วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร
:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร
:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:



คุณโรสและบ้านธัมมะเอ๋ย คนไม่มีข้าวกิน ก็มาขอกินที่วัดยังได้เลย มองอะไรมองให้กว้างๆ อย่ามองแค่หัวแม่ตีน คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 08:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร

:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:


ไม่คิดจะเปลี่ยนความคิดคุณโรสหรอก..เพียงป้องกันคนที่จะเห็นผิดตาม..โดยยกตัวอย่างวัดหลวงตามาให้เห็น

Rosarin เขียน:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร


Rosarin เขียน:
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท


อยากถามนิด..คำข้างบนที่ผมทำสี..ทำตัวโตโต..นั้นนะ...คุณโรสคิดเอง..หรือว่าฟังป้าสุจินต์สอนมา...??
จะได้เป็นธรรมกับป้าแก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร
:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:



คุณโรสวัดกับชุมชน ดูเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง ถึงบอกว่าดูกว้างๆ

อ้างคำพูด:
สุวโจ ผู้ว่าง่ายสอนง่าย

ในบรรดาพระมหาเถระ ๘๐ รูป ที่ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศในด้านต่างๆ (เอตทัคคะ) มีพระราธะเป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับยกย่องว่า เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย

นามเดิมท่านชื่อ ราธะ มาบวชเมื่ออายุแก่มากแล้ว ช่วงปลายของชีวิตที่ลูกหลานไม่เลี้ยงท่าน แม้ท่านจะแบ่งทรัพย์สินให้ลูกๆ แต่ท่านกลับโดนทอดทิ้งจนต้องไปอาศัยกวาดลานวัดแลกกับอาหารที่พระภิกษุอนุเคราะห์ให้แก่ท่าน ท่านก็ช่วยปัดกวาดดูแลวัดวาอาราม หลายครั้งที่ท่านอยากจะขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่พระสงฆ์ก็ยังมิได้บวชให้ท่าน

วันหนึ่งราธะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะพระองค์เสด็จไปโปรดราธะเป็นการเฉพาะ จึงได้ถือโอกาสนี้ขอบวช
พระพุทธเจ้าจึงเรียกประชุมพระสงฆ์ แล้วตรัสถามว่า ใครระลึกถึงคุณของราธะ ใครจะช่วยปลดเปลื้องทุกข์ให้แก่ราธะได้
พระสารีบุตรจึงกราบทูลว่า ราธะเคยถวายข้าวทัพพีหนึ่งแก่ท่าน ท่านจะเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ราธะและจะอบรมสั่งสอนราธะเอง

ด้วยเหตุนี้ พระสารีบุตรจึงได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณ จดจำแม้ข้าวทัพพีเดียวที่เคยได้รับจากราธะ
https://www.gotoknow.org/posts/138328


พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตย แม้พระองค์จะเป็นใหญ่ แต่จะทำอะไรบัญญัติอะไรก็เรียกประชุม ไม่ทำโดยพลการหักหาญน้ำใจ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณโรสดูนี่วัดกับบ้าน แต่บ้านธัมมะมีแผนคิดแยกวัดออกจากชาวบ้าน

พ่อสามีเขาเสียชีวิตเล่าขั้นตอนสู่กันฟัง ตัดมา

อ้างคำพูด:
วันที่ 4 วันเผา เราไปวัดกันแต่เช้า เนื่องจากแฟนบวชหน้าไฟ คุณน้าเป็นคนเตรียมอาหารมาถวายเลี้ยงพระ 10 รูป คุณแม่ก็เตรียมล้างจานที่ยืมมาจากวัด เราก็ไปซื้อดอกไม้ 10 กำสำหรับถวายพระ ไปแลกเงินใส่ซองที่ธนาคาร หลังจากถวายเพลเสร็จ เจ้าหน้าวัดก็มาถามว่าจะมีประธานวางผ้ากี่คน พร้อมขอรายชื่อ

ถึงเวลา15.30 ก่อนเวลาเผา เจ้าหน้าที่เอารถเข็นศพมาที่ศาลา ขนโลงขึ้นรถ มีพระนำสวด1รูปตามด้วยเณร กระถางธูป และรูป เดินรอบเมรุ 3 รอบเเล้วเจ้าหน้าเอาโลงขึ้นบนเมรุ

เจ้าหน้าที่วัดจัดสถานที่ เอาดอกไม้ที่เเต่งที่ศาลามาวางที่เมรุ เตรียมดอกไม้จันทน์ ของชำร่วย เมื่อเรียบร้อยก็เชิญเเขกขึ้นวางผ้าไตรทอดหน้าศพพร้อมพระสงฆ์ 1 รูป/แขก 1 ท่าน สวดตอนวางผ้า แล้วให้ประธานวางดอกไม้จันทน์ เมื่อประธานวางผ้าครบ จึงขึ้นวางดอกไม้จันทน์ ระหว่างนั้นก็มีพระ 4 รูปสวด หลังจากวางดอกไม้จันทน์ครบทุกคน เจ้าหน้าแจ้งว่าจะเปิดโลงพร้อมเผาจริง ให้ญาติขึ้นไปดูหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย เสร็จเเล้วก็ทำการเผาจริง

เสร็จเเล้วเราก็มาเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับเจ้าหน้าที่วัด เจ้าหน้าที่เเจ้งเวลามาเก็บอัฐิในวันพรุ่งนี้

เช้าวันที่ 5 ของที่ต้องซื้อเพิ่มวันเก็บอัฐิมีดอกมะลิ กุหลาบ เหรียญ 10 จำนวน 9 เหรียญ ดอกไม้ 1 กำ อาหารถวายพระ 1 ชุด ซองสำหรับให้พระสวด

ไปถึงวัดก็ไปขึ้นไปที่บนเมรุ แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะเอาไปลอยอังคารและเก็บบางส่วนใส่โกศ แฟนขอ1ชิ้นเพื่อทำจี้ห้อยคอ เจ้าหน้าที่เค้าวางกระดูกชิ้นใหญ่ 9 ส่วนในถาด จะมีกระดูกส่วนกระโหลก เเขน ขา ส่วนลำตัว เเล้วส่วนที่เหลือใส่ถังไว้ เจ้าหน้าที่เอาเหรียญวางบนกระดูกส่วนละ 1 เหรียญ ให้เราจุดธูปบอกว่ามารับอัฐิและจะนำอัฐิไปลอยอังคารที่วัดไหนแล้วให้เราโปรยน้ำอบ ดอกไม้ ที่อัฐิ เสร็จเเล้วพระสงฆ์ 1 รูปสวด หลังจากนั้นถวายอาการที่เตรียมมากับพระ เจ้าหน้าที่เอาเหรียญ 9 เหรียญที่วางบนอัฐิใส่ในโกศและเอากระดูกทั้ง 9 ส่วนโดยหักเป็นชิ้นเล็กๆใส่ในโกศ เลือกชิ้นกระโหลกเล็กๆให้แฟนสำหรับทำจี้ เสร็จเเล้วเจ้าหน้าจะเอาเถ้าพร้อมอัฐิที่เหลือทั้งหมดใส่ในลุ้ง ห่อด้วยผ้าขาว เพื่อนำไปลอยอังคารเจ้าหน้าที่เเจ้งว่าก่อนออกจากวัดให้ถือรูปโดยหันหน้ารูปเข้าตัวแล้วกอดไว้ พอพ้นประตูวัดค่อยหันรูปออก ก่อนเอาอัฐิขึ้นรถก็ให้บอกพ่อด้วยว่าจะไปไหน

เราไปลอยอังคารในวันนั้นเลย เราไปลอยอังคารที่วัดกู้ ที่ปากเกร็ด ไปถึงวัดก็นิมนต์พระ 1 รูปไปนำสวดก่อนที่จะลอยอังคาร


หากคุณโรสเสียชีวิต สมภารวัดที่ขอนแก่น จำไว้อย่าสวดอย่าเผาคุณโรสนะขอรับ เพราะอะไร ? เพราะคุณโรสเป็นศิษย์บ้านธัมมะ คิกๆๆ :b35: บวชหน้าไฟก็ไม่ได้ผิด

คงต้องทำแบบทิเบต บรรทุกมอไซไปป่าช้าแล้วสับๆให้แร้งกิน :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 20:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่าง...วัดเกื้อกูลบ้าน..ด้วยการสอนอะไรควรอะไรไม่ควรกับชาวบ้าน

อ้างคำพูด:
ถาม : เวลาเราจัดงานศพให้ผู้ตาย ผู้ตายได้บุญตอนไหน ตอนที่เราอุทิศ ?
ตอบ : ถ้าบุคคลนั้นสามารถรับอนุโมทนาได้ คือ รับส่วนกุศลแล้วอนุโมทนาได้ ก็จะได้ตอนที่เราประกาศอุทิศส่วนกุศล ดังนั้น..ตอนที่เราอุทิศส่วนกุศล เมื่อพระยถาสัพพี เราควรจะออกชื่อ-นามสกุล ว่ากุศลที่สร้างในครั้งนี้ขอให้แก่ใคร ขอให้เขามาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย

ถาม : แล้วที่พระสวด สวดให้ใคร ?

ตอบ : สวดให้คนเป็นฟัง คือให้รู้ว่าสิ่งที่ทำ อะไรดีอะไรชั่วแล้วให้เลือกทำ แต่สมัยนี้เขาฟังบาลีกันไม่ออก มีหลายวัดที่พยายามปรับปรุงด้วยการสวดมนต์แปล ในเมื่อสวดมนต์แปล เราฟังออก จะได้เก็บเอาหลักธรรมนั้นไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่เท่าที่อาตมาเจอก็มักจะพนมมือเฉย ๆ บางคนก็หันไปคุยกันอีกต่างหาก ก็เลยกลายเป็นไม่ได้ประโยชน์อะไร

ความจริงถ้าเราตั้งใจน้อมจิตฟังด้วยความเคารพ จะเป็นกุศลใหญ่อีกส่วนหนึ่งที่อุทิศให้แก่ผู้ตายได้ เพราะเท่ากับว่าเรากำลังปฏิบัติในธัมมานุสติ ถ้าเราระลึกว่าสิ่งที่พระสวดอยู่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ทั้งพุทธานุสติ ธัมมานุสติ เห็นผู้สวดที่เป็นพระสงฆ์อยู่ก็ได้สังฆานุสติด้วย กลายเป็นเราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ซึ่งได้บุญมากที่จะอุทิศให้แก่ผู้ตายได้

แต่ปัจจุบันเป็นแค่รูปแบบพิธีกรรม การกระทำมักจะผิดไปจากเจตนาดั้งเดิมของบรรพบุรุษของเรา

แม้กระทั่งทุกวันนี้เวลาที่วัดมีงานศพ อาตมาต้องประกาศก่อนเคลื่อนศพเสมอว่า ญาติโยมทั้งหลายมาส่งศพ ให้เดินตามโลงศพ ไม่ใช่ทะลึ่งไปจูงสายสิญจน์..! การจูงสายสิญจน์เป็นหน้าที่ของพระ คนที่จะเดินข้างหน้า ก็คือ บุคคลที่ถือกระถางธูปกับรูปผู้ตายเท่านั้น แล้วโยมเห็นไหม ? บางที่เขาแย่งกันจูงสายสิญจน์จนพระไม่มีที่จะจูง การจูงศพขึ้นเมรุเป็นหน้าที่พระเณร ส่วนญาติโยมตามไปส่งเท่านั้น

แต่ที่อื่นเขาไม่ค่อยกล้าว่า ไม่ค่อยกล้าบอกเพราะกลัวโยม อาตมาเองไม่ค่อยจะเกรงใจโยมหรอก ต่อให้ใหญ่มาแค่ไหน ผิดท่าผิดทางอาตมาด่ากระจาย เพราะถ้าเราไม่บอกในสิ่งที่ถูกต้อง เขาก็จะผิดต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งภายหลังจะกลายเป็นถูกไปเอง เพราะเขาทำต่อ ๆ กันมา รุ่นแล้วรุ่นเล่า

ปัจจุบันนี้มีธรรมเนียมหนึ่งที่ผิดจนกลายเป็นถูกไปแล้ว ก็คือ แต่งชุดดำไปงานศพ สมัยโบราณถ้าคนตายอาวุโสกว่า มากด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ เราจะต้องแต่งชุดขาวไป ถ้าคนตายเด็กกว่า เราจึงแต่งชุดดำไป

ปัจจุบันนี้ ขนาดงานสมเด็จย่าเขายังแต่งชุดดำไป แสดงว่าใหญ่กว่าสมเด็จย่าทั้งนั้น..! แต่บางคนที่อายุน้อยกว่าแล้วมากด้วยคุณความดี หรือท่านที่สูงด้วยยศศักดิ์อย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เราแต่งชุดขาวให้ได้ แม้ว่าเราจะอายุมากกว่า



พวกประเภทเป็นชาวบ้านแต่อยากเป็นชาวพระ..สร้างสัญญาแย่ๆให้กับคนที่ฟัง..เห็นพระก็ว่าพระ..เห็นเจ้าคุณก็ตำนิเรื่องยศ..เห็นวัดก็ว่ารับเงิน..พวกนี้มีลักษณะของคนพาล...คบหาสมาคมด้วย..ก็มีแต่เจ้งไม่มีเจ๋า..ลงดิ่งตรงไม่ต้องผ่านสำนักพญายม.. :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่าง...วัดเกื้อกูลบ้าน..ด้วยการสอนธรรมะแบบบ้านๆ..ให้กับชาวบ้าน

อ้างคำพูด:

วันนี้ก็ขอพูดต้นถึงปลายอีกนั่นแหละ คือว่าการปฏิบัติพระกรรมฐานก็มีด้วยกันหลายแบบหลายฉบับ ฉบับใหญ่จริง ๆ จะเป็นสุกขวิปัสสโกก็ดี เตวิชโชก็ดี ฉฬภิญโญก็ดี ปฏิสัมภิทัปปัตโตก็ดี ผลของการปฏิบัติจริง ๆ พระพุทธเจ้าต้องการอย่างเดียวคือให้จิตเป็นสุข และจิตที่จะเป็นสุขได้ก็ต้องเป็นจิตที่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ถ้าจิตของท่านผู้ใดยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ว่าสิ่งใดที่มันเป็นธรรมดาที่เราแก้ไขไม่ได้ คือสิ่งประจำโลก ถ้าสิ่งนั้นมันเข้ามาถึงเรา ใจเราสงบอยู่ได้ ใจมันก็เป็นสุขนะ สิ่งที่แก้ไม่ได้ก็คือเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ชราปิทุกขา ความแก่มันเป็นทุกข์ แต่ความจริงไอ้แก่นี่มันไม่ทุกข์ แต่ใจทุกข์ ใช่ไหม ไอ้ตัวแก่คือขันธ์ ๕ นี่มันไม่ทุกข์หรอก แต่ใจมันเสือกไปยุ่ง ใช่ไหม ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปิทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์

พูดกันอย่างย่อ ๆ เป็นไทย ๆ ว่า เกิดแล้วเมื่อแก่เข้ามาถึงมันก็เกิดมีความไม่สบายกายไม่สบายใจ เพราะว่าไม่มีการคล่องตัวในความเป็นอยู่ ถ้าอารมณ์เรามีความวุ่นวายมันก็เป็นทุกข์ ความป่วยไข้ไม่สบายอย่างหนึ่งที่เราหลีกไม่ได้ เราหลีกความแก่ไม่พ้น แล้วเราก็หลีกความป่วยไม่พ้นด้วย คนทุกคนเกิดมาต้องมีอาการป่วย คำว่าโรคนี่ก็หมายถึงอาการเสียดแทง อาการใดที่เสียดแทงร่างกายและใจก็ดี ที่ปรากฏขึ้นเขาเรียกกันว่าโรค มันก็ทำให้เราไม่สบายกายไม่สบายใจ ทีนี้มาอีกประการหนึ่ง อารมณ์ความปรารถนาที่ไม่สมหวังตั้งใจเกินไปมันก็เป็นทุกข์ และไอ้ความตายมันเข้ามาถึงเรา เราไม่อยากตายแต่เราก็หนีความตายไม่ได้ เราไปยึดถือเกินไปว่าเราไม่อยากตาย มันก็เป็นทุกข์ ทีนี้ของรักของชอบใจพลัดพรากจากกัน อันนี้มันก็เป็นของธรรมดา ใครจะห้ามปรามไม่ได้ ถ้าเราไปยึดถือว่าสิ่งนี้ไม่ควรจะจากเรา สิ่งนั้นไม่ควรจะจากเรา เราก็เป็นทุกข์

รวมความว่าความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ กับใจของเรานั้น คือไม่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา สิ่งใดที่เป็นธรรมดา เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้นี่ ถ้าเราจะจำมันไว้เสียบ้างก็ดี นี่พระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเรามาปฏิบัติธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งหมดในพระไตรปิฎกไม่มีอะไร คือไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องของขันธ์ ๕ และยอมรับนับถือกฎธรรมดาของขันธ์ ๕ ที่ทรงเทศน์มาถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มีเรื่องขันธ์ ๕ เรื่องเดียว ขันธ์ ๕ ก็คือร่างกาย กายเรากายคนอื่นเราไปติดอยู่ในกาย ติดอยู่ในรูป ฉะนั้นหากว่าเราไม่หลงกาย เราไม่หลงรูป เราก็หมดทุกข์ และไอ้การที่เข้าถึงความไม่หลงนี่มันยาก ไอ้ปากนี่มันไม่หลง แต่ใจมันหลง ปากฉันไม่หลง ๆ ไอ้ฉันน่ะไม่หลงแต่ใจมันหลง ห้ามใจไม่ได้


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร

:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:


ไม่คิดจะเปลี่ยนความคิดคุณโรสหรอก..เพียงป้องกันคนที่จะเห็นผิดตาม..โดยยกตัวอย่างวัดหลวงตามาให้เห็น

Rosarin เขียน:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร


Rosarin เขียน:
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท


อยากถามนิด..คำข้างบนที่ผมทำสี..ทำตัวโตโต..นั้นนะ...คุณโรสคิดเอง..หรือว่าฟังป้าสุจินต์สอนมา...??
จะได้เป็นธรรมกับป้าแก

Kiss
ก็คิดให้มันตรงสิคะตามเหตุตามปัจจัย
ผัวเมียบรรลุอรหันต์ครั้งพุทธกาล
แยกทางไม่ไปร่วมกันถูกไหมคะ
แล้วสมัยนี้สละญาติพี่น้องแล้ว
แต่มาเอาญาติธรรมเข้าวัด
มากๆกิเลสไหมหาคน
ไปไว้คอยถวาย
ชงกาแฟให้รึ
บิณฑบาต
เต็มบาตร
วันละ1บาตร
ไม่พอใจหรือคะ
ขนคนเข้าไปเพื่อหาเงินไงคะตรงไหม555
ไม่มีหิริโอตัปปะยังมิรู้ตัวกันอยู่ดอกหรือเจ้าคะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ส.ค. 2018, 21:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร
:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:



คุณโรสและบ้านธัมมะเอ๋ย คนไม่มีข้าวกิน ก็มาขอกินที่วัดยังได้เลย มองอะไรมองให้กว้างๆ อย่ามองแค่หัวแม่ตีน คิกๆๆ

แขนขาไม่พิการก็ทำมาหากินสิคะ
เป็นพระรับเงินตถาคตแสดงไว้ว่า
เป็นมหาโจรเศรษฐีหัวโล้นปล้นศาสนา
คือคำสอนของตถาคตเพื่อรับเงินทองลาภยศวัตถุ
มีทำให้เห็นทั่วประเทศไทยเลยทำลายคำสอนกันทำไมค๊ะะะะะ
บอกความจริงตามคำสอนให้ไตร่ตรองก็พิจารณาให้เถรตรงเคยได้ยินไหมค๊ะะะะ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2018, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร
:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:



คุณโรสและบ้านธัมมะเอ๋ย คนไม่มีข้าวกิน ก็มาขอกินที่วัดยังได้เลย มองอะไรมองให้กว้างๆ อย่ามองแค่หัวแม่ตีน คิกๆๆ

แขนขาไม่พิการก็ทำมาหากินสิคะ
เป็นพระรับเงินตถาคตแสดงไว้ว่า
เป็นมหาโจรเศรษฐีหัวโล้นปล้นศาสนา
คือคำสอนของตถาคตเพื่อรับเงินทองลาภยศวัตถุ
มีทำให้เห็นทั่วประเทศไทยเลยทำลายคำสอนกันทำไมค๊ะะะะะ
บอกความจริงตามคำสอนให้ไตร่ตรองก็พิจารณาให้เถรตรงเคยได้ยินไหมค๊ะะะะ


ไหนเอาตรงที่ตถาคตว่ามาดูหน่อยสิ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 04:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร
:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:



คุณโรสและบ้านธัมมะเอ๋ย คนไม่มีข้าวกิน ก็มาขอกินที่วัดยังได้เลย มองอะไรมองให้กว้างๆ อย่ามองแค่หัวแม่ตีน คิกๆๆ

แขนขาไม่พิการก็ทำมาหากินสิคะ
เป็นพระรับเงินตถาคตแสดงไว้ว่า
เป็นมหาโจรเศรษฐีหัวโล้นปล้นศาสนา
คือคำสอนของตถาคตเพื่อรับเงินทองลาภยศวัตถุ
มีทำให้เห็นทั่วประเทศไทยเลยทำลายคำสอนกันทำไมค๊ะะะะะ
บอกความจริงตามคำสอนให้ไตร่ตรองก็พิจารณาให้เถรตรงเคยได้ยินไหมค๊ะะะะ


ไหนเอาตรงที่ตถาคตว่ามาดูหน่อยสิ :b1:

rolleyes
:b13:
จักขุวิญญาณแปลว่าจิตเห็น
กำลังเห็นใช่ไหมคะเห็นแล้วคิด
แต่ไม่รู้ความจริงของเห็นตรงไหมคะ
กำลังมีจิตใช่ไหมมองแล้วจำตัวอักษรคือ
จิตคิดนึกหลังเห็นดับกิเลสเกิดแล้วก็ไม่รู้เลยว่ามีกิเลส
จำแต่บัญัญัติคำที่เป็นปัญญาตถาคตไม่ฟังสะสมปัญญาตัวเองเลยไงคะ
ไม่ได้มีแค่เห็นและไม่รู้ถึงชวนะ7ชั่วแล้วที่มีกิเลสแปลว่าไม่รู้และไม่รู้ด้วยว่าไม่รู้3เด้งคริคริคริ
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ไหนเอาตรงที่ตถาคตว่ามาดูหน่อยสิ


อ้างคำพูด:
จักขุวิญญาณแปลว่าจิตเห็น
กำลังเห็นใช่ไหมคะเห็นแล้วคิด
แต่ไม่รู้ความจริงของเห็นตรงไหมคะ
กำลังมีจิตใช่ไหมมองแล้วจำตัวอักษรคือ
จิตคิดนึกหลังเห็นดับกิเลสเกิดแล้วก็ไม่รู้เลยว่ามีกิเลส
จำแต่บัญัญัติคำที่เป็นปัญญาตถาคตไม่ฟังสะสมปัญญาตัวเองเลยไงคะ
ไม่ได้มีแค่เห็นและไม่รู้ถึงชวนะ7ชั่วแล้วที่มีกิเลสแปลว่าไม่รู้และไม่รู้ด้วยว่าไม่รู้3เด้งคริคริคริ


คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะ เหมือนไม้หลักปักขี้เลน แกว่งไปนั่นมานี่ ไม่มีหลัก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 20:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระวิเทศปุญญาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดวัดพุทธาราม ประเทศสวีเดน เปิดเผยว่า ดร.ปภัสรา เตชะไพบูลย์ ดารานักแสดง ได้เดินมาที่วัดเพื่อถวายผ้าไตรพร้อมทั้งเทียนพรรษา ถวายภัตตาหารเพลและสนทนาธรรม พร้อมกันนี้ได้ปวารณาเป็นเจ้าภาพอุปถัมภ์สร้างอุโบสถแห่งแรกที่ประเทศสวีเดนเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุโรปและประเทศสวีเดน

https://www.banmuang.co.th/news/educati ... 94.twitter

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ส.ค. 2018, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:

อ้างคำพูด:
กรัชกาย
ไหนเอาตรงที่ตถาคตว่ามาดูหน่อยสิ


อ้างคำพูด:
จักขุวิญญาณแปลว่าจิตเห็น
กำลังเห็นใช่ไหมคะเห็นแล้วคิด
แต่ไม่รู้ความจริงของเห็นตรงไหมคะ
กำลังมีจิตใช่ไหมมองแล้วจำตัวอักษรคือ
จิตคิดนึกหลังเห็นดับกิเลสเกิดแล้วก็ไม่รู้เลยว่ามีกิเลส
จำแต่บัญัญัติคำที่เป็นปัญญาตถาคตไม่ฟังสะสมปัญญาตัวเองเลยไงคะ
ไม่ได้มีแค่เห็นและไม่รู้ถึงชวนะ7ชั่วแล้วที่มีกิเลสแปลว่าไม่รู้และไม่รู้ด้วยว่าไม่รู้3เด้งคริคริคริ


คุณโรสศิษย์บ้านธัมมะ เหมือนไม้หลักปักขี้เลน แกว่งไปนั่นมานี่ ไม่มีหลัก

cool
ทุกครั้งที่กล่าวตรงสิกขาบทจริงๆ
ความจริงแยกกันชัดเจนนะคะ
พระพุทธเจ้าไม่มี2มาตรฐาน
บรรพชิตครองวัดอยู่จำวัด
คฤหัสถ์ครองบ้านเรือน
หลับนอนที่บ้านนะคะ
พระพุทธเจ้าแยก
ชัดเจนไม่รู้หรือ
สละเรือนมา
เพื่อขออนุญาตทำตามสิกขาบทถึงมีสิทธิ์โดยชอบธรรม
ในการจำวัดตามที่ชาวบ้านศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้าน๊า
ทำตัวสนิทสนมญาติธรรมเพื่อเอ่ยปากขอได้สะดวกอย่างนั้นดอกหรือ
บรรพชิตไม่มีกิจที่เกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์เลยครั้งพุทธกาลแต่สมัยนี้.ทำผิด
ไม่รู้ว่าทำผิดภิกษุบุคคลดึงคนเข้าไปอยู่วัดหวังอะไรถึงชวนคะบอกชาวบ้านไหม
ว่าอาตมาไม่สะดวกให้โยมมาพักค้างคืนเพราะตามคำสอนของพระพุทธเจ้าโยมต้องนอนที่บ้าน
สอนให้ชาวบ้านเข้าใจหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวไหมคะหรืออยากให้คนขนวัตถุเข้ามาตุนในวัดเยอะๆ
ไม่รู้หรือคะว่าภิกษุในธรรมวินัยทำอาหารปรุงชงเองไม่ได้น่ะกิเลสไหมเกินเที่ยงต้องสละหมดใช่ไหม555
แล้วที่สะสมเงินในบัญชีโจ่งแจ้งโดยระบุชื่อตายแล้วต้องตกนรกทราบดีกันแล้วใช่ไหมทำมิจฉาอาชีโวน่า
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 06:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข..เกิดประโยชน์ทั้งโลกนี้..และโลกหน้า..จนกระทั้งนำพาพ้นจากโลกทั้งสอง..

มีตัวอย่าง...บ้านเกื้อกูลวัด...วัดอบรมบ้าน..เป็นสังคมแห่งอุดมคติ..อุดมสุข.
viewtopic.php?f=1&t=56299&p=423942#p423942
อ้างคำพูด:
พระหลวงตาให้อุบาย

เช้าวันหนึ่งพระหลวงตาไปรับบิณฑบาตในหมู่บ้าน ท่านได้ถาม “ภาวนา เป็นยังไง”

คุณแม่จันดีกราบเรียนว่า...“ฝันแปลกมาก ฝันว่าพระหลวงปู่มั่น ชวนให้ไปกับท่าน แต่ในฝันเป็นห่วงลูกคนเล็ก จึงขอไปดูลูกก่อน จะตามไปทีหลัง”

พระหลวงตาให้อุบาย “เอ้า ให้มึงคิดตัดสินใจเอา ถ้าห่วงลูก ก็ตามพระหลวงปู่มั่นไปไม่ได้”

คำพูดของพระหลวงตา ทำให้ต้องตั้งถามตัวเองว่า...“พระหลวงปู่มั่นมาโปรดแท้ๆ คนแปลความฝันก็เป็นพระหลวงตา เราติดคาอะไร ห่วงอะไร-อาลัยอะไร” นั่นทำให้ท่านคิดและตัดสินใจได้เร็วขึ้น

ท่านจึงขออนุญาตสามีและลูกๆทุกคน เพื่อออกมาปฏิบัติ ถือศีลภาวนา อยู่วัดป่าบ้านตาด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยอาศัยที่กระท่อมน้อยในป่าทึบ ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเป็นเงาร่มครึ้ม พื้นเบื้องล่างเต็มไปด้วยต้นข้าว สารหนาแน่น

ท่านได้ถือศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ท่านกล่าวไว้ว่า...“ท่านบวชใจแทนศีล คือใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนา งดเว้นการทำความผิด เมื่อใจมีเจตนาทำความถูกต้อง ศีลเป็นอันเดียวกับใจ ใจรักษาศีล ดูศีลดูใจตัวเอง ศีลเป็นใจที่มีเจตนางดเว้นการทำความชั่วทั้งปวง ดูศีลดูใจ สำรวจความผิดที่เกิดจากใจของตัวเองแล้วอบอุ่น หนักแน่น มั่นคง มั่นใจ ไม่มีที่ต้องติตัวเองเรื่องศีล”

คุณแม่จันดี ท่านบอกช่วงนั้นคุณยายแก้ว แห่งสำนักชีห้วยทรายได้มาพำนัก อยู่วัดป่าบ้านตาดท่านเมตตาถามคุณแม่จันดี ถึงการปฏิบัติภาวนาอยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถามว่า “จันดีจิตของลูกแยกส่วนแบ่งส่วนหรือยัง”

คุณแม่จันดี เรียนตอบว่า “แยกแล้วแบ่งแล้ว และกราบเรียนต่อว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้” คุณยายฟัง และบอกท่านว่า “เออดีแล้ว จิตถ้าแยกส่วนแบ่งส่วนแล้ว จิตก็มีแต่จะเจริญ”

ต่อมาอีกคุณยายแก้ว ถามท่านว่า จันดีลูกกราบเรียนการปฏิบัติกับญาท่าน (พระหลวงตามหาบัว) ว่าอย่างไรบ้าง เห็นพระในวัดท่านเข้ามาถามแม่ว่า (คือคุณยายแก้ว) ว่าคุณแม่รู้ไหมโยมใครกันที่อยู่ในหมู่บ้าน มีเทวดา พระอินทร์ พระพรหม มาอนุโมทนากับเขาพ่อแม่ครูอาจารย์

หลวงตาพูดในที่ประชุมสงฆ์ “ทำไหมเขาภาวนาทั้งที่มีลูกน้อย ทั้งทำนา ครองเรือนอยู่ เห็นเทพเทวดา”

คุณยายจึงเรียนพระไปว่า “จะเป็นใครนอกจากนางจันดี (น้องสาวของญาท่าน)”

พอได้โอกาสคุณแม่จันดี มาวัด ท่านจึงเล่าให้ฟัง และถามว่า “เป็นความจริงไหม” เพราะแม่ (คุณยาย) ตอบพระไปก่อนจะถามเจ้าแล้ว

ท่านจึงกราบเรียนคุณยายแก้วว่า “ลูกได้กราบเรียน การปฏิบัติของลูกให้พระหลวงตาทราบในทุกๆเรื่อง เพราะไม่พึ่งพระหลวงตาท่านช่วย ลูกคงติดในแต่ละจุด และช้าเวลาต้องให้ท่านช่วยตี ช่วยขนาบ เพราะท่านจะบอกลูกว่าเวลานี้ท่านมีชีวิตอยู่ติดขัดอะไรให้ถาม ถ้าเราพิจารณาเองอาจช้า เสียเวลา มีครูบาอาจารย์ช่วยแนะเรามีหน้าที่ทำตาม ปฏิบัติตามท่าน

...........

คุณแม่จันดี โลหิตดี


บ้านเกื้อกูลวัด...บำรุงวัดด้วยปัจจัย4 เป็นต้น
วัดอบรมบ้าน...นำพาชาวบ้านปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนให้เกิดผล

:b11:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร

:b32: :b32:

Kiss
เห็นคนพเนจรไหมจรจัดหรือขอทานทำไมเขาไม่ไปนอนวัดนั่นน่ะเขาไม่บาปคนที่จะนอนวัดได้
คือคนที่ออกจากบ้านมาบรรพชาที่ได้รับอนุญาตให้จำวัดโดยธรรมวินัยไม่ต้องนอนข้างถนนค่ะ
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท
เข้าใหมว่าประกาศตนเป็นผู้ที่ละอายว่าตนมีกิเลสมากมาขอบวชเพื่อขัดเกลากิเลสให้คนศัรทธา
:b32: :b32:


ไม่คิดจะเปลี่ยนความคิดคุณโรสหรอก..เพียงป้องกันคนที่จะเห็นผิดตาม..โดยยกตัวอย่างวัดหลวงตามาให้เห็น

Rosarin เขียน:
วัดนั้นพระรับเงินไหมใส่บาตรพระทุศีลแล้วเขาสอนไหมว่าไม่ต้องถวายเงินมีแต่เรี่ยไรมีตู้รับบริจาคก็ผิดแล้ว
คริคริคริเก็บสะสมอะไรไม่ได้เลยหลังเที่ยงแม้แต่เกลือยังเก็บไม่ได555มีสะสมเงินและก็มีบัญชีรับเงินชื่อใคร


Rosarin เขียน:
ส่วนภิกษุพูดกับสีกาเกิน6คำก็อาบัติภิกษุจะทำตัวเป็นผู้ขอโดยเอ่ยขอใครไม่ได้แม้แต่ญาติสนิท


อยากถามนิด..คำข้างบนที่ผมทำสี..ทำตัวโตโต..นั้นนะ...คุณโรสคิดเอง..หรือว่าฟังป้าสุจินต์สอนมา...??
จะได้เป็นธรรมกับป้าแก

Kiss
ก็คิดให้มันตรงสิคะตามเหตุตามปัจจัย
ผัวเมียบรรลุอรหันต์ครั้งพุทธกาล
แยกทางไม่ไปร่วมกันถูกไหมคะ
แล้วสมัยนี้สละญาติพี่น้องแล้ว
แต่มาเอาญาติธรรมเข้าวัด
มากๆกิเลสไหมหาคน
ไปไว้คอยถวาย
ชงกาแฟให้รึ
บิณฑบาต
เต็มบาตร
วันละ1บาตร
ไม่พอใจหรือคะ
ขนคนเข้าไปเพื่อหาเงินไงคะตรงไหม555
ไม่มีหิริโอตัปปะยังมิรู้ตัวกันอยู่ดอกหรือเจ้าคะ
:b12:
:b32: :b32:


เลอะเทอะ....
พูดไม่อยู่ในร่องในรอย..ไม่ถูกเรื่องที่คุย...เขาเรียกว่า..ฟุ้งซ่านเลอะเทอะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร