วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 21:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 239 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 16  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เชิงบันไดทำเนียบ : ‘ตท.12 คอนเนคชั่น’ อุ้ม ‘บิ๊กตู่’ ยุครุ่ง ‘วงศ์เทวัญ’ เบรก ‘ทหารเสือฯ-บูรพาพยัคฆ์’

https://www.matichonweekly.com/in-depth/article_88959

แบ่งอำนาจกันครอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 09:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


'เสรีพิศุทธ์' ชูฝันปฏิรูปกองทัพ ย้ายทหารออกจากกรุง ยุบหน่วยที่ไม่จำเป็น

"ทหารอยู่ในกรุงเทพ เกิดรบกันมันกดปุ่มมาจากไหน ตูมลงมาลงกบาลใคร ลงชาวบ้าน จริงเปล่า เดี๋ยวเผลอๆ ลงบ้านคุณ แทนที่จะลงค่ายทหาร (สมมุติมีสงคราม) ดังนั้นเอาออกไปก่อนไม่ดีกว่าหรอ"

"ราบ 11 มีตั้ง 3 พันไร่ ตรงบางเขน อยู่กันอย่างเป็นเทวดา เกษียณแล้วยังไม่ยอมไป ผบ.ทบ.ทุกคนก็ไปอยู่แถวนั้น อยู่บ้านหลวง น้ำหลวง ไฟหลวง ทหารรับใช้ มีครบมีเพียบ ไม่เหมือนผม ผมเกษียณ ผมรับราชการก็อยู่บ้านตัวเองหมด นี่อยู่บ้านหลวงตลอด" อดีต ผบ.ตร. กล่าว พร้อมระบุว่า กระทรวงกลาโหมอยู่ในศูนย์ราชการ แต่กองทัพคนละส่วนกัน กองทัพก็ต้องย้ายไป


"คุณจะไปอยู่ติดต่อกับใคร ทหารจะติดต่อกับประชาชนตรงไหน ผมอยากจะรู้ ใช่ไหม อยู่ไปก็เกะกะกีดขวางทำให้การจราจรติดขัดไปหมด ถูกไหม พื้นที่เยอะนี่
ทหารบกไปอยู่ลพบุรี
ทหารเรือไปสัตหีบ
ทหารอากาศไปนครสวรรค์ เอาพื้นที่คืนมาให้คนกรุงเทพ ทำโรงเรียน โรงพยาบาล เป็นสิ่งจำเป็น สวนสาธารณะเป็นสิ่งจำเป็น" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

https://prachatai.com/journal/2018/03/75908

:b35:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“วันเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่ ไม่เพียงโลกไดโนเสาร์จะสั่นไหว คนใหญ่ตึกไทยคู่ฟ้ายังฮึ่ม”

รูปภาพ


https://www.khaosod.co.th/newspaper-column/news_854531

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท. หายไปไหน :b1:

นโยบาย 1 ง 2 จ

https://scontent.fbkk5-6.fna.fbcdn.net/ ... e=5B2B796E

พ.ร.ป.พรรคการเมืองฯ "ตั้งพรรคยาก ยุบพรรคง่าย ห้ามประชานิยม"

รูปภาพ


https://ilaw.or.th/node/4654

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Jak เขียน:
กรัชกาย เขียน:


เก่ง...เน็าะ

ถามว่า หากโจรครองเมือง

จะทำอย่างไร? คนไม่ดีฤทธิ์เดชมันมากว่าที่คิด

ต่อไปใครซวย...ลูกหลานเอ็งไง

ทำ กม ให้ดีเสียก่อนค่อยมา..อวดเก่ง

ถามว่า นักธุรกิจ .. พ่อค้าเข้าสภาเต็ม

ไม่เลือกคนดี ( เพราะไม่จำแนก..
จำแนกไม่ได้ เพราะมัวยึดหลัก
เสรีภาพ..) แล้วแบบนี้คือเสรีภาพว่างั้นเถอะ

พรรคการเมือง ตั้งได้ ดำรงได้ เพราะ เงินหนา
ใครเงินหนา....

เมิงไปแบ่งโค้วต้า สส ในสภาให้ได้ก่อนมั้ย
...ไหนบอกว่า สิทธิ์เสรีภาพ เท่าเทียมกัน

กระจายสัดส่วนในสภาฯ ให้หลากหลายให้ได้ก่อนไหม (จะมาอ้างว่า ปกครองแบบกระจายอำนาจ) แต่ในสภาฯ มีแต่พ่อค้า กับ อำนาจเก่า.....ยังจะปากดีอีก


คำว่าบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง นี่ก็แค่คำอ้าง

เหมือนพวกหาเสียงว่าที่ สส มักจะอ้าง ทำเพื่อประชาชน

แต่ไม่เคยทำดี ไม่สร้างความดีแก่สาธารณะเลย....

ลมปากแบบนี้ใครก็ว่าได้พูดได้



อ้างคำพูด:
ทำ กม ให้ดีเสียก่อนค่อยมา..อวดเก่ง


กม. เยอะแยะ คสช. ออกอีกหลายร้อยมาตรา แต่ปัญหามันอยู่ที่คนไม่ยึดกฎหมาย

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
“ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1231191



ล่าสุด....สอบถามความคิดเห็นของคนขอนแก่น พบว่าส่วนใหญ่ได้ทราบเรื่องเอกสารดังกล่าวแล้วเนื่องจากมีการเผยแพร่ผ่านโซเชียล และมีการนำเสนอผ่านสื่อ ซึ่งคนขอนแก่นส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ประชาชนไม่ได้โง่ แต่เหมือนถูกปิดกั้นทางการแสดงความคิดเห็น และที่สำคัญคือความโง่หรือความฉลาดนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนลงพื้นที่แต่อย่างใด

https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_853829



รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 13:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Jak เขียน:
คนดี จะพยายาม สร้างสิ่งที่ทำให้เกิดสันติ ความเป็นปกติให้เกิดขึ้น
หมายความว่่า ที่ใดมีความขัดแย้ง ไม่สงบ จะพยายามขจัดความขัดแย้ง

ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หมายถึงความการระงับความขัดแย้ง
ให้เกิดความเป็นปกติ

ให้ดูตัวอย่างการขจัดความขัดแย้ง พ่อหลวง ร9 ทำอย่างไร? สมัยนายกฯ สุจินดากับ พลต จำลอง

แต่ .... นักวิชาการ มองอย่างไร?


กูจะร่าง กม ตามแบบประชาธิปไตย
แม้ว่า ประชาธิปไตย จะสร้างความเดือดร้อนในอนาคต
นี่หรือคนดี

คน(อ้างตน)เก่งที่เห็น หลักการ(โง่ๆ) ของประชาธิปไตย(หางอึ่ง) ดีกว่าความสงบสุขของประชาชน

เพราะ คนเก่งเหล่านี้ คิดเพียงว่าหลักประชาธิปไตย คือ สิทธิเสรีภาพทุกคนเท่าเทียมกัน

ความจริงเป็นเช่นใด มันไม่สนใจ

ประชาธิปไตยใช้ได้เฉพาะในสังคมที่มีแต่คนดีเท่านั้น นี่เป็น ทฤษฎีหางอึ่ง ตัววันตก

ซึ่งหมายความว่า

นักร่างกฎหมาย หรือ ร่างรัฐธรรมนูญ ยังไม่รู้จัก ความจริง มุ่งเอาแต่ ทฤษฎี

จบกันตั้งแต่ในมุ้ง จบตั้งแต่ กม รัฐธรรมนูญแล้ว คือไม่สามารถจำแนกคนดีกับคนไม่ดี

ไม่รู้ข้อจำกัดหลักประชาธิปไตย

ความจริงในสังคมคือ มีคนดี และคนไม่ดี

เมื่อ คิดจะให้เสรีภาพทุกคน งั้นก็ไม่ต้องมีเรือนจำดีไหม ?

เรือนจำมีไว้สำหรับ กักขัง คนไม่ดี คนเลว คนที่มีภัย .... นี่คือกฎหมาย

จำกัดเสรีภาพไหม?

แล้ว คิดว่า การร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กฎหมายลูก เพื่อจำกัดเสริภาพคนไม่ดี

เข้ามาในสภาทำไมจึงทำไม่ได้ อย่ามาทำเป็น นักประชาธิปไตยนักเลย

ที่จะอ้าง สิทธิ์เสรีภาพแก่ทุกคน .... นี่เป็นการกระทำ สอง มาตรฐาน

อย่างไร มีเรือนจำ จำกัดคนไม่ดี แต่ ไม่ร่าง กม เพื่อจำกัดคนไม่ดีเข้าสภาฯ

เพราะอ้างว่า ความดีวัดไม่ได้ .... (โถ่ ช่างคิดเน๊าะ)

....



‘วรเจตน์’ เตือน ‘บิ๊กตู่’ หากคิดเป็น ‘นายกฯคนนอก’ ดูบทเรียน ‘พฤษภาทมิฬ’


https://www.khaosod.co.th/politics/news_856580

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Jak เขียน:
คนดี จะพยายาม สร้างสิ่งที่ทำให้เกิดสันติ ความเป็นปกติให้เกิดขึ้น
หมายความว่่า ที่ใดมีความขัดแย้ง ไม่สงบ จะพยายามขจัดความขัดแย้ง

ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หมายถึงความการระงับความขัดแย้ง
ให้เกิดความเป็นปกติ

ให้ดูตัวอย่างการขจัดความขัดแย้ง พ่อหลวง ร9 ทำอย่างไร? สมัยนายกฯ สุจินดากับ พลต จำลอง

แต่ .... นักวิชาการ มองอย่างไร?

กูจะร่าง กม ตามแบบประชาธิปไตย
แม้ว่า ประชาธิปไตย จะสร้างความเดือดร้อนในอนาคต
นี่หรือคนดี

คน(อ้างตน)เก่งที่เห็น หลักการ(โง่ๆ) ของประชาธิปไตย(หางอึ่ง) ดีกว่าความสงบสุขของประชาชน

เพราะ คนเก่งเหล่านี้ คิดเพียงว่าหลักประชาธิปไตย คือ สิทธิเสรีภาพทุกคนเท่าเทียมกัน

ความจริงเป็นเช่นใด มันไม่สนใจ

ประชาธิปไตยใช้ได้เฉพาะในสังคมที่มีแต่คนดีเท่านั้น นี่เป็น ทฤษฎีหางอึ่ง ตัววันตก

ซึ่งหมายความว่า

นักร่างกฎหมาย หรือ ร่างรัฐธรรมนูญ ยังไม่รู้จัก ความจริง มุ่งเอาแต่ ทฤษฎี

จบกันตั้งแต่ในมุ้ง จบตั้งแต่ กม รัฐธรรมนูญแล้ว คือไม่สามารถจำแนกคนดีกับคนไม่ดี

ไม่รู้ข้อจำกัดหลักประชาธิปไตย

ความจริงในสังคมคือ มีคนดี และคนไม่ดี

เมื่อ คิดจะให้เสรีภาพทุกคน งั้นก็ไม่ต้องมีเรือนจำดีไหม ?

เรือนจำมีไว้สำหรับ กักขัง คนไม่ดี คนเลว คนที่มีภัย .... นี่คือกฎหมาย

จำกัดเสรีภาพไหม?

แล้ว คิดว่า การร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กฎหมายลูก เพื่อจำกัดเสริภาพคนไม่ดี

เข้ามาในสภาทำไมจึงทำไม่ได้ อย่ามาทำเป็น นักประชาธิปไตยนักเลย

ที่จะอ้าง สิทธิ์เสรีภาพแก่ทุกคน .... นี่เป็นการกระทำ สอง มาตรฐาน

อย่างไร มีเรือนจำ จำกัดคนไม่ดี แต่ ไม่ร่าง กม เพื่อจำกัดคนไม่ดีเข้าสภาฯ

เพราะอ้างว่า ความดีวัดไม่ได้ .... (โถ่ ช่างคิดเน๊าะ)

....




อ้างคำพูด:
ความจริงในสังคมคือ มีคนดี และคนไม่ดี

เมื่อ คิดจะให้เสรีภาพทุกคน งั้นก็ไม่ต้องมีเรือนจำดีไหม ?

เรือนจำมีไว้สำหรับ กักขัง คนไม่ดี คนเลว คนที่มีภัย .... นี่คือกฎหมาย

จำกัดเสรีภาพไหม?



เรื่องคนดี คนไม่ดี เมื่อนี่ มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ขี่มอไซไปดูมือถือไปด้วย มอไซเฉียวลุงขี่ซาเล้ง อายุ 80 ปีแล้ว รถล้มลง กลับมาเตะลุงจนตกจากรถนอนสลบเหมือด ต้องหามส่งโรงบาล ถูกจับได้เสียใจ เอาดอกไม้ไปขอขมาลูกเมียชายชรา

เมียของชายหนุ่มนั้น ให้สัมภาษณ์ว่า ผัวเป็นคนดี รักลูก ตอนที่เตะคิดว่าอายุ 40 :b1: นี่เขายอมรับไหมว่า เป็นคนไม่ดี ไม่รับ ยังยืนยันว่าเป็นคนดี รักลูกๆ (มีหัวขโมยคนหนึ่งลักควายเขา จูงไปๆๆ เจ้าของตามทัน ร้องเฮ้ยๆๆ ไอ้หัวขโมยควายข้านะ หัวขโมยคนนั้นพูดสวนว่า ควายของแกก็เอาไป ข้าไม่ได้ขโมยนะ เชือกมันติดมือข้ามาเอง ไม่ยอมรับว่าเป็นขโมย)

การกระทำนั้นผิดกฎหมายข้อหาทำร้ายร่างกาย :b13:

สมมติว่า ครอบครัวชายชราเอาเรื่องก็ถูกปรับหรือติดคุก ติดคุกนี่เรียกว่า ถูกจำกัดเสรีภาพ แต่การติดคุกนั้น ไม่ใช่กฎหมาย แต่ทำผิดกฎหมาย จึงถูกจำกัดเสรีภาพอยู่ในที่กักขัง เพราะทำผิดกฎหมาย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรรมดำ กรรมขาว ดำมาก ดำน้อย ขาวมาก ขาวน้อย มีมากกว่า 84000 เฉดสีค่ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดงโดยย่อดังนี้

[๘๘] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรปุณณะ กรรม ๔ ประการนี้
เราทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม

๔ ประการนั้นเป็นไฉน ดูกรปุณณะ
กรรมดำมีวิบากดำมีอยู่
กรรมขาวมีวิบากขาวมีอยู่
กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว มีอยู่
กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมมีอยู่



ประเภทของกรรม

กรรมนั้น เมื่อจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ แบ่งได้เป็น ๒ อย่าง คือ (องฺ.ติก.20/445/131)

๑. อกุศลกรรม กรรมที่เป็นอกุศล การกระทำที่ไม่ดี กรรมชั่ว หมายถึง การกระทำที่เกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ หรือโมหะ

๒. กุศลกรรม กรรมที่เป็นกุศล การกระทำที่ดี หรือกรรมดี หมายถึง การกระทำที่เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ หรืออโมหะ


แต่ถ้าจำแนกตามทวาร คือทางที่ทำกรรม หรือทางแสดงออกของกรรม จัดเป็น ๓ คือ (ม.ม.13/64/56 ฯลฯ)

๑. กายกรรม กรรมทำด้วยกาย หรือการกระทำทางกาย

๒. วจีกรรม กรรมทำด้วยวาจา หรือการกระทำทางวาจา

๓. มโนกรรม กรรมทำด้วยใจ หรือการกระทำทางใจ


เมื่อจำแนกให้ครบตามหลักสองข้อที่กล่าวมาแล้ว ก็จะมีกรรมรวมทั้งหมด ๖ อย่าง คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม แต่ละอย่างที่เป็นอกุศล กับ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม แต่ละอย่างที่เป็นกุศล


อีกอย่างหนึ่ง ท่านจำแนกกรรม ตามสภาพที่สัมพันธ์ กับ วิบาก หรือการให้ผล จัดเป็น ๔ อย่าง คือ

๑. กรรมดำ มีวิบากดำ ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่มีการเบียดเบียน ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และติดสุราเมรัยตั้งอยู่ในความประมาท

๒. กรรมขาว มีวิบากขาว ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่ไม่มีการเบียดเบียน ตัวอย่าง คือ การประพฤติตามกุศลกรรมบถ ๑๐

๓. กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และมโนสังขาร ที่มีการเบียดเบียนบ้าง ไม่มีการเบียดเบียนบ้าง เช่น การกระทำของมนุษย์ทั่วๆไป

๔. กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ได้แก่ เจตนาเพื่อละกรรมทั้งสามอย่างข้างต้น หรือว่าโดยองค์ธรรม ได้แก่ โพชฌงค์ ๗ หรือมรรคมีองค์ ๘


ในบรรดากรรม ๓ อย่าง คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น มโนกรรมสำคัญที่สุด และมีผลกว้างขวางรุนแรงที่สุด ดังบาลีว่า


“ดูกรตปัสสี บรรดากรรม ๓ อย่างเหล่านี้ ที่เราจำแนกไว้แล้วอย่างนี้ แสดงความแตกต่างกันแล้วอย่างนี้ เราบัญญัติมโนกรรมว่ามีโทษมากกว่า ในการทำบาปกรรม ในความเป็นไปแห่งบาปกรรม หาบัญญัติกายกรรมอย่างนั้นไม่ หาบัญญัติวจีกรรมอย่างนั้นไม่” (ม.ม.13/65/56)


เหตุที่มโนกรรมสำคัญที่สุด ก็เพราะเป็นจุดเริ่มต้น คนคิดก่อนแล้วจึงพูดจึงกระทำ คือ แสดงออกทางกาย และวาจา ดังนั้น วจีกรรม และกายกรรม จึงขยายออกมาจากมโนกรรมนั่นเอง และ ที่ว่ามีผลกว้างรุนแรงที่สุด ก็เพราะว่ามโนกรรมรวมถึง ความเชื่อถือ ความเห็น แนวคิด และค่านิยมต่างๆ ที่เรียกว่า ทิฏฐิ

ทิฏฐินี้เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมทั่วๆไปของบุคคล ความเป็นไปในชีวิตของบุคคล และ คติของสังคมทั้งหมด เมื่อเชื่อ เมื่อเห็น หรือนิยมอย่างไร ก็คิดการ พูดจา สั่งสอน ชักชวนกัน และทำการต่างๆไปตามที่เชื่อที่เห็นที่ นิยมอย่างนั้น

ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ การดำริ การพูดจา และทำการ ก็ดำเนินไปในทางผิด เป็นมิจฉาไปด้วย

ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ การดำริ การพูดจา และทำการต่างๆ ก็ดำเนินไปในทางถูกต้อง เป็นสัมมาไปด้วย เช่น คนและสังคม ที่เห็นว่า ความพรั่งพร้อมทางวัตถุมีค่าสูงสุด เป็นจุดหมายที่พึงใฝ่ประสงค์ ก็จะเพียรพยายามแสวงหาวัตถุให้พรั่งพร้อม และถือเอาความพรั่ง พร้อมด้วยวัตถุนั้น เป็นมาตรฐานวัดความเจริญรุ่งเรืองเกี่ยวกับเกียรติยศ และศักดิ์ศรี เป็นต้น วิถีชีวิตของคน และแนวทางของสังคมนั้น ก็จะ เป็นไปในรูปแบบหนึ่ง
ส่วนคน และสังคม ที่ถือความสงบสุขทางจิตใจเป็นที่หมาย ก็จะมีวิถีชีวิตและความเป็นไปอีกแบบหนึ่ง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรรมดำ กรรมขาว ดำมาก ดำน้อย ขาวมาก ขาวน้อย มีมากกว่า 84000 เฉดสีค่ะ

พระพุทธองค์ทรงแสดงโดยย่อดังนี้

[๘๘] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรปุณณะ กรรม ๔ ประการนี้
เราทำให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม

๔ ประการนั้นเป็นไฉน ดูกรปุณณะ
กรรมดำมีวิบากดำมีอยู่
กรรมขาวมีวิบากขาวมีอยู่
กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว มีอยู่
กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมมีอยู่



กรรมที่ทำให้สิ้นกรรม

ในหัวข้อว่าด้วยประเภทของกรรมข้างต้น เฉพาะหมวดสุดท้าย ได้จำแนกกรรมเป็น ๔ อย่าง ตามสภาพที่สัมพันธ์กับวิบากหรือการให้ผล คือ (ที.ปา.11/256/242 ฯลฯ)

๑. กรรมดำ มีวิบากดำ

๒. กรรมขาว มีวิบากขาว

๓. กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว

๔. กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม


เรื่องการให้ผลของกรรมเท่าที่บรรยายมานี้ จำกัดอยู่ในวงของกรรม ๓ ข้อต้น ที่มีชื่อว่า กรรมดำ กรรมขาว และกรรมทั้งดำทั้งขาว หรืออาจเรียกง่ายๆว่า กรรมดี และกรรมชั่ว จึงยังเหลือกรรมอย่างที่ ๔ ค้างอยู่


กรรมอย่างที่ ๔ นี้ มีลักษณะการให้ผลต่างออกไปจากกรรม ๓ ข้อต้นอย่างสิ้นเชิง จึงแยกออกมาพูดไว้ต่างหาก


คนทั่วไป และแม้แต่ชาวพุทธส่วนมาก มักสนใจกันแต่เรื่องกรรม ๓ อย่างแรก และมองข้ามกรรม ข้อที่ ๔ นี้ไปเสีย ทั้งๆที่กรรมข้อสุดท้ายนี้ เป็นหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนา และเป็นข้อปฏิบัติที่นำไปสู่จุดหมายที่แท้จริงของพุทธธรรม


กรรมดำ และกรรมขาว หรือกรรมดี กรรมชั่ว โดยทั่วไปนั้น แสดงออกเป็นการกระทำในรูปแบบต่างๆมากมาย ซึ่งประมวลลงได้ในขอบเขตของหลักที่เรียกว่าอกุศลกรรมบถ ๑๐ และกุศลกรรมบถ ๑๐
เช่น
การทำลายชีวิต การละเมิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ความประพฤติผิดทางเพศ การพูดชั่วหรือทำร้ายกันด้วยวาจา เป็นต้น และการทำความดีในทางตรงกันข้าม กรรมเหล่านี้ เป็นเหตุให้ผู้กระทำประสบผลดี และผลร้ายต่างๆ ตามนัยที่กล่าวมาแล้ว เป็นเครื่องปรุงแต่งชีวิต พร้อมทั้งวิถีทางดำเนินของชีวิตนั้น ทำให้เขาทำกรรมดีและกรรมชั่วอื่นๆ ต่อไปอีก หมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ (กิเลส กรรม วิบาก)


ส่วนกรรมประเภทที่ ๔ นี้ มีลักษณะการให้ผลในทางตรงข้าม คือ เป็นกรรมที่ไม่ทำให้เกิดกรรมสั่งสมต่อๆไป แต่เป็นกรรมทีทำแล้ว กลับทำให้สิ้นกรรม ทำให้หมดกรรม นำไปสู่การดับกรรม หรือนำมาซึ่งความดับกรรม พูดง่ายๆว่า เป็นกรรมที่ทำแล้ว ไม่ทำให้เกิดมีกรรม


กรรมที่ทำให้สิ้นกรรม หรือกรรมที่สร้างภาวะปลอดกรรมนี้ ได้แก่ การปฏิบัติตามหลักการที่นำไปสู่จุดหมายสูงสุดของพุทธธรรม
ถ้ามองที่หลักอริยสัจ ๔ ก็ได้แก่ ข้อที่ ๔ ของอริยสัจนั้น คือ มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งอาจจะจัดรูปใหม่ เป็นข้อปฏิบัติที่เรียกชื่ออย่างอื่น เช่น โพชฌงค์ ๗ หรือไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น ก็ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บางทีท่านกล่าวถึงกรรมอย่างที่ ๔ นี้ โดยสัมพันธ์กับกรรม ๓ ข้อแรกว่า ได้แก่ เจตนา เพื่อละกรรม ๓ อย่างนั้น ซึ่งก็คือการกระทำหรือการปฏิบัติ ที่ประกอบด้วยเจตจำนง หรือความคิดในทางที่เป็นการทำให้กรรม ๓ อย่างแรก ไม่เกิดขึ้นนั่นเอง หรือถ้ากำหนด้วยมูลเหตุ ก็เรียกว่า กรรมที่เกิดจากอโลภะ อโทสะ และอโมหะ

การพูดถึงกรรมนั้น ตามปกติจะมีความหมายโยงไปถึงเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ความสุข และความทุกข์

เพราะความสุขและความทุกข์ เป็นผลสืบเนื่องไปจากกรรม โดยที่กรรมเป็นเหตุ และสุขทุกข์เป็นผล
เมื่อยังทุกข์ เพราะความสุข และความทุกข์ เป็นผลสืบเนื่องไปจากกรรม โดยที่กรรมเป็นเหตุ และสุขทุกข์เป็นผล
เมื่อยังมีกรรม ก็ยังวนเวียนอยู่ในวังวนแห่งสุข และทุกข์
ถ้าเล็งถึงภาวะที่ดีงามสูงสุดเป็นที่หมาย โดยไม่ให้มีข้อบกพร่องเหลืออยู่เลย ภาวะที่ยังระคนด้วยสุขและทุกข์ ก็คือยังไม่พ้นจากทุกข์ ดังนั้น กรรมจึงยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับทุกข์ และยังเป็นเหตุของทุกข์


อย่างไรก็ตาม ที่เป็นอย่างนี้ ก็เฉพาะแต่กรรมสามอย่างแรกเท่านั้น
กรรมประเภทที่สี่นี้ เป็นข้อยกเว้น เนื่องจากเป็นกรรมที่ทำให้สิ้นกรรม จึงเป็นกรรมที่นำไปสู่ความสิ้นทุกข์ หรือความไม่มีทุกข์เหลืออยู่เลยอีกด้วย


ในขณะที่กรรมดีนำมาซึ่งผลคือความสุข แต่ความสุขนั้นระคนอยู่ด้วยทุกข์ และอาจเป็นปัจจัยแก่ทุกข์ได้ต่อไป กรรมประเภทที่สี่นี้ มีแต่ทำให้เกิดภาวะปลอดทุกข์อย่างเดียวและโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้น ในขณะที่กำลังทำกรรมนี้อยู่ ก็กระทำโดยไม่มีความทุกข์อีกด้วย จึงเป็นกรรมที่ไร้ทุกข์ เป็นภาวะสุขล้วนโดยสมบูรณ์


ความสิ้นกรรม หรือดับกรรมนี้ มีสอนในลัทธิศาสนาอื่นที่ร่วมสมัยกับพระพุทธศาสนาด้วย โดยเฉพาะลัทธินิครนถ์


ลัทธินิครนถ์สอนหลักการเรื่องกรรมเก่า (ปุพเพกตวาท)

เรื่องความสิ้นกรรม (กรรมกษัย) และ

การทรมานตนด้วยการบำเพ็ญตบะ (ตบะ ตโปกรรม) เพื่อทำให้สิ้นกรรม

หลักการทั้งสามอย่างนี้ ถ้าไม่ทำความเข้าใจโดยแยกออกจากคำสอนในพระพุทธศาสนาให้ชัดเจน ก็จะเกิดความสับสนกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา และเกิดความหลงผิดขึ้น

แต่ถ้าสามารถแยกออกจากหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาได้ ก็กลับจะทำให้เข้าใจพุทธธรรมชัดเจนขึ้นด้วย

ลัทธินิครนถ์สอนดังนี้

"สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ที่บุคคลได้เสวย ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ตนทำไว้ในปางก่อน โดยนัยดังนี้ เพราะทำให้กรรมเก่าหมดสิ้นไปด้วยตบะ เพราะไม่ทำกรรมใหม่ ก็จะไม่มีผลบังคับต่อไป เพราะไม่มีผลบังคับต่อไป ก็สิ้นกรรม เพราะสิ้นกรรม ก็สิ้นทุกข์ เพราะสิ้นทุกข์ ก็สิ้นเวทนา เพราะสิ้นเวทนา ทุกข์ทั้งปวงก็จะโทรมซาหมดไปเอง พวกนิครนถ์มีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้" (ม.อุ.14/3/2 ฯลฯ)


พวกนิครนถ์ถือว่า อะไรๆก็เป็นเพราะกรรมเก่า จะหมดทุกข์ได้ ก็ต้องทำให้กรรมหมดสิ้นไป ด้วยการบำเพ็ญตบะเผากิเลส ซึ่งเป็นการทำกรรมเก่าให้เหือดหาย และไม่ทำกรรมใหม่เพิ่มขึ้นอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 20:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แต่พระพุทธศาสนาสอนว่า กรรมเก่าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย จะต้องรู้เท่าทันตามเป็นจริง เพื่อเป็นประโยชน์ในการปฏิบัติตนได้ถูกต้อง
คนจะหมดทุกข์ได้ ด้วยการทำกรรม แต่เป็นการกระทำอย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้ไม่มีกรรมเกิดขึ้น และจึงทำให้กรรมหมดไป


ดังนั้น เพื่อให้กรรมกลายเป็นสูญ แทนที่จะหยุดนิ่งหรืออยู่เฉย ผู้ปฏิบัติตามหลักการของพุทธธรรม จึงยิ่งต้องเพียรพยายามทำการอย่างเอาจริงเอาจัง
แต่เป็นการกระทำ หรือปฏิบัติด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจตามเป็นจริง ซึ่งทำให้ปลอดโปร่งเป็นอิสระ พ้นจากการกระทำตามอำนาจบงการของตัณหา ที่เข้ามาช่วยสนองอวิชชาชักพาคนให้ร่านรนทะยานไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้รู้จักกรรมประเภทที่ ๔ ชัดเจนขึ้น ด้วยการบรรยายสั้นๆ จึงขอสรุปลักษณะทั่วไปของกรรมที่ว่าให้สิ้นกรรมไว้ ดังนี้

ก. เป็นทางดับกรรม หรือข้อปฏิบัติที่นำไปสู่ความดับกรรม (กรรมนิโรธคามินีปฏิปทา) และพร้อมกันนั้น ก็เป็นกรรมอย่างหนึ่งเองด้วยในตัว


ข. มีชื่อเรียกว่า กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม


ค. เป็นกรรมที่เกิดจากอโลภะ อโทสะ อโมหะ จึงทำให้ไม่มีการทำความชั่วใดๆ เลย อย่างเป็นไปเองตามธรรมดาของมัน เพราะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้ทำความชั่ว


ง. เป็นการกระทำกระที่ประกอบด้วยปัญญา ทำด้วยความรู้เข้าใจ มองเห็นคุณโทษ เป็นต้น ตามสภาพ จึงเป็นการกระทำที่ดีงาม ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เป็นไปเพื่อประโยชน์สุข สมตามเหตุผล


จ. เป็นการกระทำในทางที่ดีงามเกื้อกูลอย่างเข้มแข็งจริงจังหรือเต็มที่ เพราะความเพียร สติ และปัญญาออกมาทำหน้าที่หนุน และนำการกระทำได้โดยตรง เนื่องจากไม่ถูกตัณหาชักพาไปในทางเบียดเบียนผู้อื่นด้วยความเห็นแก่ตน หรือหน่วงเหนี่ยวขัดถ่วงไม่ให้กระทำ เพราะความห่วงหาติดพันในความสุขสำราญของตน


ฉ. เป็นกุศลกรรม คือกรรมที่เป็นกุศล ในระดับที่เรียกว่าเป็นโลกุตรกุศล (อรรถกถาว่าเป็นมรรคเจตนาหรือมรรคญาณ) จึงเรียกว่าเป็นกรรมที่ทำให้สิ้นกรรม เพราะไม่เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นแห่งกรรม คือไม่ทำให้มีการก่อกรรม หรือการก่อตัวของกรรม


ช. ว่าโดยหลักธรรม และองค์ธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นทางนำไปสู่ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) คือ อริยสัจข้อที่ ๔ นั่นเอง แต่อาจมาในชื่ออื่นๆ เช่น เป็นโพชฌงค์ ๗ ไตรสิกขา เป็นต้น แล้วแต่กรณีของการปฏิบัติ หรืออาจเรียกเป็นกลางๆว่า เจตนาเพื่อละกรรม ๓ อย่างแรก


สำหรับ ข้อ จ. ขอตั้งข้อสังเกตว่า คนจำนวนมากมีความเข้าใจผิดว่า ตัณหา คือความอยาก เป็นแรงจูงใจให้คนกระทำการต่างๆ ยิ่งมีตัณหามาก ก็จะยิ่งกระทำด้วยความกระตือรือร้นแข็งขันมาก ถ้าไม่มีตัณหา ก็ไม่มีแรงจูงใจให้กระทำ ก็จะหยุดนิ่งอยู่เฉย อาจกลายเป็นคนเกียจคร้าน


ความเข้าใจอย่างนี้ เป็นการมองธรรมชาติของมนุษย์ไม่ทั่วตลอด เมื่อนำมาใช้ในทางปฏิบัติ อาจทำให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรง ทั้งต่อชีวิตของบุคคล ต่อสังคม และต่อธรรมชาติแวดล้อม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความจริง ตัณหาเป็นทั้งแรงจูงใจให้กระทำ และแรงจูงใจให้ไม่กระทำ ตัณหาจะเป็นแรงจูงใจให้กระทำ ในกรณีที่จะแสวงหาสิ่งเสพปรนเปรอตน เอามาสนองความเห็นแก่ตัว การกระทำในกรณีนี้ มักเป็นไปในทางเบียดเบียนหรือขัดแย้งแย่งชิงกันระหว่างมนุษย์ หรือเป็นการได้มาเพื่อตน แต่เป็นผลเสียหายเดือดร้อนแก่สังคมหรือชีวิตอื่น


แต่ในกรณีที่ควรจะทำการบางอย่างเพื่อความดีงาม หรือเพื่อประโยชน์สุขของชีวิตและสังคม โดยไม่มีสิ่งเสพปรนเปรอตน ตัณหาจะเป็นแรงจูงใจให้ไม่กระทำ เพราะตัณหาทำให้ติดพันเป็นห่วงต่อการเสพสุข หรือความสำราญปรนเปรอที่มีอยู่ในเวลานั้น อย่างน้อยแม้แต่ความสุขในการนอน และความเพลิดเพลินในการปล่อยตัวอยู่เรื่อยๆ จึงเป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยว หรือขัดถ่วงให้ไม่สามารถก้าวออกไปทำการต่างๆ ที่ควรกระทำ ตัณหาในกรณีนี้จึงเป็นตัวเหตุของความเกียจคร้าน ยิ่งถ้ามีอวิชชาแรงมาก คือไม่รู้ไม่เข้าใจคุณค่าของการกระทำนั้นๆ ว่าจะก่อให้คุณประโยชน์ที่แท้จริงอย่างไร ตัณหาก็จะหนุนให้มีความเป็นอยู่อย่างนิ่งเฉยเฉื่อยชา


โดยนัยนี้ ตัณหาจึงเป็นแรงจูงใจชักพาให้กระทำในทางเบียดเบียน หรือไม่ก็ให้ไม่กระทำโดยซึมเซา อยู่ในความเกียจคร้านเฉื่อยชา สุดแต่ว่าการเสพหรือความติดในความเพลิดเพลินปรนเปรอจะได้รับการสนองด้วยวิธีใด


การกระทำที่เป็นการส่งเสริมคุณภาพชีวิต และประโยชน์สุขที่แท้จริง เป็นเรื่องต่างหากจากการได้เสพหรือติดในความเพลิดเพลินปรนเปรอ และในหลายกรณี ทำให้ต้องสละการเสพสำราญหรือการติดเพลินด้วยซ้ำ การกระทำเช่นนี้ จะไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยตัณหา (นอกจากในกรณีของการสร้างเงื่อนไข) แต่จะเกิดขึ้นได้ด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจมองเห็นคุณค่าหรือประโยชน์ที่แท้จริง ของการกระทำนั้น แล้วเกิดความพอใจที่จะกระทำขึ้น


ความพอใจหรือความอยากจะทำ ที่เกิดขึ้นตามวิถีทางนี้ เรียกว่า ฉันทะ (เรียกเต็มว่า กุศลฉันทะ หรือ ธรรมฉันทะ) ฉันทะนี้เป็นแรงจูงใจตัวแท้ตัวจริง ในการกระทำที่ส่งเสริมคุณภาพของชีวิตและประโยชน์สุขที่แท้จริง


แต่การกระทำด้วยฉันทะนั้น อาจถูกต่อต้าน หน่วงเหนี่ยว หรือขัดขวาง โดยตัณหาที่ติดเพลินในความเกียจคร้านเฉื่อยชา หรือห่วงสิ่งเสพปรนเปรอตนในรูปแบบต่างๆ ในกรณีเช่นนี้ ตัณหาก็จะทำให้เกิดความทุกข์ เพราะต้องทำการด้วยความบีบคั้นฝืนใจ


แต่ถ้ามีปัญญาที่รู้เข้าใจมองเห็นคุณค่านั้นแจ่มชัดมาก และฉันทะมีกำลังมากพอ จนพ้นจากแรงหน่วงเหนี่ยวขัดถ่วงของตัณหา ฉันทะนอกจากเป็นแรงจูงใจในการกระทำแล้ว ก็จะกลายเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขด้วย แต่เป็นความสุขอย่างใหม่ ที่ปลอดโปร่งกว้างขวาง ไม่คับแคบขุ่นมัวอย่างความสุขจากตัณหา ทำให้บุคคลกระทำงานแล้วสร้างสรรค์ด้วยจิตใจที่เป็นสุข หรือเป็นอิสระไร้ทุกข์


ในกรณีนี้ ก็จะเกิดสมาธิในการะทำ โดยมีความเพียร สติ และปัญญาออกมาทำหน้าที่คอยหนุนและนำการกระทำนั้นโดยตรงและเต็มที่ การกระทำอย่างนี้นี่แหละ เป็นกรรมในแนวทางที่เรียกว่า กรรมที่ทำให้สิ้นกรรม


กระบวนการแห่งกรรมที่ทำให้สิ้นกรรมนั้น มีสาระสำคัญที่อาจพูดให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ว่า

เมื่อทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามแนวปฏิบัติของมรรคมีองค์ ๘ หรือโพชฌงค์ ๗ (หรือธรรมในชื่ออื่นๆ แล้วแต่กรณี) ซึ่งมีปัญญาที่รู้เข้าใจคุณค่าและสภาวะที่แท้จริง เป็นเครื่องชี้นำ ตัณหา ก็จะถูกลบหายไป เพราะไม่มีช่องที่จะเข้ามาแสดงบทบาททำหน้าที่ โลภะ โทสะ โมหะ ก็ไม่ปรากฏขึ้น


เมื่อไม่มีตัณหา เมื่อปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ก็ไม่เกิดกรรมที่จะก่อผลต่อเนื่องผูกมัดชีวิตจิตใจ เมื่อไม่มีกรรมก่อผลผูกมัด ก็เป็นภาวะอิสระโปร่งใจไร้ทุกข์ ชีวิตที่เคยเป็นอยู่อย่างทาสรับใช้ ที่คอยทำการตามคำบงการของตัณหา ก็เปลี่ยนมาสู่ความมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ที่ทำให้เป็นนายของการกระทำอย่างเป็นไทแก่ตน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2018, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กกต.สั่งไม่รับจดแจ้งพรรคคอมมิวนิสต์ฯ เหตุขัดรัฐธรรมนูญเนื่องจากไม่เป็นประชาธิปไตย

https://pbs.twimg.com/media/DYpRNyHUMAM89yl.jpg:large

https://prachatai.com/journal/2018/03/75958

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 239 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 16  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร