วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 06:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 177 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 17:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราไม่มีความรู้ ไม่รู้ปริยัติ ไม่รู้เรื่องศาสนาก็อาศัยการคิดพิจารณาจากเหตุการต่างๆที่ต้องประสบพบเจอนั้นแหละมาเป็นปริยัติสอนใจ อย่างเราโดนธรรมชาติแล้วเป็นคนไม่ชอบความวุ่ยวายไม่ชอบมีปัญหาแต่เกิดมาในครบครัวที่มีแต่ปัญหาคือจนอย่างเด่วไม่พอยังสร้างแต่ปัญหาแล้วปัญหาเหล่านั้นก็เกิดจากความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ความลุ่มหลง จึงก่อเกิดปัญหาที่ไม่มีที่สิ้นสุด คือเกิดมาในความมืด ก็พากันอยู่แบบมืดๆ แล้วก็ไปแบบมืด กลับมาก็กลับแบบมืดอีกก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุดเกิดมากี่ชาติๆก็จมอยู่กับความทุกข์ ก็ได้อาศัยการคิดพิจารณาจากสภาพครัวครอบที่ต้องประสบพบมาเป็นเครื่องเตือนใจคิดหาทางออก สภาพในตอนนั้นก็เหมือนกับนกที่ถูกขังอยู่ในกรงเราเกิดมาในกรงพ่อแม่ญาติพี่น้องถูกขังรวมกันอยู่ในกรงแทนที่จะอยู่กันแบบสงบกลับจิ๊กตีกันเห็นแล้วสังเวชใจ คนที่เกิดก่อนเกิดมาในกรงอยู่ในกรงแล้วก็ตายในกรง ถ้าเราอยู่แบบนี้ต่อไปเราก็จะเป็นเหมือนเขาชีวิตไม่ต้องลุ้นอะไรเลยมองเห็นอนาคตที่ชัดเจนอนาคตที่มีแต่ความมืดรู้สึกกลัวไม่อยากเป็นเหมือนคนที่เกิดก่อนเกิดในกรงตายในกรงจึงเกิดความคิดที่จะออกจากกรงทั้งๆที่ว่าเราเกิดมาไม่เคยออกนอกกรง ข้างนอกเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้แต่ความคิดไปแล้วในวันที่จะมาบวชญาติไม่ให้มาบวชบอกว่ามันไกลอันตรายเหมือนลูกนกที่จะออกนอกกรงแม่นกบอกว่าอย่าออกเลยลูกข้างนอกอันตรายแต่เราไม่คิดแบบนั้นสุดท้ายก็มาบวชเมื่อวันเวลาผ่านไปก็กลับไปเยื่อมปรากฎว่าพวกเขายังพากันอยู่ในกรงตั่งใจอยากจะชวนให้ออกจากกรงว่าข้างนอกไม่อันตรายอย่างที่คิดพวกเขากับมองเราเป็นคนแปลกหน้า สิ่งเดียวที่เขายอมรับคือหาอาหารป้อนให้ :b1: :b41: :b41: :b39: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้ามีความเชื่อ ศรัทธา สัมมาทิฐิ แล้วการเดินทางจะไม่สูญเปล่า
บางคนเกิดมาฐานะร่ำรายอาจเดินทางไปจุดหมายด้วยเครื่องบิน
ก็จะสามารถไปถึงจุดหมายได้อย่างรวดเร็ว
บางคนเกิดมาฐานะปานกลางก็ใช้รถส่วนตัวออกเดินทางไปจุดหมาย
ก็ถึงได้รวดเร็วเหมือนกัน
บางคนเกิดมาฐานะพอมีพอใช้ก็อาจเดินทางไปจุดหมายด้วยรถประจำทาง
ก็ถึงจุดหมายได้อาจช้าหน่อย
บางคนเกิดมาฐานะยากจนไม่มีต้นทุนออกเดินทาง แต่ธรรมชาติยังเมตตามอบสองเท้า
กับอวัยวะที่ครอบสมบรูณ์กับความคิดที่เป็นสัมมาทิฐิให้ นี้แหละคือต้นทุนที่สำคัญยิ่ง
เป็นต้นทุนที่ให้แสวงหาเติมความสมบรูณ์ทางข้างหน้าเอง การเดินทางด้วยเท้าถึงแม้จะช้า
แต่ตราบใดที่ยังก้าวต่อไปด้วยความเชื่อ ความศรัทธา ก็ย่อมจะถึงจุดหมายปลายทางได้เหมือนๆกัน สำคัญคือเรามีความเชื่อที่จะออกเดินทางหรือเปล่า :b41: :b41: :b41: :b47: :b48: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


คนทุกวันนี้เกิดมาจะคนจนหรือคนรวยก็มาพร้อมกับคำถามที่เป็นปุถุชน
แม้อุส่ามาบวชแล้ว ยังจำกัดตัวเองอยู่แต่ความคิดที่เป็นปุถชน คำถามที่เป็นปุถุชน
การกระทำที่เป็นปุถุชน จึงหลงยินดีอยู่ในความเป็นปุถุชน แล้วจะพาชีวิตพ้นจาก
ความเป็นปุถุชนได้อย่างไร เมื่อไม่พ้นจากความเป็นปุถุชน ก็ไม่พ้นจากความทุกข์
หลายครั้งหลายคราวมักจะเจอคำถามบางครั้งก็ไม่อยากจะตอบเพราะคำถาม
เหล่านั้นล้วนเป็นความคิดของปุถุชนโดยสื่อให้เห็นว่าผู้ถามนั้นหลงยึดมั่นอยู่กับความเป็น
ปุถุชน ไม่ได้หมายความว่าผู้ปฏิเสธความคิดที่เป็นปุถุชนนั้นเป็นพระอริยะแล้วแต่ความคิดนี้
แหละจะพาให้เราพ้นจากความเป็นปุถุชนหรือจมอยู่กับความเป็นปุถุชนที่หนาไปด้วยกิเลสตัณหา
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะวิถีชีวิตของคนเราต่างกันแต่ความต่างนี้แหละก็ต้องเข้าใจซึ่งกัน
และกัน
จริงๆแล้วไม่ได้ไกลเกินตัวเลยแต่พวกเราก็ชอบคิดให้ไกลตัว :b1: :b17: :b41: :b41: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
ตอนกลับไปเยื่อมบ้านเกิดพอดีมีพระมาอยู่รูปหนึ่งเป็นพระที่ครูบาบุญชุ่มให้อยู่ดูแลสถานที่ ท่านบ่นให้ผมฟังว่าอยู่กับชาวเขาลำบากเพราะชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่า ผมก็นั่งฟังไปพิจารณาไป ก็เข้าใจที่ท่านพูดดี เพราะผมเองก็เป็นคนที่นี้ หรือแม้แต่คนที่อื่นคนในเมืองที่เข้ามาในหมู่บ้านก็พูดทำนองเดียวกัน คือในช่างที่ครูบาบุญชุ่มมาอยู่จะมีคนในเมืองมาหาท่านเยอะคนเมืองก็มักจะพูดว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญแรกๆก็รู้สึกเฉยๆเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ถูก แต่เมื่อเจอมากเข้าก็อดที่จะแสดงความเห็นเพราะแม้แต่ตัวผู้พูดเองก็ยังขาดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด อย่างคนในเมืองบอกว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนานับถือผี งมงายหาเหตุผลไม่ได้ พูดง่ายๆคือล้าหลัง ที่นี้ผมก็มานั่งพิจารณาดู คนที่บอกว่าตัวเองนับถือพุทธศาสนาแต่กลับประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆยิ่งทางเหนือนี้ยิ่งเยอะละอย่างตอนกลับไปบ้านนี้เห็นคนในเมืองมาทำอะไรต่อมิไร นับถือพุทธก็จริงแต่ไม่เข้าใจไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าอันใหนเปลือกอันใหนแก่น สิ่งใหนควรประพฤติ สิ่งใหนควรนำมาปฏิบัติ นับถือพุทธเพียงแต่สืบๆกันมา ประเพณี พิธีรีตองต่างๆที่ทำๆกันมา แล้วก็หลงเข้าใจว่าการกระทำเช่นนั่นแหละคือ ศาสนา เมื่อมีความเห็น ความเข้าใจดังเช่นนั้นแล้ว พอเห็นชาวเขาที่นับถือผี ประกอบพิธีกรรมต่างจากตน ก็ว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ชาวเขางมงาย ทั้งๆที่คนที่พูดนั้นแหละงมงายกว่าชาวเขาที่นับถือผีเสียอีก งมงายอย่างไรละ ตนเองนับถือพุทธแท้ๆ แต่กลับไปประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆเชื่อโน้นเชื่อนี้ นับถือแม่ตระเคียนบ้าง เข้าทรงบ้าง นับถือเจ้าที่เจ้าทาง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา ตัดกรงตัดกรรม เสียเงินมากมาย ก็ไม่พ้นจากทุกข์สักที มิหนำซ้ำมีแต่เพิ่มความทุกข์เข้ามา แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไปทิ้งที่ใหนละทำไมไม่พากันเอามาประพฤติประฏิบัติ พากันอยู่ไกล้วัดไกล้ศาสนาเสียเปล่าไม่ได้เข้าใจในหลักคำสอนเลยแล้วจะเอาอะไรกับชาวเขาที่อยู่ไกลวัดไกลศาสนาละ ไม่ต้องไปว่าใครที่ใหนหรอกให้ดูที่ตัวเอง พิจารณาตัว ว่าศึกษาเข้าใจในหลักคำสอนแล้วพากันประพฤติประฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะหรือเปล่า ไม่ใช่หลงเข้าใจแต่สิ่งที่ทำๆกันมาสืบๆกันมาว่านั่นแหละคือศาสนา แล้วก็ไปว่าคนอื่นที่ทำต่างจากตนว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก จะชาวเขาที่นับถือผี หรือชาวพุทธที่ประกอบพิธีรีตอง เชื่อโน้นเชื่อนี้ ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลยเพียงแต่ขั้นตอนพิธีที่แตกต่างกัน ผลที่ออกก็เหมือนๆกัน คือ ความงมงาย หาเหตุผลไม่ได้ :b41: :b41:

ถ้าเราพากันศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูก ประพฤติอย่างเหมาะสมแล้ว พระธรรมคำสอนนั้นแหละ คือแสงสว่างทางใจ ที่นี้ไม่ว่าจะเป็นพระอลัชชี คนพาล หรือโจรที่สิงอยู่ในใจที่ค่อยสั่งการให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ ก็จะไม่สามารถมาหลอกเราได้ เพราะเรามีธรรมเป็นเกาะ ธรรมก็จะคุ้มคลองเราไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ไม่จำเป็นต้องไปหาพระเกจิองค์นั้นองค์นี้ให้ทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งเจ้าแม่ตะเคียนที่ใหนมาบอกโบ้หวย ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหมอดงหมอเดาหรือแม้แต่ร่างทรงที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันใหน
สิ่งเหล่านี้มีแต่เรื่องไร้สาระ :b8: :b8:

ธรรมะก็คือรู้ว่าอันใหนดี อันใหนชั่ว ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นเหตุและผลอยู่แล้ว :b41: :b41: :b46:

...คำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ทรงแสดงถึงการปฏิเสธความเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน...
...มีแค่จิตเสวยกรรมตามภพภูมิ_คนทุกคนเห็นสิ่งที่มีเหมือนกันคือหลงเข้าใจว่ามีตัวตน...
...ถ้าไม่เข้าใจคือมีความเห็นถูกตามหลักคำสอน คิดให้ตายก็คิดไม่ออกไม่งั้นก็บรรลุละ...
...คำว่าคนพาลไม่มีจริง...พาลที่จริงคือพาลภายในที่ส่งออกมารู้พาลภายนอกนะจะบอกให้...
:b12: :b22:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 21:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...ปัญหาต้องแก้จากภายใน...การส่งออกมันไม่ตรงความจริงที่เกิดดับ...
...ทุกอย่างมีจริงแต่จริงตามสมมุติ...ผู้ฉลาดทางธรรมย่อมรู้วิธีแก้ไข...
...สร้างภาพยนตร์ในชีวิตจริงก็คือเห็นทุกอย่างเอามาเป็นเราแล้วก็...
...ก็เรานำแสดงตามหลงกลกิเลส สิ่งแวดล้อมมีให้ทำกรรมล้วนๆ...
...ไม่งั้นคงไม่มี เห็นหนอ ได้ยินหนอ ได้กลิ่นหนอ ไม่รู้เลยหนอ...
...กิเลสมันเหยียบหัวใจจนมิดมันชอบความมืดในจิตของผู้ไม่รู้...
:b20: :b16:
:b43:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
คนทุกวันนี้เกิดมาจะคนจนหรือคนรวยก็มาพร้อมกับคำถามที่เป็นปุถุชน
แม้อุส่ามาบวชแล้ว ยังจำกัดตัวเองอยู่แต่ความคิดที่เป็นปุถชน คำถามที่เป็นปุถุชน
การกระทำที่เป็นปุถุชน จึงหลงยินดีอยู่ในความเป็นปุถุชน แล้วจะพาชีวิตพ้นจาก
ความเป็นปุถุชนได้อย่างไร เมื่อไม่พ้นจากความเป็นปุถุชน ก็ไม่พ้นจากความทุกข์
หลายครั้งหลายคราวมักจะเจอคำถามบางครั้งก็ไม่อยากจะตอบเพราะคำถาม
เหล่านั้นล้วนเป็นความคิดของปุถุชนโดยสื่อให้เห็นว่าผู้ถามนั้นหลงยึดมั่นอยู่กับความเป็น
ปุถุชน ไม่ได้หมายความว่าผู้ปฏิเสธความคิดที่เป็นปุถุชนนั้นเป็นพระอริยะแล้วแต่ความคิดนี้
แหละจะพาให้เราพ้นจากความเป็นปุถุชนหรือจมอยู่กับความเป็นปุถุชนที่หนาไปด้วยกิเลสตัณหา
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เพราะวิถีชีวิตของคนเราต่างกันแต่ความต่างนี้แหละก็ต้องเข้าใจซึ่งกัน
และกัน
จริงๆแล้วไม่ได้ไกลเกินตัวเลยแต่พวกเราก็ชอบคิดให้ไกลตัว :b1: :b17: :b41: :b41: :b39:

ปัจจุบันการบวชเป็นประเพณีที่คิดว่าได้บุญมาก
ครั้งพุทธกาลบวชเพราะจำเป็นคือบรรลุอรหันต์
ผู้ไม่รู้มีมากมายมหาศาลถ้ารู้แล้วก็เมตตาบอก
สงสารให้เขาได้เข้าใจตามกำลังสติปัญญา
บวชเพื่อตอบแทนคุณพระพุทธเจ้า
ก็ต้องบอกให้เขาเข้าถึงธรรม
อมภูมิไม่มีประโยชน์
เสื่อมเพราะไม่รู้
พุทโธหาย
เกิดแน่ๆ
ทุกชาติ
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:
ตอนกลับไปเยื่อมบ้านเกิดพอดีมีพระมาอยู่รูปหนึ่งเป็นพระที่ครูบาบุญชุ่มให้อยู่ดูแลสถานที่ ท่านบ่นให้ผมฟังว่าอยู่กับชาวเขาลำบากเพราะชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่า ผมก็นั่งฟังไปพิจารณาไป ก็เข้าใจที่ท่านพูดดี เพราะผมเองก็เป็นคนที่นี้ หรือแม้แต่คนที่อื่นคนในเมืองที่เข้ามาในหมู่บ้านก็พูดทำนองเดียวกัน คือในช่างที่ครูบาบุญชุ่มมาอยู่จะมีคนในเมืองมาหาท่านเยอะคนเมืองก็มักจะพูดว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญแรกๆก็รู้สึกเฉยๆเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ถูก แต่เมื่อเจอมากเข้าก็อดที่จะแสดงความเห็นเพราะแม้แต่ตัวผู้พูดเองก็ยังขาดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด อย่างคนในเมืองบอกว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนานับถือผี งมงายหาเหตุผลไม่ได้ พูดง่ายๆคือล้าหลัง ที่นี้ผมก็มานั่งพิจารณาดู คนที่บอกว่าตัวเองนับถือพุทธศาสนาแต่กลับประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆยิ่งทางเหนือนี้ยิ่งเยอะละอย่างตอนกลับไปบ้านนี้เห็นคนในเมืองมาทำอะไรต่อมิไร นับถือพุทธก็จริงแต่ไม่เข้าใจไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าอันใหนเปลือกอันใหนแก่น สิ่งใหนควรประพฤติ สิ่งใหนควรนำมาปฏิบัติ นับถือพุทธเพียงแต่สืบๆกันมา ประเพณี พิธีรีตองต่างๆที่ทำๆกันมา แล้วก็หลงเข้าใจว่าการกระทำเช่นนั่นแหละคือ ศาสนา เมื่อมีความเห็น ความเข้าใจดังเช่นนั้นแล้ว พอเห็นชาวเขาที่นับถือผี ประกอบพิธีกรรมต่างจากตน ก็ว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ชาวเขางมงาย ทั้งๆที่คนที่พูดนั้นแหละงมงายกว่าชาวเขาที่นับถือผีเสียอีก งมงายอย่างไรละ ตนเองนับถือพุทธแท้ๆ แต่กลับไปประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆเชื่อโน้นเชื่อนี้ นับถือแม่ตระเคียนบ้าง เข้าทรงบ้าง นับถือเจ้าที่เจ้าทาง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา ตัดกรงตัดกรรม เสียเงินมากมาย ก็ไม่พ้นจากทุกข์สักที มิหนำซ้ำมีแต่เพิ่มความทุกข์เข้ามา แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไปทิ้งที่ใหนละทำไมไม่พากันเอามาประพฤติประฏิบัติ พากันอยู่ไกล้วัดไกล้ศาสนาเสียเปล่าไม่ได้เข้าใจในหลักคำสอนเลยแล้วจะเอาอะไรกับชาวเขาที่อยู่ไกลวัดไกลศาสนาละ ไม่ต้องไปว่าใครที่ใหนหรอกให้ดูที่ตัวเอง พิจารณาตัว ว่าศึกษาเข้าใจในหลักคำสอนแล้วพากันประพฤติประฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะหรือเปล่า ไม่ใช่หลงเข้าใจแต่สิ่งที่ทำๆกันมาสืบๆกันมาว่านั่นแหละคือศาสนา แล้วก็ไปว่าคนอื่นที่ทำต่างจากตนว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก จะชาวเขาที่นับถือผี หรือชาวพุทธที่ประกอบพิธีรีตอง เชื่อโน้นเชื่อนี้ ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลยเพียงแต่ขั้นตอนพิธีที่แตกต่างกัน ผลที่ออกก็เหมือนๆกัน คือ ความงมงาย หาเหตุผลไม่ได้ :b41: :b41:

ถ้าเราพากันศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูก ประพฤติอย่างเหมาะสมแล้ว พระธรรมคำสอนนั้นแหละ คือแสงสว่างทางใจ ที่นี้ไม่ว่าจะเป็นพระอลัชชี คนพาล หรือโจรที่สิงอยู่ในใจที่ค่อยสั่งการให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ ก็จะไม่สามารถมาหลอกเราได้ เพราะเรามีธรรมเป็นเกาะ ธรรมก็จะคุ้มคลองเราไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ไม่จำเป็นต้องไปหาพระเกจิองค์นั้นองค์นี้ให้ทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งเจ้าแม่ตะเคียนที่ใหนมาบอกโบ้หวย ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหมอดงหมอเดาหรือแม้แต่ร่างทรงที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันใหน
สิ่งเหล่านี้มีแต่เรื่องไร้สาระ :b8: :b8:

ธรรมะก็คือรู้ว่าอันใหนดี อันใหนชั่ว ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นเหตุและผลอยู่แล้ว :b41: :b41: :b46:

...คำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ทรงแสดงถึงการปฏิเสธความเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน...
...มีแค่จิตเสวยกรรมตามภพภูมิ_คนทุกคนเห็นสิ่งที่มีเหมือนกันคือหลงเข้าใจว่ามีตัวตน...
...ถ้าไม่เข้าใจคือมีความเห็นถูกตามหลักคำสอน คิดให้ตายก็คิดไม่ออกไม่งั้นก็บรรลุละ...
...คำว่าคนพาลไม่มีจริง...พาลที่จริงคือพาลภายในที่ส่งออกมารู้พาลภายนอกนะจะบอกให้...
:b12: :b22:
:b44:




เป็นเรื่องราวที่นำมาเล่าขานเพื่อเปิดทางสู่อนาคตเท่านั้น
เมื่อก้าวผ่านมาแล้วไม่มีอะไรยึดติดกับอดีตอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมาอ้างอิงอีกแล้วครับ :b1: :b55: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2015, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
แสงแห่งพระธรรม เขียน:
Rosarin เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:
ตอนกลับไปเยื่อมบ้านเกิดพอดีมีพระมาอยู่รูปหนึ่งเป็นพระที่ครูบาบุญชุ่มให้อยู่ดูแลสถานที่ ท่านบ่นให้ผมฟังว่าอยู่กับชาวเขาลำบากเพราะชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่า ผมก็นั่งฟังไปพิจารณาไป ก็เข้าใจที่ท่านพูดดี เพราะผมเองก็เป็นคนที่นี้ หรือแม้แต่คนที่อื่นคนในเมืองที่เข้ามาในหมู่บ้านก็พูดทำนองเดียวกัน คือในช่างที่ครูบาบุญชุ่มมาอยู่จะมีคนในเมืองมาหาท่านเยอะคนเมืองก็มักจะพูดว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญแรกๆก็รู้สึกเฉยๆเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ถูก แต่เมื่อเจอมากเข้าก็อดที่จะแสดงความเห็นเพราะแม้แต่ตัวผู้พูดเองก็ยังขาดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด อย่างคนในเมืองบอกว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนานับถือผี งมงายหาเหตุผลไม่ได้ พูดง่ายๆคือล้าหลัง ที่นี้ผมก็มานั่งพิจารณาดู คนที่บอกว่าตัวเองนับถือพุทธศาสนาแต่กลับประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆยิ่งทางเหนือนี้ยิ่งเยอะละอย่างตอนกลับไปบ้านนี้เห็นคนในเมืองมาทำอะไรต่อมิไร นับถือพุทธก็จริงแต่ไม่เข้าใจไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าอันใหนเปลือกอันใหนแก่น สิ่งใหนควรประพฤติ สิ่งใหนควรนำมาปฏิบัติ นับถือพุทธเพียงแต่สืบๆกันมา ประเพณี พิธีรีตองต่างๆที่ทำๆกันมา แล้วก็หลงเข้าใจว่าการกระทำเช่นนั่นแหละคือ ศาสนา เมื่อมีความเห็น ความเข้าใจดังเช่นนั้นแล้ว พอเห็นชาวเขาที่นับถือผี ประกอบพิธีกรรมต่างจากตน ก็ว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ชาวเขางมงาย ทั้งๆที่คนที่พูดนั้นแหละงมงายกว่าชาวเขาที่นับถือผีเสียอีก งมงายอย่างไรละ ตนเองนับถือพุทธแท้ๆ แต่กลับไปประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆเชื่อโน้นเชื่อนี้ นับถือแม่ตระเคียนบ้าง เข้าทรงบ้าง นับถือเจ้าที่เจ้าทาง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา ตัดกรงตัดกรรม เสียเงินมากมาย ก็ไม่พ้นจากทุกข์สักที มิหนำซ้ำมีแต่เพิ่มความทุกข์เข้ามา แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไปทิ้งที่ใหนละทำไมไม่พากันเอามาประพฤติประฏิบัติ พากันอยู่ไกล้วัดไกล้ศาสนาเสียเปล่าไม่ได้เข้าใจในหลักคำสอนเลยแล้วจะเอาอะไรกับชาวเขาที่อยู่ไกลวัดไกลศาสนาละ ไม่ต้องไปว่าใครที่ใหนหรอกให้ดูที่ตัวเอง พิจารณาตัว ว่าศึกษาเข้าใจในหลักคำสอนแล้วพากันประพฤติประฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะหรือเปล่า ไม่ใช่หลงเข้าใจแต่สิ่งที่ทำๆกันมาสืบๆกันมาว่านั่นแหละคือศาสนา แล้วก็ไปว่าคนอื่นที่ทำต่างจากตนว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก จะชาวเขาที่นับถือผี หรือชาวพุทธที่ประกอบพิธีรีตอง เชื่อโน้นเชื่อนี้ ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลยเพียงแต่ขั้นตอนพิธีที่แตกต่างกัน ผลที่ออกก็เหมือนๆกัน คือ ความงมงาย หาเหตุผลไม่ได้ :b41: :b41:

ถ้าเราพากันศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูก ประพฤติอย่างเหมาะสมแล้ว พระธรรมคำสอนนั้นแหละ คือแสงสว่างทางใจ ที่นี้ไม่ว่าจะเป็นพระอลัชชี คนพาล หรือโจรที่สิงอยู่ในใจที่ค่อยสั่งการให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ ก็จะไม่สามารถมาหลอกเราได้ เพราะเรามีธรรมเป็นเกาะ ธรรมก็จะคุ้มคลองเราไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ไม่จำเป็นต้องไปหาพระเกจิองค์นั้นองค์นี้ให้ทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งเจ้าแม่ตะเคียนที่ใหนมาบอกโบ้หวย ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหมอดงหมอเดาหรือแม้แต่ร่างทรงที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันใหน
สิ่งเหล่านี้มีแต่เรื่องไร้สาระ :b8: :b8:

ธรรมะก็คือรู้ว่าอันใหนดี อันใหนชั่ว ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นเหตุและผลอยู่แล้ว :b41: :b41: :b46:

...คำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ทรงแสดงถึงการปฏิเสธความเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน...
...มีแค่จิตเสวยกรรมตามภพภูมิ_คนทุกคนเห็นสิ่งที่มีเหมือนกันคือหลงเข้าใจว่ามีตัวตน...
...ถ้าไม่เข้าใจคือมีความเห็นถูกตามหลักคำสอน คิดให้ตายก็คิดไม่ออกไม่งั้นก็บรรลุละ...
...คำว่าคนพาลไม่มีจริง...พาลที่จริงคือพาลภายในที่ส่งออกมารู้พาลภายนอกนะจะบอกให้...
:b12: :b22:
:b44:




เป็นเรื่องราวที่นำมาเล่าขานเพื่อเปิดทางสู่อนาคตเท่านั้น
เมื่อก้าวผ่านมาแล้วไม่มีอะไรยึดติดกับอดีตอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมาอ้างอิงอีกแล้วครับ :b1: :b55: :b41: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2015, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
wink
แสงแห่งพระธรรม เขียน:
Rosarin เขียน:
แสงแห่งพระธรรม เขียน:
ตอนกลับไปเยื่อมบ้านเกิดพอดีมีพระมาอยู่รูปหนึ่งเป็นพระที่ครูบาบุญชุ่มให้อยู่ดูแลสถานที่ ท่านบ่นให้ผมฟังว่าอยู่กับชาวเขาลำบากเพราะชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญ ไม่รู้จักทอดผ้าป่า ผมก็นั่งฟังไปพิจารณาไป ก็เข้าใจที่ท่านพูดดี เพราะผมเองก็เป็นคนที่นี้ หรือแม้แต่คนที่อื่นคนในเมืองที่เข้ามาในหมู่บ้านก็พูดทำนองเดียวกัน คือในช่างที่ครูบาบุญชุ่มมาอยู่จะมีคนในเมืองมาหาท่านเยอะคนเมืองก็มักจะพูดว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนาไม่รู้จักทำบุญแรกๆก็รู้สึกเฉยๆเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นก็ถูก แต่เมื่อเจอมากเข้าก็อดที่จะแสดงความเห็นเพราะแม้แต่ตัวผู้พูดเองก็ยังขาดความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองพูด อย่างคนในเมืองบอกว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนานับถือผี งมงายหาเหตุผลไม่ได้ พูดง่ายๆคือล้าหลัง ที่นี้ผมก็มานั่งพิจารณาดู คนที่บอกว่าตัวเองนับถือพุทธศาสนาแต่กลับประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆยิ่งทางเหนือนี้ยิ่งเยอะละอย่างตอนกลับไปบ้านนี้เห็นคนในเมืองมาทำอะไรต่อมิไร นับถือพุทธก็จริงแต่ไม่เข้าใจไม่ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าอันใหนเปลือกอันใหนแก่น สิ่งใหนควรประพฤติ สิ่งใหนควรนำมาปฏิบัติ นับถือพุทธเพียงแต่สืบๆกันมา ประเพณี พิธีรีตองต่างๆที่ทำๆกันมา แล้วก็หลงเข้าใจว่าการกระทำเช่นนั่นแหละคือ ศาสนา เมื่อมีความเห็น ความเข้าใจดังเช่นนั้นแล้ว พอเห็นชาวเขาที่นับถือผี ประกอบพิธีกรรมต่างจากตน ก็ว่าชาวเขาไม่เข้าใจเรื่องศาสนา ชาวเขางมงาย ทั้งๆที่คนที่พูดนั้นแหละงมงายกว่าชาวเขาที่นับถือผีเสียอีก งมงายอย่างไรละ ตนเองนับถือพุทธแท้ๆ แต่กลับไปประกอบพิธีรีตองต่างๆนาๆเชื่อโน้นเชื่อนี้ นับถือแม่ตระเคียนบ้าง เข้าทรงบ้าง นับถือเจ้าที่เจ้าทาง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ สืบชะตา ตัดกรงตัดกรรม เสียเงินมากมาย ก็ไม่พ้นจากทุกข์สักที มิหนำซ้ำมีแต่เพิ่มความทุกข์เข้ามา แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไปทิ้งที่ใหนละทำไมไม่พากันเอามาประพฤติประฏิบัติ พากันอยู่ไกล้วัดไกล้ศาสนาเสียเปล่าไม่ได้เข้าใจในหลักคำสอนเลยแล้วจะเอาอะไรกับชาวเขาที่อยู่ไกลวัดไกลศาสนาละ ไม่ต้องไปว่าใครที่ใหนหรอกให้ดูที่ตัวเอง พิจารณาตัว ว่าศึกษาเข้าใจในหลักคำสอนแล้วพากันประพฤติประฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะหรือเปล่า ไม่ใช่หลงเข้าใจแต่สิ่งที่ทำๆกันมาสืบๆกันมาว่านั่นแหละคือศาสนา แล้วก็ไปว่าคนอื่นที่ทำต่างจากตนว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก จะชาวเขาที่นับถือผี หรือชาวพุทธที่ประกอบพิธีรีตอง เชื่อโน้นเชื่อนี้ ทั้งหมดนั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลยเพียงแต่ขั้นตอนพิธีที่แตกต่างกัน ผลที่ออกก็เหมือนๆกัน คือ ความงมงาย หาเหตุผลไม่ได้ :b41: :b41:

ถ้าเราพากันศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูก ประพฤติอย่างเหมาะสมแล้ว พระธรรมคำสอนนั้นแหละ คือแสงสว่างทางใจ ที่นี้ไม่ว่าจะเป็นพระอลัชชี คนพาล หรือโจรที่สิงอยู่ในใจที่ค่อยสั่งการให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ ก็จะไม่สามารถมาหลอกเราได้ เพราะเรามีธรรมเป็นเกาะ ธรรมก็จะคุ้มคลองเราไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ไม่จำเป็นต้องไปหาพระเกจิองค์นั้นองค์นี้ให้ทำพิธีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งเจ้าแม่ตะเคียนที่ใหนมาบอกโบ้หวย ไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหมอดงหมอเดาหรือแม้แต่ร่างทรงที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวันใหน
สิ่งเหล่านี้มีแต่เรื่องไร้สาระ :b8: :b8:

ธรรมะก็คือรู้ว่าอันใหนดี อันใหนชั่ว ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว เป็นเหตุและผลอยู่แล้ว :b41: :b41: :b46:

...คำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา...ทรงแสดงถึงการปฏิเสธความเป็นคน สัตว์ บุคคล ตัวตน...
...มีแค่จิตเสวยกรรมตามภพภูมิ_คนทุกคนเห็นสิ่งที่มีเหมือนกันคือหลงเข้าใจว่ามีตัวตน...
...ถ้าไม่เข้าใจคือมีความเห็นถูกตามหลักคำสอน คิดให้ตายก็คิดไม่ออกไม่งั้นก็บรรลุละ...
...คำว่าคนพาลไม่มีจริง...พาลที่จริงคือพาลภายในที่ส่งออกมารู้พาลภายนอกนะจะบอกให้...
:b12: :b22:
:b44:




เป็นเรื่องราวที่นำมาเล่าขานเพื่อเปิดทางสู่อนาคตเท่านั้น
เมื่อก้าวผ่านมาแล้วไม่มีอะไรยึดติดกับอดีตอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมาอ้างอิงอีกแล้วครับ :b1: :b55: :b41: :b41:

คนเราทุกข์เท่ากัน ทุกข์มีในโลก ทุกข์ไม่มีในโลก
ถ้าเข้าใจ3ประโยคนี้...ก็คงไม่ระบายความทุกข์ตามข้อความข้างต้น
ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจสังคม ไม่เข้าใจความจริงก็ไม่เข้าใจอะไรเลย
ลองนำ3ประโยคนั้นกลับไปทบทวนว่าหมายถึงหรือแปลความว่าไง
ถ้าไม่เข้าใจหรือแปลความไม่ได้จะมีเฉลย คิดถูกหรือผิดจะได้เข้าใจ
:b40: :b39:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2015, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
คนเราทุกข์เท่ากัน ทุกข์มีในโลก ทุกข์ไม่มีในโลก
ถ้าเข้าใจ3ประโยคนี้...ก็คงไม่ระบายความทุกข์ตามข้อความข้างต้น
ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจสังคม ไม่เข้าใจความจริงก็ไม่เข้าใจอะไรเลย
ลองนำ3ประโยคนั้นกลับไปทบทวนว่าหมายถึงหรือแปลความว่าไง
ถ้าไม่เข้าใจหรือแปลความไม่ได้จะมีเฉลย คิดถูกหรือผิดจะได้เข้าใจ



เป็นการเอาเรื่องราวในอดีตมาปูทางเรื่องเพื่อดำเนินเรื่องไปสู่อนาคตครับ
เรื่องราวยังไม่จบเลยพึงจะปฐมบทเริ่มต้นเอง..... :b20: :b16:
คำว่า...อดีต....ปัจจุบัน....อนาคต...สามประโยคนี้ต้องไปทำความเข้าใจแล้วแยก
ออกจากกัน....ถ้าไม่แยกออกจากกัน...จะไม่สามารถมองเห็นความดี ความชั่ว
ความสุข....ความทุกข์ของคนอื่นเลยแม้แต่ตัวเอง :b1: :b1:

จริงๆแล้วไม่อยากพูดเลยนะ...วันแรกที่เราเข้ามาเว็บนี้เราได้ปูทาง วางแผน เขียนบท
ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว คือมองไปถึงอนาคตกาลไกลไว้แล้ว แต่คนอื่นไม่รู้จักสังเกตุ
เลยไม่รู้เท่าทันไม่เข้าใจในเจตนารมของเรา..........
เราไม่ใช่คนประเภทที่ทำอะไรไม่คำนึงถึงผลดีผลเสียที่จะตามมาที่อยู่ๆแสดงตนว่าเป็น
เพศสมณะแล้วอยากโพสอะไรก็โพสอยากระบายอะไรก็ระบายโดยขาดการวางแผน
หรือสิ่งที่จะมาหักล้างภาพเหล่านั้น ...นั่นเป็นสิ่งที่ผิดต่อเจตนารมอย่างร้ายแรง :b31: :b31: :b24:


ดังนั้น.....การแสดงตัวตนว่าเป็นใครมาจากใหนเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำเนินเรื่อง
ถ้าไม่แสดงตนออกมาจะไม่สามารถดำเนินเนื้อเรื่องได้เลย....ดังนั้นที่ผ่านมาโดนแบน
ไปหลายไอดี....และเมื่อต้องเปลี่ยนไอดีใหม่จำเป็นต้องแสดงออกว่าเป็นคนๆเดียวกัน
เพราะไม่อย่างนั้นเนื้อเรื่องที่ปูทางมาจะสูญเปล่าและไม่สามารถดำเนินเรื่องต่อไป
ในส่วนของเนื้อเรื่องอาจจะดูช้าแต่นั่นเป็นเพราะว่าการดำเนินเรื่องจะไปพร้อมๆกับการ
ออกเดินทางเพราะนี้คือบทละครแห่งชีวิตไม่ใช่ละครน้ำเน่าที่ฉายกันในช่อง 3 ช่อง 7 :b22: :b9:

อย่างหัวข้อกระทู้นี้ดูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับเนื้อหาแต่จะเกี่ยวข้องกับเจตนารม
และจะสัมพันธ์กับเนื้อหาในอนาคตเอง แล้วเรื่องราวจะจบอย่างน่าประทับใจ :b35: :b35: :b17: :b17:

.......ดังนั้นควรใจเย็นๆไว้ก่อน........ onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2015, 11:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
...การเดินทางทำให้เห็นและพบกับตำตอบ...ท่านว่าท่านเล่าเรื่องที่เขียนกับหัวข้อไม่ได้เกี่ยวกันว่างั้น...
...แต่ข้าพเจ้าว่ามันเรื่องเดียวกันเจ้าค่ะ...เพียงแต่ท่านยังไม่เข้าใจยังไม่ลึกซึ้งทั้งทางโลกและทางธรรม...
...ก็ท่านเห็นแล้วมาเขียนบรรยายแบบใส่ความคิดเห็น...คนอ่านเค้าก็ต้องเข้ามาแสดงความคิดจริงไหม...
:b12:
...คนเราทุกข์เท่ากัน...คำว่าคน...ไม่ได้มีเพียงตัวท่านกับคนที่ท่านเกี่ยวข้องแต่คือคนทั่วโลก...
...แต่ละคนก็มีวิถีจิตที่จะได้พบเห็นเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆรอบตัวแตกต่างกันไปตามกรรมที่เคยทำไว้...
...แล้วก็มาหลงสร้างกรรมอันใหม่ด้วยความไม่รู้...ก็คือมีตัวโง่(อวิชชา)บังคับให้เป็นไปตามกรรม...
...ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ฝืนและบังคับมันจนอวิชชามันขาดใจตายคือฆ่ากิเลสกลายเป็นพระอรหันต์...
...แล้วท่านคิดว่าโลกของพระอรหันต์...กับโลกของพระอย่างท่าน...หรือโลกของข้าพเจ้าเหมือนกันไหม...
:b20:
...พระอรหันต์ก็มีร่างกายเหมือนท่าน...ไม่ใช่ต่างกันที่รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ จะเป็นกษัตริย์ ขอทาน...
...คนพิการ หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ กิเลสมันอยู่ด้วยทั้งนั้น การบรรลุธรรมเป็นเรื่องของเข้าใจอารมณ์...
...เพราะฆ่ากิเลสต้องฆ่าให้ตายก็ไม่ได้ผิดศีลข้อปานา...แถมพระพุทธเจ้ายังจัดอันดับความเก่ง4ขั้นให้...
...ที่ทุกข์เท่ากันไม่ว่าจะบรรลุถึงขั้นอนาคามีก็ยังทุกข์อยู่คือทุกข์เพราะจิตวิปลาศ ต่างๆกันไปตามกรรม...
...คนเราทุกข์เท่ากัน...ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ คนโสด คนมีครอบครัว ทุกข์เพราะเห็นเป็นไปตามกิเลส...
...เห็นเป็นคนสัตว์สิ่งของ...คนโสด...คนไม่โสดภาระที่แบกเท่ากันเพราะเห็นและคิดเป็นกิเลสเหมือนกัน...
:b16:
...ทุกข์มีในโลกของท่านก็คือตัวท่านวงษาคณาญาติ สัตว์ ที่พัก สิ่งของที่ท่านยึดถือและเกี่ยวข้อง...
...ทุกข์ไม่มีในโลกของท่านก็คือคนอังกฤษ คนอเมริกา คน สัตว๋ สิ่งของทั่วโลกที่ไม่อยู่ในความคิดท่าน...
...ดังนั้นจึงเป็นอย่างที่เป็นคือทุกอย่างเป็น อนิจัง ทุกขัง อนัตตา แค่อ่านทุกคนก็จำคำและพูดได้ทั้งนั้น...
...อยู่ในฐานะไหนที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจความจริงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าได้...ภิกขุเห็นภัย...
...สร้างพระภายในใจเจ้าค่ะ...ไม่ใช่ต้องบวชเป็นพระหมดทุกคน...อยู่ในโลกของความหลงและไม่รู้...
...ศาสนาพุทธเป็นคำสอนของผู้สิ้นกิเลส...ไม่มีความหลง...รู้ทั้งโลกในและโลกนอก 31 ภพภูมิ...
...การนับถือคือเข้าใจคำสอน...พุทธบริษัทคือกลุ่มคนที่ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจถ่องแท้...
...พึ่งพระรัตนตรัยคือพึ่งคำสอน...ทรงแสดงว่าพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์...
...เลือกไม่ได้เลยว่าจะเห็นอะไร จะได้ยินอะไร จะรู้สึกเอาเองผิดทั้งนั้น ต้องระลึกคำสอนบ่อยๆ...
...จริงไหมเจ้าคะ...ที่พระภิกษุเป็นผู้เห็นภัยหรือสร้างภัยเอง...จิตที่อ่อนแอก็คือแพ้กิเลสในใจตัวเอง...
:b4: :b4:
:b13:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 20 ก.ค. 2015, 12:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2015, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...บางครั้งท่านต้องมองต่างมุม...ปกติคนไม่ชอบเข้าวัด...เรื่องหวยถ้ามีใบ้บ้าง...ชาวบ้านเนาะเจ้าค่ะ...
...ก็จะขยันขนทรายเข้าวัดติดรองเท้าไป...อย่างน้อยๆ ก็ยังดีที่ได้เห็นคนรู้จักเข้าวัดทำบุญว่าไหมเจ้าคะ...
:b32: :b32:
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2015, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ....ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ่ง
ทั้งทางโลกและทางธรรม....ในความหมาย...ก็คือผู้ที่จบการเดินทางแล้ว
การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบนั้น....ก็เพื่อทำความเข้าใจ
ให้เกิดความลึกซึ้งทั้งวิถีชีวิตในทางโลกและเพื่อความกระจ่างในธรรม
หากผู้ออกเดินทาง...คือผู้รู้แจ้งทั้งทางโลกและทางธรรมแล้ว...ก็ไม่มีเหตุผล
อะไรที่ต้องมานั่งตั่งคำถามแล้วออกเดินทางให้เสียเวลาอีกทำไมในเมื่อคำถาม
และคำตอบเหล่านั้นอยู่ในตัวของผู้รู้แล้ว.... :b8: :b8: :b27:

ในเมื่อการเดินทางก็คือจุดเริ่มต้น...ของการแสวงหาองค์ความเพื่อความกระจ่าง
ในธรรม...ก็เป็นเหตุและผลอยู่แล้ว...ก็ไม่จำเป็นต้องมาโต้แย้ง...หรือเอาปัจจุบัน
ไปตัดสินอนาคต...ขึ้นชื่อว่า...ปุถุชนแล้ว...ทุกคนย่อมมีดีและชั่วอยู่ในตัว..
สิ่งสำคัญ...คือ...ใครจะมีความฉลาดสามารถปัญญาคิดพิจารณาเอาความดีที่อยู่
ในตัวนั้นออกมาได้มากน้อยและมั่นคงในความดีนั้นได้มากน้อยแค่ใหน...ถึงจะคุ้มค่า
กับการเกิดมาเป็นมนุษย์ในหนึ่งภพภูมิ...เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกก็จบลงที่ความตาย
แต่ความดีนั้นต่างหากที่จะวัดคุณค่าของคน...ไม่เกี่ยวกับว่าจะแตกฉานในปริยัติ
มากหรือน้อย...ในฐานะที่เป็นกฏแห่งกรรม...ในเมื่อธรรมชาติ...คือ...ผู้สร้างกฏขึ้นมา
ทุกสรรพสิ่งก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ...ไม่เว้นแม้แต่ความดี...ความชั่วที่ปุถุชนหลง
สร้างขึ้นมา... :b41: :b43: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2015, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงแห่งพระธรรม เขียน:
การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบ....ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ่ง
ทั้งทางโลกและทางธรรม....ในความหมาย...ก็คือผู้ที่จบการเดินทางแล้ว
การเดินทางทำให้ได้เห็นและพบกับคำตอบนั้น....ก็เพื่อทำความเข้าใจ
ให้เกิดความลึกซึ้งทั้งวิถีชีวิตในทางโลกและเพื่อความกระจ่างในธรรม
หากผู้ออกเดินทาง...คือผู้รู้แจ้งทั้งทางโลกและทางธรรมแล้ว...ก็ไม่มีเหตุผล
อะไรที่ต้องมานั่งตั่งคำถามแล้วออกเดินทางให้เสียเวลาอีกทำไมในเมื่อคำถาม
และคำตอบเหล่านั้นอยู่ในตัวของผู้รู้แล้ว.... :b8: :b8: :b27:

ในเมื่อการเดินทางก็คือจุดเริ่มต้น...ของการแสวงหาองค์ความเพื่อความกระจ่าง
ในธรรม...ก็เป็นเหตุและผลอยู่แล้ว...ก็ไม่จำเป็นต้องมาโต้แย้ง...หรือเอาปัจจุบัน
ไปตัดสินอนาคต...ขึ้นชื่อว่า...ปุถุชนแล้ว...ทุกคนย่อมมีดีและชั่วอยู่ในตัว..
สิ่งสำคัญ...คือ...ใครจะมีความฉลาดสามารถปัญญาคิดพิจารณาเอาความดีที่อยู่
ในตัวนั้นออกมาได้มากน้อยและมั่นคงในความดีนั้นได้มากน้อยแค่ใหน...ถึงจะคุ้มค่า
กับการเกิดมาเป็นมนุษย์ในหนึ่งภพภูมิ...เพราะท้ายที่สุดแล้วทุกก็จบลงที่ความตาย
แต่ความดีนั้นต่างหากที่จะวัดคุณค่าของคน...ไม่เกี่ยวกับว่าจะแตกฉานในปริยัติ
มากหรือน้อย
...ในฐานะที่เป็นกฏแห่งกรรม...ในเมื่อธรรมชาติ...คือ...ผู้สร้างกฏขึ้นมา
ทุกสรรพสิ่งก็ต้องอยู่ภายใต้กฎของธรรมชาติ...ไม่เว้นแม้แต่ความดี...ความชั่วที่ปุถุชนหลง
สร้างขึ้นมา... :b41: :b43: :b39:

...ฉลาดในปริยัติคือเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งที่เคยรู้มาก่อนและสิ่งที่รู้เพิ่มขึ้น...
...นำมาพิจารณาความจริงว่าพ้นวิสัยหรือไม่...ไม่ใช่จำคำทุกคำแล้วตอบข้อสอบได้...
...แต่ไม่เข้าใจว่าจะถึงเฉพาะลักษณะที่ดับกิเลสในใจได้จะทำอย่างไร...ปัญญาต่างกันมาก...
...ไม่มีใครเทียบพระพุทธเจ้าได้...ทรงแต่งตั้งเอตะทัคคะก็เพราะพระญาณหยั่งทราบปัญญาของพระสาวก...
...ความฉลาดรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมหมายความถึงผู้ที่เป็นพุทธบริษัทจริงๆเท่านั้นที่จะฉลาดพอ...
...รู้ความละเอียดของพระธรรมที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อตรัสรู้4อสงไขยกับแสนมหากัปป์เพื่ออะไร...
...ถ้าไม่ใช่เพื่อให้พุทธบริษัทเข้าใจพระองค์ทั้งทางโลกและทางธรรมตามกำลังสติปัญญาของตนของตน...
...ทรงแสดงพระธรรมให้ปุถุชนบรรลุเป็นอริยบุคคลตามปัญญาของผู้ที่ฟังพระองค์...ผู้เห็นโทษก็ขอบวช...
...ส่วนผู้ที่บรรลุอรหันต์ต้องอยู่ในเพศบรรพชิตทรงเปล่งพระวาจาว่าจงเป็นภิกษุมาเถิดเพราะต้องอยู่ในเพศสูงสุด...
...ในครั้งที่ปุถุชนบรรลุธรรมถึงพระอรหันต์แล้วไม่ขอบวชแต่ขอลาเข้าสู่นิพพานเลยก็มีจริงหรือไม่...
...เพราะฉะนั้นความฉลาดรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมจึงเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัทสี่พึงสังวรณ์ไว้...
...ผู้ที่ดำรงพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงคือพระอรหันต์ที่ยังไม่ละสังขาร...เป็นอเสขบุคคล...
...ส่วนพุทธบริษัทที่เหลือทั้งหลายแหล่...เข้าใจสิ่งที่พระองค์แสดงแค่ไหนไม่ใช่เข้าใจว่า
...บวชเป็นพระเพื่อมาสืบทอดให้มีพระอยู่ประจำวัด...แต่บวชเพราะเห็นภัยและเพื่อเรียนธรรมมาสอนผู้อื่น...
:b12: :b12:
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2015, 14:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2012, 18:22
โพสต์: 309


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เกี่ยวกับว่าจะแตกฉานในปริยัติ
มากหรือน้อย...ในฐานะที่เป็นกฏแห่งกรรม.

กฎแห่งกรรมไม่ได้กำหนดว่าผู้จะพ้นจากนรกหรือผู้จะไปสู่นิพพานนั้นจะต้อง
เป็นผู้แตกฉานในปริยัติ แต่กฎแห่งกรรมขึ้นอยู่กับการกระทำที่เกิดจากความรู้
ที่มีอยู่ รู้มากก็ทำถูกมากเป็นกำไร...รู้น้อยทำถูก...แต่ถูกน้อย...รู้มาก...หรือ...รู้น้อย
ในฐานะที่เป็นกฎแห่งกรรมแล้วไม่มีผลต่อการลงโทษ...แต่สิ่งที่จะมีผล...คือ...
การกระทำนั้นถูกมาก...หรือ...ถูกน้อย...คือขึ้นอยู่กับเหตุและผลของการกระทำ
แต่ก็ต้องอิงอาศัยจากความรู้ปริยัติอีกนั่นแหละ... :b14: :b41: :b46: :b48:

กล่าวถึงกฎแห่งกรรมไม่ใช่ปฏิเสธความรู้ปริยัติ :b1: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 177 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร