วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 22:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2013, 20:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ศรัธทา ศิล สุตตะ จาคะ ปัญญา ห้าอย่างนี้จบทุกเรื่อง


ถามกลับมั่ง ที่ว่าจบทุกเรื่อง มีเรื่องอะไรบ้างที่จบแล้ว :b10: :b14:
ไม่บอก



เห็นท่าจะไม่เกิดประโยชน์ ไร้สาระ สวัสดีนะครับ บ๊ายบาย :b9:
อ้าวมาถามมีอะไรจบบ้างท่านก็ถามแปลกนี่ ผมเพียงนำธรรม5ข้อที่พระพุทธองค์แสดงไว้มาให้ดูเพื่อเป็นทางให้ปฎิบัติเป็นเข็มทิศให้ ใช่ผมต้องจบแล้วสะเมื่อไหร่


ถ้ากรัีชกายจะถาม amazing ยังงี้ล่ะ ว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่า 5 ข้อนั้น พระพุทธองค์แสดงไว้ จะตอบว่าอย่าง่ไร :b10:


อ้าวท่านกรัชกายในพระสูตรไงล่ะครับ


ถามอย่า่งตอบอย่าง ถามว่าท่านรู้ได้อย่างไร ? ว่า ศรัทธา เป็นต้น พระพุทธเจ้าแสดงไว้ :b1:

ท่านกรัชกายสิ่งที่พระิงค์แสดงก่อนแรกคืออะไรไม่ใช่ศรัทธาหรือไงดูอินทรีย์5ยังเริ่มด้วยศรัทธาเลย ไม่มีศรัทธากรัชกายจะเดินไปอย่างไร แต่ก็ต้องมีศรัทธาที่ถูกต้องไม่มืดบอดด้วยนะครับ



ถามใหม่ ชัดๆ ตัว amazing เองรู้ได้ยังไง ว่าพระพุทธเจ้าแสดงไว้ รู้ได้ยังไง :b1:
อ้าวถามแปลกรู้ได้ไงว่าพระพุทธเจ้าแสดงไว้ก็รู้ตามตำราไง ความรู้ทั้งหมดก็มาจากตำราไง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

นี่แหล่ะคือศรัทธาของผู้ที่มีศรัทธา ผู้ใดมีศรัทธาแต่คำพูดจะเรียกว่าเป็นผู้มีศรัทธาได้อย่างไร ศรํทธาพวกนั้นเป็นเพียงศรัทธาที่มืดบอด


พูดถึงศรัทธาที่มืดบอด amazing ช่วยเทียบศรัทธาที่มืดบอด กับ ศรัทธาที่สว่างไหวสิครับ ศรัทธาทั้งสองนั้นมีข้อแตกต่าง่กันยังไง :b20: :b10: :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 08:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

นี่แหล่ะคือศรัทธาของผู้ที่มีศรัทธา ผู้ใดมีศรัทธาแต่คำพูดจะเรียกว่าเป็นผู้มีศรัทธาได้อย่างไร ศรํทธาพวกนั้นเป็นเพียงศรัทธาที่มืดบอด


พูดถึงศรัทธาที่มืดบอด amazing ช่วยเทียบศรัทธาที่มืดบอด กับ ศรัทธาที่สว่างไหวสิครับ ศรัทธาทั้งสองนั้นมีข้อแตกต่าง่กันยังไง :b20: :b10: :b8:

ก่อนอื่เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราศรัทธาในพระพุทธองค์ทำไมเพื่ออะไรเราถึงจะมองว่าสิ่งไหนเป็นศรัทธาที่มือบอดหรือไม่มืดบอด พระองค์ไม่ต้องการให้เราศรัทธาพระองค์เองเพียงความเชื่อว่าพระองค์เองเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พระองค์ปรารถนาให้เราไปถึงสิ่งที่พระองค์องไปถึงคือข้ามความทุกข์ไปได้เหมือนพระองค์

แต่ดูเหมือนเราชาวพุทธนั้นมีความศรัทธาต่อพระองค์มากมายแต่ดูเหมือนจะเป็นศรัทธาที่มืดบอดซะส่วนใหญ่
ศรัทธาที่มืดบอดนั้นเป็นเพียงความเชื่อเชื่อกันแบบผิดๆจนชาวพุทธส่วนใหญ่ช่างเป็นนักอ้อนวอนช่างขอกันมาก จนทำให้ศาสนาของชาวพุทธดูแคระแกร็นอย่างไงไม่รุ้เพราะความศรัทธาที่มืดบอดจนทำให้ความเชื่อแบบผิดๆจนมีพิธีกรรมแบบผิดๆไรสาระไรผลมากมาย ศานาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่ทำให้คนเรียบง่ายแต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ยุ่งยากไปมากในศาสนะพีธี จนทำให้เป็นข้อวัตรที่คลาดเคลือนทำให้ห่างไกลความจริงไปกันใหญ่ ที่นี้พอเข้าใจหรือยังว่ามันแตกต่างกันอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

นี่แหล่ะคือศรัทธาของผู้ที่มีศรัทธา ผู้ใดมีศรัทธาแต่คำพูดจะเรียกว่าเป็นผู้มีศรัทธาได้อย่างไร ศรํทธาพวกนั้นเป็นเพียงศรัทธาที่มืดบอด


พูดถึงศรัทธาที่มืดบอด amazing ช่วยเทียบศรัทธาที่มืดบอด กับ ศรัทธาที่สว่างไหวสิครับ ศรัทธาทั้งสองนั้นมีข้อแตกต่าง่กันยังไง :b20: :b10: :b8:

ก่อนอื่เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราศรัทธาในพระพุทธองค์ทำไมเพื่ออะไรเราถึงจะมองว่าสิ่งไหนเป็นศรัทธาที่มือบอดหรือไม่มืดบอด พระองค์ไม่ต้องการให้เราศรัทธาพระองค์เองเพียงความเชื่อว่าพระองค์เองเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พระองค์ปรารถนาให้เราไปถึงสิ่งที่พระองค์องไปถึงคือข้ามความทุกข์ไปได้เหมือนพระองค์

แต่ดูเหมือนเราชาวพุทธนั้นมีความศรัทธาต่อพระองค์มากมายแต่ดูเหมือนจะเป็นศรัทธาที่มืดบอดซะส่วนใหญ่
ศรัทธาที่มืดบอดนั้นเป็นเพียงความเชื่อเชื่อกันแบบผิดๆจนชาวพุทธส่วนใหญ่ช่างเป็นนักอ้อนวอนช่างขอกันมาก จนทำให้ศาสนาของชาวพุทธดูแคระแกร็นอย่างไงไม่รุ้เพราะความศรัทธาที่มืดบอดจนทำให้ความเชื่อแบบผิดๆจนมีพิธีกรรมแบบผิดๆไรสาระไรผลมากมาย ศานาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่ทำให้คนเรียบง่ายแต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ยุ่งยากไปมากในศาสนะพีธี จนทำให้เป็นข้อวัตรที่คลาดเคลือนทำให้ห่างไกลความจริงไปกันใหญ่ ที่นี้พอเข้าใจหรือยังว่ามันแตกต่างกันอย่างไร


ศรัทธาเป็นเพียงขั้นต้น

ถึงไ้ด้บอกไงว่า เพียงศรัทธาไม่พอ

ใครเพียงแค่ศรัทธา เขาก็มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้านะ

อ้างคำพูด:
ศานาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่ทำให้คนเรียบง่าย


เรียบง่ายยังไง เช่น มีอะไรก็กิน หัวถึงหมอนก็หลับ หรือยังไงครับ เอาให้ชัด

อ้างคำพูด:
ทำให้ห่างไกลความจริงไปกันใหญ่


ความจริง ที่ amazing นิยามได้แก่อะไรครับ ความจริง :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบอ่านตำราก็



ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้ แต่อาจเป็นทางเชื่อมต่อนำไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่ง และอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน ถ้าผู้ศรัทธารู้จักคิดรู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้นก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญา และการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่าง่ยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้น หรือแหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงาย คือ ไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น


ปัญญา คือ ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง เช่นว่า รู้เหตุผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ

แปลกันง่ายๆพื้นๆ ปัญญา คือ ความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะุลุสภาวะ หรือมองทะลุปัญหา ปัญญา ช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทก์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิืดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปอีก



วางความหมายของปัญญาเทียบด้วย


ปัญญา คือ ความรอบรู้ ขยายความอีกว่า ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด คือ รู้ถึงความจริงหรือรู้ตรงตามความเป็นจริง เช่นว่า รู้เหตุผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้เท่าทันสังขาร รู้องค์ประกอบ รู้เหตุปัจจัย รู้ที่ไปที่มา รู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งหลาย รู้ตามความเป็นจริง รู้ถ่องแท้ เข้าใจถ่องแท้ รู้เข้าใจสภาวะ รู้คิด รู้พินิจพิจารณา รู้วินิจฉัย รู้ที่จะจัดแจงจัดการหรือดำเนินการอย่างไรๆ

แปลกันง่ายๆพื้นๆ ปัญญา คือ ความเข้าใจ (หมายถึงเข้าใจถูก เข้าใจชัด หรือเข้าใจถ่องแท้) เป็นการมองทะุลุสภาวะ หรือมองทะลุปัญหา ปัญญา ช่วยเสริมสัญญาและวิญญาณ ช่วยขยายขอบเขตของวิญญาณให้กว้างออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่องทางให้สัญญามีสิ่งกำหนดหมายรวมเก็บได้มากขึ้น เพราะเมื่อเข้าใจเพียงใด ก็รับรู้และกำหนดหมายในวิสัยแห่งความเข้าใจเพียงนั้น เหมือนคิดโจทก์เลขคณิตข้อหนึ่ง เมื่อยังคิืดไม่ออก ก็ไม่มีอะไรให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปได้ ต่อเมื่อเข้าใจ คิดแก้ปัญหาได้แล้ว ก็มีเรื่องให้รับรู้และกำหนดหมายต่อไปอีก


ปัญญา ตรงข้ามกับโมหะ ซึ่งแปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความเข้าใจผิด สัญญาและวิญญาณหาตรงข้ามกับโมหะไม่ อาจกลายเป็นเหยื่อของโมหะไปด้วยซ้ำ เพราะเมื่อหลง เข้าใจผิดไปอย่างใดก็รับรู้และกำหนดหมายเอาไว้ผิดๆ อยางนั้น ปัญญาช่วยแก้ไขให้วิญญาณและสัญญาเดินถูกทาง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:
กรัชกาย เขียน:
amazing เขียน:

นี่แหล่ะคือศรัทธาของผู้ที่มีศรัทธา ผู้ใดมีศรัทธาแต่คำพูดจะเรียกว่าเป็นผู้มีศรัทธาได้อย่างไร ศรํทธาพวกนั้นเป็นเพียงศรัทธาที่มืดบอด


พูดถึงศรัทธาที่มืดบอด amazing ช่วยเทียบศรัทธาที่มืดบอด กับ ศรัทธาที่สว่างไหวสิครับ ศรัทธาทั้งสองนั้นมีข้อแตกต่าง่กันยังไง :b20: :b10: :b8:

ก่อนอื่เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราศรัทธาในพระพุทธองค์ทำไมเพื่ออะไรเราถึงจะมองว่าสิ่งไหนเป็นศรัทธาที่มือบอดหรือไม่มืดบอด พระองค์ไม่ต้องการให้เราศรัทธาพระองค์เองเพียงความเชื่อว่าพระองค์เองเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พระองค์ปรารถนาให้เราไปถึงสิ่งที่พระองค์องไปถึงคือข้ามความทุกข์ไปได้เหมือนพระองค์

แต่ดูเหมือนเราชาวพุทธนั้นมีความศรัทธาต่อพระองค์มากมายแต่ดูเหมือนจะเป็นศรัทธาที่มืดบอดซะส่วนใหญ่
ศรัทธาที่มืดบอดนั้นเป็นเพียงความเชื่อเชื่อกันแบบผิดๆจนชาวพุทธส่วนใหญ่ช่างเป็นนักอ้อนวอนช่างขอกันมาก จนทำให้ศาสนาของชาวพุทธดูแคระแกร็นอย่างไงไม่รุ้เพราะความศรัทธาที่มืดบอดจนทำให้ความเชื่อแบบผิดๆจนมีพิธีกรรมแบบผิดๆไรสาระไรผลมากมาย ศานาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่ทำให้คนเรียบง่ายแต่กลับกลายเป็นสิ่งที่ยุ่งยากไปมากในศาสนะพีธี จนทำให้เป็นข้อวัตรที่คลาดเคลือนทำให้ห่างไกลความจริงไปกันใหญ่ ที่นี้พอเข้าใจหรือยังว่ามันแตกต่างกันอย่างไร


ศรัทธาเป็นเพียงขั้นต้น

ถึงไ้ด้บอกไงว่า เพียงศรัทธาไม่พอ

ใครเพียงแค่ศรัทธา เขาก็มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้านะ

อ้างคำพูด:
ศานาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่ทำให้คนเรียบง่าย


เรียบง่ายยังไง เช่น มีอะไรก็กิน หัวถึงหมอนก็หลับ หรือยังไงครับ เอาให้ชัด

อ้างคำพูด:
ทำให้ห่างไกลความจริงไปกันใหญ่


ความจริง ที่ amazing นิยามได้แก่อะไรครับ ความจริง :b8:
เรียบง่ายของแมสซิ่งนะง่ายๆมีไรก็กินหัวถึงหมอนก็หลับ

ความจริงของแมซิ่งก็ความไม่หลงนั้นแหละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:

เรียบง่ายของแมสซิ่งนะง่ายๆมีไรก็กินหัวถึงหมอนก็หลับ

ความจริงของแมซิ่งก็ความไม่หลงนั้นแหละ



อ้างคำพูด:
เรียบง่ายของแมสซิ่งนะ ง่ายๆมีไรก็กิน หัวถึงหมอนก็หลับ


สาธุ เลี้ยงง่ายอย่างว่าจริงๆ

แต่ประเด็นหลังแม้อยากจะถาม แต่เห็นว่า พอสมควรแล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้. :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักศรัทธา


พึงเข้าใจความหมาย บทบาท และความสำคัญของศรัทธาในระบบของพุทธธรรม ดังนี้

๑. ศรัทธา เป็นเพียงขั้นหนึ่งในกระบวนการพัฒนาปัญญา และกล่าวได้ว่าเป็นขั้นต้นที่สุด

๒. ศรัทธาที่ประสงค์ ต้องเป็นความเชื่อความซาบซึ้งที่เนื่องด้วยเหตุผล คือมีปัญญารองรับ และเป็นทางสืบทอดส่งต่อแก่ปัญญาได้ มิใช่เพียงความรู้สึกมอบตัวมอบความไว้วางใจให้สิ้นเชิง โดยไม่ต้องถามหาเหตุผล อันเป็นลักษณะทางฝ่ายอาเวค (emotion) ด้านเดียว

๓. ศรัทธา ที่เป็นความรู้สึกฝ่ายอาเวคด้านเดียว ถือว่าเป็นความเชื่อที่งมงาย เป็นสิ่งที่จะต้องละเสีย หรือแก้ไขให้ถูกต้อง ส่วนความรู้สึกฝ่ายอาเวคที่เนื่องอยู่กับศรัทธา แบบที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่นำมาใช้ในกระบวนการปฏิบัติธรรมให้เป็นประโยขน์ได้มากพอสมควรในระยะต้นๆ แต่จะถูกปัญญาเข้าแทนที่โดยสิ้นเชิงในที่สุด


๔. ศรัทธา ที่มุ่งหมายในกระบวนการพัฒนาปัญญานั้น อาจให้ความหมายสั้นๆว่า เป็นความซาบซึ้งด้วยมั่นใจในเหตุผลเท่าที่ตนมองเห็น คือมั่นใจตนเอง โดยเหตุผลว่า จุดหมายทีอยู่เบื้องหน้านั้นเป็นไปได้จริงแท้ และมีำค่าควรแก่การที่ตนจะดำเินินไปให้ถึง เป็นศรัทธาที่เร้าใจให้อยากพิสูจน์ความจริงของเหตุผลที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้านั้นต่อๆยิ่งๆขึ้นไป เป็นบันไดขั้นต้นสู่ความรู้ ตรงข้ามกับความรู้สึกมอบใจให้แบบอาเวค ซึ่งทำให้หยุดคิดหาเหตุผลต่อไป


๕. เพื่อควรคุมศรัทธาที่ให้อยู่ในความหมายที่ถูกต้อง ธรรมหมวดใดก็ตามในพุทธธรรม ถ้ามีศรัทธา ที่เป็นส่วนประกอบข้อหนึ่งแล้ว จะต้องมีปัญญาเป็นอีกข้อหนึ่งด้วยเสมอไป * และตามปกติ ศรัทธาย่อมมาเป็นข้อที่หนึ่ง พร้อมกับที่มีปัญญาคุมเป็นข้อสุดท้าย แต่ในกรณีที่มีปัญญา ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงศรัทธาเลย *


ดังนั้น ปัญญาจึงสำคัญกว่าศรัทธา ทั้งในฐานะเป็นตัวคุม และในฐานะเป็นองค์ประกอบที่จำเป็น แม้ในแง่คุณสมบัติของบุคคล ผู้ที่ได้รับยกย่องสูงสุดในพระพุทธศาสนา ก็คือผู้มีปัญญาสูงสุด เช่น พระสารีบุตรอัครสาวก เป็นต้น ไม่ได้ถือเอาศรัทธาในศาสนาเป็นเกณฑ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างอิงข้างบนตามลำดับ


* ตัวอยางมีมากมาย เช่น

สัมปรายิกัตถะ สัทธาสัมปทา สีลสัมปทา จาคสัมปทา ปัญญาสัมปทา

วุฒิธรรม สัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา

พละ อินทรีย์ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

เวสารัชชกรณธรรม สัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมภะ ปัญญา

อริยทรัยพ์ สัทธา ศีล หิริ โอตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ


* เช่น อธิษฐานธรรม โพชฌงค์ และ นาถกรณธรรม เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๖ คุณประโยชน์ของศรัทธา เป็นไปใน ๒ ลักษณะ คือ

- ในแนวหนึ่ง ศรัทธาเป็นปัจจัยให้เกิดปีติ ซึ่งตามมาด้วยปัสสัทธิ (ความสงบเย็นผ่อนคลาย) ที่่นำไปสู่ความสุข อันช่วยให้เกิดสมาธิ เพื่อต่ไปสู่ปัญญาในที่สุด

- อีกแนวหนึ่ง ศรัทธาทำให้เกิดวิริยะ คือความเพียรพยายามที่จะปฏิบัติ ทดลองสิ่งที่เชื่อด้วยศรัทธานั้น ให้เห็นผลประจักษ์จริงจังแก่ตน ซึ่งนำไปสู่ปัญญาในที่สุด *

คุณประโยชน์ทั้งสองนี้ จะเห็นว่า แม้จะได้แรงส่งจากความรู้สึกในฝ่ายอาเวค แต่ต้องมีความใฝ่ประสงค์ปัญญาแฝงอยู่ด้วยตลอดเวลา


๗. ศรัทธาเป็ปเพื่อปัญญา ดังนั้น ศรัทธาจึงต้องส่งเสริมความคิดวิเคราะห์วิจัย จึงจะเกิดความก้าวหน้าแก่ปัญญาตามจุดหมาย นอกจากนี้ แม้ตัวศรัทธานั่นเอง จะมั่นคงแน่นแฟ้นได้ ก็เพราะได้คิดสืบสาวสอบค้นมองเห็นเหตุผลและเข้าใจความจริงจนมั่นใจ หมดความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ โดยนัยนี้ ศรัทธาในพุทธธรรมจึงส่งเสริมการค้นคิดหาเหตุผล การขอร้องให้เชื่อก็ดี การบังคับให้ยอมรับความจริงตามที่กำหนดก็ดี การขู่ด้วยภัยแก่ผู้ไม่เชื่อก็ดี เป็นวิธีการที่เข้ากันไม่ได้เลยกับหลักศรัทธานี้

๘. ความเลื่อมใสศรัทธาติดในบุคคล ถูกถือว่ามีข้อเสียข้อบกพร่อง แม้แต่ความเลื่อมใสติดในองค์พระศาสดาเอง พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้ละเสีย เพราะเป็นศรัทธาที่แรงด้วยการรู้สึกทางอาเวค กลับกลายเป็นอุปสรรคต่อความหลุดพ้นเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ในขั้นสุดท้าย

๙. ศรัทธาไม่ถูกจัดเป็นองค์มรรค เพราะตัวการที่จำเป็นสำหรับการดำเนินก้าวหน้าต่อไปในมรรคนี้ คือ ปัญญา ที่พ่วงกำกับศรัทธานั้นต่างหาก และศรัทธาที่จะถือว่าใช้ได้ ก็ต้องมีปัญญารองรับอยู่ด้วย นอกจากนี้ท่านที่มีปัญญาสูง เช่น องค์พระพุทธเจ้าเอง และพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงเริมมรรคาที่ตัวปัญญาทีเดียว ไม่ผ่านศรัทธา เพราะการสร้างปัญญาไม่จำต้องเริ่มที่ศรัทธาเสมอไป (คือ เริ่มที่โยนิโสมนสิการ) ดว้ยเหตุนี้ เรื่องศรัทธา ท่านจึงกล่าวซ้อนแฝงไว้ในตอนว่าด้วยการสร้างสัมมาทิฏฐิ ไม่จัดแยกไว้เป็นเรื่องต่างหาก

๑๐. แม้ศรัทธา ที่พ้นจากภาวะเป็นความเชื่องมงายนั่นเอง ถ้าไ่ม่ดำเนินต่อไปถึงขั้นทดลองปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ให้เห็นความจริงประจักษ์แก่ตน ก็ไม่นับว่าเป็นศรัทธาที่ถูกต้องตามความหมายแท้จริง เพราะเป็นศรัทธาที่มิได้ปฏิบัติหน้าที่ตามความหมายของมัน จัดเป็นการปฏิบัติธรรมผิดพลาด เพราะปฏิบัติอย่างขาดวัตถุประสงค์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่อ้างอิงข้างบน


* ศรัทธานำไปสู่ปีติ ดูพุทธพจน์ที่ สํ.นิ.16/69/37 ศรัทธานำไปสู่วิริยะ ดู สํ.ม.19/1011/297 อนึ่ง ศรัทธา่ย่อมช่วยให้เกิดกำลังใจ มีความเข้มแข็ง หายกลัวได้ ซึ่งจัดเข้าในวิริยะเหมือนกัน เช่น เรื่องในธชัคคสูตร สํ.ส. 15/863-6/320-3 พึงสังเกตด้วยว่า ศรัทธาที่ไม่มีปัญญารองรับ ก็เป็นแรงส่งถึงสมาธิิเหมือนกัน (อาจเป็นสมาธิขั้นสูงมาก ถึงเจโตวิมุตติชนิดที่ยังกำเริบกลับกลายได้) แต่ติดจมอยู่แค่นั้น ไม่ส่งผลต่อถึงปัญญา และอาจขัดขวางปัญญาด้วย ส่วนศรัทธาที่มีปัญญากำกับ หนุนสมาธิให้เกิดขึ้น เพียงเพื่อเป็นพลังช่วยส่งเสริมความจริญปัญญายิ่งๆขึ้นไป (อย่างสูงสุด คือ ให้เิกิดปัญญาวิุมุตติ ที่ทำให้เจโตวิมุตติไม่กำเริบ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑๑. แ้ม้ศรัทธาจะมีคุณประโยชน์สำคัญ แต่ในขั้นสูงสุด ศรัทธาจะต้องหมดไป ถ้ายังมีศรัทธาอยู่ ก็แสดงว่า ยังไม่บรรลุจุดหมาย เพราะตราบใดที่ยังเชื่อต่อจุดหมายนั้น ก็ย่อมแสดงว่ายังไม่ได้เข้าถึงจุดหมายนั้น โดยรู้ประจักษ์เห็นจริงด้วยตนเอง และตราบใดที่ยังมีศรัทธา ก็แสดงว่ายังต้องอิงอาศัยสิ่งอื่น ยังต้องฝากปัีญญาไว้กับสิ่งอื่น ยังไม่หลุดพ้นเป็นอิสระโดยสมบูรณ์

โดยเหตุนี้ ศรัทธาจึงไม่เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ แต่ตรงข้าม พระอรหันต์กลับมีคุณลักษณะว่า ผู้ไม่มีศรัทธา (อัสสัทธะ) ซึ่งหมายความว่า ได้รู้เห็นประจักษ์ จึงไม่ต้องเชื่อต่อใครๆ หรือต่อเหตุผลใดๆ อีก

๑๒. โดยสรุป ความก้าวหน้าในมรรคานี้ ดำเนินมาโดยลำดับ จากความเชื่อ (ศรัทธา) มาเป็นความเห็นหรือเข้าใจโดยเหตุผล (ทิฏฐิ) จนเป็นการู้การเห็น (ญาณทัสสนะ) ในที่สุด ซึ่งในขั้นสุดท้าย เป็นอันหมดภาระของรัทธาโดยสิ้นเชิง

๑๓. ศรัทธามีขอบเขตความสำคัญ และประโยชน์แค่ไหนเพียงใด เป็นสิ่งที่จะต้องรู้เข้าใจตามเป็นจริง ไม่ควรตีค่าสูงเกินไป แต่ก็ไม่ควรดูแคลนโดยเด็ดขาด เพราะในกรณีที่ดูแคลนศรัทธา อาจกลายเป็นการเข้าใจความหมายของศรัทธาผิด เช่น ผู้ที่คิดว่าตนเชื่อมั่นในตนเอง แต่กลายเป็นเชื่อต่อกิเลสของตน ในรูปอหังการมังการไป ซึ่งกลับเป็นผลร้ายไปอีกด้านหนึ่ง

๑๔. ในระดับศีล หรือที่เรียกว่าศีลธรรม ศรัทธาเป็นองค์ธรรมสำคัญ ซึ่งเกื้อกูลมาก ทำให้คนมีหลักตั้งตัว เป็นกำลังเหนี่ยวรั้งและต้านปะทะ ไม่ให้ยอมตามสิ่งชักจูงล่อเร้าเย้้ายวนให้ทำความชั่ว

อีกประการหนึ่ง การมีศรัทธาเป็นเหมือนมีร่องไหลประจำของกระแสความคิด เมื่อได้รับรุ้อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เกินกำลังของศรัทธาที่มีอยู่ กระแสความคิดก็จะวิ่งแล่นไปตามร่อง หรือแนวทางที่ศรัทธาเตรียมไว้ ทำให้ไม่คิดไปในทางอื่น หรือทางที่ผิดศีลธรรม ดังนั้น สำหรับผู้ยังไม่หมดกิเลส ศีลจึงดำรงอยู่ได้ดีด้วยศรัทธา *


ศรัทธาแบบนี้ มีคุณมากในระดับหนึ่ง แต่พร้อมกันนั้น ถ้าเป็นศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็อาจมีโทษมาก โดยกลายเป็นตัวการขัดขวางการสร้างปัญญาเสียเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 09:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
๑๑. แ้ม้ศรัทธาจะมีคุณประโยชน์สำคัญ แต่ในขั้นสูงสุด ศรัทธาจะต้องหมดไป ถ้ายังมีศรัทธาอยู่ ก็แสดงว่า ยังไม่บรรลุจุดหมาย เพราะตราบใดที่ยังเชื่อต่อจุดหมายนั้น ก็ย่อมแสดงว่ายังไม่ได้เข้าถึงจุดหมายนั้น โดยรู้ประจักษ์เห็นจริงด้วยตนเอง และตราบใดที่ยังมีศรัทธา ก็แสดงว่ายังต้องอิงอาศัยสิ่งอื่น ยังต้องฝากปัีญญาไว้กับสิ่งอื่น ยังไม่หลุดพ้นเป็นอิสระโดยสมบูรณ์

โดยเหตุนี้ ศรัทธาจึงไม่เป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ แต่ตรงข้าม พระอรหันต์กลับมีคุณลักษณะว่า ผู้ไม่มีศรัทธา (อัสสัทธะ) ซึ่งหมายความว่า ได้รู้เห็นประจักษ์ จึงไม่ต้องเชื่อต่อใครๆ หรือต่อเหตุผลใดๆ อีก

๑๒. โดยสรุป ความก้าวหน้าในมรรคานี้ ดำเนินมาโดยลำดับ จากความเชื่อ (ศรัทธา) มาเป็นความเห็นหรือเข้าใจโดยเหตุผล (ทิฏฐิ) จนเป็นการู้การเห็น (ญาณทัสสนะ) ในที่สุด ซึ่งในขั้นสุดท้าย เป็นอันหมดภาระของรัทธาโดยสิ้นเชิง

๑๓. ศรัทธามีขอบเขตความสำคัญ และประโยชน์แค่ไหนเพียงใด เป็นสิ่งที่จะต้องรู้เข้าใจตามเป็นจริง ไม่ควรตีค่าสูงเกินไป แต่ก็ไม่ควรดูแคลนโดยเด็ดขาด เพราะในกรณีที่ดูแคลนศรัทธา อาจกลายเป็นการเข้าใจความหมายของศรัทธาผิด เช่น ผู้ที่คิดว่าตนเชื่อมั่นในตนเอง แต่กลายเป็นเชื่อต่อกิเลสของตน ในรูปอหังการมังการไป ซึ่งกลับเป็นผลร้ายไปอีกด้านหนึ่ง

๑๔. ในระดับศีล หรือที่เรียกว่าศีลธรรม ศรัทธาเป็นองค์ธรรมสำคัญ ซึ่งเกื้อกูลมาก ทำให้คนมีหลักตั้งตัว เป็นกำลังเหนี่ยวรั้งและต้านปะทะ ไม่ให้ยอมตามสิ่งชักจูงล่อเร้าเย้้ายวนให้ทำความชั่ว

อีกประการหนึ่ง การมีศรัทธาเป็นเหมือนมีร่องไหลประจำของกระแสความคิด เมื่อได้รับรุ้อารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เกินกำลังของศรัทธาที่มีอยู่ กระแสความคิดก็จะวิ่งแล่นไปตามร่อง หรือแนวทางที่ศรัทธาเตรียมไว้ ทำให้ไม่คิดไปในทางอื่น หรือทางที่ผิดศีลธรรม ดังนั้น สำหรับผู้ยังไม่หมดกิเลส ศีลจึงดำรงอยู่ได้ดีด้วยศรัทธา *


ศรัทธาแบบนี้ มีคุณมากในระดับหนึ่ง แต่พร้อมกันนั้น ถ้าเป็นศรัทธาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็อาจมีโทษมาก โดยกลายเป็นตัวการขัดขวางการสร้างปัญญาเสียเอง
สาธุๆๆท่านกรัชกาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 10:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑๕. ในกระบวนการแห่งความเจริญของปัญญา (หรือการพัฒนาปัญญา) อาจกำหนดขั้นตอนที่จัดว่าเป็นระยะของศรัทธา (ก่อนก้าวสู่ปัญญา) ได้คร่าวๆ คือ

๑) สร้างทัศนคติที่มีเหตุผล ไม่เชื่อหรือยึดถือสิ่่งใดสิ่งหนึ่ง เพียงเพราะฟังตามๆกันมา เป็นต้น

๒) เป็นผู้คุ้มครองสัจจะ (สัจจานุรักษ์) คือ ยินดีรับฟังหลักการ ทฤษฎี คำสอน ความเห็นต่างๆ ของทุกฝ่ายทุกด้าน ด้วยใจเป็นกลาง ไม่ด่วนตัดสินสิ่งที่ยังไม่รู้ไม่เห็นว่าเป็นเท็จ ไม่ยืนกรานยึดติดแต่สิ่งที่ตนรู้หรือคิดเห็นเท่านั้นว่าถูกต้องเป็นจริง

๓) เมื่อรับฟังทฤษฎี คำสอน ความเห็นต่างๆ ของผู้อื่นแล้ว พิจารณาเท่าที่เห็นด้วยปัญญาตนว่าเป็นสิ่งมีเหตุผล และเมื่อเห็นว่า ผู้แสดงทฤษฎี คำสอน หรือความเห็นนั้นๆ เป็นผู้มีความจริงใจ ไม่ลำเอี่ยง มีปัญญา จึงเลื่อมในรับเอามา เพื่อคิดหาเหตุผลทดสอบความจริงต่อไป

๔) นำสิ่งที่ใจรับมานั้น มาขบคิดทดสอบด้วยเหตุผล จนแน่แก่ใจตนว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องแท้จริงอย่างแน่นอน จนซายซึ้งด้วยความมั่นใจในเหตุผลเท่าที่ตนมองเห็นแล้ว พร้อมที่จะลงมือปฏิบัติ พิสูจน์ ทดลอง ให้รู้เห็นความจริงประจักษ์ต่อไป

๕) ถ้ามีความเคลือบแคลงสงสัย รีบสอบถาด้วยใจบริสุทธิ์ มุ่งปัญญา มิใช่ด้้วยอหังการมมังการ พิสูจน์เหตุผลให้ขัดเจน เพื่อให้ศรัทธานั้นมัี่นคงแน่นแฟ้น เกิดประโยชน์สมบูรณ์ตามความหมายของมัน

ในกระบวนการพัฒนาปัญญา ที่ถือเอาประโยชน์จากศรัทธา อย่างถูกต้อง ปัญญาจะเจริญขึ้นโดยลำดับ จนถึงขั้นเป็นญาณทัสสนะ คือเป็นการรู้การเห็น ในขั้นนี้ จะไม่ต้องใช้ความเชื่อและความเห็นอีกต่อไป เพราะรู้เห็นประจักษ์กับตนเอง จึงเป็นขั้นที่พ้นขอบเขตของศรัทธา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2013, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมีญาณทัสสนะ คือการรู้การเห็นประจักษ์แล้ว ก็ไม่ต้องมีศรัทธา คือไม่ต้องเชื่อต่อผู้ใดอื่น ดังนั้น พุทธสาวกที่บรรลุคุณวิเศษต่างๆ จึงรู้และกล่าวถึงสิ่งนั้นๆ โดยไม่ต้องเชื่อต่อพระศาสดา เช่น ได้มีคำสนทนาถามตอบระหว่างนิครนถนาฎบุตร กับ จิตตคฤหบดี ผู้เป็นพุทธสาวกฝ่ายอุบาสกที่มีชื่อเสียงเชียวชาญในพระธรรมมากว่า


นิครนถ์: แน่ะท่านคฤหบดี ท่านเชื่อพระสมณโคดมไหมว่า สมาธิที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีอยู่ ความดับแห่งวิตกวิจารได้ มีอยู่ ?


จิตตคฤหบดี : ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้ามิได้ยึดถือด้วยศรัทธา (มิได้เชื่อ) ต่อพระผู้มีพระภาคว่า สมาธิที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีอยู่ ความดับแห่งวิตกวิจารได้ มีอยู่

ข้าพเจ้านี้ ทันทีทีี่่มุ่งหวัง...ก็เข้าปฐฌานอยู่ได้...เข้าทุติยฌานอยู่ได้...เข้าตติยฌานอยู่ได้...เข้าจตุตถฌานอยู่ได้ ข้าพเจ้านั้น รู้อยู่อย่าง่นี้ เห็นอยู่อย่าง่นี้ จึงไม่ยึดถือด้วยศรัทธาต่อสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดๆ ว่า สมาธิที่ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีอยู่ ความดับแห่งวิตกวิจารได้ มีอยู่


ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ พระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้มีปัญญาเป็นญาณทัสสนะถึงที่สุด จึงมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งว่า "อัสสัทธะ" ซึ่งแปลว่า ผู้ไม่มีศรัทธา คือ ไม่ต้องเชื่อต่อใครๆ ในเรื่องที่ตนรู้เห็นชัดด้วยตนเองอยู่แล้ว ดังจะเห็นได้จากพุทธดำรัสสนทนากับพระสารีบุตรว่า


พระพุทธเจ้า: สารีบุตร เธอเชื่อไหมว่า สัทธินทรีย์ ที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่หมาย มีอมตะเป็นที่สุด วิริยินทรีย์...สตินทรีย์...สมาธินทรีย์...ปัญญินทรีย์ (ก็เช่นเดียวกัน)


พระสารีบุตร: ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ข้าพระองค์มิได้ยึดถือด้วยศรัทธา (เชื่อ) ต่อพระผู้มีพระภาค....

แท้จริง คนเหล่าใด ยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ยังไม่ทราบ ยังไม่กระทำให้แจ้ง ยังไม่มองเห็นด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น จึงจะยึดถือด้วยศรัทธาต่อผ้อื่น ในเรื่องนั้น

ส่วนคนเหล่าใด รู้ เห็น ทราบ กระทำให้แจ้ง มองเห็นสิ่งนี้ด้วยปัญญา ชนเหล่านั้น ย่อมไม่มีความสงสัย ไม่มีความแคลงใจ ในเรื่องนั้น...

ก็ข้าพระองค์ ได้รู้ เห็น ทราบ กระทำให้แจ้ง มองเห็นสิ่งนี้ด้วยปัญญาแล้ว ข้าพระองค์จึงเ็ป็นผู้ไม่มีความสงสัย ไม่มีความแคลงใจ ในเรื่องนั้นว่า สัทธินทรีย์...วิริยินทรีย์...สตินทรีย์...สมาธินทรีย์...ปัญญินทรีย์ ที่เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่หมาย มีอมตะเป็นที่สุด


พระพุทธเจ้า: สาธุ สาธุ สารีบุตร ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 49 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร