วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 22:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2012, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


ผล ที่เกิดระหว่างปฏิบัติคือ อุปสรรค

แต่เมื่อรู้ทันว่า นี่คืออุปสรรค

อุปสรรคที่เกิดขึ้นนั้นกลับกลายเป็นทางให้ก้าวผ่าน

จนกว่าผลสุดท้ายจะปรากฏ จึงจะหมดอุปสรรค

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2012, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:

อย่างเช่น ใช้ปริยัติเพื่อเรียนรู้ไตรสิกขา แล้วลงมือปฏิบัติเพื่อละในสิ่งที่รู้
เมื่อละแล้วจะเกิดเป็นปฏิเวธ เมื่อเกิดปฏิเวธแล้วก็นำปฏิเวธไปเป็นปริยัติ
ปฏิบัติต่อเพื่อละปฏิเวธนั้น
สุดประสงค์เพื่อให้ได้ปัญญาสุดท้าย คือวิมุตติ



ขำอีกแระ :b9:

เคยพูดแล้วว่านายโฮไม่มีหลัก เมื่อไม่มีหลักแล้วพูดเนี่ยมันผิดหมด เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เห็นๆคือจับแพะชนแกะ จับศัพท์นั้นโยงกับศัพท์นี้ เช่นคำพูดที่ขีดเส้นใต้ นั่นมันมั่วชัดๆ วัยเกรียนพูดว่า "มั่วจุงเบย" :b32: :

ถึงได้บอกไงว่าไม่รู้จักไตรสิกขา พอเราอธิบายให้ฟังก็เริ่มเวียนหัวแล้วมั้ยล่ะ
ไอ้เราหรือสู้อุตสาห์ตั้งกระทู้ว่า "ปวดหัวกับคำศัพท์"แทนที่จะรู้ว่าเราประชดพวกที่
พูดธรรมไร้แก่นสาร ดีแต่เอาศัพท์เอาบัญญัติมาโม้

จะพูดให้ฟังที่บอกอย่างนั้นเป็นเพราะอริยมรรคมีองค์แปด
มันต้องอาศัยอริยมรรคแต่ละองค์เป็นเหตุ อย่างเช่น การศึกษาปริยัติว่าสติคืออะไร
สมาธิคืออะไร แล้วลงมือปฏิบัติคือการเจริญสติ จนเกิดผลขึ้นเป็นปฏิเวธ
ผลของปฏิเวธก็คือ ปัญญาสัมมาทิฐิ

เมี่อได้ปัญญาสัมมาทิฐิแล้ว จึงเอาปัญญาสัมมาทิฐิมาเป็นเหตุก็คือศึกษาคุณสมบัติ
ของสัมมาทิฐิ แล้วเอาปัญญาสัมมาทิฐิมาปฏิบัติให้เกิดปฏิเวธตัวใหม่ นั้นก็คือปัญญาสังกัปปะ
ไล่แบบนี้ไปจนครบองค์แปด อ้างพระสูตรซะหน่อย....

"ภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์มรรคเหล่านั้น
สัมมาทิฎฐิเป็นตัวนํา, สัมมาทิฏฐิ เป็นตัวนําอย่างไร ?
ด้วยสัมมาทิฎฐิ จึงรู้จักมิจฉาทิฎฐิ ว่าเป็นมิจฉาทิฎฐิ, รู้จักสัมมาทิฎฐิ ว่าเป็นสัมมาทิฎฐิ,
รู้จักมิจฉาสังกัปปะ ว่าเป็นมิจฉาสังกัปปะ, รู้จักสัมมาสังกัปปะ ว่าเป็นสัมมาสังกัปปะ,
รู้จักมิจฉาวาจา ว่าเป็นมิจฉาวาจา, รู้จักสัมมาวาจา ว่าเป็นสัมมาวาจา,
รู้จัก..................ฯลฯ"
(มหาจัตตารีสกสูตร ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๔, ข้อ ๒๕๓)
และต่อด้วยบทนี้....

"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิเป็นหัวหน้าอย่างไร?
เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณ จึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ จึงพอเหมาะได้

โดยนัยดังนี้แล พระเสขะ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘
จึงกลายเป็นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐"

(มหาจัตตารีสกสูตร ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๔, ข้อ ๒๗๙)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2012, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
[ดูนะจะว่าให้ฟัง "ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ"
ปริยัติ ได้แก่ การเรียนรู้ เมื่อรู้แล้วก็นำไปปฏิบัติ คือลงมือทำจนเกิดปฏิเวธ คือ เป็นผลสำเร็จขึ้นมา

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่า คนหุงข้าวไม่เป็น จึงไปปริยัติ (ไปเรียนการหุงข้าว) ครั้นรู้วิธีรู้ขั้นตอนแล้ว กลับไปบ้านลงมือปฏิบัติ คือ หัดหุง นี่ขั้นปฏิบัติ ข้าวสุกเรียบร้อย ขั้นนี้เรียกว่าเป็นปฏิเวธ

พูดให้มันจบแค่นี่มันก็แค่นี้ แต่มันไม่ใช่ไตรสิกขา เข้าใจมั้ย
มันต้องพูดให้จบ งานของการตรัสรู้มันไม่สั้นจุ๋ดจู๋แบบนี้

มันต้องพูดต่อจากข้าวสุก แล้วทำอะไรต่อ ถ้าข้าวสุกเป็นปฏิเวธ
เราก็ต้องเรียนรู้ว่าเมื่อข้าวสุกมีประโยชน์หรือโทษอะไร แบบนี้เรียกว่า เอาปฏิเวธมาเป็นปริยัติ
แล้วจึงต่อด้วยการกินข้าวนั้น(ปฏิบัติ) เมื่อกินข้าวแล้วมันอิ่มท้องเป็นผลปฏิเวธ
เมื่อท้องอิ่มก็ศีกษาว่าจะทำงานได้กี่ชั่วโมง(ปริยัติ) แล้วลงมือทำงาน(ปฏิบัติ)
เมื่องานเสร็จเป็นผลของการทำงานเรียกปฏิเวธ
กรัชกาย เขียน:
ตัวไม่รู้วิธีปฏิบัติกรรมฐาน จึงเดินทางไปอาจารย์เพื่อเรียนรู้ อาจารย์บอกว่า เอางี้นะ ท้องพอง (ว่าในใจ) "พองหนอ" ท้องยุบ (ว่าในใจ) "ยุบหนอ" ฯลฯ นี่เรียกว่าปริยัติ
เมื่อเธอลงมือปฏิบัติคือทำตามนั้น นี่ขั้นปฏิบัติ ครั้นเมื่อเธอปฏิบัติไปๆๆๆ จนกระทั่งมรรคผลเกิดขึ้น นี่ขั้นปฏิเวธ:

ไตรสิกขามันมีแค่นี่หรือ ปัญญาแต่ละตัว อริยมรรคแต่ละองค์ มันต้องทำให้เกิดทุกองค์
ปัญญามันไม่ได้เกิดที่เดียว รู้มั้ยว่าปัญญามีกี่ตัว กรัชกายไม่รู้ก็ไม่ต้องพูดไม่มีใครว่า
ขืนพูดแบบไม่รู้ ชาวบ้านเขาเรียกว่า "ไอ้นี่มันมั่ว"
กรัชกาย เขียน:
ไอ่ที่พูดว่า "เมื่อเกิดปฏิเวธแล้ว ก็นำปฏิเวธไปเป็นปริยัติ ปฏิบัติต่อเพื่อละปฏิเวธ" แบบนี้นะเรียกว่า จับ (ศัพท์) ภาษาทางธรรมเขามาหมุนเล่น ขำจุงเบย

มันก็เหมือนกับที่กรัชกายพูดว่า ขันธ์ห้าคือชีวิตนั้นแหล่ะ
อะไรมีปัญญารู้ขันธ์แล้ว รู้แล้วว่าขันธ์ห้าเป็นสังขาร มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ยังไปยึดไม่ยอมละ
แบบนี้เขาเรียกงมโข่งรู้ตัวป่ะ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2012, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถึงได้บอกไงว่าไม่รู้จักไตรสิกขา พอเราอธิบายให้ฟังก็เริ่มเวียนหัวแล้วมั้ยล่ะ
ไอ้เราหรือสู้อุตสาห์ตั้งกระทู้ว่า "ปวดหัวกับคำศัพท์"แทนที่จะรู้ว่าเราประชดพวกที่
พูดธรรมไร้แก่นสาร ดีแต่เอาศัพท์เอาบัญญัติมาโม้




โฮฮับ ศัพท์บาลี (ศัพท์ทางธรรม) ของเขา หากไม่รู้ต้องศึกษาบ้างเพื่อให้รู้ว่าศัพท์นั้นๆหมายถึงอะไร ตามภาษาเดิมเขา ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ภาษาของเรา จะมาคิดเดาเอาว่าหมายถึง...ตามความเข้าใจของเราไม่ได้

เช่น พอเห็นศัพท์บาลีเป็นต้นว่า สติ สัมปชัญญะ นิพพาน ปัญญา ฉันทะ วิริยะ ตัณหา เจตนา แล้วก็เดาสุ่มเอาตามอำเภอใจ อย่างนี้ร้อยคนร้อยความหมาย เลอะแล้ว :b1:

เคยมีคนแปล "ตัณหา" ว่าหมายถึงหาไม่เจอ หาไม่พบ หาแล้วมันตัน ชื่อว่า ตัณหา ก๊ากๆๆๆ

แล้วไตรสิกขาที่โฮฮับพูดนั่นก็เหมือนกัน เอาชัดชัดๆสิหมายถึงอะไรยังไง :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2012, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




fws-2012-10-27-1351314231-2031709955507538504.jpg
fws-2012-10-27-1351314231-2031709955507538504.jpg [ 28.51 KiB | เปิดดู 3489 ครั้ง ]
http://www.youtube.com/watch?v=5BNuPX6WnnM

"ปวดหัว" :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2012, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ ศัพท์บาลี (ศัพท์ทางธรรม) ของเขา หากไม่รู้ต้องศึกษาบ้างเพื่อให้รู้ว่าศัพท์นั้นๆหมายถึงอะไร ตามภาษาเดิมเขา ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ภาษาของเรา จะมาคิดเดาเอาว่าหมายถึง...ตามความเข้าใจของเราไม่ได้

ไม่รู้แล้วยังตะบี้ตะบันเถียง ถามหน่อยในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ออกประกาศศาสนา
สั่งสอนชาวบ้านแถบชมพูทวีป พระองค์ทรงมีล่ามประจำตัวหรีอ ชมพูทวีปใหญ่แค่ไหน
ภาษามากมายก่ายกอง ทำไมชาวบ้านในสมัยนั้นฟังพระพุทธเจ้ารู้เรื่องล่ะ

นี่เป็นเพราะภาษาที่พระพุทธองค์ใช้ ชาวบ้านฟังรู้เรื่องมันเป็น
ภาษากลางเป็นภาษาทิพย์ มันไม่ต้องมานั่งแปลให้เกิดความสับสน
ทั้งคนแปลและคนฟัง


ศัพท์บาลีต้องรู้ แล้วเราไปว่าอะไร ที่เราว่าก็คือ เอาบาลีมาแปลขยายความ
ให้มันไกลเกินจุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า
คำเปรียบเปยเรื่อง "ใบไม้นอกกำมือ" ถามหน่อยกรัชกายเข้าใจมั้ย
อย่าเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า มาขยายความเพื่ออวดภูมิตัวเอง
ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นภาษากลางเป็นภาษาธรรมชาติ

ไอ้ที่กรัชกายกำลังทำอยู่ เราว่าเลิกทำเถอะ เอาธรรมะมาขยายเป็นเรียงความแบบนั้น
มันใช่จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้ามั้ย
กรัชกาย เขียน:
เช่น พอเห็นศัพท์บาลีเป็นต้นว่า สติ สัมปชัญญะ นิพพาน ปัญญา ฉันทะ วิริยะ ตัณหา เจตนา แล้วก็เดาสุ่มเอาตามอำเภอใจ อย่างนี้ร้อยคนร้อยความหมาย เลอะแล้ว :b1:

กรัชกายเอ้ยกรัชกาย จะพูดถึงภาษากลาง หรือภาษาธรรมชาติให้ฟัง จะยกตัวอย่าง

สมมุติมีชาวต่างชาติสองคน ที่ไม่รู้ภาษาไทยเลย อีกคนตาบอด อีกคนหูหนวก
อยากถาม ถ้าเราคนไทยจะเชิญให้สองคนนั้นทานข้าว กรัชกายว่าคนไหนมันจะรู้เรื่อง
มากกว่ากัน อย่าลืมน่ะว่าสองคนไม่รู้ภาษาไทย(อักษรเบลยังไม่มีน่ะ)
ตอบให้เลยเพื่อความเข้าใจ คนหูหนวกครับที่สามารถเข้าใจภาษากลางภาษาธรรมชาติ
ส่วนคนตาบอดไม่สามารถรับรู้ภาษาธรรมชาติได้เลย
ภาษาธรรมะหรือธรรมชาติ สื่อสารและรับรู้กันด้วยอาการทางกาย
และอาการทางวาจา เมื่ออาการทางวาจาใช่ไม่ได้ แสดงว่าคนตาบอดไม่สามารถรับรู้
ได้โดยทางหู เพราะไม่เข้าใจภาษาไทย
เมื่อใช้อาการทางกายแทนวาจา คนหูหนวกย่อมสามารถรับรู้ได้ทางตา
เคยเห็นคนใบ้เขาพูดกันมั้ย ภาษาที่เขาใช้กันมันพัฒนามาจากภาษาธรรมชาติแท้ๆ


อ่านความเห็นของเราแล้ว ย้อนกลับไปดูด้วยว่า ทำไมเราถึงบอกว่า
คนตาบอดไม่สามารถบรรลุธรรม แต่คนหูหนวกสามารถบรรลุธรรมได้
กรัชกาย เขียน:
เคยมีคนแปล "ตัณหา" ว่าหมายถึงหาไม่เจอ หาไม่พบ หาแล้วมันตัน ชื่อว่า ตัณหา ก๊ากๆๆๆ

ก็เห็นมั้ยล่ะ คนไม่มีปัญญาก็หลงแต่ว่า บัญญัติหรือคำศัพท์มันสำคัญ
ถ้ามันดีจริงสำคัญจริง ทำไมทำให้คนอื่นเข้าใจผิดล่ะ

กรัชกายอย่าหลงคิดว่า คนอื่นไม่เข้าใจภาษาที่กรัชกายพูดแล้วคนอื่นจะโง่
มันเป็นกรัชกายเองที่ไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจภาษาที่ตนใช้
กรัชกาย เขียน:
แล้วไตรสิกขาที่โฮฮับพูดนั่นก็เหมือนกัน เอาชัดชัดๆสิหมายถึงอะไรยังไง :b14:

จากปุถุชน ที่ต้องทำปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ในอธิศีล อธิจิตและอธิปัญญา จนได้อรหันต์
ดังนั้นพระอรหันต์จึงได้ชื่อว่าผู้มีไตรสิกขาหรือผู้ผ่านไตรสิกขามาแล้ว

ไตร.....ก็คือ อธิศีล อธิจิตและอธิปัญญา
สิกขา...ก็คือ ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ

ไตรสิกขา มีความหมาย ........
การทำปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธให้เกิด...อธิศีล
การทำปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธให้เกิด...อธิจิต
กาทำปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธให้เกิด....อธิปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ย. 2012, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:

"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิเป็นหัวหน้าอย่างไร?
เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณ จึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ จึงพอเหมาะได้

โดยนัยดังนี้แล พระเสขะ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘
จึงกลายเป็นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐"

(มหาจัตตารีสกสูตร ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๔, ข้อ ๒๗๙)



เมื่อเขาอ่านจบแล้ว โฮฮับบอกหน่อย เอาแบบเห็นๆเป็นรูปธรรมจับต้องได้ คือพอที่ผู้อ่านจะนำไปปฏิบัติกันเองได้ เพื่อที่ว่ามรรคมีองค์ 8 ดังกล่าวนั้นเกิดพอเหมาะพอดีจนเป็นพระอรหันต์กันได้ ลองบอกดิ :b1: เอาให้เหมาะเอาให้ดีว่า ปาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2012, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:

"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิเป็นหัวหน้าอย่างไร?
เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณ จึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ จึงพอเหมาะได้

โดยนัยดังนี้แล พระเสขะ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘
จึงกลายเป็นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐"

(มหาจัตตารีสกสูตร ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๔, ข้อ ๒๗๙)



เมื่อเขาอ่านจบแล้ว โฮฮับบอกหน่อย เอาแบบเห็นๆเป็นรูปธรรมจับต้องได้ คือพอที่ผู้อ่านจะนำไปปฏิบัติกันเองได้ เพื่อที่ว่ามรรคมีองค์ 8 ดังกล่าวนั้นเกิดพอเหมาะพอดีจนเป็นพระอรหันต์กันได้ ลองบอกดิ :b1: เอาให้เหมาะเอาให้ดีว่า ปาย

มันต้องไปดับกิเลสให้ได้ซะก่อน แล้วใช้อะไรดับ ก็สติปัฏฐานสี่
แต่จะทำสติปัฏฐานสี่ได้ ต้องอาศัยการมองธรรมตามความเป็นจริง
และการมองธรรมตามความเป็นจริงได้ ต้องไปรู้สภาวะ ไตรลักษณ์ให้ได้ซะก่อน
ไตรลักษณ์จะเกิดได้ดวยการมีสติที่ฉับไว สรุปก็คือ ไปหัดเจริญสติบ่อยๆ
อย่าข้ามขั้น ถ้าข้ามขั้นมันไม่ใช่ไตรสิกขา เข้าใจมั้ย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2012, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ว่างั้นหรือ เราว่ายังดีกว่า คนบางคน ไปแอบพร่ำเพ้อเจ้อคนเดียว ในห้องสมาธิเพราะกลัวหน้าแตก




เปล่าเลยไม่ได้กลัวหน้าแตก (เพราะไม่มีหน้า) แต่เค้ารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรควรอยู่ตรงไหนห้องไหนต่างหากเล่า :b1:

ที่ลงไว้ที่ห้องสมาธิ เริ่มลิงค์นี้เป็นต้นไป

viewtopic.php?f=2&t=43708

ด้วยเห็นว่าเนื้อหารายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม (กรรมฐาน) ไม่ได้คิดเออ เออเองนะนำมาจากหนังสือ "ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง" โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

ท่านตั้งเป็นหัวข้อไว้ดังนี้

ปฏิบัติธรรมคืออย่าง่ไร

การศึกษากับปฏิบัติไม่ใช่คนละอย่าง

ตัวแท้ของการปฏิบัติอยู่ที่ไหน

ปฏิบัติโดยไม่มีปริยัติจริงหรือ

ปริยัติจะเอาแค่ไหนและอย่างไร

จริงหรือที่ว่า ผู้ปฏิบัติธรรมต้องไม่มีความอยาก

วิธีปฏิบัติต่อความอยาก

เฉยไม่เอาเรื่องหรือคือปฏิบัติธรรม

ปฏิบัติสำเร็จวัดด้วยอะไร

แรงขับเคลื่อนที่จะเริ่มปฏิบัติธรรม

เครื่องช่วยในการปฏิบัติธรรม

ปัจจัยตัวเอกของการศึกษา

ปฏิบัติรรม วัดผลอย่างไร

หลักการทั่วไปของการปฏิบัติธรรม

หลักการผลสำเร็จของการปฏิบัติธรรมขั้นภาวนา

หลักพุทธธรรมเพื่อการปฏิบัติธรรม

ยังลงไม่หมดนะน่า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2012, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:

กรัชกายเอ๋ย แค่สติพื้นฐานยังทำไม่ได้ จะมาถามโน้นทำนี้
ถ้าไม่เชื่อแล้วจะมาถามทำไม หรือว่าเก่งแล้ว ก็ลองบอกมาว่า
ต้องทำอย่างไร จะช่วยชี้กิเลสของกรัชกายให้ดู


พูดไปก็ไม่เข้าใจ :b25:

แต่จะให้พูดต้องมีตัวอย่างที่พอจะชี้เป้าได้ นายโฮฮับลองชี้แนะชี้นำตัวอย่างผู้ปฏิบัตินี่ให้ดูทีสิ อ้าววว ว่าปายย :b1:

อ้างคำพูด:
เป็นคนชอบสวดมนต์ ไหว้พระมาเป็นเวลา เกือบสองปี จิตใจก็สบายดีไม่ค่อยมีความทุกข์มาก
แต่มาในช่วงสองสามเดือนมานี้ รู้สึกชอบฝันเห็นแต่พระอรหันต์ ที่มีชีวิตอยู่และเสียชีวิตแล้ว
แล้วก็เกิดเหตุการณ์แปลกในขณะที่นั่งสมาธิหลายครั้ง คือบางที่จะได้ยินเสียงสวดมนต์ บางที่จะมีเสียงแปลกๆ บางที่หูก็อือ บางที่ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นในหู ตัวเราในขณะนั่งสมาธิก็เหมือนนอนหลับแล้วตื่น แต่ก็ไม่ตกใจมีสติระลึกรู้ตลอด
viewtopic.php?f=1&t=43802

กรัชกายเราเห็นกระทู้ที่กรัชกายอ้างอิง เราเห็นมาก่อนแล้ว
เราสู้อุตสาห์ไม่ตอบกระทู้นั้น เพราะว่า จขกทยังขาดความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติ
จขกทคิดว่า สิ่งที่ปฏิบัติอยู่จะเกิดผลอย่างที่จขกทคิด มันผิดตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติแล้ว
เราไม่อยากไปเปลี่ยนทิฐิของคนมันยากต้องใช้เวลา กิเลสเราชี้ให้ดูได้แต่การดับเจ้าตัว
ต้องเป็นผู้ดับเอง นั้นก็คือต้องปฏิบัติเอง

ถ้ามีทิฐิที่ถูกแล้วมาถามเรื่องการปฏิบัติ เรายังพอตอบได้บ้าง
แต่ถ้ามีทิฐิที่เป็นกิเลส แล้วจะให้แนะนำวิธืการปฏิบัติเพื่อกิเลสทิฐินั้น เราทำไม่ได้ เข้าใจมั้ย

ชี้กิเลสให้รู้ จขกทยังติดข้องในสถาวะการปรุงแต่งของขันธ์ห้า ยังไม่เข้าในการทำงาน
ของขันธ์ห้า ที่สำคัญไม่รู้จักเหตุปัจจัยอันมีสฬายตนะและผัสสะ เหตุนี้เลยทำให้เกิดการปฏิบัติ
ที่ผิดไปจากจุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า

อาการที่จขกทบรรยายมา มันไม่ได้เกิดมรรคผลอะไรเลย มันเป็นการปรุงแต่งของธัมมารมณ์
อาจจะมีเรื่องราวแปลกๆบ้าง เป็นเพราะจขกทปิดทวารส่วนอื่นไว้ เปิดไว้แต่มโนทวาร
การปรุงแต่งของมโนมวารหรือเรียกว่า การจินตนาการจึงได้เป็นเรื่องแปลกๆอย่างที่จขกทคิด
สรุปก็คือ.....จขกทสร้างจินตนาการไปเอง อย่าลืมความคิดหรือธัมมารมณ์ของคนที่ยังติดข้อง
ในกิเลสมันสุดจะบรรยาย มันเหมือนการสร้างวิมานในอากาศนั้นแหล่ะ :b32:

เอาพุทธพจน์ มาเป็นอุทาหรณ์ เห็นมันเกี่ยวข้องกันดี.....
เปรียบบุคคลด้วยดอกบัว ๓ เหล่า
[๕๑๑] ดูกรราชกุมาร ครั้นอาตมภาพทราบว่าท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย
จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ. เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี
มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มีมีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี
จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง
หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำบางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ
จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้
บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด
ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้นได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี
มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มีมีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี
จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี.

http://etipitaka.com/read?language=thai ... &volume=13


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2012, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกแล้วพูดไปก็ไม่เข้าใจ พูดตรงๆ คือ นักอ่านกับนักปฏิบัติเนี่ยไม่มีวันเข้าใจถึงความรู้สึกกันได้ ไม่มีทาง นายโฮฮับเป็นแค่นักอ่าน (ปริยัติ) ขั้นต้น อ่านแล้วก็จินตนาการว่าเป็นยังงั้นยังงี้ ยังไม่ได้ก้าวไปถึงขั้นปฏิบัติ คือ ยังไม่ได้ลงมือทำเลยว่างั้นเถอะ เมื่อยังเป็นแค่นักอ่านแล้วจิตนาการว่ามันจะยังงั้นยังงี้ เปรียบให้เห็นง่ายๆก็เหมือนคนเมากัญชา (เคยพูดแล้ว) เมาได้ที่ก็ลงนอนมองท้องฟ้า เห็นก้อนเมฆลอยมาก็ว่าเหมือน รถ เหมือนเรือ เหมือนภูเขา เหมือนเทพบุตรเทพธิดา

ปริยัติ ขั้นหนึ่ง ปฏิบัติ (บำเพ็ญเพียรทางจิต) ขั้นสอง เมื่อลงมือทำลงมือปฏิบัติจริงจนรู้เข้าใจชีวิตจิตใจ นี่เรียกว่า ปฏิเวธ ขั้นสุดท้าย (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2012, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
บอกแล้วพูดไปก็ไม่เข้าใจ พูดตรงๆ คือ นักอ่านกับนักปฏิบัติเนี่ยไม่มีวันเข้าใจถึงความรู้สึกกันได้ ไม่มีทาง นายโฮฮับเป็นแค่นักอ่าน (ปริยัติ) ขั้นต้น อ่านแล้วก็จินตนาการว่าเป็นยังงั้นยังงี้ ยังไม่ได้ก้าวไปถึงขั้นปฏิบัติ คือ ยังไม่ได้ลงมือทำเลยว่างั้นเถอะ เมื่อยังเป็นแค่นักอ่านแล้วจิตนาการว่ามันจะยังงั้นยังงี้ เปรียบให้เห็นง่ายๆก็เหมือนคนเมากัญชา (เคยพูดแล้ว) เมาได้ที่ก็ลงนอนมองท้องฟ้า เห็นก้อนเมฆลอยมาก็ว่าเหมือน รถ เหมือนเรือ เหมือนภูเขา เหมือนเทพบุตรเทพธิดา

ปริยัติ ขั้นหนึ่ง ปฏิบัติ (บำเพ็ญเพียรทางจิต) ขั้นสอง เมื่อลงมือทำลงมือปฏิบัติจริงจนรู้เข้าใจชีวิตจิตใจ นี่เรียกว่า ปฏิเวธ ขั้นสุดท้าย (ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ)

แก้เกี่ยวหรือเปล่ากรัชกาย ไปไม่ถูกก็ไปน้ำขุ่นๆแบบนี้ กรัชกายว่าตัวเองปฏิบัติ
ปฏิบัติปะสาอะไร อธิบายผลการปฏิบัติไม่ได้เรื่อง เห็นโพสความเห็นแต่ละครั้ง
ถ้าไม่โพสรูป โพสเพลงไร้สาระ พอเป็นงานเป็นการหน่อยก็ก็อปบทความ
ที่เขาไว้สอนเณรภาคฤดูร้อนมาแปะ ไม่รู้จักโต(หมายถึงปัญญาน่ะ) :b32:

อย่างไรก็อย่าพึ่งสิ้นหวัง เริ่มต้นใหม่ตามที่เราบอก แล้วก็จะเห็นผล
อย่าไปหลงอยู่กับอดีต ไอ้ที่ผ่าน ที่พลาดช่างหัวมัน ตั้งใจเพียรพยายาม
อาจได้โสดากับเขาบาง ตายไปจะได้ไม่ลงอบาย :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร