วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 00:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปทาน ฟีเวอร์...

rolleyes rolleyes rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
แต่คนยุคใหม่นี่เขาไม่กินกันแล้วแบบนั้น เขาคัดเลือกเอามากินเฉพาะส่วนที่กินได้และอร่อยที่สุดเท่านั้น เปลือกกับรากที่กินไม่ได้เพราะกินกันไม่เป็นก็ทิ้งไป
:b13: :b13: :b13:


ไร้สาระ

ทีถั่วเขียวต้มน้ำตาล ก็เห็นกินกันทั้งก้อน ทั้งเปลือก...

ซึ่งไอ้ก้อน ๆ นั่นล่ะมันก็งอกออกมาเป็นราก...

:b32:
asoka เขียน:
เชิญตามสบายนะเอก้อน...เพราะประกาศให้ทราบกันทั่วแล้วนี่ ว่าที่เพ้อๆลอยๆนี่ คือตัวตนของเอก้อน

สาธุ
smiley


สนทนาธรรมกะอโศกะ จะเอาอะไรมากกันล่ะ

ก็แค่นั้นแหละ...

:b1:

:b12:
พูดเรื่องถั่วงอกดีๆไพล่แฉลบไปเรื่องถั่วต้มน้ำตาล
ทำถั่วงอกที่มีแต่เปลือกเขียวๆปนเต็มไปหมดไปขายในตลาดดูจริงๆซิ จะได้รู้ความจริงว่ามันจะขายได้เหมือนถั่วต้มน้ำตาลไหม

นี่เป็นเรื่อธรรมะต้นๆ เหตุผลง่ายๆ ไม่ต้องเอาอะไรมากอย่างที่เอก้อนว่า แต่อย่าได้ประมาทเชียวนากับเรื่องธรรมะติดดินอย่างนี้
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
พูดเรื่องถั่วงอกดีๆไพล่แฉลบไปเรื่องถั่วต้มน้ำตาล
ทำถั่วงอกที่มีแต่เปลือกเขียวๆปนเต็มไปหมดไปขายในตลาดดูจริงๆซิ จะได้รู้ความจริงว่ามันจะขายได้เหมือนถั่วต้มน้ำตาลไหม

นี่เป็นเรื่อธรรมะต้นๆ เหตุผลง่ายๆ ไม่ต้องเอาอะไรมากอย่างที่เอก้อนว่า แต่อย่าได้ประมาทเชียวนากับเรื่องธรรมะติดดินอย่างนี้
:b12:


ความเคยตัวของคน...ไง ที่จะต้องกินถั่วงอกอย่างนั้น
ต้องทำขายอย่างนั้น
คนกินก็เคยตัวที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เข้าใจนี่

อ้างคำพูด:
ขันธ์ ๕ ในธรรมชาติ กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ของคนได้ยังไง


ทำไมจึงเป็นยังงั้นไปได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
พูดเรื่องถั่วงอกดีๆไพล่แฉลบไปเรื่องถั่วต้มน้ำตาล
ทำถั่วงอกที่มีแต่เปลือกเขียวๆปนเต็มไปหมดไปขายในตลาดดูจริงๆซิ จะได้รู้ความจริงว่ามันจะขายได้เหมือนถั่วต้มน้ำตาลไหม

นี่เป็นเรื่อธรรมะต้นๆ เหตุผลง่ายๆ ไม่ต้องเอาอะไรมากอย่างที่เอก้อนว่า แต่อย่าได้ประมาทเชียวนากับเรื่องธรรมะติดดินอย่างนี้
:b12:


ความเคยตัวของคน...ไง ที่จะต้องกินถั่วงอกอย่างนั้น
ต้องทำขายอย่างนั้น
คนกินก็เคยตัวที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น

:b1:

:b5:
ชอบเฉไฉแฉลบจนเป็นนิสัยอย่างนี้ใช่ไหม?
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
พูดเรื่องถั่วงอกดีๆไพล่แฉลบไปเรื่องถั่วต้มน้ำตาล
ทำถั่วงอกที่มีแต่เปลือกเขียวๆปนเต็มไปหมดไปขายในตลาดดูจริงๆซิ จะได้รู้ความจริงว่ามันจะขายได้เหมือนถั่วต้มน้ำตาลไหม

นี่เป็นเรื่อธรรมะต้นๆ เหตุผลง่ายๆ ไม่ต้องเอาอะไรมากอย่างที่เอก้อนว่า แต่อย่าได้ประมาทเชียวนากับเรื่องธรรมะติดดินอย่างนี้
:b12:


ความเคยตัวของคน...ไง ที่จะต้องกินถั่วงอกอย่างนั้น
ต้องทำขายอย่างนั้น
คนกินก็เคยตัวที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น

:b1:

:b5:
ชอบเฉไฉแฉลบจนเป็นนิสัยอย่างนี้ใช่ไหม?
:b16:


ก็ลองหันไปถามท่านกรัชดู...สิ่ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่เข้าใจนี่

อ้างคำพูด:
ขันธ์ ๕ ในธรรมชาติ กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ของคนได้ยังไง


ทำไมจึงเป็นยังงั้นไปได้


ถามท่านอโศก กับ ท่านกบอ่ะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 21:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะ..อาศัยเอก่อน..แฉลบหนี..ไปเลย...อิอิ
:b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 22:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่เข้าใจนี่

อ้างคำพูด:
ขันธ์ ๕ ในธรรมชาติ กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ของคนได้ยังไง


ทำไมจึงเป็นยังงั้นไปได้


ถามท่านอโศก กับ ท่านกบอ่ะ :b1:


กาลครั้งหนึ่ง...แอบได้ยินเพื่อนนินทาใครสักคน...แอบฟังซักพัก...เข้าเค้าว่า..นินทา..เรา..นี้นา
เสียใจ....โกรธเพื่อนไปพักใหญ่....กว่าจะรู้ว่าเพื่อนนินทาคนอื่น...ก็เสียเซลท์ไปนาน

เสียง...มันก็เป็นธรรมชาติ...พอคิดว่านินทาเรา...ก็เครียต...พอมารู้ว่าไม่ใช่นินทาเรา...ก็สดชื่นขึ้นมา....แต่ก็เสียงเดียวกันนั้นแหละ..เสียงก็อันเดิม...

ถ้าหากเป็นคนประเภท...ไม่สนใคร...ใครจะนินทาอะไรคงไม่เดือดร้อน...แต่ก็เพราะอยากให้เพื่อนๆรักเรา..สนใจเรา...ยอมรับในตัวเรา...จึงเครียตยามเพื่อนนินทา...จึงสดชื่นยามเพื่อนรัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2014, 23:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
กบนอกกะลา เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่เข้าใจนี่

อ้างคำพูด:
ขันธ์ ๕ ในธรรมชาติ กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ของคนได้ยังไง


ทำไมจึงเป็นยังงั้นไปได้


ถามท่านอโศก กับ ท่านกบอ่ะ :b1:


กาลครั้งหนึ่ง...แอบได้ยินเพื่อนนินทาใครสักคน...แอบฟังซักพัก...เข้าเค้าว่า..นินทา..เรา..นี้นา
เสียใจ....โกรธเพื่อนไปพักใหญ่....กว่าจะรู้ว่าเพื่อนนินทาคนอื่น...ก็เสียเซลท์ไปนาน

เสียง...มันก็เป็นธรรมชาติ...พอคิดว่านินทาเรา...ก็เครียต...พอมารู้ว่าไม่ใช่นินทาเรา...ก็สดชื่นขึ้นมา....แต่ก็เสียงเดียวกันนั้นแหละ..เสียงก็อันเดิม...

ถ้าหากเป็นคนประเภท...ไม่สนใคร...ใครจะนินทาอะไรคงไม่เดือดร้อน...แต่ก็เพราะอยากให้เพื่อนๆรักเรา..สนใจเรา...ยอมรับในตัวเรา...จึงเครียตยามเพื่อนนินทา...จึงสดชื่นยามเพื่อนรัก

:b12:
อาศัยกระทู้ของน้องรสมน มาชุมนุมกันเกือบพร้อมหน้าพร้อมตา ดาราประจำลานธรรมจักรอย่างนี้ดูครึกครื้นดีนะครับน่าประทับใจ แซววาทีกันไปจนสนิทสนมกันยิ่งกว่าญาติ แม้ยังมิอาจได้พบหน้าค่าตากัน พุทธภาษิตที่ว่า

"วิสาสา ปรมาญาติ"......ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง นี้ช่างมีแก่นสารดียิ่งล้ำ

ค่อยๆพูด ค่อยๆจา แบ่งปันธรรมกันไป ไม่ถือสาไม่ว่ากัน ก็ดูอบอุ่นดีนะครับ เป็นนิมิตรดีต้อนรับปีใหม่ไทยที่จะถึงวันสองวันนี้ด้วย

อ่ย่าลืมชวนโฮฮับผู้ห่างหาย มาแจมกันใหม่ให้ครึกครื้นในวันปีใหม่ไทยนะครับ ยังคิดถึงกันอยู่เสมอ

เจริญสุขเจริญธรรม ดำหัว ขมา อโหสิกรรมกันในวันปีใหม่ไทยด้วยนะครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2014, 05:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




3cb399958e8a9ec79c56bb4c3790a64a.gif
3cb399958e8a9ec79c56bb4c3790a64a.gif [ 465.44 KiB | เปิดดู 2714 ครั้ง ]
ท่านอโศก กับ ท่านกบ เหมือนกันอยู่อย่างหนึง คือ ตอบไม่ตรงคำถาม ถามอย่างตอบอย่าง

เขาถามว่า ไปไหนมาขอรับท่านทั้งสอง ? :b8: พากันตอบว่า 3 วา 2 ศอก :b32: บันเทิงธรรมจริงๆ :b9:

บอกหลายครั้งแล้วว่า ถ้าไม่ไหวจริง ให้ศึกษาธรรมะระดับชาวๆบ้านไปก่อน เช่น หลักในคิหิวินัย แล้วก็อย่างที่บอกบ่อยๆ คือ การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปิดทองรอยพระบาท ไหว้พระ 9 วัด ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า ฯลฯ ทำบุญอย่างง่ายๆเห็นๆนีเถอะก่อน ขั้นระดับทานก่อน

อย่าเพิ่งก้าวไปพูดเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องภาวนาเลย ถามว่าทำไม ตอบ พูดแล้วมันเละ เละเป็นเต้าถูกโยนลงมาจากตึกใบหยกนะขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2014, 05:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่เข้าใจนี่

อ้างคำพูด:
ขันธ์ ๕ ในธรรมชาติ กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ของคนได้ยังไง


ทำไมจึงเป็นยังงั้นไปได้


ถามท่านอโศก กับ ท่านกบอ่ะ :b1:



ธรรมะ (พุทธธรรม) ก็เรื่องของชีวิตที่เดินแกว่งไปแกว่งมา ส่ายไปส่ายมาอยู่บนโลกใบนี้แหละนะท่าน :b1:

ตามมาดู

ชีวิต = กาย+ใจ (บาลีเป็น กายะ+มโน,รูปะ+นามะ) แล้วท่านก็จำแนกชีวิต (กาย-มโน,รูป-นาม) ออกไป โดยความเป็นขันธ์ (กอง) ว่ามี 5 คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ .....นี่คือขันธ์ 5 ในธรรมชาติ,ตามธรรมดาธรรมชาติของมัน

แต่ที่มีปัญหายุ่งนุงนัง จนธรรมชาติกลายเป็นอุปาทานขันข์ขึ้นมา ก็เพราะคน คนเกิดมีอุปาทาน (ฉันทราคะ,กิเลส) ไปยึดธรรมชาตินี่ว่า เป็นกูนั่นกูนี่ เป็นของกู ฯลฯ นี่คนไปยึดมัน ถ้าคนไม่ยึด ชีวิตก้อนนี้ก็ธรรมชาติล้วนๆเอง....

ที่ว่ามา ก็คงพอมองเห็นหน้าที่แล้วว่า ควรทำยังไงกับชีวิต ที่ถูกเคลือบด้วยอุปาทาน.....(อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ มองกลับด้าน ถ้าหมดอุปาทาน,ไม่มีอุปานในขันธ์ (ชีวิต) ก็ไม่่ทุกข์ เมื่อไม่ทุกข์ ก็=เป็นสุข ชีวิตหรือธรรมชาติที่เหลือ ก็พหุชนหิตาย พหุชสุขาย โลกานุกัมปาย เช่น ชีวิตของพระพระศาสดา และพระสาวก - ที่ยังครองเรือนก็ใช้ชีวิตอยู่กับเรือนดำเนินชีวิตมีสุขตามอัตภาพ เช่น ชีวิตของนางวิสาขา เป็นต้น)

อ้อ...ท่านมิใช่จำแนกชีวิตโดยความเป็นขันธ์เท่านั้นนะ ยังจำแนกแจกแจง โดยเป็นอายตนะ เป็นธาตุ เป็นอินทรีย์ด้วย เพื่อให้ผู้ศึกษาเห็นว่าชีวิตมันเป็นธรรมดาแห่งธรรมชาติ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2014, 10:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนำอุปาทานลงให้เป็นที่สังเกตด้วย


อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ซึ่งมี ๔ อย่าง คือ


๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในกาม* (clinging to sensuality) เมื่ออยากได้ ดิ้นรนแส่หา ก็ยึดมั่นติดพันในสิ่งที่อยากได้นั้น เมื่อได้แล้ว ก็ยึดมั่นเพราะอยากสนองความต้องการให้ยิ่งๆขึ้นไป และกลัวหลุดลอยพรากไปเสีย ถ้าแม้ผิดหวังหรือพรากไป ก็ยิ่งปักใจมั่นด้วยความผูกใจอาลัย ความยึดมั่นแน่นแฟ้นขึ้นเพราะสิ่งสนองความต้องการต่างๆ ไม่ให้ภาวะเต็มอิ่ม หรือสนองความต้องการได้ขีดที่อยากจริงๆ ในคราวหนึ่งๆ จึงพยายามเพื่อเข้าถึงขีดที่เต็มอยากนั้นด้วยการกระทำอีกๆ และเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของของตนแท้จริง จึงต้องยึดมั่นไว้ด้วยรู้สึกจูงใจตนเองว่าเป็นของตนในแง่ใดแง่หนึ่งให้ ได้ ความคิดจิตใจของปุถุชนจึงไปยึดติดผูกพันข้องอยู่กับสิ่งสนองความอยากอย่างใด อย่างหนึ่งอยู่เสมอ ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ และเป็นกลางได้ยาก


๒. ทิฏฐุปาทาน ความ ยึดมั่นในทฤษฎีหรือทิฏฐิต่างๆ (clinging to views) ความอยากให้เป็นหรือไม่ให้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ตนต้องการ ย่อมทำให้เกิดความเอนเอียงที่จะยึดมั่นในทิฏฐิ ทฤษฎี หรือหลักปรัชญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เข้ากับความต้องการของตน ความอยากได้สิ่งสนองความต้องกาของตน ก็ทำให้ยึดมั่นในหลักการ แนวคิดความเห็น ลัทธิ ความเชื่อถือ หลักคำสอนที่สนองหรือเป็นไปเพื่อสนองความต้องการของตน เมื่อความยึดถือความเห็นหรือหลักความคิดอันใดอันหนึ่งว่าเป็นของตนแล้ว ก็ผนวกเอาความเห็นหรือหลักความคิดนั้น เป็นตัวตนของตนไปด้วย จึงนอกจากจะคิดนึกและกระทำการต่างๆ ไปตามความเห็นนั้นๆแล้ว เมื่อมีทฤษฎีหรือความเห็นอื่นๆ ที่ขัดแย้งกับความเห็นที่ยึดไว้นั้น ก็รู้สึกว่าเป็นการคุกคามต่อตัวตนของตนด้วยเป็นการเข้ามาบีบคั้นหรือจะทำลาย ตัวตนให้เสื่อม ด้อย พร่องลง หรือสลายตัวไป อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงต้องต่อสู้รักษาความเห็นนั้นไว้เพื่อศักดิ์ศรีเป็นต้นของตัวตน จึงเกิดการขัดแย้งที่แสดงออกภายนอก เกิดการผูกมัดตัวให้คับแคบ สร้างอุปสรรค กักปัญญาของตนเอง ความคิดเห็นต่างๆ ไม่เกิดประโยชน์ตามความหมายและวัตถุประสงค์แท้ๆ ของมัน ทำให้ไม่สามารถถือเอาประโยชน์จากความรู้ และไม่สามารถรับความรู้ต่างๆได้เท่าที่ควรจะเป็น


๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นในศีลและพรต (clinging to mere rule and ritual) ความอยากได้ อยากเป็นอยู่ ความกลัวต่อความสูญสลายของตัวตน โดยไม่เข้าใจกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยในธรรมชาติ ผสมกับความยึดมั่นในทิฏฐิอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ประพฤติปฏิบัติไปตามๆ กันอย่างงมง่าย ในสิ่งที่นิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ ที่จะสนองความอยากของตนได้ ทั้งที่ไม่มองเห็นความสัมพันธ์โดยทางเหตุผล


ความ อยากให้ตัวตนคงอยู่ มีอยู่ และความยึดมั่นในตัวตน แสดงออกมาภายนอก หรือทางสังคม ในรูปของความยึดมั่น ในแบบแผนพฤติกรรมต่างๆ การทำสืบๆกันมา ระเบียบวิธี ขนมธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีตลอดจนสถาบันต่างๆ ที่แน่นอนตายตัว ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยไม่ตระหนักรู้ในความหมาย คุณค่าวัตถุประสงค์ และความสัมพันธ์โดยเหตุผล กลายเป็นว่า มนุษย์สร้างสิ่งต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมาเพื่อกีดกั้น ปิดล้อมตัวเอง และทำให้แข็งทื่อ ยากแก่การปรับปรุงตัวและการที่จะได้รับประโยชน์จากสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าไป สัมพันธ์


ในเรื่องสีลัพพตุปาทานนี้ มีคำอธิบายของท่านพุทธทาสภิกขุ ตอนหนึ่ง ทีเห็นว่าจะช่วยให้ความหมายชัดเจนขึ้นอีก ดังนี้

“เมื่อ มาประพฤติศีล หรือธรรมะข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ไม่ทราบความมุ่งหมาย ไม่คำนึงถึงเหตุผล ได้แต่ลงสันนิษฐานเอาเสียว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เมื่อลงได้ปฏิบัติของศักดิ์สิทธิ์แล้ว ย่อมต้องได้รับผลดีเอง ฉะนั้น คนเหล่านี้จึงสมาทานศีล หรือประพฤติธรรมะ แต่เพียงตามแบบฉบับตามตัวอักษร ตามประเพณี ตามตัวอย่าง ที่สืบปรัมปรากันมาเท่านั้น ไม่เข้าถึงเหตุผลของสิ่งนั้นๆ แต่เพราะอาศัยการประพฤติกระทำมาจนชิน การยึดถือจึงเหนียวแน่น เป็นอุปาทานชนิดแก้ไขยาก ...ต่างจากอุปาทานข้อที่สองข้างต้น ซึ่งหมายถึงการถือในตัวทิฏฐิ หรือความคิดความเห็นที่ผิด ส่วนข้อนี้ เป็นการยึดถือในตัวการปฏิบัติ หรือการกระทำทางภายนอก” *


๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน (clinging to the ego-belief) ความรู้สึกว่ามีตัวตนที่แท้จริงนั้น เป็นความหลงผิดที่มีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และยังมีปัจจัยอื่นๆที่ช่วยเสริมความรู้สึกนี้อีก เช่น ภาษาอันเป็นถ้อยคำสมมติสำหรับสื่อความหมาย ที่ชวนให้มนุษย์ผู้ติดบัญญัติมองเห็นสิ่งต่างๆ แยกออกจากกันเป็นตัวที่คงที่ แต่ความรู้สึกนี้กลายเป็นความยึดมั่นเพราะตัณหาเป็นปัจจัย กล่าวคือ เมื่ออยากได้ ก็ยึดมั่นว่ามีตัวตนที่เป็นผู้รับและเสวยสิ่งที่อยากนั้น มีตัวตนที่เป็นเจ้าของสิ่งที่ได้นั้น เมื่ออยากเป็นอยู่ ก็อยากให้มีตัวตนอันใดอันหนึ่งเป็นอยู่ เมื่อยากไม่เป็นอยู่ ก็ ยึดในตัวตนอันใดอันหนึ่งที่จะให้สูญสลายไป เมื่อกลัวว่าตัวตนจะสูญสลายไป ก็ยิ่งตะเกียกตะกายย้ำความรู้สึกในตัวตนให้แน่นแฟ้นหนักขึ้นไปอีก




ที่ สำคัญคือ ความอยากนั้นสัมพันธ์กับความรู้สึกว่ามีเจ้าของผู้มีอำนาจควบคุม คือ มีตัวตนที่เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปอย่างที่อยากให้เป็นได้ และก็ปรากฏว่ามีการบังคับบัญชาได้สมปรารถนาบ้างเหมือนกัน จึงหลงผิดไปว่า มีตัวฉัน หรือตัวตนของฉันที่เป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ความจริง มีอยู่ว่า การบังคับบัญชานั้น เป็นไปได้เพียงบางส่วนและชั่วคราวเท่านั้น เพราะสิ่งที่ยึดว่าเป็นตัวตนนั้น ก็เป็นเพียงปัจจัยอย่างหนึ่งในกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบัญชาได้อยู่บ้าง แต่ไม่เต็มสมบูรณ์จริงๆ เช่นนี้ กลับเป็นการย้ำความหมายมั่น และตะเกียกตะกายเสริมความรู้สึกว่าตัวตนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก


เมื่อ ยึดมั่นในตัวตนด้วยอุปาทาน ก็ไม่รู้จักที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ตามเหตุปัจจัยที่จะให้มันเป็นไปอย่างนั้นๆ กลับหลงมองความสัมพันธ์ผิด ยกเอาตัวตนขึ้นยึดไว้ในฐานะเจ้าของ ที่จะบังคับควบคุมสิ่งเหล่านั้นตามความปรารถนา เมื่อไม่ทำตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย และสิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ตัวตนก็ถูกบีบคั้นด้วยความพร่องเสื่อมด้อย และความสูญสลาย ความยึดมั่นตัวตนนี้นับว่าเป็นข้อสำคัญ เป็นพื้นฐานของความยึดมั่นข้ออื่นๆทั้งหมด

.........

กาม = สิ่งสนองความต้องการทางประสาททั้ง ๕ และความใคร่ในสิ่งสนองความต้องการเหล่านั้น

ทิฏฐิที่สนองตัณหาขั้นพื้นฐานที่สุด ก็คือ สัสสตทิฏฐิ กับ อุจเฉททิฏฐิ และทิฏฐิที่อยู่ในเครือเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2014, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ความหมายง่ายๆ แง่หนึ่งสำหรับแสดงความสัมพันธ์ภายในวงจรปฏิจจสมุปบาทช่วงนี้ เช่น เมื่อประสบสิ่งใด ได้รับเวทนาอันอร่อย ก็เกิดตัณหาชอบใจอยากได้สิ่งนั้น แล้วเกิด กามุปาทาน ยึดติดในสิ่งที่อยากได้นั้นว่า จะต้องเอาต้องเสพต้องครอบครองสิ่งนั้นให้ได้ เกิด ทิฏฐุปาทาน ยึด ถือมั่นว่า ต้องอย่างนี้จึงจะดี ได้อย่างนี้จึงจะเป็นสุข ต้องได้เสพเสวยครอบครองสิ่งนี้ หรือประเภทนี้ ชีวิตจึงจะมีความหมาย หลักการหรือคำสอนอะไรๆจะต้องส่งเสริมการแสวงหาและได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ จึงจะถูกต้อง เกิด สีลัพพตุปาทาน เมื่อจะประพฤติ ปฏิบัติศีลพรต ขนบธรรมเนียม ระเบียบ แบบแผนอย่างใดๆ ก็มองในแง่เป็นวิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากได้นั้น หรือจะต้องเป็นเครื่องมือให้ได้มาซึ่งสิ่งที่อยากได้นั้น จึงจะยอมหรือคิดหายกขึ้นมาประพฤติปฏิบัติ และเกิด อัตตวาทุปาทาน ยึดติดถือมั่นในตัวตนที่จะได้จะเสพจะครอบครองสิ่งที่อยากได้นั้น


ว่า โดยสรุป อุปาทานทำให้มนุษย์ปุถุชนมีจิตใจไม่ปลอดโปร่งผ่องใส ความคิดไม่แล่นคล่องไปตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย ไม่สามารถแปลความหมาย ตัดสิน และกระทำการต่างๆไปตามแนวทางแห่งเหตุปัจจัยตามที่มันควรจะเป็น โดยเหตุผลบริสุทธิ์ แต่มีความติดข้อง ความเอนเอียง ความคับแคบ ความขัดแย้ง และความรู้สึกถูกบีบคั้นอยู่ตลอดเวลา


ความบีบคั้น เกิดขึ้นเพราะความยึดว่าเป็นตัวเรา ของเรา เมื่อเป็นตัวเรา ของเรา ก็ต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เป็นไปตามที่เราอยากให้เป็น เมื่อมันไม่อยู่ในบังคับความอยากกลับเป็นอย่างอื่นไปจากที่อยากให้เป็น ตัวเราก็ถูกขัดแย้งกระทบกระแทกบีบคั้น สิ่งที่ยึดถูกกระทบเมื่อใด ตัวเราก็ถูกกระทบเมื่อนั้น สิ่งที่ยึดไว้มีจำนวนเท่าใด ตัวเราแผ่ไปถึงไหน ยึดไว้ด้วยความแรงเท่าใด ตัวเราที่ถูกกระทบ ขอบเขตที่ถูกกระทบ และความแรงของการกระทบ ก็มีมากเท่านั้น และผลที่เกิดขึ้น มิใช่แต่เพียงความทุกข์เท่านั้น แต่หมายถึงชีวิตที่เป็นอยู่ และกระทำการต่างๆ ตามอำนาจความยึดความอยาก ไม่ใช่เป็นอยู่และทำการด้วยปัญญาตามเหตุปัจจัย


(ย่อๆจากพุทธธรรมหน้า 197)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2014, 10:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


grin
ยาวไปและบานออกนะกรัชกาย

เอาให้สั้นและรวบย่อกว่านี้

ไอ้ที่ถามเรื่องขันธ์ 5 แล้ววกลงไปหาเรื่องชีวิตอะไรนั่นตามที่กรัชกายถนัด มันทำให้กว้าง และยาวออกไป มากความไป รู้เรื่องยากด้วย

"ทำอย่างไรเราจึงจะพ้นทุกข์"

แล้วก็ตอบมาสั้นๆ กระชับได้ใจความทั้งทฤษฎีและวิธีปฏิบัติ ไม่ต้องอ้อมค่ายไปวิเคราะห์เรื่องอุปาทาน ธาตุ ขันธ์ อายตนะอะไรให้เปลืองหมองมากนะครับ
:b13: :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 100 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร