใจก็คืออายตนะภายในไว้รับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน ที่เรียกว่าธัมมารมณ์
หลังจากนั้น ก็จะเกิดเป็นจิตตามมาพร้อมกับอาการของจิตในรูปของสัญญาและสังขาร
และต่อไปเป็นกิเลสต่างๆ ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นเจตสิกหรืออาการของจิต

ไอ้อาการของคนอกหักที่คุณพูดมา มันไม่ใช่ใจแต่มันเป็นอาการของจิต
ที่เรียกว่าเจตสิก มันมาพร้อมกับจิต เป็นสภาวะการปรุงแต่งของสัญญา
เป็นกิเลส ที่เรียกว่า โลภ โกรธและหลง
ลูกพระป่า เขียน:
**ผมใช้สติและมีสมาธิกับงานที่ทำอยู่ครับ
2.การพิจารณากายที่คุณว่า มันเป็นอย่างไรครับ[/color]
**ณ ตอนนี้ผมเริ่มที่การพิจารณากายตามอาการ 32 อยู่ครับ ดูให้เห็นเป็นของไม่สวยไม่งาม ไม่น่าชอบใจพอใจ

ถ้าคุณว่าหลังจากว่างงาน คุณพิจารณาสติให้อยู่กับตัวเสมอ
และผมถามต่อว่า คุณใช้วิธีไหน คุณบอกว่าใช้การพิจารณากาย
ตามอาการ32อยู่

โดยหลักแล้วการพิจารณากายให้เกิดสติ คือการตามรู้ผัสสะที่เกิดจาก
อายตนะภายนอกภายในให้ทันครับ เขาถึงเรียกว่า การเจริญสติ
การพิจารณาอาการ32เป็นการทำสมถะเพื่อดับนิวรณ์ ซึ่งต้องอาศัยปัญญานำ
ผู้ที่ยังไม่มีปัญญาสัมมาทิฐิ ถ้าใช้วิธีนี้ก็เหมือนการปรุงแต่งครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 03:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
คนบ้ามีสติ (เป็นคนต้องมีสติอยู่แล้ว) เพราะสติทำหน้าที่ดึงสัญญา คนไม่เข้าใจหาว่าคนไม่มีสติคือ คนบ้า ต้องบอกว่า คนเสียสติ ถึงจะถูก ถ้าคนไม่เสียสติก็ให้เรียกว่า คนมีสติดี
คนบ้า หรือคนธรรมดา มักดึงสัญญาที่เป็นความ พอใจ ไม่พอใจ
ถ้าไม่พอใจก็แสดงอาการออกมา บ้าคลั่ง ทำลายผู้อื่น คนบ้า กับคนธรรมดาไม่ต่างกันเลย

คนพ้นทุกข์ มักดึงสัญญาที่เป็นความจริงมาดับเหตุแห่งทุกข์


คนบ้าไม่มีสติ คนที่ทำชั่วในขณะที่ทำชั้วก็ไม่มีสติ ผมถึงได้ถามไงว่า..
โฮฮับ เขียน:
คุณไม่เที่ยงครับ ที่คุณบอกว่า "สัญญาดึง อกุศลมารับการกระทบ
ผลออกมาคือคิดชั่วทำชั่ว คุณแน่ใจแล้วหรือว่า เป็นสติที่คุณว่า :b13:

จะบอกให้ครับ สติเกิดได้จากเหตุปัจจัย และที่สำคัญต้องเป็นเหตุปัจจัยที่เป็นกุศล
และลักษณะของสติคือ การหยุดยั้งอารมณ์ไม่ให้ปรุงแต่งต่อ จนเป็นจิตสังขาร วจีสังขาร
และกายสังขาร

คนบ้า ไปเอาสัญญามาแล้วหยุดหรือเปล่าครับ
คนบ้าไปดึงสัญญามาแล้วก็ปรุงเป็นวจีสังขารและกายสังขาร
คนบ้าไปเอาสัญญาเรื่องจันทโครพมาก็ร้องลิเกหน้าตาเฉย
หรือไปจำเรื่องของเด็กทารกมา ก็เดินแก้ผ้าเพราะคิดว่าตัวเป็นเด็ก

คนชั่วไปดึงสัญญามาก็ไม่หยุดนะครับ บางครั้งโจรเห็นตำรวจแล้วหยุดการกระทำชั่ว
นั้นไม่ได้เรียกว่าสตินะครับ เขาเรียกว่า จิตสังขาร อันเกิดจากที่โจรไปดึงเอาสัญญามา
แล้วปรุงแต่งจนเกิดความกลัว ไปปรุงแต่งกายจนเกิดกายสังขารขึ้น เขาเรียกการเปลี่ยน
แปลงของกิเลส ไม่ใช่การหยุดกิเลส

สติเกิดจากเหตุปัจจัย มีปัจจัยให้เกิดมันก็เกิด ไม่มีเหตุมันก็ไม่เกิด
สติเกิดแล้วก็ดับ ดังนั้นจะใช้คำว่าเสียสติไม่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 04:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โฮฮับ เขียน
โดยหลักแล้วการพิจารณากายให้เกิดสติ คือการตามรู้ผัสสะที่เกิดจาก
อายตนะภายนอกภายในให้ทันครับ เขาถึงเรียกว่า การเจริญสติ
การพิจารณาอาการ32เป็นการทำสมถะเพื่อดับนิวรณ์ ซึ่งต้องอาศัยปัญญานำ
ผู้ที่ยังไม่มีปัญญาสัมมาทิฐิ ถ้าใช้วิธีนี้ก็เหมือนการปรุงแต่งครับ


แยกธรรมได้ลึกซึ้งมากเลยครับ อ่านแล้วเหมือนเป็นการปฏิบัติได้ทุกเวลา แต่หากไม่ตั้งใจก็เข้าไม่ถึงครับ แสดงถึงการผ่านความรู้สึกแบบนี้มาแล้วจึงอธิบายได้ เพราะตัวผมเองก็กำลังฝึกอยู่ การอยู่กับสตินั้น มีสติจริงแต่นิวรณ์ยังอยู่ แต่หากพิจารณาอาการ32 นิวรณ์ดับลงรู้ตัวพร้อมรู้ปัจจุบันเหตุ จิตไม่ปรุงแต่ง ไม่รู้ผมเข้าใจอย่างที่คุณโฮฮับอธิบายมากน้อบแค่ไหน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 08:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
หากประสบเข้าแล้ว....ต้องเรียกว่า..ยิ่งกว่าความเข้าใจ...

ว่าแต่...

ตี 3...ตี4...ทำอะไรกันอยู่รึคับ

คุณ.student....คุณโฮ s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2012, 08:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับพี่โฮฮับ ขอบคุณสำหรับคำตอบที่ช่วยเพิ่มปัญญาให้กับผมในทางธรรมครับ
**คำตอบของพี่ข้อที่1นั้นผมน้อมรับครับ
**คำตอบของพี่ข้อที่2นั้นผมก็น้อมรับไม่มีข้อสงสัยครับ แต่อยากจะอธิบายนิดหน่อยเกี่ยวกับอุบายธรรมว่า บางอย่างมีจุดมุ่งหมายที่จะแก้ความสงสัย บางอุบายก็มีไว้เพื่อให้เกิดปุจฉา เมื่อเกิดปุจฉาเราก็ต้องแก้ด้วยตัวเองดูแล้วเราก็จะเห็นธรรมที่แฝงไว้....ใจนั้นย่อมเป็นทุกข์เพราะจิตปรุงแต่ง แต่ใจเราจะรู้แจ้งปล่อยวางได้เพราะอะไรครับ และวิธีการที่ได้สิ่งนั้นมาเราเรียกว่าอย่างไร แล้วสิ่งใดที่เราคิดว่ารู้แจ้งแล้วแต่ใจเรามันไม่ได้ปล่อยวางก็หมายความว่าเราหลงอยู่นั่นแหละครับ ที่หลงอยู่เพราะปัญญาเรามันหยั่งลงไปไม่ถึงเลยโดนอวิชชาหลอกว่าถึงแล้วนั่นเอง
**คำตอบของพี่ข้อที่3นั้นผมก็น้อมรับไม่มีข้อสงสัยครับ แต่ขอเสริมอีกนิดครับ ว่าการพิจารณากายตามอาการ 32 นั้น ก็เป็นไปในทางปัญญาด้วยเช่นกัน ตามแต่เหตุของผู้ปฏิบัติครับ ในเรื่องการปฏิบัติของผมนั้นไม่มีนิวรณ์ของกามวิตกเข้ามาเกี่ยวข้องครับ นิวรณ์ที่ผมเจอนั้นจะเป็นคงามง่วงและความฟุ้งของจิตครับ นั่นเป็นเหตุที่บางครั้งบางคราวผมก็ใช้ปัญญานำจิตลงสู่ความสงบครับ
ผมขอขอบคุณในคำตอบที่พี่ตอบผมอีกครั้งนะครับ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 155 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 11  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร