วันเวลาปัจจุบัน 04 ต.ค. 2025, 05:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้างบนมีการพูดถึง ปัจจุบันกาล อดีตกาล และอนาคตกาล มามากพอสมควร

จะนำหลัก วิธีคิกแบบอยู่กับปัจจุบัน มาวางให้ดู อ่านแล้วใครจะเข้าใจแค่ไหนเพียงไร แล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคนๆ ยาวพอสมควร แต่จะตัดเอาตรงประเด็นสำคัญแยกออกมาก่อน เช่น :b1:



การที่มีผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของการเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ โดยเห็น

ไปว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คิดถึงสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า กำลังเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้คิด

พิจารณาเกี่ยวกับอดีตหรืออนาคต ตลอดจนไม่ให้คิดเตรียมการหรือวางแผนงานเพื่อกาลภายหน้า



เมื่อเข้าใจผิดแล้ว ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็เลยปฏิบัติผิดจากหลักพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นบุคคลภาย

นอกมองเข้ามา ก็เลยเพ่งว่า ถึงผลร้ายต่างๆ ที่พระพุทธศาสนาจะนำมาให้แก่หมู่ชนผู้ปฏิบัติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัดให้ดูอีกตอนหนึ่ง ที่ผู้ซึ่งทำการฝึกฝนพัฒนาจิต พึงพิจารณาให้เข้าใจ


-ขั้นการฝึกอบรมทางจิตใจที่แท้จริง คำว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ก็ไม่ตรงกับความเข้าใจของคนทั่วไป คำว่า “ปัจจุบัน” ตามที่คนทั่วไปเข้าใจ มักครอบคลุมกาล

เวลาช่วงกว้างที่ไม่ชัดเจน ส่วนในทางธรรม เมื่อว่า ถึงการปฏิบัติทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะ

เดียว ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่


ในความหมายที่ลึกลงไปนี้ เป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายถึงมีสติตามทันสิ่งที่รับรู้เกี่ยวข้อง หรือ ต้องทำอยู่ใน

เวลานั้นๆ แต่ละขณะทุกๆขณะ
ถ้าจิตรับรู้สิ่งใดแล้ว เกิดความชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจขึ้น ก็ติดข้อง

วนเวียนอยู่กับภาพของสิ่งนั้น ที่สร้างซ้อนขึ้นในใจ ก็เป็นอันตกไปอยู่ในอดีต (เรียกว่า ตกอดีต)

ตามไม่ทันของจริง หลุดหลงพลาดไปจากขณะปัจจุบันแล้ว หรือ จิตหลุดลอยจากขณะปัจจุบัน คิด

ฝันไปตามความรู้สึกที่เกาะเกี่ยวกับภาพเลยไปข้างหน้าของสิ่งที่ยังไม่มา ก็เป็นอันฟุ้งไปในอนาคต

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อเห็นส่วนสำคัญที่แยกออกไปนั่นแล้ว ต่อไปดูทั้งหมด



๙. วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน

วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน หรือ วิธีคิดแบบมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ เรียกสั้นๆว่า วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน อันจัดเป็นวิธีคิดแบบที่ ๙ นี้ เป็นเพียงการมองอีกด้านหนึ่งของการคิดแบบอื่นๆ จะว่า แทรกหรือคลุมวิธีคิดแบบก่อนๆที่กล่าวมาแล้วก็ได้ แต่ที่แยกมาแสดงเป็นอีกข้อหนึ่งต่างหาก ก็เพราะมีแง่ที่ควรทำความเข้าใจพิเศษ และมีความสำคัญโดยลำพังตัวของมันเอง


อนึ่ง วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบันนี้ มีเนื้อหารวมอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งจะกล่าวถึงในองค์มรรคข้อที่ ๗ คือ สัมมาสติด้วย แต่ที่แยกบรรยาย ก็เพราะเพ่งความหมายคนละแง่ กล่าวคือ ในสติปัฏฐาน การบรรยายเพ่งถึง การตั้งสติระลึกรู้เต็มตื่น อยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กำลังเป็นไปอยู่ กำลังรับรู้ หรือ กำลังกระทำในปัจจุบันทันทุกๆขณะ ส่วนในที่นี้ การบรรยายเพ่งถึงการใช้ความคิด และเนื้อหาของความคิด ที่สติระลึกรู้กำหนดอยู่นั้น


ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับวิธีคิดแบบนี้ ก็คือ การที่มีผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของการเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ โดยเห็นไปว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คิดถึงสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า กำลังเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้คิดพิจารณาเกี่ยวกับ อดีต หรือ อนาคต ตลอดจนไม่ให้คิดเตรียมการ หรือ วางแผนงานเพื่อกาลภายหน้า


เมื่อเข้าใจผิดแล้ว ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็เลยปฏิบัติผิดจากหลักพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นบุคคลภายนอกมองเข้ามา ก็เลยเพ่งว่า ถึงผลร้ายต่างๆ ที่พระพุทธศาสนาจะนำมาให้แก่หมู่ชนผู้ปฏิบัติ


กล่าวโดยสรุป ความหมายที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับปัจจุบัน อดีต และอนาคต สำหรับการใช้คำความคิดแบบที่ ๙ นี้ มีดังนี้

- ความคิดที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน คือ ความคิดที่เกาะคิดอดีต และเลื่อนลอยไปในอนาคตนั้น มีลักษณะสำคัญที่พูดได้สั้นๆว่า เป็นความคิดในแนวทางของตัณหา หรือ คิดด้วยอำนาจตัณหา คิดไปตามความรู้สึก หรือใช้คำสมัยใหม่ว่า ตกอยู่ในอำนาจอารมณ์* โดยมีอาการหวนละห้อยโหยหาอาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว เพราะความเกาะติด หรือค้างคาในรูปใดรูปหนึ่ง หรือเคว้งคว้างเลื่อนลอยฟุ้งซ่านไปในภาพที่ฝันเพ้อปรุงแต่ง ซึ่งไม่มีฐานแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะอึดอัด ไม่พอใจสภาพที่ประสบอยู่ ปรารถนาจะหนีจากปัจจุบัน


ส่วนความคิดชนิดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีลักษณะที่พูดสั้นๆ ได้ว่า เป็นการคิดในแนวทางของความรู้ หรือ คิดด้วยอำนาจปัญญา ถ้าคิดในแนวทางของความรู้ หรือ คิดด้วยอำนาจปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปอยู่ในขณะนี้ หรือ เป็นเรื่องล่วงไปแล้ว หรือ เป็นเรื่องของกาลภายหน้า ก็จัดเข้าในการเป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งนั้น


ดังจะเห็นได้ชัดเจนว่า ความรู้ การคิดการพิจารณาด้วยปัญญาเกี่ยวกับเรื่องอดีต ปัจจุบัน หรือ อนาคตก็ตาม เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมีความสำคัญตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาในทุกระดับ ทั้งในระดับชีวิตประจำวัน เช่น การสั่งสอนเกี่ยวกับบทเรียนจากอดีต ความไม่ประมาทระมัดระวังป้องกันภัยในอนาคต เป็นต้นในระดับการรู้แจ้งสัจธรรม ตลอดจนการบำเพ็ญพุทธกิจ เช่น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (รู้อดีต) อดีตังสญาณ (รู้อดีต) อนาคตังสญาณ (รู้อนาคต) เป็นต้น


- ว่าโดยความหมายทางธรรม ในขั้นการฝึกอบรมทางจิตใจที่แท้จริง คำว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ก็ไม่ตรงกับความเข้าใจของคนทั่วไป คำว่า “ปัจจุบัน” ตามที่คนทั่วไปเข้าใจ มักครอบคลุมกาลเวลาช่วงกว้างที่ไม่ชัดเจน ส่วนในทางธรรม เมื่อว่า ถึงการปฏิบัติทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะเดียว ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่


ในความหมายที่ลึกลงไปนี้ เป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายถึงมีสติตามทันสิ่งที่รับรู้เกี่ยวข้อง หรือ ต้องทำอยู่ในเวลานั้นๆ แต่ละขณะทุกๆขณะ ถ้าจิตรับรู้สิ่งใดแล้ว เกิดความชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจขึ้น ก็ติดข้องวนเวียนอยู่กับภาพของสิ่งนั้น ที่สร้างซ้อนขึ้นในใจ ก็เป็นอันตกไปอยู่ในอดีต (เรียกว่า ตกอดีต) ตามไม่ทันของจริง หลุดหลงพลาดไปจากขณะปัจจุบันแล้ว หรือ จิตหลุดลอยจากขณะปัจจุบัน คิดฝันไปตามความรู้สึกที่เกาะเกี่ยวกับภาพเลยไปข้างหน้าของสิ่งที่ยังไม่มา ก็เป็นอันฟุ้งไปในอนาคต


โดยนัยนี้ แม้แต่อดีต และ อนาคต ตามความหมายทางธรรม ก็อาจยังอยู่ในขอบเขตแห่งเวลาปัจจุบัน ตามความหมายของคนทั่วไป

- ตามเนื้อความที่กล่าวมาแล้วนี้ จะมองเห็นความหมายสำคัญแง่หนึ่งของคำว่า ปัจจุบันในทางธรรมว่า มิใช่เพ่งที่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกภายนอกแท้ทีเดียว แต่หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นๆเป็นสำคัญ ดังนั้น มองอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ตามความหมายของคนทั่วไปว่า เป็นอดีต หรือ เป็น อนาคต ก็อาจกลายเป็นปัจจุบัน ตามความหมายทางธรรมได้ เช่น เดียวกับที่ปัจจุบันของคนทั่วไป อาจกลายเป็น อดีต หรือ อนาคต ตามความหมายทางธรรมดังได้กล่าวแล้ว


สรุปง่ายๆว่า ความเป็นปัจจุบันทางธรรมขั้นปฏิบัติทางจิต กำหนดเอาที่ความเกี่ยวข้องต้องรู้ต้องทำเป็นสำคัญ ขยายความหมายออกมา ในวงกว้างถึงระดับชีวิตประจำวัน สิ่งที่เป็นปัจจุบันคลุมถึงเรื่องราวทั้งหลาย ที่เชื่อมโยงต่อกันมาถึงสิ่งที่กำลังรับรู้ กำลังพิจารณา เกี่ยวข้องต้องทำอยู่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำกิจหน้าที่ เรื่องที่ปรารภเพื่อทำกิจ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ หรือ ปฏิบัติได้ ไม่ใช่คิดเลื่อนลอยฟุ้งเพ้อฝันไปกับอารมณ์ที่ชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ ติดข้องอยู่กับความชอบ ความชัง หรือ ฟุ้งซ่านพล่านไปอย่างไร้จุดหมาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ความหมายแง่ต่างๆเหล่านี้ จะมองเห็นได้จากพุทธพจน์ต่างๆ ที่จะยกมาแสดงในที่นี้ แม้แต่พุทธพจน์ที่ตรัสแนะนำไม่ให้รำพึงหลัง ไม่ให้หวังอนาคต ก็จะโยงถึงและเพ่งไปที่การทำกิจหน้าที่ ดังจะขอให้สังเกตจากบาลีที่ยกมาอ้าง ต่อไปนี้

“ไม่พึงหวนละห้อยถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่พึงเพ้อหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดเป็นอดีต สิ่งนั้นก็ล่วงเลยไปแล้ว สิ่งใดเป็นอนาคต สิ่งนั้นก็ยังไม่ถึง ส่วนผู้ใดมองเห็นแจ้งชัด ซึ่งสิ่งที่เป็นปัจจุบันในกรณีนั้นๆ ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ครั้นรู้ชัดแล้ว เขาพึงบำเพ็ญสิ่งนั้น”

“ควรทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครเล่าจะรู้ได้ว่าจะตายวันพรุ่ง กับพญามัจจุราชแม่ทัพใหญ่นั้น ไม่มีการผัดเพี้ยนได้เลย

“ผู้ที่เป็นอยู่อย่างนี้ มีความเพียร ไม่ซึมเซาทั้งคืนวัน พระสันตมุนีทรงเรียกขานว่า ผู้มีแต่ละวันเจริญดี”


อีกแห่งหนึ่ง


“ผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส



“ส่วนชนผู้อ่อนปัญญา เฝ้าแต่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มา ละห้อยหาสิ่งที่ล่วงแล้ว จึงซูบซีดหม่นหมอง เสมือนต้นอ้อสด ที่เขาถอนทึ้งขึ้นทิ้งไว้ที่ในกลางแดด”



พึงสังเกต การวางท่าทีของจิตใจเกี่ยวกับกาลเวลา ในแง่ที่ไม่เป็นไปตามอำนาจตัณหาตามบาลีข้างต้นนี้ แล้วเทียบกับการปฏิบัติต่ออนาคตด้วยปัญญา ที่ใช้บำเพ็ญกิจตามบาลีข้อต่อๆไป เริ่มตั้งแต่คำสอน เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ไปจนถึงการบำเพ็ญกิจของพระภิกษุ และเริ่มตั้งแต่ การบำเพ็ญกิจส่วนตัว ไปจนถึงความรับผิดชอบ ต่อกิจการของส่วนรวม ดังนี้



“พึงระแวงสิ่งที่ควรระแวง พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึง ธีรชนตรวจตราโลกทั้งสอง เพราะคำนึงภัยที่ยังไม่มาถึง”

“เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควรท้อแท้ เราเป็นประจักษ์มากับตนเอง เราปรารถนาอย่างใด ก็ได้สมตามนั้น”

“เธอทั้งหลาย จงยังกิจของตนและผู้อื่นให้สำเร็จ ด้วยความไม่ประมาท”


ตัวอย่างการคำนึงอนาคตแล้วปฏิบัติตนเองของพระภิกษุ



"ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมองเห็นภัยอนาคต ๕ ประการต่อไปนี้ ย่อมควรแท้ที่ภิกษุจะเป็นอยู่โดยเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศตัวเด็ดเดี่ยว เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง เพื่อประจักษ์แจ้งธรรมที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ๕ ประการ คืออะไร ? ได้แก่


๑.ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ เรายังหนุ่ม ยังเยาว์ มีผมดำสนิท

ประกอบด้วยความหนุ่มแน่นยามปฐมวัย แต่ก็จะมีคราวสมัยที่ความชราจะเข้าต้องกายนี้ได้

ก็แลการที่คนแก่เฒ่าถูกชราครอบงำ แล้วจะมนสิการคำสอของพระพุทธะทั้งหลาย

ย่อมมิใช่จะทำได้โดยง่าย การที่จะเสพเสนาสนะ อันสงัดในราวป่าแดนไพร ก็มิใช่จะทำได้โดยง่าย

อย่ากระนั้นเลย ก่อนที่สภาพอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าชอบ ไม่น่าพึงใจนั้นจะมาถึง

เรารีบเริ่มระดมความเพียรเสียก่อนเถิด เพื่อจะได้บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ...ซึ่งเมื่อเรามีพร้อมแล้ว

แม้จะแก่เฒ่าลงก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๒. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ เรามีอาพาธน้อย มีความเจ็บไข้น้อย

ประกอบด้วยแรงไฟเผาผลาญย่อยอาหารที่สม่ำเสมอ ไม่เย็นเกินไปไม่ร้อนเกินไป พอดี

เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร แต่ก็จะมีคราวสมัยที่ความเจ็บไข้จะเข้าต้องกายนี้ได้ ฯลฯ

เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...แม้เจ็บไข้ ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๓. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ ข้าวยังดี บิณฑบาตหาได้ง่าย

การยังชีพด้วยการอุ้มบาตรเที่ยวไป ก็ยังทำได้ง่าย แต่จะมีคราวสมัยที่อาหารขาดแคลน

ข้าวไม่ดี หาบิณฑบาตได้ยาก การยังชีพด้วยการอุ้มบาตรเที่ยวไป จะมิใช่ทำได้ง่าย

พวกประชาชนในที่หาอาหารได้ยากก็จะอพยพไปยังถิ่นที่หาอาหารได้ง่าย

วัดในถิ่นนั้น ก็จะเป็นที่คับคั่งจอแจ ก็เมื่อวัดคับคั่งจอแจ การที่จะมนสิการคำสอนของพระพุทธะ

ทั้งหลาย ย่อมมิใช่จะทำได้ง่าย การที่จะเข้าเสพอาศัยเสนาสนะอันสงัด ในราวป่าแดนไพร ก็มิใช่จะทำ

ได้ง่าย อย่ากระนั่นเลย ฯลฯ เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...แม้อาหารขาดแคลน ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๔.อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ ประชาชนทั้งหลาย พร้อมเพรียง

ร่วมบันเทิงไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำกับน้ำนม มองดูกันด้วยสายตารักใคร่ แต่ก็จะมีคราวสมัยที่เกิด

มีภัย มีการก่อกำเริบในแดนดง ชาวชนบทพากันขึ้นยานหนีแยกย้ายกันไป ในเมื่อมีภัย ประชาชน

ทั้งหลายย่อมอพยพไปยังถิ่นที่ปลอดภัย วัดในถิ่นนั้นก็จะเป็นที่คับคั่งจอแจ ฯลฯ เราจะรีบเริ่มระดม

ความเพียร...แม้เมื่อมีภัย ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๕. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ สงฆ์ยังพร้อมเพรียง ร่วมบันเทิงไม่วาทกัน

มีการสวดปาติโมกข์ร่วมกัน เป็นอยู่ผาสุก แต่ก็จะมีคราวสมัยที่สงฆ์แตกแยกกัน

ครั้นเมื่อสงฆ์แตกแยกกันแล้ว การที่จะมนสิการคำสอนของพระพุทธะทั้งหลาย

ย่อมจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย การที่จะเข้าเสพอาศัย

เสนาสนะอันสงัด ในราวป่าแดนไพร ก็มิใช่จะทำได้ง่าย อย่ากระนั่นเลย ฯลฯ

เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...แม้สงฆ์แตกแยกกัน ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...”



อีกสูตรหนึ่ง ตรัสสอนภิกษุผู้อยู่ป่าว่า เมื่อมองเห็นอนาคตภัย ๕ ประการ ควรจะเป็นอยู่โดยไม่ประมาท มีความเพียรอุทิศตัวเด็ดเดี่ยว เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง เพื่อประจักษ์แจ้งธรรม ที่ยังประจักษ์แจ้ง

อนาคตภัย ๕ ประการนั้น คือ ภิกษุพิจารณาว่า ตนเองอยู่ผู้เดียวในป่า งู แมงป่อง หรือตะขาบ อาจขบกัด หรืออาจพลัดลื่นหกล้ม อาหารที่ฉันแล้วอาจเป็นพิษ ดีหรือเสมหะอาจกำเริบ อาจเป็นโรคลมร้ายแรง อาจพบสัตว์ร้าย เช่น สิงห์ เสือ หมี อาจพบคนร้ายหรือพบอมนุษย์ร้าย แล้วถูกทำอันตราย อาจถึงแก่ความตายเพราะเหตุเหล่านั้น จึงจะต้องเริ่มระดมความเพียร เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในด้านการคิดเตรียมการ เพื่อปกป้องคุ้มครองกิจการ และประโยชน์สุขของส่วนรวม ในกาลภายหน้า ก็มีพุทธพจน์ตรัสสนับสนุนไว้ เป็นตัวอย่างคล้ายๆกัน เช่น


“ภิกษุทั้งหลาย อนาคตภัย ๕ ประการเหล่านี้ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป
เธอทั้งหลาย พึงตระหนักล่วงหน้าไว้ ครั้นรู้ตระหนักล่วงหน้าแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยเหล่านั้น อนาคตภัย ๕ ประการคือ อะไร ?

๑. ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต

มิได้อบรมปัญญา เธอเหล่านั้น ทั้งที่ตนเองมิได้อบรมกาย-ศีล - จิต-ปัญญา จักให้อุปสมบทชนเหล่าอื่น

และพวกเธอจักไม่สามารถฝึกฝนชนเหล่านั้นในอธิศีล ในอธิจิต ในอธิปัญญา แม้ชนเหล่านั้น

ก็จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา

ชนเหล่านั้น ทั้งที่ตนเองมิได้อบรมกาย-ศีล - จิต-ปัญญา จักให้อุปสมบทชนเหล่าอื่น

และจักไม่สามารถฝึกฝนชนเหล่านั้น ในอธิศีล ในอธิจิต ในอธิปัญญา แม้ชนเหล่านั้น

ก็จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา

โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เพราะวินัยและเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๑ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...


๒. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต

มิได้อบรมปัญญา ….เธอเหล่านั้นจักให้นิสัย (เป็นอาจารย์ปกครองดูแลสั่งสอนฝึกอบรม) แก่ชน

เหล่านั้น ฯลฯ โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เพราะวินัยเลอะเลือน

ธรรมก็เลอะเลือน ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๒ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาล

ต่อไป เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...


๓. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา แก่ชนเหล่านั้น ....กล่าวอภิธรรมกถา เวทัลละกถา

ถลำเข้าสู่ธรรมที่ผิด ก็จักไม่รู้ตัว โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน

เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๓ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...”


๔.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา เธอเหล่านั้น ....ครั้นเมื่อมีผู้กล่าวสูตรทั้งหลาย

ที่เป็นตถาคตภาษิต ลึกซึ้ง มีอรรถล้ำลึกเป็นโลกุตระ เกี่ยวด้วยสุญญตา จักไม่ตั้งใจฟัง

ไม่เงี่ยโสตลงสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ ไม่สำคัญเห็นธรรมเหล่านั้นว่า เป็นสิ่งอันพึงเล่าเรียน

แต่ครั้นเมื่อเขากล่าวสูตรที่กวีแต่ง เป็นบทกวี มีอักขระ พยัญชนะวิจิตร เป็นเรื่องภายนอก

เป็นสาวกภาษิต จักตั้งใจฟัง จักเงี่ยโสตลงสดับ จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ และจักสำคัญเห็นธรรมเหล่านั้น

ว่า เป็นสิ่งอันพึงเล่าเรียน โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน

เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๔ ซึ่งยังไม่เกิดใน

บัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น..


๕. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา...ภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระ จักเป็นผู้มักมาก ย่อหย่อน เป็นผู้นำใน

ทางเชือนแช ทอดธุระในการอยู่สงัด ไม่เริ่มระดมความเพียร เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ

เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง

เพื่อประจักษ์แจ้งธรรมที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ชุมชนผู้เกิดภายหลัง จักถือตามอย่างภิกษุเถระเหล่านั้น

และชุมชนแม้นั้นก็จักเป็นผู้มักมาก ย่อหย่อน เป็นผู้นำในทางเชือนแช ทอดธุระในการอยู่สงัด

ไม่เริ่มระดมความเพียร...โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เพราะวินัยเลอะเลือน

ธรรมก็เลอะเลือน...ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๕ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาล

ต่อไป เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัย

นั้น...”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากนี้ ยังตรัสอนาคตภัยเกี่ยวกับส่วนรวมไว้อีกหมวดหนึ่ง ความว่า

“ภิกษุทั้งหลาย อนาคตภัย ๕ ประการเหล่านี้ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้ แต่จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป เธอทั้งหลาย พึงตระหนักล่วงหน้าไว้ และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยเหล่านั้น อนาคตภัย ๕ ประการคือ อะไร ?


๑. ภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบสวยชอบงามในเรื่องจีวร...

จักละเลิกการถือครองผ้าบังสุกุล จักละเลิกเสนาสนะอันสงัดในราวป่าแดนไพร

จักมาออกันอยู่ในหมู่บ้าน อำเภอ และเมืองหลวง และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร

อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่จีวร...

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๑ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๒.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบดีงามเอร็ดอร่อยในเรื่องอาหาร

บิณฑบาต...จักมาออกันอยู่ในหมู่บ้าน อำเภอ และเมืองหลวง คอยแสวงหารสเลิศด้วยปลายลิ้น

และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่อาหาร

บิณฑบาต...นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๒ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๓. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบโก้งาม ในเรื่องที่อยู่อาศัย...

และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่ที่อยู่อาศัย...

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๓ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๔. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยภิกษุณี

นางสิกขมานาและสามเณรทั้งหลาย และเมื่อมีการคลุกคลีด้วยภิกษุณี นางสิกขมานา

และสามเณรทั้งหลาย ก็เป็นอันหวังสิ่งนี้ได้ คือ เธอทั้งหลายจักประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่ยินดี

หรือจักลาสิกขาเวียนกลับไปเป็นคฤหัสถ์ นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๔ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้

จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายาม

เพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๕.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยคนวัดและสามเณร

ทั้งหลาย และเมื่อมีการคลุกคลีด้วยคนวัดและสามเณรทั้งหลาย ก็เป็นอันหวังสิ่งนี้ได้

คือ เธอทั้งหลายจักเป็นผู้อยู่ประกอบการบริโภคสิ่งของทำการสั่งสมไว้ มีประการต่างๆ

จักกระทำนิมิต (เลศนัยหาลาภ ) แม้อย่างหยาบๆ แม้ที่แผ่นดิน แม้ที่ปลายผักหญ้า

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๕ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายาม เพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...”


เท่าที่กล่าวมา เป็นตัวอย่างพอเป็นเครื่องเทียบ เพื่อช่วยให้แบ่งแยกได้ ระหว่างความคิดถึงอดีต และอนาคต ตามแนวทางของตัณหาที่เพ้อฝันเลื่อนลอย ผลาญเวลาและคุณภาพของจิตใจให้สูญเสียไปเปล่า กับความคิดถึงอดีต และ อนาคตตามแนวทางของปัญญา ที่เป็นเรื่องของกิจในปัจจุบัน
อันช่วยให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ ช่วยให้การปฏิบัติ ในปัจจุบันถูกต้องได้ผลดียิ่งขึ้น


เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามหลักการนี้ กลับกลายเป็นสนับสนุนให้มีการตระเตรียมและวางแผนกิจการล่วงหน้า ดังตัวอย่างกิจการสำคัญของสงฆ์ เช่น การสังคายนาครั้งที่ ๑ ก็เกิดขึ้นเพราะความคำนึงอนาคตชนิดที่เชื่อมโยงถึงกิจที่จะกระทำในปัจจุบันได้ โดยนัยดังกล่าวมาฉะนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 16:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ข้างบนมีการพูดถึง ปัจจุบันกาล อดีตกาล และอนาคตกาล มามากพอสมควร

จะนำหลัก วิธีคิกแบบอยู่กับปัจจุบัน มาวางให้ดู อ่านแล้วใครจะเข้าใจแค่ไหนเพียงไร แล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคนๆ ยาวพอสมควร แต่จะตัดเอาตรงประเด็นสำคัญแยกออกมาก่อน เช่น :b1:



การที่มีผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายของการเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ โดยเห็น

ไปว่า พระพุทธศาสนาสอนให้คิดถึงสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า กำลังเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้คิด

พิจารณาเกี่ยวกับอดีตหรืออนาคต ตลอดจนไม่ให้คิดเตรียมการหรือวางแผนงานเพื่อกาลภายหน้า



เมื่อเข้าใจผิดแล้ว ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็เลยปฏิบัติผิดจากหลักพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นบุคคลภาย

นอกมองเข้ามา ก็เลยเพ่งว่า ถึงผลร้ายต่างๆ ที่พระพุทธศาสนาจะนำมาให้แก่หมู่ชนผู้ปฏิบัติ

Onion_L
กรัชกายคงจะเกิดภาพลบกับปัจจุบันจึงพยายามหาเหตุผลมาหักล้างความสำคัญของปัจจุบัน .....ปัจจุบันธรรม....ปัจจุบันอารมณ์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของการปฏิบัติธรรม

พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมะไว้ให้แก่ชาวโลกหลายระดับ ทั้งธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน และธรรมะสำหรับบรรพชิตนักบวช สามารถเลือกสรรนำไปใช้ให้เหมาะสมได้ตามเพศ วัย ฐานะ ของคนทุกระดับชั้น

เรื่องของอดี่ต ปัจจุบัน อนาคตก็ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวพุทธมาโดยตลอดไม่มีอะไรแตกต่างจากชาวโลกในชาติศาสนาอื่นๆ ชาวพุทธก็ได้ให้ความสำคัญกับ กาละทั้ง 3 อยู่

แต่ในการปฏิบัติธรรมเพื่อหวังผลเบื้องสูงนั้น จำเป็นจะต้องมาให้ความสำคัญกับปัจจุบัน ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์เป็นพิเศษเพราะเนื่องจากว่า จะต้องมีการเข้าไปแก้ไขถอนทำลาย สมุทัยเหตุแห่งทุกข์

การถอนเหตุแห่งทุกข์ต้องทำที่ปัจจุบันอารมณ์จึงจะให้ผลเกิดการเ้ปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ได้

ดังนั้นจึงได้ให้ความสำคัญกับปัจจุบันอารมณ์เป็นพิเศษ

เนื่องจากปัจจุบันอารมณ์เป็นสัจจธรรม สากล ทุกชาติศาสนา ภาษา ในโลก ก็ย่อมให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาและสร้างสรรในปัจจุบันเป็นสำคัญ

ความรู้เรื่องปัจจุบันมิได้มีมากและซับซ้อนจนเกินไป ถ้ารู้ถูกต้องแล้วไซร้ย่อมสามารถจะนำมาใช้เป็นประโยชน์กับชีวิตได้เยอะ จงอย่าได้รังเกียจเรื่องของปัจจุบันอารมณ์เลย

ปัจจุบัน.....หมายถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นอยู่..........แต่กินความกว้าง ยาว นาน ไปตามขอบเขตแห่งเวลาที่กำหนด

เช่นปัจจุบันชาติ ของคน มีเวลาประมาณ 80 ปี การเมืองไทยในปัจจุบัน อาจกินเวลา 3 - 5 -7 เดือนถึง 1 ปี
ปัจจุบันชีวิตของนายกรัชกาย อาจกินเวลาเป็น วัน สัปดาห์ เดือน หรือปี แล้วแต่จะจำกัดความ

ปัจจุบันธรรม.....หมายถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งอาจจะมีพร้อมกันหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันเช่น
ขณะที่ตากำลังเห็นรูป หูก็กำลังได้ยินเสียง กลิ่นก็กระทบจมูก ลิ้นกำลังรู้รส กาายกำลังสัผัสเย็นร้อน อ่อน แข็ง ใจกำลังมีธรรมารมณ์เกิดขึ้น นาฬิกากำลังเดิน พระอาทิตย์กำลังเคลื่อนจากทิศตะวันตกไปสู่ทิศตะวันออก น้ำในแม่น้ำกำลังไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ ฯลฯ

ปัจจุบันอารมณ์......สิ่งที่กำลังเกิดรู้ขึ้นอยู่ในจิต......การปฏิบัติธรรมหรือวิปัสสนาภาวนา สนใจให้ความสำคัญกับปัจจุบันอารมณ์นี้ เพราะสามารถมีผลปฏิบัติผลการกระทำที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ได้


"ปัจจุบันอารมณ์เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง" เพราะธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


ปัจจุบันอารมณ์เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง" เพราะธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้


อ้างคำพูด:
ธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้


เอาชัดๆ สิขอรับ ธรรมที่ว่าได้แก่ อะไร ทำไมไปเกิดอยู่ตรงนั้น :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 17:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


ปัจจุบันอารมณ์เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง" เพราะธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้


อ้างคำพูด:
ธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้


เอาชัดๆ สิขอรับ ธรรมที่ว่าได้แก่ อะไร ทำไมไปเกิดอยู่ตรงนั้น :b14:

:b7:
กรัชกายนี่ช่างไม่รู้ภาษาเอาเสียจริงๆ

คำว่า "ธรรมทั้งปวง"นี่สรุป รวบยอดไว้ทั้งหมดเลยนะ เรื่องอะไร ธรรมอะไรที่กรัชกายรู้สึก นึก คิดขึ้นมาในใจ ใช่ทั้งหมด ล้วนเริ่มต้นออกมาจากปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายทั้งสิ้น

ว่าไปซิ อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 ชีวิต ขันธ์ 5 อายตนะ 12.....ม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดง.......แกงไก่แกงปลา หมา แมว มนุษย์ ฯลฯ
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


ปัจจุบันอารมณ์เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง" เพราะธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้


อ้างคำพูด:
ธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้


เอาชัดๆ สิขอรับ ธรรมที่ว่าได้แก่ อะไร ทำไมไปเกิดอยู่ตรงนั้น :b14:

:b7:
กรัชกายนี่ช่างไม่รู้ภาษาเอาเสียจริงๆ

คำว่า "ธรรมทั้งปวง"นี่สรุป รวบยอดไว้ทั้งหมดเลยนะ เรื่องอะไร ธรรมอะไรที่กรัชกายรู้สึก นึก คิดขึ้นมาในใจ ใช่ทั้งหมด ล้วนเริ่มต้นออกมาจากปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายทั้งสิ้น

ว่าไปซิ อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 ชีวิต ขันธ์ 5 อายตนะ 12.....ม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดง.......แกงไก่แกงปลา หมา แมว มนุษย์ ฯลฯ
:b32:


อ้างคำพูด:
อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 ชีวิต ขันธ์ 5 อายตนะ 12


จากตำราทั้งนั้นอโศก ถึงว่าไงว่า พูดศัพท์ซึ่งเขาบัญญัติใช้ทางธรรม แล้วก็ภูมิใจว่า รู้ธรรม พูดธรรม แล้วก็พูดครอบจักรวาล กำปั้นทุบดิน คิกๆๆ

เอานะ กรัชกายจะถามนะ แล้วอย่าพลิกลิ้นไปโน่นมานี่อีกน่ะ ชีวิตเนี่ย

เอาน่ะ ชีวิต นามรูป ขันธ์ 5 คน,มนุษย์ ต่างกันตรงไหน :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 22:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


ปัจจุบันอารมณ์เป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งปวง" เพราะธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้


อ้างคำพูด:
ธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นไปจากตรงนี้


เอาชัดๆ สิขอรับ ธรรมที่ว่าได้แก่ อะไร ทำไมไปเกิดอยู่ตรงนั้น :b14:

:b7:
กรัชกายนี่ช่างไม่รู้ภาษาเอาเสียจริงๆ

คำว่า "ธรรมทั้งปวง"นี่สรุป รวบยอดไว้ทั้งหมดเลยนะ เรื่องอะไร ธรรมอะไรที่กรัชกายรู้สึก นึก คิดขึ้นมาในใจ ใช่ทั้งหมด ล้วนเริ่มต้นออกมาจากปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายทั้งสิ้น

ว่าไปซิ อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 ชีวิต ขันธ์ 5 อายตนะ 12.....ม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดง.......แกงไก่แกงปลา หมา แมว มนุษย์ ฯลฯ
:b32:


อ้างคำพูด:
อริยสัจ 4 โพธิปักขิยธรรม 37 ชีวิต ขันธ์ 5 อายตนะ 12


จากตำราทั้งนั้นอโศก ถึงว่าไงว่า พูดศัพท์ซึ่งเขาบัญญัติใช้ทางธรรม แล้วก็ภูมิใจว่า รู้ธรรม พูดธรรม แล้วก็พูดครอบจักรวาล กำปั้นทุบดิน คิกๆๆ

เอานะ กรัชกายจะถามนะ แล้วอย่าพลิกลิ้นไปโน่นมานี่อีกน่ะ ชีวิตเนี่ย

เอาน่ะ ชีวิต นามรูป ขันธ์ 5 คน,มนุษย์ ต่างกันตรงไหน :b10:

:b38:
ธรรมะในส่วนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมีอยู่จริงในธรรมชาติบัญญัติที่ใช้เรียกก็ต้องเอามาจากตำราเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้เสียหายอะไร

ส่วนปัญหาเรื่องชีวิต ขันธ์5 คน มนุษย์ คุยกันมาจนน่าเบื่อแล้ว จึงไม่ขอตอบ
s006
ถามกรัชกายดีกว่าว่าอยากรู้เรื่องเหล่านี้ไปทำไมอีก ทั้งที่อ่านตำรารู้มาจนพรุนแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะคุยต่อ
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 14:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


http://archive.wunjun.com/kroona/5/290.html

สัมมัปธาน ๔
คือ การมุ่งมั่นทำความชอบ มี ๔ ประการ
๑.สังวรปทาน คือ เพียรระงับการกระทำอกุศล ไม่ให้เกิดขึ้น
๒.ปหานปทาน คือ เพียรละเลิกอกุศลที่กำลังกระทำอยู่
๓.อนุรักขปทาน คือ เพียรรักษา กุศลธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว
๔.ภาวนาปทาน คือ เพียรฝึกฝนบำรุงกุศลธรรม ให้เจริญยิ่งขึ้น

สติปัฏฐาน ๔
๑.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นกายในกาย
๒.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา
๓.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นจิตในจิต
๔.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเห็นธรรมในธรรม

อิทธิบาท ๔
๑.ฉันทะ ความพอใจ รักใคร่ ในสิ่งนั้นๆ
๒.วิริยะ ความเพียรพยายามที่จะทำสิ่งนั้นๆให้สำเร็จ
๓.จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นเรื่องนั้นไม่ทอดทิ้งธุระ
๔.วิมังสา ความใคร่ครวญ สังเกต พิจารณา หาเหตุหาผลในเรื่องนั้นๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 14:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


http://archive.wunjun.com/kroona/5/290.html

อินทรีย์ ๕ ความเป็นใหญ่ทั้ง ๕
๑.ศรัทธินทรีย์ มีความศรัทธาเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง
๒.วิริยินทรีย์ มีความเพียรเป็นอย่างยิ่ง
๔.สตินทรีย์ มีความระลึกรู้ทันปัจจุบันอารมณ์หรือสติปัฏฐาน 4 ได้ดียิ่ง
๕.สมาธินทรีย์ มีสมาธิอันยิ่ง คือฌาณ 4 สังขารุเปกขาญาน หรือสัมมาสมาธิ
๖.ปัญญินทรีย์ มีปัญญาอันยิ่ง คือสัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะละเอียดคมกล้า

พละ ๕ พลัง ขุมกำลังทั้ง ๕
๑.ศรัทธาพละ กำลัง ที่ได้จากแรงศรัทธา
๒.วิริยะพละ กำลังที่ได้จากแรงความเพียร
๓.สติพละ กำลังแห่งสติ
๔.สมาธิพละ กำลังที่ได้จากสมาธิ
๕.ปัญญาพละ กำลังที่ได้จากปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 14:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


http://archive.wunjun.com/kroona/5/290.html
โภชฌงค์ ๗

๑.สติสัมโภชฌงค์ สติ ความระลึกรู้อยู่กับสติปัฏฐานทั้ง 4 และปัจจุบันอารมณ์
๒.ธัมมวิจัยสัมโภชฌงค์ การพิจารณา ใคร่ครวญ แยกแยะ แจกแจงธรรม
๓.วิริยสัมโภชฌงค์ ความเพียรในสัมมัปทาน 4 หรือสัมมาวายามะ
๔.ปีติสัมโภชฌงค์ ความอิ่มเอิบซาบซ่านกาย ใจ
๕.ปัสสัทธิสัมโภชฌงค์ ความเบากาย เบาใจ
๖.สมาธิสัมโภชฌงค์ ความตั้งมั่นของจิต
๗.อุเบกขาสัมโภชฌงค์ ความวางเฉยหยุดความปรุงแต่ง

มรรค ๘

เป็นหลักปฏิบัติธรรมที่เป็นทางสายกลางเพราะเจริญปัญญา ศีล สติ สมาธิ ไปพร้อมๆกันสนับสนุนซึ่งกันและกันไปจนกว่าจะถึงที่หมายปลายทางคือ นิพพาน แบ่งเป็น ๓ กลุ่ม-

ก.ปัญญามรรค มี ๒ ข้อ คือ

๑.สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ ความเห็นถูกต้อง คือเห็นอริสัจ ๔ และเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็น อนัตตา ในทางปฏิบัติคือตาปัญญาที่ไป เห็น ดู รู้
๒.สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ความคิดถูกต้อง คือคิดออกจากความยินดี ยินร้ายและการเบียดเบียน ทางปฏิบัติคือตาปัญญาที่ไป สังเกต พิจารณา

ข. ศีลมรรค มี ๓ ข้อ คือ

๓.สัมมาวาจา การพูดจาชอบ คือไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ในทางปฏิบัติคือการพูดแต่เรื่องอนัตตาและวิธีที่จะทำให้เข้าถึงอนัตตาและ นิพพาน
๔.สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ คือการงานที่ไม่ผิดศีล ๕ ในทางปฏิบัติคือการเจริญมรรคทั้ง ๘ ทำงานค้นหาอนัตตา ปล่อยวางอัตตาจนกว่าจะเข้าถึงนิพพานได้โดยสมบูรณ์
๕.สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพชอบ คืออาชีพที่ไม่ผิดและไม่สนับสนุนให้ทำผิดศีล ๕ ในทางปฏิบัติคือการทำมาหาเลี้ยงชีพให้มีชีวิตรอดมาทำสัมมากัมมันตะคือเจริญ มรรค ๘ เพื่อให้เข้าถึงนิพพานได้โดยเร็ว

ค.สมาธิมรรค มี ๓ ข้อ คือ

๖.สัมมาวายามะ ความพากเพียรชอบ แบ่งออกอีกเป็น ๔ ข้อย่อย เรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า สัมมัปปทาน ๔ คือ

๑.บาปอกุศลเก่าๆที่เคยทำ เพียรละ
๒.บาปอกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรระวัง ไม่ให้เกิด
๓.กุศลเก่าๆที่เคยทำ เพียรรักษาและทำให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
. ๔.กุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรทำให้เกิด กุศลใหม่ในที่นี้หมายถึง มรรค ๔ มรรคยังไม่เคยเกิดขึ้นในใจเพียรทำให้เกิด

๗.สัมมาสติ ความระลึกชอบ คือการเจริญสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม นั่นเลยทีเดียว ในทางปฏิบัติความรู้ทันปัจจุบันอารมณ์นับเป็นสัมมาสติ

๘.สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ คือความที่จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง อยู่กับงานพิสูจน์ อนัตตา หรือการเจริญมรรคทั้ง ๘ จนสามารถทำให้จิตนิ่งได้ถึงระดับฌาน ๔ หรือสังขารุเปกขาญาณ 


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 16:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

คุณกบยกมาคือ
โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ

แปลว่า ปีกธรรมพานำบินเข้าสู่พระนิพพาน

โค๊ตช่วยจำคือ

3-4.....2-5.....1-7.....1-8

สามสี่....สองห้า.....หนึ่งเจ็ด......หนึ่งแปด

สามสี่ สติปัฎฐาน 4...สัมมัปธาน 4...อิทธิบาท 4

สองห้า อินทรีย์ 5 พละ 5

หนึ่งเจ็ด โภชฌงค์ 7

หนึ่งแปด มรรค 8
smiley :b27: :b27:
คุณกบไปคัดลอกมาจากไหน จำได้ว่าเป็นสำนวนการเขียนของอโศกะเกือบทั้งหมด เลยครับ
s006


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร