วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 20:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าคุนถามดิฉันว่าปฏิบัติอย่างไรใช่หรือไม่เจ้าค่ะ ลำดับแรกเลยก่อนที่ดิฉันจะได้สติดิฉันมองสิ่งรอบๆตัวเองมีแต่ทุกข์ ไม่ว่าจะทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนก็เจอแต่ทุกข์ คำตำหนิ ติเตือน ต่อว่าด่าทออยู่เป็นนิจแล้วดิฉันเอากลับมาคิดพิจรณา ทำไมผู้คนเหล่านั้นถึงตำหนิ ติเตือน ต่อว่า ด่าทอดิฉัน (ตัวดิฉันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ) ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าเราเป็นอย่างที่เค้ากล่าวหาหรือไม่ ถ้าใช่ก็ต้องก้มหน้าก้มตาแบกรับโดยใช้ขันติในการดำรงชีวิต แต่ถ้าไม่ใช่ดิฉันก็จะหาเหตุผลมาอธิบายแต่ต้องใช้สติ คิดก่อนพูดไม่ใช่พูดก่อนแล้วค่อยคิด นี่คือวิธีปฏิบัติของดิฉัน


คุณ nong ต้องการเจริญสติและปัญญาแบบนั้นต่ออีกมั้ย เพื่อที่ว่า สติปัญญาจะได้งอกงามขึ้นอีก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 17:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


[bอิทธิบาท 4





คำว่า อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแห่งความสำเร็จ หมายถึง สิ่งซึ่งมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใด ต้องทำตนให้สมบูรณ์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาท ซึ่งจำแนกไว้เป็น ๔ คือ


๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
๒. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
๓. จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
๔. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น

ธรรม ๔ อย่างนี้ ย่อมเนื่องกัน แต่ละอย่างๆ มีหน้าที่เฉพาะของตน

ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ ตนถือว่า ดีที่สุด ที่มนุษย์เรา ควรจะได้ ข้อนี้ เป็นกำลังใจ อันแรก ที่ทำให้เกิด คุณธรรม ข้อต่อไป ทุกข้อ

วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การการะทำที่ติดต่อ ไม่ขาดตอน เป็นระยะยาว จนประสบ ความสำเร็จ คำนี้ มีความหมายของ ความกล้าหาญ เจืออยู่ด้วย ส่วนหนึ่ง

จิตตะ หมายถึงความไม่ทอดทิ้ง สิ่งนั้น ไปจากความรู้สึก ของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์ นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วยอย่างเต็มที่

วิมังสา หมายถึงความสอดส่องใน เหตุและผล แห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้ รวมความหมาย ของคำว่า ปัญญา ไว้อย่างเต็มที่



][/b]นี่เป็นแนวทางการปฏิบัติขั้นต้นของดิฉันในตอนนี้เจ้าค่ะต้องขอบคุณคุนโฮที่เสนอแนวทางขั้นแรกสำหรับผู้ปฏิบัติใหม่อย่างดิฉัน(แอบฟังตอนที่ถกธรรมกัน) ส่วนคุนกรัชกายก็พยายามต่อไปเพื่อให้เข้าถึงกระแสธรรมนะเจ้าค่ะ(โสดาบัน)ดิฉันพึ่งปฏิบัติแต่ถ้าเข้าถึงกระแสธรรมก่อนดิฉันก็หลุดพ้นไปนิพพานก่อนนะเจ้าค่ะ :b9:


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 22:55
โพสต์: 213

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


phom phud dai kham diew wa khun kachkay don long bhumi law
khao mai dai fang khun rok

khotos dauy tee phim chennee


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถามตัวคุณกรัชกาย ทุกวันนี้คุณอยู่กับความสุข หรือทุกข์ละเจ้าค่ะ


สุขก็ดี ทุกข์ก็ตาม เป็นเพียงเวทนา (สุขเวทนา ทุกขเวทนา) เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังที่ยกพุทธพจน์วางก่อนหน้าแล้ว

ตอบแบบนี้ยังคลุมเคลือและยังไม่ชัดเจนพอ ในชีวิตประจำวันของคุนกรัชกาย สุขเวทนาเกิดขึ้นจากอะไร ทุกขเวทนาเกิดขึ้นจากอะไร เล่ารายละเอียดให้คนอื่นฟังด้วยจะได้รู้ว่าคุนกรัชกายปฏิบัตแล้วเข้าใจคำว่า สุขเวทนาและทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นกับตัวคุนกรัชกายในวิถีชีวิตเป็นเช่นไร เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติของผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติใหม่เอาไว้เป็นแนวทาง เพราะแค่ตัวหนังสือคำสอนที่เอามาวางพรืดแล้วให้อ่านบางครั้งอาจจะยากเกินความเข้าใจของคนทั่วไปเพราะฉะนั้น ต้องสามารถอธิบายเหตุปัจจัยของการเกิด ทุกขเวทนาและสุขเวทนาของตัวคุนกรัชกายให้ได้รับรู้ด้วย เหมือนที่ดิฉันอธิบายว่า ดิฉันเห็นทุกข์กับสิ่งที่อยู่รอบตัว คำตำหนิ ติเตือน ก่อให้เกิด สติและปัญญา คุนกรัชกายต้องตอบดิฉันได้เช่นกันว่าสิ่งรอบตัวคุนคืออะไรที่ทำให้เกิดเวทนา


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮะ...โฮะ....ใครจะถึงกระแสธรรมใครจะบรรลุโสดาบันกันหนอ ไม่ได้กล่าวส่อเสียดใครนะขอรับ ต่อให้เรียนรู้ธรรมสักร้อยหมวด ก็ไม่มีทางเข้าถึงกระแสธรรมได้ เหตุเพราะ ตามหลักพระไตรปิฎกที่มีอยู่ เป็นหลักวิธีทีซ่อนหลักวิธีที่แท้จริงเอาไว้ อีกชั้นหนึ่ง และ

[b]หลักวิธีในพระไตรปิฎก ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียง วิธีการชั้นพื้นฐาน และเป็นเพียงคำบอกเล่าถึง ผลแห่งการปฏิบัติ และหรือ ซ่อนวิธีการบางอย่างบางวิธีการที่ง่ายเอาไว้ ไม่ใช่มรรคหรือหนทางที่ครบถ้วน ถึงแม้ว่าจะมี มรรค อันเป็นองค์ ๘ สอนอยู่ ก็เป็นการสอนแบบด้านเดียว ไม่ใช่เป็นการสอนแบบครอบคลุม ไม่มีใครรู้ความลับเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน

[/b] ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะสอนให้ในบางเรื่อง ในบางอย่าง ก็ใช่ว่าจะสามารถคิดพิจารณาหรือฝึกปฏิบัติได้โดยง่าย ต้องใช้เวลา ต้องมีสภาพสภาวะจิตใจที่เป็นกุศล ต้องขยันหมั่นทบทวนอยู่เป็นนิจ ไม่ใช่ไปหลงในคำหวาน ไม่ใช่ไปหลงในคารมคมคาย ตายไปเยอะแล้ว พวกที่ชอบหลงนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
phom phud dai kham diew wa khun kachkay don long bhumi law
khao mai dai fang khun rok

khotos dauy tee phim chennee

คุนดินพูดว่า"ผมพูดได้คำเดียวว่า คุนกรัชกายดันลองภูมิแล้วเค้าไม่ได้ฟังคุณหรอก ขอโทษด้วยที่พิมเช่นนี้"ทำไมดิฉันจะไม่ทราบละเจ้าค่ะ แต่เห็นคุนกรัชกายขอร้องดิฉันให้ชี้แนะแนวทางการ เจริญสติแลปัญญา สังเกตุจากกระทู้ที่ขอร้องอ้อนวอนอยู่2ครั้งทำให้ดิฉันใจอ่อนดิฉันก็ต้องสนองเจตนารมของคุนกรัชกายในฐานะกัลยามิตรเจ้าค่ะ :b16:


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
din เขียน:
phom phud dai kham diew wa khun kachkay don long bhumi law
khao mai dai fang khun rok

khotos dauy tee phim chennee

คุนดินพูดว่า"ผมพูดได้คำเดียวว่า คุนกรัชกายดันลองภูมิแล้วเค้าไม่ได้ฟังคุณหรอก ขอโทษด้วยที่พิมเช่นนี้"ทำไมดิฉันจะไม่ทราบละเจ้าค่ะ แต่เห็นคุนกรัชกายขอร้องดิฉันให้ชี้แนะแนวทางการ เจริญสติแลปัญญา สังเกตุจากกระทู้ที่ขอร้องอ้อนวอนอยู่2ครั้งทำให้ดิฉันใจอ่อนดิฉันก็ต้องสนองเจตนารมของคุนกรัชกายในฐานะกัลยามิตรเจ้าค่ะ


ถามแนวทางการปฏิบัติ ว่าลองภูมิอีก คิดกันไปคนละแนวนิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตอบแบบนี้ยังคลุมเคลือและยังไม่ชัดเจนพอ ในชีวิตประจำวันของคุนกรัชกาย สุขเวทนาเกิดขึ้นจากอะไร ทุกขเวทนาเกิดขึ้นจากอะไร เล่ารายละเอียดให้คนอื่นฟังด้วยจะได้รู้ว่าคุนกรัชกายปฏิบัตแล้วเข้าใจคำว่า สุขเวทนาและทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นกับตัวคุนกรัชกายในวิถีชีวิตเป็นเช่นไร เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติของผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติใหม่เอาไว้เป็นแนวทาง เพราะแค่ตัวหนังสือคำสอนที่เอามาวางพรืดแล้วให้อ่านบางครั้งอาจจะยากเกินความเข้าใจของคนทั่วไปเพราะฉะนั้น ต้องสามารถอธิบายเหตุปัจจัยของการเกิด ทุกขเวทนาและสุขเวทนาของตัวคุนกรัชกายให้ได้รับรู้ด้วย เหมือนที่ดิฉันอธิบายว่า ดิฉันเห็นทุกข์กับสิ่งที่อยู่รอบตัว คำตำหนิ ติเตือน ก่อให้เกิด สติและปัญญา คุนกรัชกายต้องตอบดิฉันได้เช่นกันว่าสิ่งรอบตัวคุนคืออะไรที่ทำให้เกิดเวทนา



ธรรมชาติมันก็ทำงานของมัน เราจะไปพวงกับมันทำไม รู้แล้วปล่อย เราแค่รู้ว่าเอออ้อ นี่สุขน่ะ เอออ้อ นี่ทุกข์น่ะ ไม่เห็นมีอะไรในกอไผ่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
โฮะ...โฮะ....ใครจะถึงกระแสธรรมใครจะบรรลุโสดาบันกันหนอ ไม่ได้กล่าวส่อเสียดใครนะขอรับ ต่อให้เรียนรู้ธรรมสักร้อยหมวด ก็ไม่มีทางเข้าถึงกระแสธรรมได้ เหตุเพราะ ตามหลักพระไตรปิฎกที่มีอยู่ เป็นหลักวิธีทีซ่อนหลักวิธีที่แท้จริงเอาไว้ อีกชั้นหนึ่ง และ

[b]หลักวิธีในพระไตรปิฎก ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียง วิธีการชั้นพื้นฐาน และเป็นเพียงคำบอกเล่าถึง ผลแห่งการปฏิบัติ และหรือ ซ่อนวิธีการบางอย่างบางวิธีการที่ง่ายเอาไว้ ไม่ใช่มรรคหรือหนทางที่ครบถ้วน ถึงแม้ว่าจะมี มรรค อันเป็นองค์ ๘ สอนอยู่ ก็เป็นการสอนแบบด้านเดียว ไม่ใช่เป็นการสอนแบบครอบคลุม ไม่มีใครรู้ความลับเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน

[/b] ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะสอนให้ในบางเรื่อง ในบางอย่าง ก็ใช่ว่าจะสามารถคิดพิจารณาหรือฝึกปฏิบัติได้โดยง่าย ต้องใช้เวลา ต้องมีสภาพสภาวะจิตใจที่เป็นกุศล ต้องขยันหมั่นทบทวนอยู่เป็นนิจ ไม่ใช่ไปหลงในคำหวาน ไม่ใช่ไปหลงในคารมคมคาย ตายไปเยอะแล้ว พวกที่ชอบหลงนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

มันเป็นแค่คำอุปมาอุปมัยเจ้าค่ะ คำพูดนั้นแท้จริงมีอย่างหนึ่งซุกซ่อนอยู่เจ้าค่ะหวังว่าคุนกรัชกายจะหาคำตอบที่แท้จริงเจอนะเจ้าค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีตัวอย่างสภาวธรรมจากผู้ปฏิบัติกรรมฐานคนหนึ่ง เขาติดอยู่ ติดตรงไหน เพราะอะไรจึงติด ฯลฯ ลงเทียบเคียงไว้งั้นแหละ


อ้างคำพูด:

นั่งสมาธิ บริกรรมไปเรื่อยๆเพลินๆจนจิตสงบ รู้สึกโปร่งเบาสบาย ลอยๆ
สักพักเริ่มเห็นแสงสว่างแวบๆ จากนั้นตาก็มองเห็นทั้งๆที่ตนเองหลับตาอยู่ค่ะ
มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงด้านหน้าเหมือนเวลาเราลืมตาค่ะ

แรกๆก็เกิดความลังเลว่าตนอาจจะเคลิ้มเพราะความสบายจนหนังตาลอยเปิดออก
ก็พยายามเกร็งหนังตาให้แน่นเข้าไว้ (สักพักก็เริ่มมีแสง และค่อยๆมองเห็นข้างหน้าอีก
ที่นี่ ก็เริ่มสังเกตสิ่งที่เห็นแตกต่างกันระหว่างหลับตากับลืมตาบ้าง

เช่น เสื้อของคนที่นั่งด้านหน้า ลืมตาจะเห็นเสื้อเป็นลายทาง แต่ขณะหลับตานั้นไม่เห็นลายของเสื้อ
หลับตาเห็นแสงไฟจากใต้โต๊ะ แต่ลืมตาจะไม่เห็นแสงไฟใต้โต๊ะเป็นต้น

ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองสับสนมากค่ะ เพราะส่วนตัวเป็นคนเวลานอนหลับสนิทตาจะเปิดขึ้นนิดนึงค่ะ
แฟนก็บอกว่า บางทีตาเราอาจจะลอยขึ้นมาเพราะความเบาสบาย

ต้องบอกก่อนว่าเราเพิ่งเริ่มปฎิบัติได้ไม่นาน ไม่คิดว่าตนจะมีพลังมากพอสามารถมองทะลุหนังตาค่ะ
และบางวันจิตก็ไม่ได้สงบตลอด โดยเฉพาะวันที่เจอผู้คนเยอะๆ


เพราะความลังเลสงสัย ทำให้เราติดอยู่ตรงนี้ทุกครั้งเลยค่ะ ไม่ก้าวหน้าสักที
ทุกครั้งที่เห็นก็จะพะวงกับหนังตาตนเอง หลุดสมาธิอยู่หลายครั้ง

เคยถามอาจารย์ค่ะ ท่านบอกว่าอย่าไปสนใจ...
แต่ก็ไม่กล้าถามต่อว่า 1) สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้นเป็นเรื่องปกติไหม
และที่สำคัญ 2) มีวิธีไหนที่ทำให้เราไม่ติดอยู่ตรงนี้ค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้

ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นสุขขึ้น เธอก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า เวทนาทที่เป็นสุขนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แล เวทนานั้นอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น มิใช่ไม่อาศัยอะไรเลย อาศัยอะไร ? ก็อาศัยกายนี้เอง ก็กายนี้ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แล้วสุขเวทนาซึ่งเกิดโดยอาศัยกายที่ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมอยู่แล้ว จักเป็นของเที่ยงได้แต่ที่ไหน

เธอมองเห็นความเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเสื่อมสิ้นไป ความจางหาย ดับไป ความสลัดออกไปทั้งในกายและในสุขเวทนาอยู่ เมื่อเธอมองเห็น...อย่างนี้ ราคานุสัยที่มีในกายและในสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นทุกข์ขึ้น เธอก็รู้ชัด...ปฏิฆานุสัยที่มีในกายและในทุกขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุขขึ้น เธอก็รู้ชัด...อวิชชานุสัยที่มีในกายและในอทุกขมสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้”


(สํ.สฬ.18/377/261)


พุทธพจน์นั่น ไม่เห็นมีอะไรซุกซ่อน เปิดเผยโล่งแจ้ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโฮผู้รอบรู้ในเรื่องอภิธรรมช่วยเข้ามาวิจารณ์และชี้แนะแนวทางการเจริญสติและปัญญาให้กับตัวดิฉันและคุนกรัชกายด้วยเถิดเจ้าค่ะเพราะแนวทางของคุนโฮทำให้ดิฉันเป็นผู้มีสติและปัญญามากขึ้นเจ้าค่ะ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คุณโฮผู้รอบรู้ในเรื่องอภิธรรมช่วยเข้ามาวิจารณ์และชี้แนะแนวทางการเจริญสติและปัญญาให้กับตัวดิฉันและคุนกรัชกายด้วยเถิดเจ้าค่ะเพราะแนวทางของคุนโฮทำให้ดิฉันเป็นผู้มีสติและปัญญามากขึ้นเจ้าค่ะ


ตามความเข้าใจของคุณ nong สติ กับ ปัญญา มีลักษณะอย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
คุณโฮผู้รอบรู้ในเรื่องอภิธรรมช่วยเข้ามาวิจารณ์และชี้แนะแนวทางการเจริญสติและปัญญาให้กับตัวดิฉันและคุนกรัชกายด้วยเถิดเจ้าค่ะเพราะแนวทางของคุนโฮทำให้ดิฉันเป็นผู้มีสติและปัญญามากขึ้นเจ้าค่ะ


ตามความเข้าใจของคุณ nong สติ กับ ปัญญา มีลักษณะอย่างไร
คุนกรัชกายเจ้าค่ะ ดิฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าเสวนากับคุนเนียะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวคุณเอาเสียเลย ป่วยการที่จะโต้แย้งดิฉันจะบอกคุนเป็นครั้งสุดท้ายนะไปอ่านข้อความที่ดิฉันตอบคุนไปทั้งที่ตัวคุนเองเป็นคนอ้อนวอนให้ดิฉันบอกว่าการเจริญสติปัญญาของดิฉัน ปฏิบัติอย่างไร แล้วที่ตอบดิฉันเกี่ยวกับสุขเวทนาทุกขเวทนาถ้าจะมาตอบแบบชี้โบ๊ชี้เบ๊ก็ไม่ต้องมาตอบหาสาระไม่ได้ คนปฏิบัติใหม่ไม่ได้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แล้วเอาพุทธพจการเจริญสติปัญยามาวางพรืดให้ตัวคุนอ่านหรือผู้ใดอ่านไม่ทราบเจ้าค่ะ(ขนาดตัวคุนเองยังทำไม่ได้) คุนอ่านแล้วดิฉันหวังว่าคุนจะเจริญในสติปัญญามากกว่านี้นะเจ้าค่ะถ้าคุนทำได้จริงจะมาอ้อนวอนขอร้องดิฉันทำไมว่าปฏิบัติอย่างไร ดิฉันบอกแล้วไงว่าให้ไปหัดปฏิบัติบ้างปฏิบัติให้มันได้เท่าดิฉันก่อนแล้วค่อยมาถามดิฉันนะเจ้าค่ะ ขี้เกียจเสวนาด้วยแล้วเจ้าค่ะ :b8:


โพสต์ เมื่อ: 17 มี.ค. 2012, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




babee.gif
babee.gif [ 13.06 KiB | เปิดดู 2956 ครั้ง ]
nongkong เขียน:



คุนกรัชกายเจ้าค่ะ ดิฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าเสวนากับคุนเนียะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวคุณเอาเสียเลย ป่วยการที่จะโต้แย้งดิฉันจะบอกคุนเป็นครั้งสุดท้ายนะไปอ่านข้อความที่ดิฉันตอบคุนไปทั้งที่ตัวคุนเองเป็นคนอ้อนวอนให้ดิฉันบอกว่าการเจริญสติปัญญาของดิฉัน ปฏิบัติอย่างไร แล้วที่ตอบดิฉันเกี่ยวกับสุขเวทนาทุกขเวทนาถ้าจะมาตอบแบบชี้โบ๊ชี้เบ๊ก็ไม่ต้องมาตอบหาสาระไม่ได้ คนปฏิบัติใหม่ไม่ได้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แล้วเอาพุทธพจการเจริญสติปัญยามาวางพรืดให้ตัวคุนอ่านหรือผู้ใดอ่านไม่ทราบเจ้าค่ะ(ขนาดตัวคุนเองยังทำไม่ได้) คุนอ่านแล้วดิฉันหวังว่าคุนจะเจริญในสติปัญญามากกว่านี้นะเจ้าค่ะถ้าคุนทำได้จริงจะมาอ้อนวอนขอร้องดิฉันทำไมว่าปฏิบัติอย่างไร ดิฉันบอกแล้วไงว่าให้ไปหัดปฏิบัติบ้างปฏิบัติให้มันได้เท่าดิฉันก่อนแล้วค่อยมาถามดิฉันนะเจ้าค่ะ ขี้เกียจเสวนาด้วยแล้วเจ้าค่ะ


สติ กับ ปัญญา เป็นภาษาบาลี คุณนำมาพูด คุณเข้าใจความหมายของสองคำนั่นว่ายังไง สติ ปัญญา

หรือพูดๆไป สติปัญญาๆๆๆ ไหนลองบอกสิครับ สติ กับ ปัญญา ความหมายตามภาษาของเขาว่ายังไง จะมีการเจริญขึ้นด้วยการทำยังไง

ไม่ใช่พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง :b1: :b12:

กินนมนอนดีฝ่าเสียเวลาจริงๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร