วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 08:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2012, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อดเหวี่ยงไม่ได้เลยนะ Nongkong อารมณ์ค้างยาวนานจังเลย........ถ้าเป็นชีวิตโลกย์แล้วคงต้องผิดหวังบ่อยๆ หรือไม่ค่อยสมหวังเอามากเลยทีเดียวนะ


ของมันก็แน่ละ ถ้าไม่เคยผิดหวังจะรู้จักทุกข์แล้วจะปฏิบัติธรรมเข้าถึง อริสัยสัจ4ได้ยังงัย อโสกะงี่เง่าเต่าตุ่น :b32: แต่โมหะ โทสะ ยังไม่หมดก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะจนกว่าจะ ตัดอวิชชาออกได้
แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะอโสกะ เพราะคนที่คิดจะเป็นศรัตรูกับพระพฤหัส ส่วนใหญ่มักจะแพ้ภัยตนเอง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2012, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฎิบัติธรรมก็มีกันหลายแนว เพราะพระอรหันต์แต่ละท่านก็สำเร็จเก่งคนละอย่าง แต่ละท่านก็สั่งสอนศิษย์ของแต่ละท่านตามที่ท่านได้สำเร็จมา แต่พระพุทธองค์ท่านสามารถรู้ว่าท่านจะสอนใครต้องใช้อะไรสอนปฎิบัติอย่างไรถึงจะถูกจริตแต่ละคน แต่ส่วนตัวผมแล้วมีวิธีทำปฎิบัติโดยนั่งเป็นส่วนใหญ่ นั่งปฎิบัติดูลมหายใจเข้าออก นั่งไปนานก็รู้สึกเจ็บ อดทนจนเจ็บนั้นหายไปเพราะเข้าใจว่าเจ็บนั้นก็เป็นอนิจจัง เจ็บก็หายไปจริง แต่แล้วก็กลับมาเจ็บอีก นั้งอยู่อย่างนี้หลายเดือน ก็รู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรก็เบื่อ มานึกถึงท่าพุทธทาสให้นั้งมันเที่ยวเดียวไปเลยดูซิว่ามันเป็นอย่างไร ก็เลยลองนั่งดูเจ็บรอบแรกหายไปเจ็บรอบไม่หายที่นีก็อดทนก็คิดว่าไหนๆก็ต้องตายก็ตายมันตรงนี้แหละ ใจเหมือนจะขาดจริงๆและแล้วสภาพทุกข์ที่ไม่สามารถทนสภาพทนอยู่ได้ ร่างกายก็ได้แตกสลายปรากฎในมโนทวาร และเมื่ออนัตตาความไม่เป็นตัวเป็นตนก็ปรากฎติดต่อกันในมโนทวาร ผมจึงสิ้นสงสัยในคำว่าตัวตน นี้เป็นแนวทางหนึ่งที่ผมปฎิบัติ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2012, 15:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
asoka เขียน:
อดเหวี่ยงไม่ได้เลยนะ Nongkong อารมณ์ค้างยาวนานจังเลย........ถ้าเป็นชีวิตโลกย์แล้วคงต้องผิดหวังบ่อยๆ หรือไม่ค่อยสมหวังเอามากเลยทีเดียวนะ


ของมันก็แน่ละ ถ้าไม่เคยผิดหวังจะรู้จักทุกข์แล้วจะปฏิบัติธรรมเข้าถึง อริสัยสัจ4ได้ยังงัย อโสกะงี่เง่าเต่าตุ่น :b32: แต่โมหะ โทสะ ยังไม่หมดก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะจนกว่าจะ ตัดอวิชชาออกได้
แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะอโสกะ เพราะคนที่คิดจะเป็นศรัตรูกับพระพฤหัส ส่วนใหญ่มักจะแพ้ภัยตนเอง :b13:

Onion_L
อโสกะงี่เง่าเต่าตุ่น
:b12:
คำเขียนเป็นผรุสวาจา อย่างนี้ถ้าไม่ใช้เสียได้ จะทำให้ Nongkong ดูสวยงามน่ารักขึ้นอีกเยอะนะครับ
:b12: :b12: :b12: :b12:
ไม่มีปฏิฆะ โทสะ อะไรเกิดขึ้นหรอก มีแต่สงสาร ๆ ๆ ๆ นะจ๊ะ.....
:b27:
เอ้อ!....แล้วยังเป็นพุทธพราหมณ์ ....อยู่หรือนี่ ที่ติดเรื่อง วันดี วันไม่ดี .....วางเสียนะจะ เลิกเสียได้ก็ดี

พุทธพราหมณ์.....
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2012, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
nongkong เขียน:
asoka เขียน:
อดเหวี่ยงไม่ได้เลยนะ Nongkong อารมณ์ค้างยาวนานจังเลย........ถ้าเป็นชีวิตโลกย์แล้วคงต้องผิดหวังบ่อยๆ หรือไม่ค่อยสมหวังเอามากเลยทีเดียวนะ


ของมันก็แน่ละ ถ้าไม่เคยผิดหวังจะรู้จักทุกข์แล้วจะปฏิบัติธรรมเข้าถึง อริสัยสัจ4ได้ยังงัย อโสกะงี่เง่าเต่าตุ่น :b32: แต่โมหะ โทสะ ยังไม่หมดก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะจนกว่าจะ ตัดอวิชชาออกได้
แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะอโสกะ เพราะคนที่คิดจะเป็นศรัตรูกับพระพฤหัส ส่วนใหญ่มักจะแพ้ภัยตนเอง :b13:

Onion_L
อโสกะงี่เง่าเต่าตุ่น
:b12:
คำเขียนเป็นผรุสวาจา อย่างนี้ถ้าไม่ใช้เสียได้ จะทำให้ Nongkong ดูสวยงามน่ารักขึ้นอีกเยอะนะครับ
:b12: :b12: :b12: :b12:
ไม่มีปฏิฆะ โทสะ อะไรเกิดขึ้นหรอก มีแต่สงสาร ๆ ๆ ๆ นะจ๊ะ.....
:b27:
เอ้อ!....แล้วยังเป็นพุทธพราหมณ์ ....อยู่หรือนี่ ที่ติดเรื่อง วันดี วันไม่ดี .....วางเสียนะจะ เลิกเสียได้ก็ดี

พุทธพราหมณ์.....
onion

มันเป็นอาการของเจตสิกปรุงแต่ง เกิดขึ้นดับไป ไม่ต้อนร้อนตัวจ้ะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2012, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2011, 16:32
โพสต์: 324


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
การปฏิบัติธรรมที่ถึงพระนิพานเร็วและตรงที่สุด
1 อธิฐานขอถึงพระนิพพานอย่างเดียวโดยเร็วที่สุดด้วยจิตที่ตั้งมั่น และขบวนการทั้งหมดของธรรมชาติจะจัดสรรให้ท่านเอง

สวัสดีครับพี่bigtoo
การอธิษฐานจิตก็อุปมาได้ดั่งการตั้งเข็มทิศไปสู่ทิศที่เราต้องการจะไปก่อนที่จะออกเดินทาง หากออกเดินทางโดยไม่รู้ทิศหรือตั้งเข็มทิศก่อนก็ย่อมช้าและเนิ่นนานกว่าจะไปถึงจุดหมาย และอาจจะไม่มีวันไปถึงเลยก็ได้...ดังนั้นผมเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ครับ
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 01:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


บารมี 10...มี 3 รอบ

คือ..ปาระมี สัมปันโน , อุปะปารมี สัมปันโน , ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน

จึงกลายเป็น..บารมี 30 ทัศ

อ้างคำพูด:
จำแนกด้วยกาล
บารมีต้น บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางใจ
อุปบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางวาจา

ปรมัตถบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางกาย

จำแนกด้วยความยาก
บารมีต้น เนื่องด้วยวัตถุและทรัพย์นอกกาย
อุปบารมี เนื่องด้วยอวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี เนื่องด้วยชีวิต

(อรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗๔ อรรถกถา จาริยาปิฏก)

ความเป็นพระพุทธเจ้า...ยังเริ่มที่ความคิด

แล้วใครคิดว่า....ความคิดไม่สำคัญ

อีกมั้ย... huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 03:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
บารมี 10...มี 3 รอบ

คือ..ปาระมี สัมปันโน , อุปะปารมี สัมปันโน , ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน

จึงกลายเป็น..บารมี 30 ทัศ

อ้างคำพูด:
จำแนกด้วยกาล
บารมีต้น บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางใจ
อุปบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางวาจา

ปรมัตถบารมี บำเพ็ญในกาลตั้งความปราถนาทางกาย

จำแนกด้วยความยาก
บารมีต้น เนื่องด้วยวัตถุและทรัพย์นอกกาย
อุปบารมี เนื่องด้วยอวัยวะและเลือดเนื้อ
ปรมัตถบารมี เนื่องด้วยชีวิต

(อรรถกถาพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗๔ อรรถกถา จาริยาปิฏก)

ความเป็นพระพุทธเจ้า...ยังเริ่มที่ความคิด

แล้วใครคิดว่า....ความคิดไม่สำคัญ

อีกมั้ย... huh

ที่หลังจะเอาอรรถกถามาโพส ต้องเอาพระไตรปิฏกฉบับจริงมาโพสด้วยเข้าใจมั้ย

อยากให้กะลาดูธรรมนี้หน่อย เป็นธรรมขของหลวงปู่ดูลย์
"คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดจึงรู้"

อ่านแล้วเข้าใจว่าไง ลองคุยให้ฟังหน่อย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 03:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
การปฎิบัติธรรมก็มีกันหลายแนว เพราะพระอรหันต์แต่ละท่านก็สำเร็จเก่งคนละอย่าง แต่ละท่านก็สั่งสอนศิษย์ของแต่ละท่านตามที่ท่านได้สำเร็จมา แต่พระพุทธองค์ท่านสามารถรู้ว่าท่านจะสอนใครต้องใช้อะไรสอนปฎิบัติอย่างไรถึงจะถูกจริตแต่ละคน แต่ส่วนตัวผมแล้วมีวิธีทำปฎิบัติโดยนั่งเป็นส่วนใหญ่ นั่งปฎิบัติดูลมหายใจเข้าออก นั่งไปนานก็รู้สึกเจ็บ อดทนจนเจ็บนั้นหายไปเพราะเข้าใจว่าเจ็บนั้นก็เป็นอนิจจัง เจ็บก็หายไปจริง แต่แล้วก็กลับมาเจ็บอีก นั้งอยู่อย่างนี้หลายเดือน ก็รู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรก็เบื่อ มานึกถึงท่าพุทธทาสให้นั้งมันเที่ยวเดียวไปเลยดูซิว่ามันเป็นอย่างไร ก็เลยลองนั่งดูเจ็บรอบแรกหายไปเจ็บรอบไม่หายที่นีก็อดทนก็คิดว่าไหนๆก็ต้องตายก็ตายมันตรงนี้แหละ ใจเหมือนจะขาดจริงๆและแล้วสภาพทุกข์ที่ไม่สามารถทนสภาพทนอยู่ได้ ร่างกายก็ได้แตกสลายปรากฎในมโนทวาร และเมื่ออนัตตาความไม่เป็นตัวเป็นตนก็ปรากฎติดต่อกันในมโนทวาร ผมจึงสิ้นสงสัยในคำว่าตัวตน นี้เป็นแนวทางหนึ่งที่ผมปฎิบัติ

ท่องเป็นวิชาวรรณคดีเลยนะคุณบิกทู่ ถามหน่อยครับ ..
เห็นพูดว่าสภาพทุกข์ ไม่สามารถทนอยู่ได้
อะไรคือทุกข์ที่คุณเห็นครับ

แล้วอนัตตาความไม่เป็นตัวเป็นตนปรากฏขึ้นตามที่คุณบอก
ช่วยอธิบายความไม่เป็นตัวเป็นตนให้ฟังหน่อยครับ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 06:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
การปฎิบัติธรรมก็มีกันหลายแนว เพราะพระอรหันต์แต่ละท่านก็สำเร็จเก่งคนละอย่าง แต่ละท่านก็สั่งสอนศิษย์ของแต่ละท่านตามที่ท่านได้สำเร็จมา แต่พระพุทธองค์ท่านสามารถรู้ว่าท่านจะสอนใครต้องใช้อะไรสอนปฎิบัติอย่างไรถึงจะถูกจริตแต่ละคน แต่ส่วนตัวผมแล้วมีวิธีทำปฎิบัติโดยนั่งเป็นส่วนใหญ่ นั่งปฎิบัติดูลมหายใจเข้าออก นั่งไปนานก็รู้สึกเจ็บ อดทนจนเจ็บนั้นหายไปเพราะเข้าใจว่าเจ็บนั้นก็เป็นอนิจจัง เจ็บก็หายไปจริง แต่แล้วก็กลับมาเจ็บอีก นั้งอยู่อย่างนี้หลายเดือน ก็รู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรก็เบื่อ มานึกถึงท่าพุทธทาสให้นั้งมันเที่ยวเดียวไปเลยดูซิว่ามันเป็นอย่างไร ก็เลยลองนั่งดูเจ็บรอบแรกหายไปเจ็บรอบไม่หายที่นีก็อดทนก็คิดว่าไหนๆก็ต้องตายก็ตายมันตรงนี้แหละ ใจเหมือนจะขาดจริงๆและแล้วสภาพทุกข์ที่ไม่สามารถทนสภาพทนอยู่ได้ ร่างกายก็ได้แตกสลายปรากฎในมโนทวาร และเมื่ออนัตตาความไม่เป็นตัวเป็นตนก็ปรากฎติดต่อกันในมโนทวาร ผมจึงสิ้นสงสัยในคำว่าตัวตน นี้เป็นแนวทางหนึ่งที่ผมปฎิบัติ

ท่องเป็นวิชาวรรณคดีเลยนะคุณบิกทู่ ถามหน่อยครับ ..
เห็นพูดว่าสภาพทุกข์ ไม่สามารถทนอยู่ได้
อะไรคือทุกข์ที่คุณเห็นครับ

แล้วอนัตตาความไม่เป็นตัวเป็นตนปรากฏขึ้นตามที่คุณบอก
ช่วยอธิบายความไม่เป็นตัวเป็นตนให้ฟังหน่อยครับ :b9:
จะอธิบายเป็นรูปธรรมให้เข้าใจนะครับเพื่อยังมีหลายท่านยังไม่เข้าใจในเรื่องทุกข์ที่แท้จริง ทุกข์ในอริยสัจนั้นพระพุทะเจ้าอธิบายในเรื่องของสัตว์ที่มีขันต์ทั้งหลายไม่ว่าจะมีกี่ขันต์ก็ตามล้วนจะต้องได้รับความทุกข์ทั้งนั้น ความทุกข์ในที่นี้ก็คือการเกิดก็เป็นทุกข์ การตายก็เป็นทุกข์ ดูในวงล้อของปฏิจสมุปบาทเถอะ ส่วนทุกขตานั้นเป็น1ในสามัญลักษณะนั้นเป็นปัญญาขั้นสูงสุด ทุกข์นี้เป็นสภาพทนได้อยาก ไม่สามารถคงทนสภาพเดิมได้ ไม่ได้หมายความว่าคนหรือสัตว์เท่านั้นรวมสภาพธรรมทั้งหมด ส่วนที่ท่านถามผมนั้นว่า อะไรคือทุกข์ที่ผมเห็น อะไรที่เกิดกับทวารทั้ง6นั้นแหละครับที่ทุกท่านที่ศึกษาธรรมมะได้รับรู้กันว่ามันไม่เทียง มันเกิดดับเปลี่ยนแปลงไม่สามารถคงทนสภาพเดิมได้ แต่มีสิ่งหนึ่งคือร่างกายเราที่เฝ้าตอบสนองให้มันเฝ้าดูแลมันอย่างดี แต่มันก็ไม่เคยให้อะไรกับเราเลยนอกจากทุกข์ ร่างกายเราจะแตกสลายได้2ทาง ทางที่1รอวันตายร่างกายก็แตกสลายไป ทางที่2พิจารณาจนเห็นความแตกสลายนั้นเกิดในมโนทวารอันนี้ต้องอดทนหน่อยนะเห็นสักหน่อยเพราะเป็นสภาวะไม่ใช่การนึกคิด (นั่งไปเลยไม่เห็นไม่ลุก)เฉพาะตนจริงๆ เป็นมหาสติเป็นปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งแทงตลอด เมือสภาวะนี้เกิด สภาวะแห่งอนัตตาก็ปรากฎตามมาไม่มีตัวตน มันว่างไม่มีตัวตน และท่านก็จะรู้ว่าสูญญตาเป็นอย่างไร ปัญญาตัวนี่แหละจะละสักกายะทิฎฐิได้ เมื่อสักกายะทิฎฐิถูกกำจัดลงไปเป็นสัมมาทิฎฐิสมบูรณ์ มรรคองค์ที่สองก็เดินเครื่องเต็มกำลัง อย่าให้ธรรมมะเป็นแค่เครื่งเล่นทางปัญญาเลย ถึงจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง มันมีมากกว่านั้น เจาะลึกลงไปให้เข้าถึงจิตไร้สำนึกถึงจะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง อย่าอยู่แต่เปลือกผิวของจิต ท่านผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลาย ผมต้องอดทนอะไรมากมายต้องยอมเสียสละความสุขส่วนที่มนุษย์สมควรจะได้กว่าจะได้ธรรมอันประเสริฐนี้ ไม่มีคำกล่าได้จะเหมาะเท่ากับคำนี้ ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงหลุดพ้นเถิด จงหลุดพ้นเถิด

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 30 มิ.ย. 2012, 06:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 06:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


[quote] Nongkong
"มันเป็นอาการของเจตสิกปรุงแต่ง เกิดขึ้นดับไป ไม่ต้อนร้อนตัวจ้ะ"
:b32: :b32:
โยนบาปไปให้ "เจตสิก"อีกแล้ว แล้วที่ยึดมั่นอยู่ในใจเป็นอะไรด้วยล่ะครับ?
วันดี คืนดี ฤกษ์ดี ยามดี........ดวงดี........ฯลฯ............

:b12: :b12:
สุขี ฑีฆายุโกภวะ.........
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อ้างคำพูด:
Nongkong
"มันเป็นอาการของเจตสิกปรุงแต่ง เกิดขึ้นดับไป ไม่ต้อนร้อนตัวจ้ะ"
:b32: :b32:
โยนบาปไปให้ "เจตสิก"อีกแล้ว แล้วที่ยึดมั่นอยู่ในใจเป็นอะไรด้วยล่ะครับ?
วันดี คืนดี ฤกษ์ดี ยามดี........ดวงดี........ฯลฯ............

:b12: :b12:
สุขี ฑีฆายุโกภวะ.........
:b8:

โอ้ยอโสกะ ทำไมต้องมาชวนให้ตลก แบบนี้อโสกะก็คงโยนบาปตัวเองไปให้บุรุษไปรษณี :b32: (แล้วแกจะส่งคืนใครละนี่)ที่ชอบเที่ยวชี้หน้าด่าคนนั้นคนนี้.. กระทบกระเทียบคนนั้นคนนี้ แล้วบอกว่าสงสารถามหน่อยอโสกะ คำว่าสงสารอย่าเอามาใช้กับนักปฏิบัติธรรมเขาไม่ได้ต้องการความสงสาร อโสกะมาให้ข้าวให้น้ำคุนน้องกินเพราะความสงสารหรอ เค้าใช้คำว่าเมตตา แบบนี้แหละเขาเรียกว่า พวกมือถือสากปากถือศีล :b13:
ปล.เพิ่มเติมให้อโสกะอีกหน่อย เด่วจะหาว่าเราไม่เมตตา :b32: เวลาส่งจิตออกนอก เราต้องมองมาที่กายใจของเราด้วยทุกครั้ง ว่ามันเกิดสภาวะที่ไม่เที่ยง สภาวะแปรปรวน สภาวะที่ไหลไปกับการปรุงแต่งของเราเอง เมื่อใดเราเห็นกระแสเห็นสภาวะที่มันแปรปรวนปรุงแต่งของเราเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราก็เริ่มจะเบื่อ เริ่มเซง ไม่อยากส่งจิตออกไปแล้ว คนที่ไม่รู้ทุกข์ มักจะชอบส่งจิตออกไปรู้สภาวะที่เป็นทุกข์เพื่อบีบคั้นตัวเองเสียก่อน พอเรียนรู้สายเกิดของปฏิจสมุปปบาท เราก็เริ่ม รู้เอง เห็นเอง สติก็จะระลึกรู้ลงในปัจุบัณขณะ ว่าผัสสะกระทบอารมณ์ของเราเป็นเป็นอย่างไร คุนน้องลองผิดลองถูกมาเยอะแล้ว ไม่ใช่จะถูกไปหมดทุกอย่างหรอก.. ส่วนนิสัยเดิมท่ามันจะมีติดตัวมา มันจะสำคัญด้วยหรือ..ถ้าเราไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งนั้น มันก็เป็นแค่เจตสิก :b13: :b45:


แก้ไขล่าสุดโดย nongkong เมื่อ 30 มิ.ย. 2012, 14:41, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 10:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
อยากให้กะลาดูธรรมนี้หน่อย เมขของหลวงปู่ดูลย์
"คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดจึงรู้"

อ่านแล้วเข้าใจว่าไง ลองคุยให้ฟังหน่อย :b13:


ถือว่าแลกเปลี่ยน..ละกัน

ผมคิดว่า...

คิดเท่าไรก็ไม่รู้.....เพราะคิดตัวแรกนี้...มีกิเลสตัญหาอาสวะเป็นปัจจัย..จึงเป็นไปในทิศทางของการเวียนว่ายตายเกิด

เมื่อหยุดคิดจึงรู้.....เมื่อเข้าถึงความสงบได้แม้ในชั่วขณะ...ก็จะพึงรู้ว่า...ในภาวะปกติ..ความคิดเหล่านั้นเป็นความคิดทาสของตัญหา...

แต่ก็ต้องอาศัยความคิดจึงรู้.....แต่การจะเข้าใจข้อธรรมใด ๆ ก็ยังต้องอาศัยคุณสมบัติของขันธ์..คือ..รู้คิด..รู้จำ...ในการพิจารณา..

แล้ว...โฮ...คิดแบบไหน...บอกหน่อยดิ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
จะอธิบายเป็นรูปธรรมให้เข้าใจนะครับเพื่อยังมีหลายท่านยังไม่เข้าใจในเรื่องทุกข์ที่แท้จริง ทุกข์ในอริยสัจนั้นพระพุทะเจ้าอธิบายในเรื่องของสัตว์ที่มีขันต์ทั้งหลายไม่ว่าจะมีกี่ขันต์ก็ตามล้วนจะต้องได้รับความทุกข์ทั้งนั้น ความทุกข์ในที่นี้ก็คือการเกิดก็เป็นทุกข์ การตายก็เป็นทุกข์ ดูในวงล้อของปฏิจสมุปบาทเถอะ ส่วนทุกขตานั้นเป็น1ในสามัญลักษณะนั้นเป็นปัญญาขั้นสูงสุด ทุกข์นี้เป็นสภาพทนได้อยาก ไม่สามารถคงทนสภาพเดิมได้ ไม่ได้หมายความว่าคนหรือสัตว์เท่านั้นรวมสภาพธรรมทั้งหมด ส่วนที่ท่านถามผมนั้นว่า

อ้าว! ความเห็นก่อนบอกว่า"
bigtoo เขียน:
ใจเหมือนจะขาดจริงๆและแล้วสภาพทุกข์ที่ไม่สามารถทนสภาพทนอยู่ได้ ร่างกายก็ได้แตกสลายปรากฎในมโนทวาร และเมื่ออนัตตาความไม่เป็นตัวเป็นตนก็ปรากฎติดต่อกันในมโนทวาร ผมจึงสิ้นสงสัยในคำว่าตัวตน นี้เป็นแนวทางหนึ่งที่ผมปฎิบัติ

ตกลงทุกข์ของคุณ มันเป็นอะไรกันแน่ การเกิด การตายหรือการเจ็บขาเจ็บแข้ง
ผมจะบอกอะไรคุณให้ครับ คุณบิ๊กทู่ สักแต่ว่าโพสข้อความด้วยการ
ขาดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองโพส มันจะทำให้สับสนในข้อความที่โพส
คุณเอาผัสสะเวทนามาปนกับทุกข์ อาการเจ็บแข้งเจ็บขามันไม่ใช่ทุกข์แต่เป็นผัสสะ
จนเกิดเวทนาขึ้น มันจะทุกข์หรือไม่ มันต้องไปดูที่การปรุงแต่งของจิต
ถ้าจิตไปยึดเอาตัวเวทนากับสัญญาจนเกิดการปรุงแต่งที่เป็นอกุศล ผลก็คือทุกข์
แต่ถ้าจิตเป็นกุศลคือสติ มันก็ไม่ทุกข์
bigtoo เขียน:
ส่วนทุกขตานั้นเป็น1ในสามัญลักษณะนั้นเป็นปัญญาขั้นสูงสุด ทุกข์นี้เป็นสภาพทนได้อยาก ไม่สามารถคงทนสภาพเดิมได้ ไม่ได้หมายความว่าคนหรือสัตว์เท่านั้นรวมสภาพธรรมทั้งหมด

ทุกขตาในสามัญลักษณ์ ใครบอกคุณกันครับว่า ทุกข์นั้นเป็นสภาพทนได้อยาก
ผมว่าคุณอ่านมาแล้วตีความผิดนะครับ

ทุกจตาในสามัญลักษณ์ มันไม่ใช่สภาพทนได้ยาก แต่มันเป็นผลอันเกิดจาก
สภาพหรือสภาวะที่ทนได้ยากทนอยู่ไม่ได้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
สภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปทำให้เกิดทุกข์ หรือเรียกว่าการไปรู้เหตุแห่งทุกข์

bigtoo เขียน:
ส่วนที่ท่านถามผมนั้นว่า อะไรคือทุกข์ที่ผมเห็น อะไรที่เกิดกับทวารทั้ง6นั้นแหละครับที่ทุกท่านที่ศึกษาธรรมมะได้รับรู้กันว่ามันไม่เทียง มันเกิดดับเปลี่ยนแปลงไม่สามารถคงทนสภาพเดิมได้ แต่มีสิ่งหนึ่งคือร่างกายเราที่เฝ้าตอบสนองให้มันเฝ้าดูแลมันอย่างดี แต่มันก็ไม่เคยให้อะไรกับเราเลยนอกจากทุกข์ ร่างกายเราจะแตกสลายได้2ทาง ทางที่1รอวันตายร่างกายก็แตกสลายไป ทางที่2พิจารณาจนเห็นความแตกสลายนั้นเกิดในมโนทวารอันนี้ต้องอดทนหน่อยนะเห็นสักหน่อยเพราะเป็นสภาวะไม่ใช่การนึกคิด (นั่งไปเลยไม่เห็นไม่ลุก)เฉพาะตนจริงๆ เป็นมหาสติเป็นปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งแทงตลอด เมือสภาวะนี้เกิด สภาวะแห่งอนัตตาก็ปรากฎตามมาไม่มีตัวตน มันว่างไม่มีตัวตน และท่านก็จะรู้ว่าสูญญตาเป็นอย่างไร ปัญญาตัวนี่แหละจะละสักกายะทิฎฐิได้ เมื่อสักกายะทิฎฐิถูกกำจัดลงไปเป็นสัมมาทิฎฐิสมบูรณ์ มรรคองค์ที่สองก็เดินเครื่องเต็มกำลัง อย่าให้ธรรมมะเป็นแค่เครื่งเล่นทางปัญญาเลย ถึงจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง มันมีมากกว่านั้น เจาะลึกลงไปให้เข้าถึงจิตไร้สำนึกถึงจะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง อย่าอยู่แต่เปลือกผิวของจิต ท่านผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลาย ผมต้องอดทนอะไรมากมายต้องยอมเสียสละความสุขส่วนที่มนุษย์สมควรจะได้กว่าจะได้ธรรมอันประเสริฐนี้ ไม่มีคำกล่าได้จะเหมาะเท่ากับคำนี้ ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงหลุดพ้นเถิด จงหลุดพ้นเถิด

ประโยคนี่ทั้งประโยค ผมไม่รู้จะแนะนำคุณอย่างไรดี มันเหมือนคนกำลังฟุ้ง
หยิบสัญญาเก่าที่ไปจำมาบวกกับจินตนาการของตน เอาซะเละตุ้มเป๊ะ

บอกได้อย่างเดียว มั่นมีสติอย่าไปปรุงแต่งกับบัญญัติที่เอามาจากหนังสือ
ที่เขามีไว้เพิ่มอรรถรสในเนื้อหาหนังสือ ปฏิบัติธรรมด้วยการลดการใช้บัญญัติ
มาปั่นแต่งธรรม แล้วอะไรมันจะดีเองครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
โฮฮับ เขียน:
อยากให้กะลาดูธรรมนี้หน่อย เมขของหลวงปู่ดูลย์
"คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต่อเมื่อหยุดคิดจึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดจึงรู้"

อ่านแล้วเข้าใจว่าไง ลองคุยให้ฟังหน่อย :b13:


ถือว่าแลกเปลี่ยน..ละกัน
ผมคิดว่า...

คิดเท่าไรก็ไม่รู้.....เพราะคิดตัวแรกนี้...มีกิเลสตัญหาอาสวะเป็นปัจจัย..จึงเป็นไปในทิศทางของการเวียนว่ายตายเกิด

เมื่อหยุดคิดจึงรู้.....เมื่อเข้าถึงความสงบได้แม้ในชั่วขณะ...ก็จะพึงรู้ว่า...ในภาวะปกติ..ความคิดเหล่านั้นเป็นความคิดทาสของตัญหา...

แต่ก็ต้องอาศัยความคิดจึงรู้.....แต่การจะเข้าใจข้อธรรมใด ๆ ก็ยังต้องอาศัยคุณสมบัติของขันธ์..คือ..รู้คิด..รู้จำ...ในการพิจารณา..

แล้ว...โฮ...คิดแบบไหน...บอกหน่อยดิ...

เห็นกะลาอ้างพระพุทธเจ้าว่า"ความเป็นพระพุทธเจ้า...ยังเริ่มที่ความคิด
แล้วใครคิดว่า....ความคิดไม่สำคัญ อีกมั้ย..."

ก็เลยยกเอาคำสอนหลวงปู่ให้มาพิจารณา มันก็ง่ายๆ ตอนแรกเรายังคิดอยู่
เรายังไม่รู้ยังเข้าไม่ถึงสภาวะธรรมที่เป็นจริง(สัมมาทิฐิ) ความคิดนั้นมันเป็นกิเลส
เป็นเรื่องอกุศล หรือแม้แต่กุศลก็ตามที เมื่อปฏิบัติจนรู้แล้วจึงเข้าใจว่า
ความคิดอันแรกมันผิดจากความเป็นจริง จึงควรละเสีย
มันก็ก็เหมือนเราทำไม่ดี แต่เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ดี
เช่นเมื่อก่อนเอาบุหรี่ถวายทำบุญกับพระ แต่ต่อมารู้ว่าไม่ดีก็เลิกทำแบบนั้น

พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน ตอนแรกพระองค์ทรงสร้างบารมี พระองค์ก็ทรงคิดว่า
เป็นหนทางพ้นทุกข์ แต่มาค้นพบในภายหลังว่า มันไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์
พระองค์ก็ทรงละเสีย ละในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงว่ากระทำแบบนั้นไม่ดี
แต่มันหมายถึงทำได้แต่อย่าไปยึด เหมือนที่บางคนบอกว่า เป็นกิริยาไม่ใช่เจตนานั้นแหล่ะ


ส่วนคำว่า"แต่ต้องอาศัยความคิดจึงรู้" นั้นก็คือคิดในกรอบของสัมมาทิฐิ(โลกุตตระ)
เข้าใจสภาพตามความจริงหรือไตรลักษณ์ เอาสภาวะไตรลักษณ์เป็นประธานในการ
พิจารณาธรรมหรือความคิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2012, 15:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คิดเท่าไรก็ไม่รู้.....เพราะคิดตัวแรกนี้...มีกิเลสตัญหาอาสวะเป็นปัจจัย..จึงเป็นไปในทิศทางของการเวียนว่ายตายเกิด

เมื่อหยุดคิดจึงรู้.....เมื่อเข้าถึงความสงบได้แม้ในชั่วขณะ...ก็จะพึงรู้ว่า...ในภาวะปกติ..ความคิดเหล่านั้นเป็นความคิดทาสของตัญหา...

แต่ก็ต้องอาศัยความคิดจึงรู้.....แต่การจะเข้าใจข้อธรรมใด ๆ ก็ยังต้องอาศัยคุณสมบัติของขันธ์..คือ..รู้คิด..รู้จำ...ในการพิจารณา..

:b4:
เหมือนเราขับรถผ่านป้ายประกาศ
ย่อมเห็นข้อความในป้ายไม่ชัดเจน

ต่อเมื่อเราหยุดรถแล้วตั้งใจอ่าน
จึงเกิดความเข้าใจ เกิดความชัดเจน

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร