วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 21:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2012, 02:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
อันนี้ความเห็น
อาการ เพศ นิมิต อุเทศ มันก็คือ ส่วนที่เรียกว่า สันตติ ระหว่างรูปและนาม
ส่วนรูปขันธ์และนามขันธ์ เป็น ฆนะ กันอยู่

เรื่องอาการ เพศ นิมิต อุเทศ พระพุทธองค์ไม่ได้จะเน้นบอกเรื่อง สันตติหรือฆนะ
แต่พระองค์กำลังบอกถึงสิ่งที่ อาศัยกันเกิด อย่างเช่น รูปกายถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า
อาการ เพศ นิมิต อุเทศ มันก็จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า....นามกาย
หรือถ้ากล่าวถึงนามกายโดยไม่มี อาการ เพศ นิมิต อุเทศ มันก็ไม่มีรูปกาย

สรุปก็คือ การจะกล่าวถึงรูปกาย มันจะต้องมีนามกายด้วย
เพราะรูปกายและนามกายมันอาศัยกันอยู่
ก็เหมือนกับว่า ชืวิตของเราประกอบด้วย รูปและนามนั้นแหล่ะ


ที่ต้องสังเกตุ คำว่า รูปกายและนามกายจะแยกกันต่างหากไม่ได้ เพราะทั้งสองมีกายเป็นประธาน
นั้นคือนามมีเหตุปัจจัยมาจากรูป รูปก็คือกายจึงเรียกว่ารูปกาย นามอันมีเหตุปัจจัยมาจากรูปหรือกาย
จึงเรียก นามอันเกิดจากกายนั้นว่า....นามกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2012, 03:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
และปฏิกิริยา หรือสันตติ ระหว่างรูปและนาม จึงใช้คำว่ารูปกาย และนามกาย เช่น เสวยสุขด้วย

เลอะเทอะแล้วคุณฝึกจิต คุณจะเอา สันตติมาใช้กับเรื่องรูปกายกับนามกายไม่ได้
เพราะความหมายของรูปกายกับนามกายมันอาศัยกันอยู่

สันตติใช้ได้แต่นามหรือนามอันเกิดจากกายได้อย่างเดียว ไม่สามารถใช้กับรูปกายได้
รูปกายหรือร่างกายของเรา มันไม่ใช่สันตติ ไม่ใช่ไตรลักษณ์ แต่เป็นอนัตตา

คำว่าเสวยสุขต้องไปพูดในกระบวนการขันธ์ ไม่ใช่มาพูดในเรื่องรูปกายและนามกาย
เสวยสุขคือการได้รับผัสสะแล้ว เกิดรูปขันธ์ วิญญาณขันธ์และเวทนาขันธ์สันตติกันอยู่

ฝึกจิต เขียน:
นามกาย ไม่ใช่เสวยสุขด้วยนามขันธ์ หรือกล่าวอีกในคือ รูปกายและนามกาย คือรูปขันธ์และนามขันธ์ ที่กำลังเกิด สันตติ กันอยู่

เอาเสวยสุขอะไรมาพูดมันเกื่ยวอะไรตรงไหนครับ
ที่บอกว่า....รูปขันธ์และนามขันธ์กำลังเกิดสันตติกันอยู่ใช่ครับ

แต่ถ้าบอกว่า..รูปกายเกิดสันตติอยู่ไม่ใช่ครับ กายอย่างเดียวเกิดสันตติไม่ได้
การจะเกิดสันตติได้ ต้องเป็นนามครับ
หรือจะบอกว่า นามอาศัยรูปเกิดแล้วเกิดสันตติในกระบวนการขันธ์ห้า


รูปอย่างเดียวไม่ใช่รูปขันธ์ รูปขันธ์จะเกิดต่อเมื่อนามเกิด
ดังนั้นรูปขันธ์จึงเป็นนามไม่ใช่รูป(กาย)

ฝึกจิต เขียน:
ดังเช่น คำว่าไฟ และเปลวไฟ พูดถึงไฟ ก็คือรูปขันธ์ พูดถึงเปลวไฟ ก็คือ รูปกาย
ใช่หรือมั้ย ก็แล้วแต่จะพิจารณา นะครับ

รูปขันธ์กับรูปกายมันไม่เหมือนกัน เพราะการที่เราไม่มองรูปกายที่เห็นเป็นแค่ธาตุสี่
มันจึงเกิดรูปขันธ์ขึ้น ถ้าเรารู้ว่า กายมันเป็นแค่ธาตุสี่ และนามมีเหตุมาจากจากกาย
ยามใดที่ธาตุสี่แตกสลายหรือหมดเหตุการประชุมกัน ก็หมดเหตุที่ทำให้เกิดนาม
แบบนี้ รูปขันธ์ก็จะไม่มีหรือไม่เกิด มีเพียงแต่การรู้รูปหรือกาย(ผัสสะ)เท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2012, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b24: ยำพุทธธรรมเสียเละเทะ เห็นแล้วได้แต่ปลง ปลายๆพุทธกาลจะขนาดไหน พุทโธ ธัมโม สังโฆ


มันจบแล้วครับ นาย :b5: :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2012, 17:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
:b24: ยำพุทธธรรมเสียเละเทะ เห็นแล้วได้แต่ปลง ปลายๆพุทธกาลจะขนาดไหน พุทโธ ธัมโม สังโฆ


มันจบแล้วครับ นาย :b5: :b9:



มันเละเทะ เพราะ ความยึดมั่น กำจนแน่น คลายไม่ออก เชื่อทุกอย่างที่มันปรุ่งแต่ง

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 00:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
กรัชกาย เขียน:
:b24: ยำพุทธธรรมเสียเละเทะ เห็นแล้วได้แต่ปลง ปลายๆพุทธกาลจะขนาดไหน พุทโธ ธัมโม สังโฆ
มันจบแล้วครับ นาย :b5: :b9:

มันเละเทะ เพราะ ความยึดมั่น กำจนแน่น คลายไม่ออก เชื่อทุกอย่างที่มันปรุ่งแต่ง
:b8:

พูดแบบนี้มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรหรอกครับ มันก็แค่เป็นอาการแก้เกี่ยวของคนที่
ไม่รู้จักการหาเหตุผลมาอธิบายธรรม

คนมีปัญญามองธรรมตามความเป็นจริง
ย่อมอธิบายเรื่องของธรรมชาติได้ทุกเรื่อง เรียกว่าเข้าใจในเหตุและผล
ผิดกับคนที่นั่งท่องคำศัพท์ การท่องคำศัพท์มันก็รู้แค่คำศัพท์ ศาสดาของเรา
ไม่ใช่ผู้แปลบาลีนะครับ พระธรรมก็ไม่ใช่หนังสือพจนานุกรมด้วย

ในแต่ละพระสูตร พระพุทธเจ้าทรงอธิบายความให้รู้ความในแต่ละเรื่องแล้ว
มันเป็นเพราะเราไม่เข้าใจเอง

พระสูตรหรือพุทธพจน์ ก็เปรียบเหมือนพระพุทธองค์ กำลังแสดงอาการให้รู้
ถ้ามีคนต่างชาติต่างภาษาสองคน มาดูอาการที่พระพุทธองค์แสดง
อีกคนเห็นแล้วก็พูดอาการนั้นเป็นภาษาของเขา ถ้าเราไม่รู้ภาษาเขา
ผมถามหน่อย มันจำเป็นหรือที่เราต้องไปหาว่าเขาพูดอะไร

อีกเรื่องครับ กับคนที่มองธรรมชาติไปตามความจริง
มีปัญญาสัมมาทิฐิ มันจำเป็นมั้ยครับ ที่จะต้องไปถามคำถามคนที่เป็นมหาเปรียญ
ธรรมะไม่ใช่ภาษาศาสตร์นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 06:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


งั้นกระผมจะยกมาให้ดูอีกนะครับ
โฮฮับ เขียน:
สันตติใช้ได้แต่นามหรือนามอันเกิดจากกายได้อย่างเดียว ไม่สามารถใช้กับรูปกายได้

ในพระไตรปิฏกว่า
[๕๓๕] รูปที่เรียกว่า รูปสันตติ นั้น เป็นไฉน?
ความเกิดแห่งรูป อันใด อันนั้น เป็นความสืบต่อแห่งรูป รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปสันตติ.


โฮฮับ เขียน:
คำว่าเสวยสุขต้องไปพูดในกระบวนการขันธ์ ไม่ใช่มาพูดในเรื่องรูปกายและนามกาย
เสวยสุขคือการได้รับผัสสะแล้ว เกิดรูปขันธ์ วิญญาณขันธ์และเวทนาขันธ์สันตติกันอยู่

ในพระไตรปิฏกว่า
ตติยฌาน
เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
---- คำนี้ พระพุทธองค์ใช้มากในการสอน ลองหาอ่านดูนะ

โฮฮับ เขียน:
รูปอย่างเดียวไม่ใช่รูปขันธ์ รูปขันธ์จะเกิดต่อเมื่อนามเกิด
ดังนั้นรูปขันธ์จึงเป็นนามไม่ใช่รูป(กาย)

ความหมายแห่ง รูปขันธ์ หรือ กองรูปนั้น มันเยอะมากครับ ยกตัวอย่างมาให้ดู
รูปภายนอกที่ไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน นั้น เป็นไฉน?
อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่
ได้แก่ รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาสธาตุ
อาโปธาตุ รูปลหุตา รูปกัมมัญญตา รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่ไม่ได้เกิดจากจิต
ไม่มีจิตเป็นเหตุ ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน.


แล้วท่านจะได้เข้าใจธรรมที่ว่า
ธรรมไม่เจือกับจิต ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน และไม่เกิดร่วมกับจิต เป็นไฉน?
จิต รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เจือกับจิต ไม่มี
จิตเป็นสมุฏฐาน และไม่เกิดร่วมกับจิต.


สมุฏฐาน สะหฺมุดถาน แปลว่า ที่เกิด ที่ตั้ง เหตุ


หากคิดจะเชื่อ ก็จงเชื่อในคำของ ตถาคต เป็นที่ตั้ง มานะทิฏฐิ จะได้ลดลง (บอกผู้ที่สนใจในธรรมทั้งหลาย นะครับ )

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 08:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สัทธัมปฏิรูป....ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติ..นะ...แม้แต่การยกพระพุทธพจน์...มาก็เป็นสัทธัมปฏิรูปได้เช่นกัน
หากใช้เกณฑ์...การเข้าใจ..เข้าถึง...มาวัด

บางที....การเข้าใจ...หัวใจของมันในมุมหรือทิศทางหนึ่ง ๆ...แม้ไม่ตรงตามตัวอักษรในตำรับตำราทั้งหมด....แต่ได้ความหมายครบ...ก็เป็นธรรมสอนตนผู้นั้นได้....เราเรียกว่า Key Word...ซึ่งมันเป็นของเฉพาะของคนนั้น...
แต่หากเอามาถ่ายทอดเป็นสาธารณะ...จะเป็นสัทธัมปฏิรูปทันทีเพราะ...ผู้อื่นไม่ได้เข้าใจนัยนั่น....เหตุเพราะ...ภาษาไม่อาจถ่ายทอดความรู้สึกได้หมด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 09:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เถรวาท....จึงไม่บันทึกความรู้สึกอันนั้น...ปล่อยให้เป็นเรื่องเฉพาะตัว...หากจะบันทึกก็บันทึกเพียงของพระพุทธเจ้า
ส่วนทางฟากอาจารยาวาท....มีความเห็นว่า...ความรู้สึกที่เกิดเฉพาะตัวสามารถเอามาเผยแพร่ได้...

ซึ่งทั้งหมดนี้...ก็เป็นความคิดความเห็นของบูรพาจารย์ในยุคหลัง...ไม่ใช่เจตนาของพระพุทธองค์เลย
แล้วเราทำไมมายึดเป็นบ้าเป็นหลังกันนัก...ทั้งที่ว่าต้องตรงและที่เอาแต่ตามใจตนนึก...บ้าทั้งหมดนั้นแหละ

เคยคิดบ้างมั้ยว่า...ในสมัยพุทธกาล..หรืออาจจะคล้อยหลังมาเล็กน้อย...ไม่มีเขียนในตำรา..แต่ทำไมคนถึงบรรลุกัน
ได้มากมาย....ระยะหลัง ๆ...แม้มีตำรับตำรา...กลับ...บรรลุกันได้น้อย...

แต่เราเป็นเถราวาท....เรามีหน้าที่รักษาพุทธวจนะ....ให้คงเดิมมากที่สุด....อย่างน้อยคนรุ่นหลังจะได้อ่านอย่างที่เราได้อ่านเป๊ะ ๆ....ส่วนอ่านแล้วคิดยังงัยก็ให้เป็นผลจากการศึกษาภาวนาของผู้นั่น...จะไม่เป็นการเอาเปรียบกันคนรุ่นหลัง ๆ..งัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
รูปอย่างเดียวไม่ใช่รูปขันธ์ รูปขันธ์จะเกิดต่อเมื่อนามเกิด
ดังนั้น รูปขันธ์จึงเป็นนาม ไม่ใช่รูป (กาย)


จะต้องไปดูอะไรนักหนาเล่า แค่นั้นก็ออกทะเลแล้ว คิกๆ เพ้อเจ้อ

ท่านแยก ชีวิตนี้ไว้ชัดเจนแล้ว แยกโดยความเป็นขันธ์ ได้ 5 ขันธ์ (กอง) คือ

รูปขันธ์
เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์

ก็มีแค่นี้
ข้อ 1 เป็นรูปขันธ์ (ส่วนรูป หรือ กาย หากจะแยกไปอีกก็เป็นรูป 28)
ที่เหลือเป็นนามขันธ์ (ส่วนนาม)

เป็นอายตนะ 12
เป็นธาตุ 18
เป็นอินทรีย์ 22

แต่ทีนี้พวกเราผ่าคิดฟุ้งซ่านไป แล้วโมเมเอาว่า เป็นการรู้ธรรม คิกๆ ขำ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
รูปอย่างเดียวไม่ใช่รูปขันธ์ รูปขันธ์จะเกิดต่อเมื่อนามเกิด
ดังนั้น รูปขันธ์จึงเป็นนาม ไม่ใช่รูป (กาย)

จะต้องไปดูอะไรนักหนาเล่า แค่นั้นก็ออกทะเลแล้ว คิกๆ เพ้อเจ้อ

อิตานี่ทำมั้ยถึงเกรียนไม่เลิกลา บอกแต่ต้นแล้วจะดูรูปนาม ขันธ์ห้า
ให้ดูด้วยกรรมฐาน ดูรูปนาม เขาให้ดูที่....กายใจตัวเองอย่าเพ่งแส่ไปนอกกายใจ ใช้ใจตัวเอง ดูกายตัว

แล้วก็ไม่ใช่มาท่องตำราให้คนอื่นฟังแล้วบอกเป็นกรรมฐาน ฮ่วย!
ถ้าปฏิบัติด้วยการท่องตำราแบบนี้โฮฮับสำเร็จเป็นอรหันต์ตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว :b32:
กรัชกาย เขียน:
ท่านแยก ชีวิตนี้ไว้ชัดเจนแล้ว แยกโดยความเป็นขันธ์ ได้ 5 ขันธ์ (กอง) คือ
รูปขันธ์
เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์

ก็ไอ้ห้าขันธ์ ห้ากะลามังเนี่ยน่ะ นายกรัชกายเห็นสันตติมั้ย ก็ไม่เห็น
มันก็เป็นชีวิต ถูกต้อง แต่มันเป็นชีวิตของปุถุชน
พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติให้พ้นจากความเป็นปุถุชน ให้พ้นจากกองขันธ์เหล่านี้

ที่เราเห็นขันธ์ห้าแต่ละขันธ์ เป็นเพราะพระพุทธเจ้ามาบอก
จริงๆแล้วปุถุชนมีขันธ์ห้าแต่ไม่เห็นขันธ์ห้า เห็นเพียงเป็นชีวิตของตนเองเท่านั้น

ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดการปรุงแต่ง จนเป็นกระบวนการขันธ์ห้าขึ้น
พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ไม่รู้ว่า เกิดกระบวนการนี้เป็นเพราะ อวิชา
พระองค์ให้รู้แล้วละเสีย เพราะขันธ์ห้าเป็นเพียงสังขารการปรุงแต่ง
มันเกิดแล้วย่อมดับ

เราต้องปฏิบัติเพื่อให้กายใจเราไม่ไปยึดให้เกิดขันธ์ห้า เมื่อเป็นเช่นนี้
เราก็มีเพียงรูปกับนาม

ปุถุชนมีขันธ์ห้าบวกรูปกาย เรียกว่า....ชีวิต
แต่พระอรหันต์มีเพียงรูปกับนาม ที่เรียกว่า ชีวิต แต่ชีวิตนี้เป็นอสังขตธาตุ
ไม่ปรุงแต่งจนเกิดขันธ์ห้าแล้ว


พระอรหันต์ที่ยังไม่นิพพาน ก็ยังมีชีวิต แต่ไม่ปรุงแต่งขันธ์ห้า
การมีชีวิตของท่าน เป็นเพียงรูปกับนาม
อิตากรัชกายกับอิตาฝึกจิตยังมาเถียงข้างๆคูว่า รูปขันธ์คือรูปกาย :b32:

กรัชกาย เขียน:
ก็มีแค่นี้
ข้อ 1 เป็นรูปขันธ์ (ส่วนรูป หรือ กาย หากจะแยกไปอีกก็เป็นรูป 28)
ที่เหลือเป็นนามขันธ์ (ส่วนนาม)
เป็นอายตนะ 12
เป็นธาตุ 18
เป็นอินทรีย์ 22
แต่ทีนี้พวกเราผ่าคิดฟุ้งซ่านไป แล้วโมเมเอาว่า เป็นการรู้ธรรม คิกๆ ขำ


ถามหน่อยที่พูดมานี่น่ะ รู้ด้วยกายใจตัวเองหรือเปล่า
ที่นายกรัชกายพูดมา มันเป็นการไปรู้สิ่งภายนอกกายใจของตนเอง
มันเหมือนกับไปมองกายคนอื่น สิ่งที่เห็นย่อมเป็นรูปอยู่แล้ว

ถ้าเรามาที่กายใจเรา ถ้ามีรูปกายอย่างเดียว มันก็เป็นรูปยังไม่ได้เลย
เพราะไม่มีอะไรมารู้ในตัวกายนั้น มันต้องอาศัยนามมารู้ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น
ภายในกายใจเรา มันจึงเป็นนามทั้งหมด เพราะจิตตัวรู้ก็คือนาม

กายของเราเป็นเพียงธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มันมาประชุมกันได้ต้องอาศัย
นามเป็นประธาน การที่นามไปรู้กาย จึงเรียกกายที่รู้ว่ารูป ถ้าไม่มีนาม กายก็เป็นเพียงธาตุสี่
ไม่ใช่รูปของนามนั้นอีกต่อไป


กรรมฐานวันละนิด จิตแจ่มใสนะจ๊ะ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 12:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
งั้นกระผมจะยกมาให้ดูอีกนะครับ
โฮฮับ เขียน:
สันตติใช้ได้แต่นามหรือนามอันเกิดจากกายได้อย่างเดียว ไม่สามารถใช้กับรูปกายได้

ในพระไตรปิฏกว่า
[๕๓๕] รูปที่เรียกว่า รูปสันตติ นั้น เป็นไฉน?
ความเกิดแห่งรูป อันใด อันนั้น เป็นความสืบต่อแห่งรูป รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปสันตติ.

คุณฝีกจิตนี่ก็อีกคน พูดธรรมพูดตามตำรา แถมไม่เข้าใจความหมายที่พูดด้วย
จะบอกให้ครับอ้างตำราได้ครับ แต่มันต้องตรงกับสิ่งที่เป็นปัญหาด้วย
จะบอกให้วันหลังจะอ้างอะไรก็เอามาให้หมดไม่ใช่อ้างสั้นจู่แบบนี้ คนอื่นเขาจะได้อธิบาย
ให้ฟังว่าตัวเองเข้าใจผิดอย่างไร

ผมถามคุณหน่อยครับ คุณเข้าใจเรื่องที่คุณตั้งหัวข้อกระทู้หรือเปล่า
ที่ว่ารูปกายกับนามกาย คุณรู้หรือเปล่าว่ามันมีความหมาย
หรือมีกรอบว่า ....มันคือกายและใจของเรา


รูปกาย มันมีความหมายถึง กายของเรา

ไอ้สิ่งที่คุณเอามาอ้าง มันเป็นสิ่งภายนอกกายใจ หรือเรียกว่า....อายตนะภายนอก
มันไม่ใช่กายของเรา มันเป็นสิ่งที่มากระทบกายเรา เข้าใจมั้ย

สันตติรูปมันไม่เกี่ยวกับรูปขันธ์ ท่านหมายถึงอายตนะภายนอกที่ อายตนะภายในหรือกายเรา
ไปกระทบ

จะพูดสั้นๆพอเข้าใจนะครับ
ความหมายของสันตติรูป เอาแค่เรื่องตาไปกระทบรูป
การที่เรายังเห็นรูปอยู่ แท้จริงแล้วรูปนั้นเกิดดับด้วยเหมือนกัน มันเป็นสันตติ
แต่ที่เรามองไม่เห็นสันตติก็เพราะ ตาเรายังอยู่ที่รูปนั้น มันเป็นความรู้สีกที่ต่อเนื่อง

อนึ่งรูปสันตติที่ว่า จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่เกิดการกระทบกันระหว่าง อาตนะภายในและภายนอก
สรุปดีกว่า ที่เอาเรื่องรูปสันตติมาอ้างมันไม่เกี่ยวกับประเด็นที่เราคุยกัน แบบนี้เขาเรียก...
อ้างมั่วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 13:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คำว่าเสวยสุขต้องไปพูดในกระบวนการขันธ์ ไม่ใช่มาพูดในเรื่องรูปกายและนามกาย
เสวยสุขคือการได้รับผัสสะแล้ว เกิดรูปขันธ์ วิญญาณขันธ์และเวทนาขันธ์สันตติกันอยู่

ในพระไตรปิฏกว่า
ตติยฌาน
เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป ได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้ อยู่.
---- คำนี้ พระพุทธองค์ใช้มากในการสอน ลองหาอ่านดูนะ

เอามาอ้างแล้วไล่ให้เขาไปหาอ่านเอง แบบนี้ก็มีด้วย :b32:
ผมล่ะเซ็งคุณจริงๆ เล่นเอาคำศัพท์มาแย้งแบบนี้

ที่บอกว่าเสวยสุขด้วย...นามกาย แล้วรูปกายหายไปไหน
ปุโธ๋! อ้างมั่วเดาสุ่มแบบนี้ผมก็เวียนหัวแย่นะซิครับ
อ้างแต่คำศัพท์อยู่นั้นแหล่ะ

จะบอกให้แค่คำว่าอุเบกขาที่คุณเอามาอ้าง...มันมีความหมายตั้งเป็นสิบ
จะพูดธรรมมันต้องอธิบาย ไม่ใช่อ้างแต่คำศัพท์ผิดๆถูกๆ สงสารผมบ้างเถอะครับ :b32:

นามกายอย่างเดียว มันก็เรื่องหนึ่ง
รูปกายอย่างเดียวมันก็เรื่องหนึ่ง
ถ้าเป็นรูปกายกับนามกาย มันก็เป็นอีกเรื่อง

บอกกี่ครั้งแล้วว่า พระองค์สอนคนต่างสถานที่ต่างสถานะ
ไม่ใช่พระสูตรบทหนื่งสอนคนทั้งโลก พระองค์ดูจริตคน

ถามหน่อย ถ้าเอาบทกาลามสูตร มาสอนพระโสดาบันแบบนางวิสาขา มันใช่เรื่องมั้ย
ถ้าไม่โดนนางวิสาขาย้อนไปหัวเราะไปค่อยมาว่ากัน :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
โฮฮับ เขียน:
รูปอย่างเดียวไม่ใช่รูปขันธ์ รูปขันธ์จะเกิดต่อเมื่อนามเกิด
ดังนั้นรูปขันธ์จึงเป็นนามไม่ใช่รูป(กาย)

ความหมายแห่ง รูปขันธ์ หรือ กองรูปนั้น มันเยอะมากครับ ยกตัวอย่างมาให้ดู
รูปภายนอกที่ไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน นั้น เป็นไฉน?
อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่
ได้แก่ รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาสธาตุ
อาโปธาตุ รูปลหุตา รูปกัมมัญญตา รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่ไม่ได้เกิดจากจิต
ไม่มีจิตเป็นเหตุ ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน.

:

ที่เอามาอ้างมันคนละเรื่องเดียวกันหรือเปล่า
ผมถามคุณสั้นง่ายๆเลย ไอ้กองรูปที่คุณบอกเนี่ยน่ะ มันเป็นกองรูปของใคร
มันเป็นกองรูปของคุณหรือเปล่า ถามหน่อยถ้าเป็นกองรูปของคุณ คุณไปรู้กองรูปนี้
ด้วยอะไร แค่นี้แหล่ะ

ถามอีกหน่อย รู้จักจิตผู้รู้หรือจิตตัวรู้มั้ย
ถามอีกนิด ถ้าเราตาย ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณ
เราจะเรียกร่างกายนั้นว่าอะไรระหว่างซากศพหรือรูป

ฝึกจิต เขียน:
แล้วท่านจะได้เข้าใจธรรมที่ว่า
ธรรมไม่เจือกับจิต ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน และไม่เกิดร่วมกับจิต เป็นไฉน?
จิต รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เจือกับจิต ไม่มี
จิตเป็นสมุฏฐาน และไม่เกิดร่วมกับจิต.


สมุฏฐาน สะหฺมุดถาน แปลว่า ที่เกิด ที่ตั้ง เหตุ


หากคิดจะเชื่อ ก็จงเชื่อในคำของ ตถาคต เป็นที่ตั้ง มานะทิฏฐิ จะได้ลดลง (บอกผู้ที่สนใจในธรรมทั้งหลาย นะครับ )

ไหนลองอธิบายประโยคนี้หน่อย อสังขตธรรมนี้เข้าใจครับ
แต่ไอ้ที่ว่า จิต รูปทั้งหมด ชื่อว่า ธรรมไม่เจือจิต ไม่มีจิตเป็นสมมุติฐานและ
ไม่เกิดร่วมกับจิต

มันหมายความว่าอย่างไร :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




charl-2012-11-03-1351941137-431885803182082895.jpg
charl-2012-11-03-1351941137-431885803182082895.jpg [ 32.39 KiB | เปิดดู 3399 ครั้ง ]
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
รูปอย่างเดียวไม่ใช่รูปขันธ์ รูปขันธ์จะเกิดต่อเมื่อนามเกิด
ดังนั้น รูปขันธ์จึงเป็นนาม ไม่ใช่รูป (กาย)

จะต้องไปดูอะไรนักหนาเล่า แค่นั้นก็ออกทะเลแล้ว คิกๆ เพ้อเจ้อ

อิตานี่ทำมั้ยถึงเกรียนไม่เลิกลา บอกแต่ต้นแล้วจะดูรูปนาม ขันธ์ห้า
ให้ดูด้วยกรรมฐาน ดูรูปนาม เขาให้ดูที่....กายใจตัวเองอย่าเพ่งแส่ไปนอกกายใจ ใช้ใจตัวเอง ดูกายตัว

แล้วก็ไม่ใช่มาท่องตำราให้คนอื่นฟังแล้วบอกเป็นกรรมฐาน ฮ่วย!
ถ้าปฏิบัติด้วยการท่องตำราแบบนี้โฮฮับสำเร็จเป็นอรหันต์ตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว :b32:
กรัชกาย เขียน:
ท่านแยก ชีวิตนี้ไว้ชัดเจนแล้ว แยกโดยความเป็นขันธ์ ได้ 5 ขันธ์ (กอง) คือ
รูปขันธ์
เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์

ก็ไอ้ห้าขันธ์ ห้ากะลามังเนี่ยน่ะ นายกรัชกายเห็นสันตติมั้ย ก็ไม่เห็น
มันก็เป็นชีวิต ถูกต้อง แต่มันเป็นชีวิตของปุถุชน
พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติให้พ้นจากความเป็นปุถุชน ให้พ้นจากกองขันธ์เหล่านี้

ที่เราเห็นขันธ์ห้าแต่ละขันธ์ เป็นเพราะพระพุทธเจ้ามาบอก
จริงๆแล้วปุถุชนมีขันธ์ห้าแต่ไม่เห็นขันธ์ห้า เห็นเพียงเป็นชีวิตของตนเองเท่านั้น

ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดการปรุงแต่ง จนเป็นกระบวนการขันธ์ห้าขึ้น
พระพุทธเจ้าบอกว่าคนที่ไม่รู้ว่า เกิดกระบวนการนี้เป็นเพราะ อวิชา
พระองค์ให้รู้แล้วละเสีย เพราะขันธ์ห้าเป็นเพียงสังขารการปรุงแต่ง
มันเกิดแล้วย่อมดับ

เราต้องปฏิบัติเพื่อให้กายใจเราไม่ไปยึดให้เกิดขันธ์ห้า เมื่อเป็นเช่นนี้
เราก็มีเพียงรูปกับนาม

ปุถุชนมีขันธ์ห้าบวกรูปกาย เรียกว่า....ชีวิต
แต่พระอรหันต์มีเพียงรูปกับนาม ที่เรียกว่า ชีวิต แต่ชีวิตนี้เป็นอสังขตธาตุ
ไม่ปรุงแต่งจนเกิดขันธ์ห้าแล้ว


พระอรหันต์ที่ยังไม่นิพพาน ก็ยังมีชีวิต แต่ไม่ปรุงแต่งขันธ์ห้า
การมีชีวิตของท่าน เป็นเพียงรูปกับนาม
อิตากรัชกายกับอิตาฝึกจิตยังมาเถียงข้างๆคูว่า รูปขันธ์คือรูปกาย :b32:

กรัชกาย เขียน:
ก็มีแค่นี้
ข้อ 1 เป็นรูปขันธ์ (ส่วนรูป หรือ กาย หากจะแยกไปอีกก็เป็นรูป 28)
ที่เหลือเป็นนามขันธ์ (ส่วนนาม)
เป็นอายตนะ 12
เป็นธาตุ 18
เป็นอินทรีย์ 22
แต่ทีนี้พวกเราผ่าคิดฟุ้งซ่านไป แล้วโมเมเอาว่า เป็นการรู้ธรรม คิกๆ ขำ


ถามหน่อยที่พูดมานี่น่ะ รู้ด้วยกายใจตัวเองหรือเปล่า
ที่นายกรัชกายพูดมา มันเป็นการไปรู้สิ่งภายนอกกายใจของตนเอง
มันเหมือนกับไปมองกายคนอื่น สิ่งที่เห็นย่อมเป็นรูปอยู่แล้ว

ถ้าเรามาที่กายใจเรา ถ้ามีรูปกายอย่างเดียว มันก็เป็นรูปยังไม่ได้เลย
เพราะไม่มีอะไรมารู้ในตัวกายนั้น มันต้องอาศัยนามมารู้ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น
ภายในกายใจเรา มันจึงเป็นนามทั้งหมด เพราะจิตตัวรู้ก็คือนาม

กายของเราเป็นเพียงธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มันมาประชุมกันได้ต้องอาศัย
นามเป็นประธาน การที่นามไปรู้กาย จึงเรียกกายที่รู้ว่ารูป ถ้าไม่มีนาม กายก็เป็นเพียงธาตุสี่
ไม่ใช่รูปของนามนั้นอีกต่อไป


กรรมฐานวันละนิด จิตแจ่มใสนะจ๊ะ


กรรมเวน วันละนิด จิตถูกครอบงำด้วยอวิชชานะว่า :b1:

กายใจ หรือชีวิตนี้มันเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เรา ใช่เขา (นี่พูดโดยปรมัตถ์) เป็นธาตุ ๔ ประกอบกันขึ้น และชีวิตนี้แหละจึงแบ่งเป็นสองส่วน คือ รูปส่วนหนึ่ง นามส่วนหนึ่ง รูปหรือร่างกายก็เห็นหัวโด่ แล้วจะไปละเมอหาที่ไหน คิกๆ ขำอีกแระ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมชาติลงตัวอยู่แล้ว หรือจะเข้าตำรายิ่งเรียนยิ่งโง่ :b12:

ตา+รูป
หู+เสียง
จมุก+กลิ่น
ลิ้น+รส
กาย+โผฏฐัพพะ
ใจ+ธรรมารมณ์

เอาเรื่องพื้นๆเถอะนะ ที่เคยพูดเคยบอกบ่อยๆ ทอดกฐิน ไหว้พระ 9 วัด 10 วัดก็เอา ปิดทองฝังลูกนิมิต ปลูกป่าโกงกางชายเลน ปล่อยกุ้งหอยปูปลา ฯลฯ เริ่มต้นงี้เถอะพี่โฮของอิชั้น :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร