วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 05:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2015, 18:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2015, 21:52
โพสต์: 32

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นะครับ
ก็ขอยกจาก อนัตตลักขณสูตร ทีคุณยกมาก็แล้วกัน ในพระสูตรนี้พระพุทธองต์แสดงธรรมเพื่อให้พระปัญจวัคคีย์ ได้เห็นสภาพไตรลักษณ์ของขันธ์ 5 ที่ผมเข้าใจคือ (ยกตัวอย่างมนุษย์ก็แล้วกันนะครับ) คนเราทุกคนที่ยังไม่ได้เห็นธรรมตามความเป็นจริง เราก็จะเห็น รับรู้สิ่งต่าง ๆ ตามที่เราเห็น เราสัมผัส เช่น รุปคน ก็เห็นว่าเป็นรูปคน ช้างก็เป็นช้าง เป็นตัน คือ เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่้ตนเองเห็น รับรู้ สัมผัส กล่าวคือเห็นขันธ์ 5 โดยความเป็นขันธ์ หรือมีตัวตน (อัตตา) และยึดมั่นว่าว่าเป็นอัตตา

แต่พระพุทธองค์ แสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน (เป็นอนัตตา) ไม่ควรไปยึดว่าเป็นอัตตา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา เพราะ ขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปได้ เราบังคับไม่ได้ กำหนดให้เป็นดังใจไม่ได้ (เป็นอนิจจัง เป็นทุกข์ ) ดังจะเห็นว่าพระพุทธองค์ได้สรุป โดยถามว่า
"พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง"
" ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?"
"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่ง นั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?"


ธรรมะที่พระพุทธองค์แสดง ไม่สามารถรู้ได้ เห็นได้ด้วย การคิด การวิเคราะห์ การอนุมาน อุปมาน ดังจะเห็นว่า เมื่อพระองค์ตรัสรู้ใหม่ ๆ พระพุทธองค์เคยท้อแท้ลำบากใจที่จะแสดงธรรม เพราะธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นั้นทวนกระแส ไม่สามารถรู้ได้ด้วยการคิด การตีความ การวิเคราะห์ ต้องปฏิบัติจนจิตรับรู้สภาวะธรรมของสิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริง และพิจารณาให้เห็นสภาพไตรลักษณ์ของสิ่งนั้น ๆและ ละความยึดถือ
ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2015, 18:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุนน้องจำได้ สมัยที่เข้ามาในลานใหม่ๆ คุนน้องถามเรื่อง ขันธ์ 5 กับท่านเช่นนั้น และก็มีกัลยามิตรผู้หวังดีหลายท่าน มาให้ความรู้ คือคุนน้องถามเป็นคำถาม 3 ข้อ จำได้คำถามเดียว คือ เราต้องละ ขันธ์ 5 ใช่ไหม คือหมายถึง เลิกยึดติดขันธ์
ทุกๆคนต่างเข้ามา เห็นตามนั้น ใช่เราต้องละขันธ์5
ยกเว้นพี่โฮฮับคนเดียว ที่เข้ามาสอดตอบ (ทั้งที่เขม่นกันอยู่ :b32: )
พี่โฮบอกว่า คุนน้องไม่สามารถละขันธ์ 5 ได้ ถ้ายังไม่เห็นพระไตรลักษณ์ ตอนนี้ คุนน้องรู้แล้วล่ะว่า สภาวะของใคร เป็นของจริง.. :b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2015, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ท่านเช่นนั้น ยังไม่รู้หรือค่ะว่า เวลาเกิดญาณที่รู้ลงพระไตรลักษณ์ มันจะเกิดลักษณะ 3 ประการ ขึ้นใจจิต เห็นความไม่เที่ยงในขันธ์ เห็นว่าตั้งทนอยู่ไม่ได้ มีทุกข์บีบคั้น และประจักษ์ อนัตตา.. คุนน้องไม่แปลกใจเลย ที่ท่านเห็นแย้งเรื่องไตรลักษณ์ กับท่านพุทฎีกา พี่โฮฮับ ท่านกบ รวมถึงคุนน้องด้วย
ทุกคนสภาะตรงกัน ยกเว้นท่านเช่นนั้น

เพราะทุกคน รู้แบบจำมาครับ
ไม่ใช่รู้ โดยสัจจะสภาวะครับ จึงออกมาแบบเดียวกันหมดครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 00:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ...

การเห็นอนัตตา จะสัมพ้นธ์กับการดับไปของอุปทานขันธ์ 5

ซึ่งในขณะที่เห็น ก็ยังคงมีจิตที่เห็น
เป็นจิตที่อวิชชาได้ดับไป

จึงเป็นจิตที่ประกอบด้วย วิชชา

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 06:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ในทิฏฐิ 62 พราหมณ์บางพวก...ยังเห็นบางอย่างเที่ยง...บางอย่างไม่เที่ยง..ก็มี
.เขาก็ยึดอันที่เขาเห็นว่าเที่ยง..อยู่.....อันไหนไม่เที่ยง...เขาก็ไม่เข้าไปยึด..

นี้..ตัดภพยังไม่หมด....มีภพอยู่

ผมมีความเห็นว่า...อุทกดาสรามบุตรบุตร และ อาฬรดาบส ก็เห็นไตรลักษณะอยู่...ไม่ต้องการ..โศกะ..ปริเทวะ..ทุกขะ...อุปปายาส...เช่นกัน..แต่แก้ทุกข์ทั้งปวงผิดที่..โดยคิดว่าหากไม่ไปรับรู้สิ่งใดใดภายนอกเสียก็ย่อมไม่ทุกข์...เพราะไม่ได้เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ที่แท้จริง...จึงไม่ได้แก้ที่เหตุ...คือ..ปฏิจจสมุปบาท...จึงตัดภพไม่ได้..

เห็นความเป็นไตรลักษณ์ได้..เห็นทุกข์ได้...ก็เป็นเหตุใกล้ยิ่งแล้ว...แต่ต้องเห็นเหตุคือปฏิจจสมุปบาทด้วย...อริยะสัจจ4.จึงจะสมบูรณ์..


เช่นนั้น เขียน:
ในสามัญญลักษณะ นั้น มีอนัตตา ซึ่งเป็นสัจจะความจริงของการไม่มีสิ่งใดมีตัวตนเป็นเอกเทศ อันทำให้อัตตวาทุปาทานนั้นหมดสิ้นไป มีแต่พระศาสดาอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ประกาศได้ครับ
อุกทกดาบสรามบุตร และอาฬรดาบส ไม่มีทางเห็นอนัตตาครับ



จากความเห็นดังกล่าวข้างต้น...เช่นนั้น....เห็นว่า...การเห็นอนัตตา..กับการละ..อุปาทานในอัตตา...เป็นเรื่องอันเดียวกัน..เป็นขณะเดียวกัน..
จึงไม่แปลกที่.เช่นนั้น..จะเห็นว่า..."อุกทกดาบสรามบุตร และอาฬรดาบส ไม่มีทางเห็นอนัตตาครับ"

ผมว่าไม่ถูกนะครับ...จับเอาพระสูตรมาอธิบายผิดที่ครับ

ถ้าเป็นอย่างเช่นนั้นเข้าใจ..อนัตตาก็ต้องจัดเข้าไปนหมวดของ..เหตุให้เกิดทุกข์..เป็นทุกขสมุทัย...นะซิครับ

แต่ความจริง...อุปาทานต่างหากที่เป็นตัวสมุทัย...อัตตวานุปาทาน...เป้นอุปาทานตัวหนึ่ง..ไม่ใช่ตัวไตรลักษณ์

ผมจึงเห็นว่า...การเห็นไตรลักษณ์..จึงเป็นเหตุใกล้การละอุปาทาน..ไม่ใช่เป็นตัวเดียวกันกับการละ..อุปาทาน..ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 11:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

นี่คืออะไร ใครพอจะรู้บ้าง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 12:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


มันคือ กาฝาก

ธาตุขันธ์ ประหนึ่ง ต้นไม้
อุปทาน ประหนึ่ง กาฝาก

ด้วย อวิชชา กาฝาก แทบจะแยกไม่ออกจากต้นไม้ที่มันเกาะกุมอิงอาศัยอยู่
กาฝาก จะเห็น อนิจจัง และ ทุกขัง แต่กาฝากจะไม่เห็นลักษณะการตั้งอยู่แห่งตน

จนกว่า ต้นไม้จะล้มต้นตายไปก่อนกาฝาก และกาฝากก็ไม่อาจจะอาศัยต่อไปได้
หรือ กาฝากจะตายก่อนต้นไม้ คือ กาฝากแก่ไปตามกาลอย่างรวดเร็ว แต่ต้นไม้คงดำเนินต่อไป
หรือ เกิดเหตุให้เกิดการปริออกให้เห็นรอยตะเข็บ

เมื่อ รอยตะเข็บเปิดออก และกาฝากได้เห็นรอยแยกระหว่าง ตน กับ ต้นไม้
สิ่งที่เข้าไปยึดเกาะ กับ สิ่งที่ถูกยึดเกาะ
กาฝาก จะรู้ทันทีว่า สิ่งที่ตนเคยคิดว่าเป็นตนนั้น
แท้จริง ตนเป็นเพียงผู้เข้าไปอาศัยตั้งอยู่ เท่านั้น

รอยปริตรงนี้ เป็นจุดล้างตาในเรื่อง อุปทานขันธ์ 5

รอยต่อตรงนี้ ที่เป็นจุดแบ่ง อวิชชา/วิชชา

....

:b1:

ผู้ปฏิบัติธรรม ให้สำคัญตนว่าเลิศแค่ไหน แต่ที่สุดก็ไม่พ้น กาฝาก

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 25 พ.ย. 2015, 16:04, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 14:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขันธ์5คือ ธรรมที่เกิดจากปัจจัยปรุงแต่ง

แต่มีรากคืออวิชชา

เปรียบเหมือนอยู่ในที่มืดมิด ในความมืดมิดนั้น ขันธ์ทั้ง5ก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

จะเห็นหรือไม่เห็น ปัจจัยทั้งหลายก็ดำเนินไปตามสามัญลักษณะอยู่แล้ว

วิชชาคือแสงสว่างที่ส่องไปที่มืด ความเป็นสามัญลักษณะปรากฎชัดเจน

วิชชาในที่นี้คือ อริยสัจ4

ทุกข์มีอยู่จริง

เหตุเกิดของทุกข์นั้นมีจริง

ผลของการดับทุกข์นั้นมีจริง

วิธีการดับทุกข์นั้นมีจริง

การที่จะทำให้แสงสว่างปรากฎนั้น ต้องเริ่มด้วยการปรับความเห็นให้เป็นสัมมาทิฎฐิ

มีจุดมุ่งหมายที่ถูกและชัดเจน ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เอกเทศ นั้น เป็นธรรมชาติของธรรมทั้งปวงอยู่แล้ว

เช่น รูปขันธ์

ปสาทรูป5 หู เอาไว้ได้ยินเสียง ไม่สามารถใช้ทดแทนอย่างอื่นได้ จะไปบังคับเอาหูมาใช้แทนตาไว้มองก็ไม่ได้ นี่คือความเป็นเอกเทศของธรรม

ผู้ศึกษาจำเป็นต้องแยกแยะธรรมต่างๆ ทำความเข้าใจ สมมุติตั้งจิตไว้ที่การได้ยิน ความเห็นต่างๆจะปรากฎออกมาเป็นมีเหตุปัจจัยจากการได้ยิน น่าฟัง ไม่น่าฟัง เฉยๆ ตามอำนาจของกิเลส แต่เพราะเข้าใจในความเป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตา เสียงต่างๆจึงไม่ถูกนำมายึดถือ และปล่อยวางธรรมตามธรรมชาติของมัน ไม่มีใครที่จะบอกว่า เสียงนี้รสชาติเป็นงั้นเป็นงี้ สีสันแสบตามากเพราะเสียงนี้.

จะสังเกตุได้ว่าเมื่อตั้งจิตไว้ที่ทวารใด หากรู้ทันก็เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันคือ สามัญลักษณะ เกืดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป หากไม่รู้ทันก็เป็นอุปทานทันทีนั่นเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


มีใครรู้ไหมค่ะว่า การทำจิตให้เกิดวิชชา ต้องปฏิบัติยังไง เพราะส่วนใหญ่ เราถูกอวิชชาเป็น กาฝากครอบขันธ์อยู่ โดยส่วนตัวคือ คุนน้องพิจารณาขันธ์ 5 อยู่เนืองๆ โดยการเจริญสติปัฏฐาน 4 อวิชชาก็ไม่สามารถครอบขันธ์ได้ในเวลานั้น แต่ถ้าเมื่อใดคุนน้องไม่เจริญสติ คุนน้องก็เผลอเหมือนกัน คือรู้ไม่ทันจิต ว่าอวิชชาครอบขันธ์ ต้องทำความเข้าใจว่า อรหันต์เท่านั้น จิตถึงหลุดพ้นปราศจากอวิชาครอบขันธ์ได้ (คือจิตเป็นวิมุติ เรียกแบบนี้ใช่ไหม)..บางครังคุนน้องเห็นจิตมีอวิชชาในตอนที่ จิตเป็นวิชชา และคุนน้องพิจารณาว่า ตรงส่วนนี้คือไตรลักษณ์ เป็น สังขตธรรม ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง และดับเมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แต่ก็หาใช่มีอัตตาตัวตนในนั้น แต่ยังไปไม่ถึง อสังขตธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 16:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ...

อิอิ ไม่รู้สิ่ เพราะแต่ละคนจะมีอุปนิสัยความถนัดของจิตในทางปฏิบัติต่างกันไป
ดังนั้น แต่ละคนน่าจะมีความถนัดในแบบของตนเป็นตัวส่ง


:b48: :b48: :b48:

ลิงที่เที่ยวโหนตัวจากเถาวัลย์กิ่งนั้น ไปกิ่งนั้น
ซึ่งโดยปกติ วิถีที่ลิงนั้นโหนไป จะต่อเนื่องไม่สะดุด

แต่...ถ้าหากว่ามันมีบางอย่างที่ทำให้ความต่อเนื่องในระนาบเดิมคลาดเคลื่อนไป
ลิ่งย่อมตกไปสู่ ทำเลที่คาดไม่ถึง

ซึ่ง อนัตตา คือทำเลที่ อัตตา คาดไม่ถึง

คาดไม่ถึง เหมือนกับเงาของตัวเราที่สะท้อนบนกระจกที่ได้ผิดรูปไป

รูปภาพ

:b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


เก็บดาวบนฟ้าให้หมด. ก็พบนิพพาน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: .. :b1: .. :b48:

:b45: Galaxy Eyes: Zeus - The Blind Owl :b45:


รูปภาพ

:b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หัวแหลมดี...นี้

:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2015, 23:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

เช่นนั้น เขียน:
ในสามัญญลักษณะ นั้น มีอนัตตา ซึ่งเป็นสัจจะความจริงของการไม่มีสิ่งใดมีตัวตนเป็นเอกเทศ อันทำให้อัตตวาทุปาทานนั้นหมดสิ้นไป มีแต่พระศาสดาอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ประกาศได้ครับ
อุกทกดาบสรามบุตร และอาฬรดาบส ไม่มีทางเห็นอนัตตาครับ



จากความเห็นดังกล่าวข้างต้น...เช่นนั้น....เห็นว่า...การเห็นอนัตตา..กับการละ..อุปาทานในอัตตา...เป็นเรื่องอันเดียวกัน..เป็นขณะเดียวกัน..
จึงไม่แปลกที่.เช่นนั้น..จะเห็นว่า..."อุกทกดาบสรามบุตร และอาฬรดาบส ไม่มีทางเห็นอนัตตาครับ"

ผมว่าไม่ถูกนะครับ...จับเอาพระสูตรมาอธิบายผิดที่ครับ

ถ้าเป็นอย่างเช่นนั้นเข้าใจ..อนัตตาก็ต้องจัดเข้าไปนหมวดของ..เหตุให้เกิดทุกข์..เป็นทุกขสมุทัย...นะซิครับ

แต่ความจริง...อุปาทานต่างหากที่เป็นตัวสมุทัย...อัตตวานุปาทาน...เป้นอุปาทานตัวหนึ่ง..ไม่ใช่ตัวไตรลักษณ์

ผมจึงเห็นว่า...การเห็นไตรลักษณ์..จึงเป็นเหตุใกล้การละอุปาทาน..ไม่ใช่เป็นตัวเดียวกันกับการละ..อุปาทาน..ครับ

การเห็นสัจจะความจริงว่าไม่มีสิ่งใดมีตัวตนเป็นเอกเทศ เป็นการพิจารณาอนัตตา ....ซึ่งเป็นสุญญตสมาธิ เป็นโลกุตตรมรรค เมื่อพิจารณาจนในที่สุดแล้วญาณเกิดขึ้น อัตตาวาทุปาทานจึงหมดสิ้นไป เข้าสู่สุญญตวิโมกข์

พระอาจารย์สองท่าน หรือมหาดาบสสองท่าน ไม่อาจจะพิจารณาอนัตตาได้เลยครับ

การเห็นอนิจจัง หรือทุกขังของดาบสองท่าน ยังคงยืนอยู่บนพื้นฐานของความมีอัตตาอยู่ครับ
จึงยังคงมีภพมีชาติต่อไป

หากจะสังเคราะห์ลงอริยสัจจ์ 4 ดังนี้ครับ
ชาติ ชรา มรณะ เป็นทุกข์สัจจ์ครับ
อัตตวาทุปาทาน เป็นสมุทัยครับ
สุญญตวิโมกข์ เป็นนิโรธครับ
สุญญตสมาธิเป็นมรรค เพราะนมสิการโดยความเป็นอนัตตาครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร