วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ค. 2025, 21:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 64 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
nongkong เขียน:
amazing เขียน:
walaiporn เขียน:
จุงเบยเป็นภาษากัมพูชา

จุง แปลว่า ผูก
เบย แปลว่า ควาย
จุงเบย แปลว่าควายที่ถูกผูกไว้

น่ารักจุงเบย เลยแปลว่า น่ารักเหมือนควายที่ถูกผูกไว้

คนไทยส่วนมากมักเข้าใจผิดว่าจุงเบย แปลว่า จังเลย


http://www.dek-d.com/board/view/2730959/
นั้นมันก็เป็นซะอย่างนี้ พอเข้าใจได้

เป็นยังไงหรอเมซิ่ง อะเมซิ่งเคยฟังเพลงนี้ป่าว :b13:
http://www.youtube.com/watch?v=GjT59Z3PGco
สงสัยมีคนอิจฉาน้องkongซะแล้ว

อย่าคิดมากสิอะเมซิ่ง คุนน้องไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว :b13:
มันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้วหละ :b32: :b32:
เชื่อป่ะ ตอนสมัยมัธยมคุณน้องโดนเพื่อนผู้หญิงสั่งห้ามมองออกไปตรงหน้าต่าง ที่ตรงข้ามกับหน้าต่างอาคารรุ่นพี่ ม.4 เพราะว่าเทอให้เหตุผลว่า อย่ามองออกไปนะเด่วรุ่นพี่เค้าจะชอบเทอ แต่พวกมันมองได้555ไม่เป็นไร กร๊ากกๆๆ คือจริงๆแล้วพวกหล่อนทั้งหลายเล็งรุ่นพี่คนนั้น55+ แต่ว่าพวกเทอกลัวว่ารุ่นพี่คนนั้นจะมาชอบคุณน้องเพราะว่าคุณน้องน่ารักที่สุดในห้องอ่ะนะ 55+


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 16:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
amazing เขียน:
nongkong เขียน:
amazing เขียน:
walaiporn เขียน:
จุงเบยเป็นภาษากัมพูชา

จุง แปลว่า ผูก
เบย แปลว่า ควาย
จุงเบย แปลว่าควายที่ถูกผูกไว้

น่ารักจุงเบย เลยแปลว่า น่ารักเหมือนควายที่ถูกผูกไว้

คนไทยส่วนมากมักเข้าใจผิดว่าจุงเบย แปลว่า จังเลย


http://www.dek-d.com/board/view/2730959/
นั้นมันก็เป็นซะอย่างนี้ พอเข้าใจได้

เป็นยังไงหรอเมซิ่ง อะเมซิ่งเคยฟังเพลงนี้ป่าว :b13:
http://www.youtube.com/watch?v=GjT59Z3PGco
สงสัยมีคนอิจฉาน้องkongซะแล้ว

อย่าคิดมากสิอะเมซิ่ง คุนน้องไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว :b13:
มันเป็นเรื่องปกติตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้วหละ :b32: :b32:
เชื่อป่ะ ตอนสมัยมัธยมคุณน้องโดนเพื่อนผู้หญิงสั่งห้ามมองออกไปตรงหน้าต่าง ที่ตรงข้ามกับหน้าต่างอาคารรุ่นพี่ ม.4 เพราะว่าเทอให้เหตุผลว่า อย่ามองออกไปนะเด่วรุ่นพี่เค้าจะชอบเทอ แต่พวกมันมองได้555ไม่เป็นไร กร๊ากกๆๆ
จะบอกว่าตัวเองน่ารักใช่ป่าว รู้ทันนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะความชั่วทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนความดีทำนั่นแลเป็นดี
เพราะทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง


ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเหมือนปัจจันตนคร
ที่มนุษย์ทั้งหลายคุ้มครองไว้พร้อมทั้งภายในและภายนอก

ฉะนั้น ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะว่า ผู้ที่ล่วง ขณะ เสียแล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรก ย่อมเศร้าโศก

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ย่อมละอายเพราะวัตถุอันบุคคลไม่พึงละอาย
ย่อมไม่ละอายเพราะวัตถุอันบุคคลพึงละอาย
ย่อมไป สู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ว่าควรกลัว
และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่า ไม่ควรกลัว
ย่อมไปสู่ทุคติ

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ
และมีปกติเห็นในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ
ย่อมไปสู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ
รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ
และรู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
ย่อมไปสู่ สุคติฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 080&Z=1117




พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า

ขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้เพียงเล็กน้อยบุคคลไม่ควรทำ
ด้วยความสำคัญว่า “ชนพวกอื่นย่อมไม่รู้กรรมนี้ของเรา”

ส่วน สุจริตนั่นแหละ เมื่อคนอื่นแม้ไม่รู้ก็ควรทำ,

เพราะว่าขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้บุคคลปกปิดทำ
ย่อมทำการเผาผลาญในภายหลัง,


ส่วนสุจริต
ย่อมยังความปราโมทย์อย่างเดียวให้เกิดขึ้น


ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-

“กรรมชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า,
เพราะว่า กรรมชั่ว ย่อมเผาผลาญในภายหลัง,

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 ต.ค. 2013, 17:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 17:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะความชั่วทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนความดีทำนั่นแลเป็นดี
เพราะทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง


ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเหมือนปัจจันตนคร
ที่มนุษย์ทั้งหลายคุ้มครองไว้พร้อมทั้งภายในและภายนอก

ฉะนั้น ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะว่า ผู้ที่ล่วง ขณะ เสียแล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรก ย่อมเศร้าโศก

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ย่อมละอายเพราะวัตถุอันบุคคลไม่พึงละอาย
ย่อมไม่ละอายเพราะวัตถุอันบุคคลพึงละอาย
ย่อมไป สู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ว่าควรกลัว
และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่า ไม่ควรกลัว
ย่อมไปสู่ทุคติ

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ
และมีปกติเห็นในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ
ย่อมไปสู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ
รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ
และรู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
ย่อมไปสู่ สุคติฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 080&Z=1117
พระสูตรอย่างไรก็ไพเราะ ตื่นเช้าๆใส่บาตรบ้างนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะความชั่วทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนความดีทำนั่นแลเป็นดี
เพราะทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง


ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเหมือนปัจจันตนคร
ที่มนุษย์ทั้งหลายคุ้มครองไว้พร้อมทั้งภายในและภายนอก

ฉะนั้น ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะว่า ผู้ที่ล่วง ขณะ เสียแล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรก ย่อมเศร้าโศก

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ย่อมละอายเพราะวัตถุอันบุคคลไม่พึงละอาย
ย่อมไม่ละอายเพราะวัตถุอันบุคคลพึงละอาย
ย่อมไป สู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ว่าควรกลัว
และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่า ไม่ควรกลัว
ย่อมไปสู่ทุคติ

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ
และมีปกติเห็นในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ
ย่อมไปสู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ
รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ
และรู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
ย่อมไปสู่ สุคติฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 080&Z=1117




พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า

ขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้เพียงเล็กน้อยบุคคลไม่ควรทำ
ด้วยความสำคัญว่า “ชนพวกอื่นย่อมไม่รู้กรรมนี้ของเรา”

ส่วน สุจริตนั่นแหละ เมื่อคนอื่นแม้ไม่รู้ก็ควรทำ,

เพราะว่าขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้บุคคลปกปิดทำ
ย่อมทำการเผาผลาญในภายหลัง,


ส่วนสุจริต
ย่อมยังความปราโมทย์อย่างเดียวให้เกิดขึ้น


ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-

“กรรมชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า,
เพราะว่า กรรมชั่ว ย่อมเผาผลาญในภายหลัง,''


สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบคุณ คุณ walaiporn สำหรับทุกๆ พระธรรมเทศนา ที่นำมาให้อ่านครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 17:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


วลัยพรน่ารักจุงเบย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
walaiporn เขียน:
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะความชั่วทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนความดีทำนั่นแลเป็นดี
เพราะทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง


ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเหมือนปัจจันตนคร
ที่มนุษย์ทั้งหลายคุ้มครองไว้พร้อมทั้งภายในและภายนอก

ฉะนั้น ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะว่า ผู้ที่ล่วง ขณะ เสียแล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรก ย่อมเศร้าโศก

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ย่อมละอายเพราะวัตถุอันบุคคลไม่พึงละอาย
ย่อมไม่ละอายเพราะวัตถุอันบุคคลพึงละอาย
ย่อมไป สู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ว่าควรกลัว
และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่า ไม่ควรกลัว
ย่อมไปสู่ทุคติ

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ
และมีปกติเห็นในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ
ย่อมไปสู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ
รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ
และรู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
ย่อมไปสู่ สุคติฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 080&Z=1117
พระสูตรอย่างไรก็ไพเราะ ตื่นเช้าๆใส่บาตรบ้างนะ

ทำไมอะเมซิ่งคิดว่า พี่วลัยพรไม่ใส่บาตร แต่คุณน้องไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก คุณน้องสงสัยในตัวพี่วลัยพรในเรื่องเมื่อก่อนที่พี่วลัยพรเคยบอกคุณน้องว่า
แต่งงานกับสามีแล้วไม่หลับนอนกันฉันสามีภรรยา แต่ปฏิบัติธรรมด้วยกันกำจัดกิเลศราคะได้แล้ว อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยร่วมเพศเสพสมกันอย่างผัวเมียทั่วไป ว่าแต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 17:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
amazing เขียน:
walaiporn เขียน:
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะความชั่วทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนความดีทำนั่นแลเป็นดี
เพราะทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง


ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเหมือนปัจจันตนคร
ที่มนุษย์ทั้งหลายคุ้มครองไว้พร้อมทั้งภายในและภายนอก

ฉะนั้น ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะว่า ผู้ที่ล่วง ขณะ เสียแล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรก ย่อมเศร้าโศก

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ย่อมละอายเพราะวัตถุอันบุคคลไม่พึงละอาย
ย่อมไม่ละอายเพราะวัตถุอันบุคคลพึงละอาย
ย่อมไป สู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ว่าควรกลัว
และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่า ไม่ควรกลัว
ย่อมไปสู่ทุคติ

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ
และมีปกติเห็นในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ
ย่อมไปสู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ
รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ
และรู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
ย่อมไปสู่ สุคติฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 080&Z=1117
พระสูตรอย่างไรก็ไพเราะ ตื่นเช้าๆใส่บาตรบ้างนะ

ทำไมอะเมซิ่งคิดว่า พี่วลัยพรไม่ใส่บาตร แต่คุณน้องไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก คุณน้องสงสัยในตัวพี่วลัยพรในเรื่องเมื่อก่อนที่พี่วลัยพรเคยบอกคุณน้องว่า
แต่งงานกับสามีแล้วไม่หลับนอนกันฉันสามีภรรยา แต่ปฏิบัติธรรมด้วยกันกำจัดกิเลศราคะได้แล้ว อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยร่วมเพศเสพสมกันอย่างผัวเมียทั่วไป ว่าแต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย :b13:
กลัวลืมอ่ะเออๆใช่ๆเดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้วอ่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
nongkong เขียน:
amazing เขียน:
walaiporn เขียน:
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะความชั่วทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนความดีทำนั่นแลเป็นดี
เพราะทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง


ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเหมือนปัจจันตนคร
ที่มนุษย์ทั้งหลายคุ้มครองไว้พร้อมทั้งภายในและภายนอก

ฉะนั้น ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะว่า ผู้ที่ล่วง ขณะ เสียแล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรก ย่อมเศร้าโศก

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ย่อมละอายเพราะวัตถุอันบุคคลไม่พึงละอาย
ย่อมไม่ละอายเพราะวัตถุอันบุคคลพึงละอาย
ย่อมไป สู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ว่าควรกลัว
และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่า ไม่ควรกลัว
ย่อมไปสู่ทุคติ

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ
และมีปกติเห็นในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ
ย่อมไปสู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ
รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ
และรู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
ย่อมไปสู่ สุคติฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 080&Z=1117
พระสูตรอย่างไรก็ไพเราะ ตื่นเช้าๆใส่บาตรบ้างนะ

ทำไมอะเมซิ่งคิดว่า พี่วลัยพรไม่ใส่บาตร แต่คุณน้องไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก คุณน้องสงสัยในตัวพี่วลัยพรในเรื่องเมื่อก่อนที่พี่วลัยพรเคยบอกคุณน้องว่า
แต่งงานกับสามีแล้วไม่หลับนอนกันฉันสามีภรรยา แต่ปฏิบัติธรรมด้วยกันกำจัดกิเลศราคะได้แล้ว อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยร่วมเพศเสพสมกันอย่างผัวเมียทั่วไป ว่าแต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย :b13:
กลัวลืมอ่ะเออๆใช่ๆเดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้วอ่ะ

อ้าวอะเมซิ่งจำได้ด้วยหรอ คุณน้องนึกว่าคุณน้องจำได้คนเดียว เพราะพี่วลัยพรเค้าแสดงความเห็นกับคุณน้องโดยตรงเพราะคุณน้องบอกว่า มีใครหน้าไหนบ้างแต่งงานอยู่กินกันผัวเมียแล้วไม่มีอะไรกัน อยากรู้จริงๆ พี่วลัยพรก็โผล่มาให้คำตอบคุณน้อง แต่ตอนนี้คุณน้องอยากรู้ว่ายังทำได้อยู่รึป่าวไง อิอิ :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 17:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
amazing เขียน:
nongkong เขียน:
amazing เขียน:
walaiporn เขียน:
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะความชั่วทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนความดีทำนั่นแลเป็นดี
เพราะทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง


ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเหมือนปัจจันตนคร
ที่มนุษย์ทั้งหลายคุ้มครองไว้พร้อมทั้งภายในและภายนอก

ฉะนั้น ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะว่า ผู้ที่ล่วง ขณะ เสียแล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรก ย่อมเศร้าโศก

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ย่อมละอายเพราะวัตถุอันบุคคลไม่พึงละอาย
ย่อมไม่ละอายเพราะวัตถุอันบุคคลพึงละอาย
ย่อมไป สู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ว่าควรกลัว
และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่า ไม่ควรกลัว
ย่อมไปสู่ทุคติ

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ
และมีปกติเห็นในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ
ย่อมไปสู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ
รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ
และรู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
ย่อมไปสู่ สุคติฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 080&Z=1117
พระสูตรอย่างไรก็ไพเราะ ตื่นเช้าๆใส่บาตรบ้างนะ

ทำไมอะเมซิ่งคิดว่า พี่วลัยพรไม่ใส่บาตร แต่คุณน้องไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก คุณน้องสงสัยในตัวพี่วลัยพรในเรื่องเมื่อก่อนที่พี่วลัยพรเคยบอกคุณน้องว่า
แต่งงานกับสามีแล้วไม่หลับนอนกันฉันสามีภรรยา แต่ปฏิบัติธรรมด้วยกันกำจัดกิเลศราคะได้แล้ว อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยร่วมเพศเสพสมกันอย่างผัวเมียทั่วไป ว่าแต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย :b13:
กลัวลืมอ่ะเออๆใช่ๆเดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้วอ่ะ

อ้าวอะเมซิ่งจำได้ด้วยหรอ คุณน้องนึกว่าคุณน้องจำได้คนเดียว เพราะพี่วลัยพรเค้าแสดงความเห็นกับคุณน้องโดยตรงเพราะคุณน้องบอกว่า มีใครหน้าไหนบ้างแต่งงานอยู่กินกันผัวเมียแล้วไม่มีอะไรกัน อยากรู้จริงๆ พี่วลัยพรก็โผล่มาให้คำตอบคุณน้อง แต่ตอนนี้คุณน้องอยากรู้ว่ายังทำได้อยู่รึป่าวไง อิอิ :b32: :b32:

ต้องรอคำตอบดูนะตื่นเต้นจุงเบย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
nongkong เขียน:
amazing เขียน:
nongkong เขียน:
amazing เขียน:
walaiporn เขียน:
ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า
เพราะความชั่วทำให้เดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนความดีทำนั่นแลเป็นดี
เพราะทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง


ท่านทั้งหลายจงคุ้มครองตนเหมือนปัจจันตนคร
ที่มนุษย์ทั้งหลายคุ้มครองไว้พร้อมทั้งภายในและภายนอก

ฉะนั้น ขณะอย่าล่วงท่านทั้งหลายไปเสีย
เพราะว่า ผู้ที่ล่วง ขณะ เสียแล้ว เป็นผู้ยัดเยียดกันในนรก ย่อมเศร้าโศก

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ย่อมละอายเพราะวัตถุอันบุคคลไม่พึงละอาย
ย่อมไม่ละอายเพราะวัตถุอันบุคคลพึงละอาย
ย่อมไป สู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
ผู้มีปกติเห็นในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ว่าควรกลัว
และมีปกติเห็นในสิ่งที่ควรกลัวว่า ไม่ควรกลัว
ย่อมไปสู่ทุคติ

สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นมิจฉาทิฐิ
มีปกติรู้ในสิ่งที่ไม่มีโทษว่ามีโทษ
และมีปกติเห็นในสิ่งที่มีโทษว่าไม่มีโทษ
ย่อมไปสู่ทุคติ


สัตว์ทั้งหลายผู้ถือมั่นสัมมาทิฐิ
รู้ธรรมที่มีโทษโดยความเป็นธรรมที่มีโทษ
และรู้ธรรมที่หาโทษมิได้ โดยความเป็นธรรมหาโทษมิได้
ย่อมไปสู่ สุคติฯ



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 080&Z=1117
พระสูตรอย่างไรก็ไพเราะ ตื่นเช้าๆใส่บาตรบ้างนะ

ทำไมอะเมซิ่งคิดว่า พี่วลัยพรไม่ใส่บาตร แต่คุณน้องไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก คุณน้องสงสัยในตัวพี่วลัยพรในเรื่องเมื่อก่อนที่พี่วลัยพรเคยบอกคุณน้องว่า
แต่งงานกับสามีแล้วไม่หลับนอนกันฉันสามีภรรยา แต่ปฏิบัติธรรมด้วยกันกำจัดกิเลศราคะได้แล้ว อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยร่วมเพศเสพสมกันอย่างผัวเมียทั่วไป ว่าแต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย :b13:
กลัวลืมอ่ะเออๆใช่ๆเดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้วอ่ะ

อ้าวอะเมซิ่งจำได้ด้วยหรอ คุณน้องนึกว่าคุณน้องจำได้คนเดียว เพราะพี่วลัยพรเค้าแสดงความเห็นกับคุณน้องโดยตรงเพราะคุณน้องบอกว่า มีใครหน้าไหนบ้างแต่งงานอยู่กินกันผัวเมียแล้วไม่มีอะไรกัน อยากรู้จริงๆ พี่วลัยพรก็โผล่มาให้คำตอบคุณน้อง แต่ตอนนี้คุณน้องอยากรู้ว่ายังทำได้อยู่รึป่าวไง อิอิ :b32: :b32:

ต้องรอคำตอบดูนะตื่นเต้นจุงเบย

ชอบจังเบยประโยคนี้
ขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้เพียงเล็กน้อยบุคคลไม่ควรทำ
ด้วยความสำคัญว่า “ชนพวกอื่นย่อมไม่รู้กรรมนี้ของเรา”

ส่วน สุจริตนั่นแหละ เมื่อคนอื่นแม้ไม่รู้ก็ควรทำ,

เพราะว่าขึ้นชื่อว่าทุจริต แม้บุคคลปกปิดทำ
ย่อมทำการเผาผลาญในภายหลัง,

:b32: :b32:
จริงๆคุณน้องเชื่อเรื่องกรรมนะว่า กฏแห่งกรรมคือ ผลสะท้อนของกรรมเก่า :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 18:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 15:49
โพสต์: 932


 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นแว๊บๆไปไหนอ่ะ. ที่จริงเรื่องแบบนี้นะไม่น่าอายหรอก จะหมดหดหายหรือจะกระหน่ำไม่เว้นก็ไม่ผิดผัวเมียกันจะเป็นอะไร พูดผิดไปก็พูดใหม่ได้ของแบบนี้มันอดกันได้ง่ายซะเมื่อไร เหมือนเคยหลงกินเจอยู่นานพอกลับมากินปรกติรู้อย่างนี้กินซะตั้งนานแล้วอิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ
ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลยถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย


เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของแต่ละคนค่ะ
ไม่ใช่เรื่องคุณวิเศษอันใด



nongkong เขียน:



ทำไมอะเมซิ่งคิดว่า พี่วลัยพรไม่ใส่บาตร แต่คุณน้องไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก คุณน้องสงสัยในตัวพี่วลัยพรในเรื่องเมื่อก่อนที่พี่วลัยพรเคยบอกคุณน้องว่า
แต่งงานกับสามีแล้วไม่หลับนอนกันฉันสามีภรรยา แต่ปฏิบัติธรรมด้วยกันกำจัดกิเลศราคะได้แล้ว อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยร่วมเพศเสพสมกันอย่างผัวเมียทั่วไป ว่าแต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย เดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้วอ่ะ


เพราะพี่วลัยพรเค้าแสดงความเห็นกับคุณน้องโดยตรงเพราะคุณน้องบอกว่า มีใครหน้าไหนบ้างแต่งงานอยู่กินกันผัวเมียแล้วไม่มีอะไรกัน อยากรู้จริงๆ พี่วลัยพรก็โผล่มาให้คำตอบคุณน้อง แต่ตอนนี้คุณน้องอยากรู้ว่ายังทำได้อยู่รึป่าวไง อิอิ :b32: :b32:





คุณน้อง :b32:

ช่วยหาให้หน่อยสิคะ ที่พี่โพสทำนองว่า "กำจัดกิเลสราคะได้แล้ว"

ไม่น่าจะใช่นะ พี่คิดว่า ไม่เคยโพสทำนองนั้น

เรื่องคู่ครอง เราสองคน สร้างเหตุมาเกื้อหนุนกันทั้งทางโลกและทางธรรม

แฟนพี่ ปกติจะเรียกเขาว่า เจ้านาย เพราะเขาเป็นคนทำงาน

พี่ไม่ได้ทำงานประจำ อยู่บ้าน เป็น แจ๋ว
คือ รับผิดชอบงานทุกอย่างในบ้านทั้งหมด
แฟนพี่ กลับเข้าบ้านมา มีสถานะเป็นเจ้านายอย่างเดียว

พี่ไม่รู้เรื่องคอมฯ

แฟนพี่จบวิศวะคอมฯ พี่อาศัยเขาเรื่องนี้

แฟนพี่ อาศัยพี่เป็นพี่เลี้ยง ในเรื่องสภาวะที่เกิดขึ้นทั้งการดำเนินชีวิต และการปฏิบัติ
อย่างที่เคยเล่าสภาวะเจ้านายไปบางส่วนมั่งแล้ว

พี่กับเจ้านาย ไม่เคยอยู่กินกันแบบฉันท์ สามีและภรรยา
แต่อยู่ด้วยกันแบบ กัลยาณมิตร

เรื่องสภาวะกามราคะ ทั้งแฟนพี่ และตัวพี่ มีสภาวะเหมือนกัน
พี่เจอสภาวะนี้ ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ เป็นนิมิต ที่ไม่มีรูปร่างปรากฏ แต่ปรากฏทางสัมผัส
คือ ยังมีสภาวะนี้อยู่นะ นานๆเกิด แต่ไม่ได้สนใจ แค่รู้ว่ามีอยู่

แฟนพี่ เจอเฉพาะเวลาหลับ ที่เรียกว่า ฝันเปียก
ต่อมา แฟนเล่าให้ฟังว่า อาการที่เรียกว่า ฝันเปียก ไม่มีเกิดขึ้นแล้ว

เพราะ ขณะกำลังฝัน เขามีสติกลับมารู้ที่กาย
พอรู้สึกตัวตื่น อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น หายไปเอง
คือ สภาวะนี้ เขายังมีอยู่ แต่ไม่ได้ใส่ใจ แค่รู้ว่ามี

ถ้าถามว่า ขณะที่หลับอยู่ กำลังฝันอยู่ มีสติได้ยังไง?
เกิดจาก การทำความเพียรต่อเนื่อง ในรูปแบบตามเหตุปัจจัยของเขาเองค่ะ



แถมให้ค่ะ บุคคลที่ ไม่เสพกาม ความติดใจในรสแห่งกาม ย่อมไม่กระทบ
เป็นเหตุให้ จิตตั้งมั่นได้เนืองๆค่ะ

เพราะไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องมาให้ขบคิด

ประมาณว่า อยู่ที่ไหน กับใคร ทำอะไร คุยกับใคร ทำไมกลับช้า ทำไมไปเร็ว ฯลฯ :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 ต.ค. 2013, 18:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


amazing เขียน:
เห็นแว๊บๆไปไหนอ่ะ. ที่จริงเรื่องแบบนี้นะไม่น่าอายหรอก จะหมดหดหายหรือจะกระหน่ำไม่เว้นก็ไม่ผิดผัวเมียกันจะเป็นอะไร พูดผิดไปก็พูดใหม่ได้ของแบบนี้มันอดกันได้ง่ายซะเมื่อไร เหมือนเคยหลงกินเจอยู่นานพอกลับมากินปรกติรู้อย่างนี้กินซะตั้งนานแล้วอิอิ

ใครบอกว่าคุณน้องเห็นเรื่องพวกนี้มันน่าอาย ถ้าคุณน้องอายคุณน้องจะกล้าถามพี่วลัยพรหรอ และคุณน้องก็ไม่คิดว่ามันจะดีหรือมันจะชั่วตรงไหน ก็เพราะพี่วลัยพรเค้าเป็นคนสอนคุณน้องเองว่า
ในกรณีที่มีทิฏฐิแบบนี้

กูทำชั่วก็ปล่อยวางกูทำดีก็ปล่อยวาง กูไม่ต้องยึดอะไรเลยทั้งความดีความชั่ว
ทำชั่วก็ปล่อยทำดีก็ปล่อย จิตใจโล่งเบาสบาย

จะคล้ายๆกับคำกล่าวนี้

"การกระทำทุกอย่าง ล้วนเกิดจากการปรุงแต่งของจิต
ไม่มีผู้กระทำ เป็นเรื่องของจิต

พุทธศาสนามิได้ถือว่าจิตเป็นบุคคล
กระแสการปรุงแต่งทางจิตเป็นไปได้เองตามธรรมชาติ
ผลที่เกิดขึ้นเป็นความทุกข์จึงมิใช่การกระทำของบุคคลใด ;

ดังนั้น จึงมิใช่การกระทำของบุคคลผู้รู้สึกเป็นทุกข์
หรือการกระทำของบุคคลอื่นใด ที่ทำให้บุคคลอื่นเป็นทุกข์.

นี้เป็นหลักสำคัญของพุทธศาสนาที่สอนเรื่องอนัตตา
ไม่มีสัตว์บุคคลที่เป็นผู้กระทำหรือถูกกระทำ
มีแต่กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา ซึ่งจิตรู้สึกได้เท่านั้น"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2013, 18:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
nongkong เขียน:
ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ
ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลยถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย


เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยของแต่ละคนค่ะ
ไม่ใช่เรื่องคุณวิเศษอันใด



nongkong เขียน:



ทำไมอะเมซิ่งคิดว่า พี่วลัยพรไม่ใส่บาตร แต่คุณน้องไม่สงสัยในเรื่องนั้นหรอก คุณน้องสงสัยในตัวพี่วลัยพรในเรื่องเมื่อก่อนที่พี่วลัยพรเคยบอกคุณน้องว่า
แต่งงานกับสามีแล้วไม่หลับนอนกันฉันสามีภรรยา แต่ปฏิบัติธรรมด้วยกันกำจัดกิเลศราคะได้แล้ว อยู่ด้วยกันแต่ก็ไม่เคยร่วมเพศเสพสมกันอย่างผัวเมียทั่วไป ว่าแต่ตอนนั้นมันก็นานมากแล้ว ตอนนี้ยังปฏิบัติได้เหมือนเมื่อก่อนรึเปล่าเจ้าค่ะ ถ้าทำได้น่าจะสุดยอดมากเลย เดี๋ยวนี้ไปถึงไหนแล้วอ่ะ


เพราะพี่วลัยพรเค้าแสดงความเห็นกับคุณน้องโดยตรงเพราะคุณน้องบอกว่า มีใครหน้าไหนบ้างแต่งงานอยู่กินกันผัวเมียแล้วไม่มีอะไรกัน อยากรู้จริงๆ พี่วลัยพรก็โผล่มาให้คำตอบคุณน้อง แต่ตอนนี้คุณน้องอยากรู้ว่ายังทำได้อยู่รึป่าวไง อิอิ :b32: :b32:





คุณน้อง :b32:

ช่วยหาให้หน่อยสิคะ ที่พี่โพสทำนองว่า "กำจัดกิเลสราคะได้แล้ว"

ไม่น่าจะใช่นะ พี่คิดว่า ไม่เคยโพสทำนองนั้น

เรื่องคู่ครอง เราสองคน สร้างเหตุมาเกื้อหนุนกันทั้งทางโลกและทางธรรม

แฟนพี่ ปกติจะเรียกเขาว่า เจ้านาย เพราะเขาเป็นคนทำงาน

พี่ไม่ได้ทำงานประจำ อยู่บ้าน เป็น แจ๋ว
คือ รับผิดชอบงานทุกอย่างในบ้านทั้งหมด
แฟนพี่ กลับเข้าบ้านมา มีสถานะเป็นเจ้านายอย่างเดียว

พี่ไม่รู้เรื่องคอมฯ

แฟนพี่จบวิศวะคอมฯ พี่อาศัยเขาเรื่องนี้

แฟนพี่ อาศัยพี่เป็นพี่เลี้ยง ในเรื่องสภาวะที่เกิดขึ้นทั้งการดำเนินชีวิต และการปฏิบัติ
อย่างที่เคยเล่าสภาวะเจ้านายไปบางส่วนมั่งแล้ว

พี่กับเจ้านาย ไม่เคยอยู่กินกันแบบฉันท์ สามีและภรรยา
แต่อยู่ด้วยกันแบบ กัลยาณมิตร

เรื่องสภาวะกามราคะ ทั้งแฟนพี่ และตัวพี่ มีสภาวะเหมือนกัน
พี่เจอสภาวะนี้ ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ เป็นนิมิต ที่ไม่มีรูปร่างปรากฏ แต่ปรากฏทางสัมผัส
คือ ยังมีสภาวะนี้อยู่นะ นานๆเกิด แต่ไม่ได้สนใจ แค่รู้ว่ามีอยู่

แฟนพี่ เจอเฉพาะเวลาหลับ ที่เรียกว่า ฝันเปียก
ต่อมา แฟนเล่าให้ฟังว่า อาการที่เรียกว่า ฝันเปียก ไม่มีเกิดขึ้นแล้ว

เพราะ ขณะกำลังฝัน เขามีสติกลับมารู้ที่กาย
พอรู้สึกตัวตื่น อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น หายไปเอง
คือ สภาวะนี้ เขายังมีอยู่ แต่ไม่ได้ใส่ใจ แค่รู้ว่ามี

ถ้าถามว่า ขณะที่หลับอยู่ กำลังฝันอยู่ มีสติได้ยังไง?
เกิดจาก การทำความเพียรต่อเนื่อง ในรูปแบบตามเหตุปัจจัยของเขาเองค่ะ

โอเค หายสงสัยแระ สรุปว่าพี่กับเจ้านายก็อยู่กินกันอย่างกัลยามิตรไปเคยมีเพศสัมพันธ์กันเลยใช่ป่าวเจ้าค่ะ แสดงว่ายังถือศีลพรหมจรรย์บริบูรณ์อยู่ :b45:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 64 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร