วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 23:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 19:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทีนี้ พระพุทธรูปที่มีรูปต่างๆอย่างนี้ เช่น ปางห้ามญาติ ห้ามญาติที่ทะเลาะแย่งน้ำกัน แม่น้ำโรหิณี มันสายเดียว ฝั่งโน้นก็จะเอา ฝั่งนี้ก็จะเอา ทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าก็เลยมาบอกว่า คนกับน้ำอันไหนมีค่ามากกว่ากัน พวกนั้นก็ตอบว่า คนมีค่ามากกว่า เอ้า แล้วทำไมทะเลาะกันเรื่องน้ำ
ทีคนมีค่ามากกว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง พี่น้องกันทั้งนั้นนี่ แบ่งกันซิ วันนี้เอาขึ้นฝั่งขวา พรุ่งนี้เอาขึ้นฝั่งซ้าย
พวกนั้นเลยตกลงแบ่งน้ำ
นี่เขาทำพระ เรียกว่า “ปางห้ามสมุทร” คือยกมือสองมืออย่างนี้ ห้ามไม่ให้ทะเลาะกัน

เนรูห์ แกเอาไปไว้บนโต๊ะแกเลย พระพุทธรูปปางห้ามญาตินี่ ทำด้วยหินองค์ขนาดสูงสักศอกหนึ่ง วางไว้บนโต๊ะ ห้ามมุสลิม กับ ฮินดู อย่าตีกันเลย ลูกเอ๋ย เกิดมาบนแผ่นดินเดียวกันกับพระห้ามญาติ

ถ้ายกมือเดียวอย่างนี้ ปางห้ามมาร ห้ามกิเลสไม่ให้เกิดขึ้น

เราไปเห็นพระอะไรก็ตาม ก็ให้รู้ว่า อ้อ พระห้ามมาร ก็อย่าให้มารเกิดขึ้นในใจของเรา

เห็น พระห้ามญาติ เราก็ อย่าทะเลาะกันในหมู่มิตร คิดเห็นอะไรไม่ตรงกัน ก็ยับยั้งชั่งใจ ค่อยพูดค่อยจาทำความเข้าใจกันไป

เห็น พระก้าวหน้า (พระกำแพงเขย่ง) เราก็ต้องคิดก้าวหน้า อย่าอยู่นิ่ง อย่าอยู่เฉย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 เม.ย. 2018, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีพระองค์หนึ่ง เขาเรียกว่า ปิดทวารทั้งเก้า ปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดปาก ปิดทวาร พวกชอบนัก พระปิดทวาร ไม่มีทางเข้าแล้ว ปิดหมดแล้ว
ไม่ใช่อย่างนั้น ปิดทวารนี่ หมายความว่า ให้สำรวมให้ระวัง ระวังตา ระวังหู ระวังจมูก ระวังลิ้น ระวังกาย ระวังใจ ระวัง “จักขุนา สังวะโร สาธุ สาธุ โสเตนะ สังวะโร ฯลฯ - สำรวมตาเป็นการดี สำรวมหูเป็นการดี สำรวมจมูก สำรวมลิ้น สำรวมกาย สำรวมใจ เป็นการดี สำรวมแล้ว บาปไม่เกิด”

สำรวมตา เป็นต้น นั้นคือ เมื่อรูปมันเข้ามาทางตา อย่าให้เกิดบาป เสียงเข้ามาทางหู อย่าให้เกิดบาป กลิ่นเข้ามาทางจมูกอย่าให้เกิดบาป รสเข้ามาทางลิ้นอย่าให้เกิดบาป ได้กระทบอะไรทางกายประสาทก็อย่าให้เกิดบาป อย่างนี้ เรียกว่าปิดทวาร ปิดไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น นั่นแหละ จะไม่ถูกยิง

รูปยิงไม่เข้า กลิ่นยิงไม่เข้า สัมผัสยิงไม่เข้า เขาทำไว้เป็นเครื่องเตือนใจ

ปิดทวาร หมายความว่าปิดหู ปิดตา ฯลฯ อย่าไปยินดียินร้าย เวลาได้เห็นรูป ได้ยินเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส จุดหมายอย่างนั้น

แต่เอามาถือเป็นไสยศาสตร์ไปหมด เป็นของขลังไปหมด มันก็ผิดหลักไป

นี่เป็นตัวอย่าง ต้องดูว่าอะไรเป็นอะไร ต้องให้เข้าใจเรื่อง แล้วเราก็จะได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อแท้ๆ พระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อแท้คืออะไร ไว้โอกาสต่อไปค่อยคุยกันใหม่ (หัวข้อสรณาคมน์)


(จบตอน จากหนังสือ http://www.dhammajak.net/board/files/pa ... _1_785.jpg หน้า ๔๙)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2018, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มีพระไว้กับเนื้อกับตัว ไปไหนจะได้เกิดความอุ่นใจ ที่ว่าเรามีพระแล้วอุ่นใจ อุ่นใจในทางใด ? เราไปอย่างลูกศิษย์พระ เช่นว่า เราออกจากบ้านมีพระห้อยคอ สมมติว่าจะไปเที่ยวบาร์ มีพระห้อยคอ ทำให้นึกได้ อื้อนี่มันผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า เที่ยวกลางคืนมีโทษหลายอย่าง ได้ชื่อว่า ไม่รักษาตัว ชื่อว่า ไม่รักษาครอบครัว ชื่อว่า ไม่รักษาทรัพย์ ไม่รักษาเกียรติยศชื่อเสียง มักถูกใส่ความ มักถูกทำร้ายเสียหาย
เรามีพระห้อยคอ นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ไป นี่แหละพระคุ้มครองเรา รักษาเราไม่ให้เราต้องเที่ยวไนท์คลับ ไม่ไปเที่ยวเหลวไหล
เพื่อนเราชวนกินเหล้า เราเป็นคนมีพระ เราบอกกับเพื่อนว่า แหมเมื่อก่อน ก่อนบวชถ้าเพื่อนชวนละก็ต้องไปละ เดี๋ยวนี้ฉันไม่ไปแล้ว หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้ดื่มเหล้า กินเหล้าไม่ดีเสียหาย ไม่เป็นลูกศิษย์พระ แต่เป็นลูกศิษย์ผี ฉันเป็นคนมีพระอยู่ในใจ ฉันดื่มไม่ได้ บอกเพื่อนว่าไม่ไปแล้ว
อย่างนี้เรียกว่าพระรักษาเรา เพราะเรารักษาพระ คือมีพระอยู่ในใจ พระที่อยู่ในใจ ก็คือความละอายที่จะไปดื่มเหล้า ละอายที่จะไปเที่ยวกลางคืน ละอายที่จะไปเที่ยวซ่อง ละอายที่จะไปหาเรื่องทะเลาะกับใครต่อใครตามที่ต่างๆ เราละอาย.



ตัวละอายนั่นแหละคือตัวพระที่เราสร้างไว้ในใจของเรา แต่ว่าเราไม่มีอะไรเป็นเครื่องเตือน บางทีเราลืม เราก็มีไว้สักองค์หนึ่ง เป็นที่เตือนใจเราจะได้นึกถึงพระ หรือว่ามีใครมาด่าเรา เราเป็นคนมีพระ พระท่านว่าอย่างไร ท่านสอนให้อดทน อย่าไปด่าตอบกับคนที่มาด่าเรา เพราะคนที่มาด่าเราน่ะมันเลวแล้ว เราอย่าไปเพิ่มความเลวขึ้นในโลก ถ้าเราไปด่าเขา เพิ่มความเลวขึ้นในโลก เพิ่มคนเลวขึ้นอีกคนหนึ่ง เขาเป็นคนเลวอยู่แล้ว เราถือว่าเป็นบทเรียน แล้วบอกตัวเองว่า อย่าเป็นคนเช่นนั้น เราเป็นลูกศิษย์พระ เป็นคนมีพระ ไม่ควรจะไปทำอย่างนั้น เกิดยับยั้งชั่งใจ พอยับยั้งชั่งใจ ก็เรียกว่าอยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้า เพราะเราไม่เข้าไปก้มหัวให้เพื่อนฟัน
แทงไม่เข้า เพราะไม่ไปยืนแอ่นอกให้เพื่อนแทง ยิงก็ไม่เข้าเพราะเราไม่ไปหาเรื่องให้ใครยิง นี่แหละที่เขาเรียกว่าฟันไม่เข้า ยิงไม่เข้า

แต่ถ้าเราไปแอ่นพุงให้เขาแทงมันก็ต้องเข้านั่นแหละ เหล็กกับเนื้อนี่ เนื้อมันอ่อนกว่าเหล็กมันก็ต้องเข้าไปเท่านั้นแหละ
อย่าไปเชื่อว่ามีพระดีแทงไม่เข้า บางทีมันแทงเฉี่ยวจึงไม่เข้าแล้วไปพูดว่าพระดี ไม่ใช่ดอก
พระดีอยู่ตรงที่เราไม่ไปหาเรื่อง ให้เขาตีหัวให้เขาแทงให้เขายิง เราเป็นผู้ประพฤติธรรม อยู่ในความดีความงาม เรียกว่า เรามีพระ มีพระดีมันต้องอย่างนี้
แต่ว่าพวกที่ทำพระขายนี่ไม่ได้สอนธรรมะ สอนธรรมะแล้วมันขายไม่ออกขาดทุนนะซี่ พวกพุทธพาณิชย์ทั้งหลายโฆษณา โอ๊ยองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น องค์นี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ นิมนต์อาจารย์มาปลุกเสกอย่างนั้น ปลุกเสกอย่างนี้

ขอโทษเถอะ อาจารย์ทั้งหลายที่ว่าเก่งๆนะ ทำไมไม่มาเสกเมืองไทยให้มันดีขึ้นกว่านี้ เวลานี้ให้คนไทยรักกัน ประนีประนอมกัน อย่าแตกแยกเป็นขวา เป็นซ้าย (ท่านพูดถึงสังคมไทยครั้งอดีตเป็นขวา เป็นซ้าย ยุคเขาค้อ-ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเหลืองเป็นแดง เป็นหลากสี เป็นกอปอปอสอ) พวกเหล่านี้ หลวงพ่อทั้งหลาย มาช่วยกันเสกให้คนรักกัน สามัคคีกัน ร่วมแรงร่วมใจกัน เออ ค่อยดีหน่อย แต่นี่เปล่า ไม่ได้เรื่องอะไร


หนุ่มอวดอิทธิฤทธิ์หนังเหนียว! ท้าเพื่อนสาวเอามีดแทง โดนทีเดียวตายคาที่

รูปภาพ


https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_975034

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 เม.ย. 2018, 15:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะไม่รู้ว่า พระพุทธองค์ ทรงตรัสอนุญาต อุเทสิกเจดีย์ ไว้

เพราะพระพุทธรูป พระเครื่อง พระบูชา สิ่งที่ควรเคารพ

เป็นปัจจัยให้เกิดปัญญาได้ ด้วยอำนาจ อารัมมณปัจจัย




เพราะคุณกรัชกาย ไม่ได้เรียนปัจจัยในพระอภิธรรม

ไม่ได้ปฎิบัติ

และมักอาศัยเวปลิ้งเหล่านี้ มาบ่อนทำลายพระศาสนาโดยหาลิ้งที่โพสต์ทำลายพระศาสนา
ที่ไม่ถูกต้องตามคำสอนพระศาสดา เพื่อให้คนคล้อยตาม เห็นชอบตาม
โดยใช้วิธีโฆษณาซ้ำๆ โพสต์บ่อยๆๆ เพื่อให้คนหลงคล้อยตาม

ซึ่งข้อความเหล่านี้ ขัดแย้งกับคำสอนพระศาสดา สอบลงไม่ได้ กับพุทธพจน์ กับพระธรรม และอรรถา
คนเหล่านี้ เห็นผิด ๆๆ รู้ผิดๆๆๆ เข้าใจผิดๆๆๆ ไม่ตรงคำสอนพระศาสดาค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสริมบทความนี้เข้าด้วย เพราะข้างต้นมีพูดพราหมณ์/ฮินดู


เราเรียกศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวใหม่นี้ว่า ศาสนาฮินดู พราหมณ์ กับ ฮินดู จึงเรียกแทนกันได้ เป็นศาสนาเดียวกัน

แต่เรามักจะเรียกศาสนาพราหมณ์ ในความหมายว่าเป็นศาสนาเดิม ส่วนศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวใหม่แล้ว เรียกว่าศาสนาฮินดู

เพราะฉะนั้น ศาสนาฮินดูจึงเป็นคำเรียกศาสนาพราหมณ์หลังพุทธกาลแล้ว
ถ้าก่อนพุทธกาลไม่เรียกว่าฮินดู แต่ไม่ถือเป็นเด็ดขาดพูดในแง่หนึ่ง ก็บอกได้ว่า ศาสนาฮินดูเกิดหลังพระพุทธศาสนา คือเป็นศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวขึ้นมาใหม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2018, 20:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทั้งหมด

ฮินดูฟื้น พุทธศาสนาฟุบ


นับแต่พุทธกาลที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว พราหมณ์ก็เสื่อมอำนาจ เสียอิทธิพล เสียผลประโยชน์ จึงได้ปรับปรุงพัฒนาตนขึ้น
หลังพุทธกาล พวกพราหมณ์ได้เอาคำสอนในพระพุทธศาสนาเข้าไปใช้ในศาสนาฮินดู เช่น เอาหลักในธรรมบทไปบรรจุไว้ในภควัทคีตา และแม้ในมหากาพย์มหาภารตะ เช่น ธรรมบทคาถาที่ ๒๒๓ (อกฺโกเธน ชิเน โกธํ ฯลฯ - พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ฯลฯ) ก็ไปอยู่ในโยคบรรพ ในมหาภาระตะ (แต่เปลี่ยนจากบาลีเป็นสันสกฤต)

ภควัทคีตา เป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาฮินดู ที่เขาถือว่าเป็นสุดยอด เกิดขึ้นภายหลังพุทธกาล ๖๐๐-๗๐๐ ปี และจัดรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งก็เรียบเรียงขึ้นหลังพุทธกาล เช่นกัน (จัดรวมเข้าในบรรพ ๖ คือ ตอนหรือบทที่ ๖)


ถ้าไปตรวจดูจะเห็นว่า มีพุทธพจน์ในพระธรรมบทเข้าไปเป็นต้นความคิดรวมอยู่ในนั้น (เช่น ธรรมบทคาถาที่ ๑๖๐, ๑๖๕,๓๗๙ เป็นที่มาของบางโศลกในภควัทคีตา...)

แสดงว่าเขามาเอาไป คือหลักธรรมอะไรต่างๆที่ดี ก็เลือกเอาไป แต่รักษาหลักการของตนไว้ คือ เรื่องความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้า เรื่องวรรณะ เรื่องอาตมัน เรื่องการบูชายัญ เป็นต้น

ฯลฯ ขอย้อนกลับไปเล่าเรื่องว่า เมื่อพุทธศาสนาเจริญขึ้นมา พราหมณ์ก็เสื่อมอำนาจ จนกระทั่งหลังพุทธกาลพระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก ยิ่งได้พระเจ้าอโศก (พ.ศ.๒๑๘-๒๖๐) อุปถัมภ์ด้วย พระพุทธศาสนาก็แพร่หลายไปทั่ว

แต่พระเจ้าอโศกเป็นชาวพุทธ ไม่เบียดเบียนศาสนาอื่นๆ ไม่ว่าศาสนาไหนก็ให้ความคุ้มครองทั่วหมด พวกพราหมณ์ก็มาเป็นอำมาตย์อยู่ในราชสำนักด้วย

แม้ว่าพระเจ้าอโศกจะทรงอุปถัมภ์ทุกศาสนา แต่ข้อสำคัญ พระเจ้าอโศกประกาศห้ามการฆ่าสัตว์บูชายัญ และเน้นนักย้ำบ่อยในเรื่องนี้ ดังปรากฏชัดในศิลาจารึกราชโองการ อีกทั้งไม่ให้อภิสิทธิ์แก่พราหมณ์ จึงเป็นการบีบคั้นใจของพราหมณ์เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อพระเจ้าอโศกสวรรคตล่วงไปถึงหลานถึงเหลน พวกพราหมณ์ที่รับราชการอยู่ในวังก็ได้คิดการใหญ่ ได้จับหลานหรือเหลนของพระเจ้าอโศกปลงพระชนม์ แล้วก็ตั้งราชวงศ์ใหม่ เรียกว่าราชวงศ์ศุงคะ ขึ้นครองอำนาจ (นับแบบฝรั่งราว พ.ศ.๓๐๐ นับอย่างเราราว พ.ศ.๓๖๐)

ราชวงศ์ศุงคะของพราหมณ์นี้ ได้ล้างผลาญชาวพุทธ ถึงกับมีคำเล่าในประวัติศาสตร์ว่า ให้กำหนดค่าหัวชาวพุทธ เอากันขนาดนั้นเลย คือ กำจัดชาวพุทธเป็นการใหญ่

แต่ชาวพุทธรอดมาได้ เพราะหลังสมัยพระเจ้าอโศกมาถึงรุ่นหลานเหลนแล้วนี้ ราชวงศ์ศุงคะไม่สามารถจะรักษาอาณาจักรทั้งหมดไว้ได้

อาณาจักรของพระเจ้าอโศกนั้น ยิ่งใหญ่ไพศาล มีอาณาเขตมากว่ายุคปัจจุบันอีก พอสิ้นสมัยพระเจ้าอโศกไปไม่นาน อาณาจักรของพระองค์ก็ค่อยๆแตกสลาย พวกราชวงศ์ศุงคะก็ไม่สามารถจะมีอำนาจไปทั่วดินแดนเก่าของพระเจ้าอโศก อาณาจักรอื่นๆก็ยังรักษาพระพุทธศาสนาไว้อยู่

ตัวอย่างเช่นดินแดนแคว้นโยนก (Bactria) ของกษัตริย์เชื้อสายกรีก ซึ่งสืบมาถึงพระเจ้าเมนานเดอร์ ที่ภาษาบาลีเรียกว่า พระเจ้ามิลินทะ ก็ยังเป็นชาวพุทธอยู่ ต่อมาพวกสืบสายของกรีกนี่แหละที่ได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นมาเป็นพวกแรก

ขอกลับไปพูดเรื่องเก่า เมื่อพราหมณ์มีอำนาจขึ้นมา ก็ใช้อิทธิพลการเมืองด้วย พร้อมกับที่อีกด้านหนึ่งก็เอาคำสอนในพระพุทธศาสนาไปใช้แล้วปรับตัวขึ้นมาใหม่

เราเรียกศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวใหม่นี้ว่าศาสนาฮินดู พราหมณ์ กับ ฮินดู จึงเรียกแทนกันได้ เป็นศาสนาเดียวกัน

แต่เรามักจะเรียกศาสนาพราหมณ์ ในความหมายว่าเป็นศาสนาเดิม ส่วนศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวใหม่แล้ว เรียกว่าศาสนาฮินดู

เพราะฉะนั้น ศาสนาฮินดูจึงเป็นคำเรียกศาสนาพราหมณ์หลังพุทธกาลแล้ว ถ้าก่อนพุทธกาลไม่เรียกว่าฮินดู แต่ไม่ถือเป็นเด็ดขาดพูดในแง่หนึ่ง ก็บอกได้ว่า ศาสนาฮินดูเกิดหลังพระพุทธศาสนา คือเป็นศาสนาพราหมณ์ที่ปรับตัวขึ้นมาใหม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2023, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2007, 13:49
โพสต์: 1024


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำความดีทุกๆ วัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2025, 17:30 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2902


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2025, 09:55 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2542

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร