วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 03:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 55 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
อ้างคำพูด:
ส่วนเจตนาเจตสิกนั้น ผู้จบกิจ ไม่มีค่ะ ดับไปหมดตามปฎิจจสมุบาทก่อนหน้าแล้ว


ขอต้นฉบับได้ไหมคะ จะไปศึกษาเพิ่มเติม ว่าอยู่เล่มไหน หน้าไหน..ย่อหน้าที่เท่าไหร่ แบบนี้คะ

(เจตสิกสาธารณะ..ดับ ได้ด้วย หรือคะ?)

เพราะคุณสายน้ำเมย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ศึกษา พระไตรปิฎก
วันๆ คุยอยู่ในลานสนทนา

เรยไม่รู้ว่า เจตสิกสัมมาองค์มรรค 8 ในมัคคจิตตปุบาท 4 มีอะไรบ้าง

และเพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรมัตสังคหะปริเฉทที่ 8
เรยไม่รู้ว่า 11 อาการ 12องค์ธรรม ของปฎิจจสมุปาท ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ทั้งสายเกิด และสายดับ

เพราะคุณสายน้ำเมย ไม่ได้ศึกษาพระสูตร เรยไม่รู้ว่า อวิชชา เป็นปัจจัย ให้เกิดสังขาร

คุณสายน้ำเมย นี่เป็นตัวอย่าง คนที่ไม่เอาไหนในการศึกษาค่ะ

ไปศึกษา ปัจจัยสังคหวิภาค ซะนะคะ
จะไปอ่านแค่ย่อหน้า หรือแค่บรรทัด สองสามบรรทัด
จะยิ่งเขลาหละค่ะ เพราะไม่เข้าใจในภาพรวมทั้งหมด

ทางที่ดีนะคะ ไปอ่านซะทุกเล่มทุกหมวด ในพระไตรปิฎกนะคะ

เมแนะนำ


:b7: เฮ้อ..เราถามดีๆจะได้ไปเรียนรู้เพิ่มเติม..เบื่อจริงๆพวกฝีปากจัดจ้านเนี้ยะ..ผ่านๆ

การเรียนอภิธรรมของคุณโลกสวย ไม่ได้เรียนเรื่องกรรมบทสิบมาบ้างหรือคะ

ได้เรียนคำว่า ธรรมในจิตบ้างไหมคะ..หรือ ดูแต่รูปนามๆๆ ไปเรื่อยๆ จนฝีปากจัดจ้านแบบนี้้

ด่าว่าใครก็ได้ ถือว่าไม่ผิด เพราะไม่ได้ด่าบุคคล ด่ารูปนามตามอภิธรรม

เจอเยอะเลย คนเรียนอภิธรรมแล้วมีฝีปากจัดจ้าน วาจาหอกดาบ แหลมคมแบบนี้ แย่ๆ คะ ไม่ไหว :b11:



ตรงไหนคะ ที่คุณสายน้ำเมย ร้อนฉ่าจน คิดว่า เม ไปด่า

ที่พูดตรงๆว่า คุณไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษา
หรือว่า พูดว่า วันๆ เอาแต่พูดอยู่ในลานสนทนา
หรือว่า ที่คุณไม่เอาไหนในการศึกษา
จะ เอาแค่ประโยคสองประโยค บรรทัด สองบรรทัด เป็นความเขลา


เม แนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคุณสายน้ำเมย ทั้งสิ้นหล่ะค่ะ
เป็นกุศลกรรมบท ค่ะ


ไม่ได้ชวนไปกินเหล้าเมายาค่ะ







:b32:
สมมุติว่าบรรลุธรรมมี4ชั้น
มรรคคือบันไดไต่ถึงชั้น4ไงคะ
คือถึงนิพพานแล้วบันไดก็ไม่ต้องใช้แล้ว
:b32: :b32: :b32:

เพราะคุณยายโรสไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก
เรยไม่รู้ว่า

ปริยัติเป็นปัจจัยให้เกิดปริยัติญาน
และปริยัติญานย่อมเป็นปัจจัย ทำให้เกิด ปฎิบัติญาน
และปฎิบัติญานย่อมเป็นปัจจัยให้แทงตลอดในโลกตุรธรรม ถึง ปฎิเวธญาน
ตรง ถูกต้อง และสอดคล้องกะคำสอนพระพุทธองค์ค่ะ

ที่คุณยายโรสพูดมา ไม่ตรงค่ะ

ไม่ใช่อริยะมรรค

มรรคอันใดไม่ใช่อริยะมรรค เหล่านั้น เป็นปกติมรรค ค่ะ
อริยะหมายถึงห่างไกลจากข้าศึกศัตรูภายใน
มรรค หมายถึงข้อปฎิบัติหรือหนทางที่ควรดำเนิน

มรรคเฉยๆ อย่างคุณยายโรสกล่าว เรียกว่าปกติมรรคค่ะ
ไม่ใช่อริยะมรรค ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
ไม่อาจถึงนิพพานได้ค่ะ

:b32:
หนูเมคะ...ที่หนูพยายามสื่อสารเล่าชีวิต
ความเป็นมาของหลานให้ยายรู้จักหนูน่ะ
เขาเรียกว่าชาดกคือเรื่องราวชีวิตชาตินี้
ของหนูเมไงคะปกติธรรมดาของปัญญา
ต้องเกิดร่วมกับสติตอนกำลังฟังและคิด
ตามคำตถาคตทีละคำคือสุตมยปัญญา
การแสดงความคิดเห็นที่เขียนไม่ตรงนะ
เขียนแล้วไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีอยู่
เขาเรียกเขียนความไม่รู้ไม่เข้าใจออกมา
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญาล้วนๆ
และปัญญาเกิดได้เมื่อเริ่มฟังต้องรู้สึกตัวว่า
ตนเองวันหนึ่งๆพึ่งการฟังคำตถาคตบ้างรึเปล่า
และการฟังนั้นต้องระลึกตามได้ทีละคำไม่วอกแวกด้วยนะ
https://youtu.be/DSakJ0sCQZU
:b32: :b32: :b32:


นั่นแน่ เมต้องให้ฟังนิทานชาดกของเมก่อน คุณยายโรสจะได้รู้จักไงคะ

ว่า นิทานทูเร นิทานอวิทูเร นิทานสันติเก เป็นยังไง

วันๆ คุณยายฟังนิทาน รื่นรมไปด้วยการฟังนิทาน เน้อคะ

คราวนี้เข้าใจยังหละคะ ว่าฟังอะไรได้เจ็ดปี

ปัญญาเกิดยังคะ ปัญญาล้วนๆหละค่ะ

รู้สึกตัวยังคะ ว่าฟังนิทานอะไรอยู่ เจ็ดปี ทีละคำๆๆๆๆ





โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นิทานกถา
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
ประณามคาถา
ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด หาบุคคลผู้เปรียบปานมิได้ ผู้เสด็จขึ้นจากสาครแห่งไญยธรรม ผู้ทรงข้ามสงสารสาครเสียได้ ด้วยเศียรเกล้า พร้อมทั้งพระธรรมอันลึกซึ้ง สงบยิ่ง ละเอียดยากที่คนจะมองเห็นได้ ที่ทำลายเสียได้ซึ่งภพน้อยและภพใหญ่ สะอาดอันเขาบูชาแล้ว เพราะพระสัทธรรม อีกทั้งพระสงฆ์ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องข้อง ผู้สูงสุดแห่งหมู่ ผู้สูงสุดแห่งทักขิไณยบุคคล ผู้มีอินทรีย์อันสงบแล้ว หาอาสวะมิได้.
ด้วยการประณาม ที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วต่อพระรัตนตรัย ด้วยความนับถือเป็นพิเศษนี้นั้น ข้าพเจ้าอันผู้ที่เป็นนักปราชญ์ยิ่งกว่านักปราชญ์ ผู้รู้อาคม [ปริยัติ] เป็นวิญญูชน มียศใหญ่ได้ขอร้องด้วยการเอาใจแล้วๆ เล่าๆ เป็นพิเศษว่า ท่านขอรับ ท่านควรจะแต่งอรรถกถาอปทาน [ชีวประวัติ] เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจักแสดงการพรรณนาเนื้อความ อันงามแห่งพระบาลีในพระไตรปิฎกทีเดียว พร้อมทั้งชีวประวัติที่ยังเหลืออยู่ เรื่องราวอันดีเยี่ยมนี้ใครกล่าวไว้ กล่าวไว้ที่ไหน กล่าวไว้เมื่อไร และกล่าวไว้เพื่ออะไร ข้าพเจ้าจักกล่าวเรื่องนั้นๆ แล้ว ก็มาถึงวิธีเพื่อที่จะให้ฉลาดในเรื่องนิทาน เพราะจะทำให้เล่าเรียน และทรงจำได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น เรื่องราวที่ท่านจัดให้แปลกออกไป ตามที่เกิดก่อนและหลัง รจนาไว้ในภาษาสิงหลของเก่าก็ดี ในอรรถกถาของเก่าก็ดี เมื่อมาถึงวิธีนั้นๆ แล้ว ย่อมไม่ให้สำเร็จประโยชน์ตามที่สาธุชนต้องการ เหตุนั้น ข้าพเจ้าก็จักอาศัยนัยตามอรรถกถาของเก่านั้น เว้นไม่เอาเนื้อความที่ผิดเสีย แสดงแต่เนื้อความที่แปลกออกไป กระทำการพรรณนาเฉพาะแต่ที่แปลก ซึ่งดีที่สุดเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

เพราะเหตุที่ได้ปฏิญาณไว้แล้วว่า เรื่องราวอันดีเยี่ยมใครกล่าวไว้ กล่าวไว้ในที่ไหน และกล่าวไว้เมื่อไร และว่าข้าพเจ้าจักทำการพรรณนาเนื้อความดังนี้ ก็การพรรณนาเนื้อความแห่งชีวประวัตินั้น เมื่อข้าพเจ้าแสดงนิทานสามอย่างเหล่านี้ คือ ทูเรนิทาน [นิทานในที่ไกล] อวิทูเรนิทาน [นิทานในที่ไม่ไกลนัก] สันติเกนิทาน [นิทานในที่ใกล้] พรรณนาอยู่ก็จักเป็นที่เข้าใจได้แจ่มแจ้ง เพราะคนที่ได้ฟัง ได้เข้าใจมาตั้งแต่ได้อ่านแล้ว. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงจักแสดงนิทานเหล่านั้น พรรณนาชีวประวัตินั้น. บรรดานิทานเหล่านั้น ก่อนอื่นควรทราบปริเฉท [ข้อความที่กำหนดไว้เป็นตอนๆ] เสียก่อน.
กถามรรคที่เล่าเรื่องตั้งแต่ พระมหาสัตว์ได้ตั้งปรารถนาอย่างจริงจัง ณ เบื้องบาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร จนถึงจุติจากอัตภาพเป็นพระเวสสันดร แล้วไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จัดเป็น ทูเรนิทาน.
กถามรรคที่เล่าเรื่อง ตั้งแต่จุติจากภพสวรรค์ชั้นดุสิต จนถึงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ที่ควงไม้โพธิ์ จัดเป็น อวิทูเรนิทาน.
ส่วน สันติเกนิทาน มีปรากฏอยู่ในที่ต่างๆ ของพระองค์ ที่เสด็จประทับอยู่ในที่นั้นๆ ด้วยประการฉะนี้.

ทูเรนิทาน
ในนิทานเหล่านั้น ที่ชื่อทูเรนิทานมีดังต่อไปนี้. เล่ากันมาว่า ในที่สุด สี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ ได้มีนครหนึ่งนามว่า อมรวดี. ในนครนั้นมีพราหมณ์ชื่อ สุเมธ อาศัยอยู่ เขามีกำเนิดดี มีครรภ์อันบริสุทธิ์ ทั้งทางฝ่ายมารดาและฝ่ายบิดานับได้เจ็ดชั่วตระกูล ใครจะดูถูกมิได้ หาผู้ตำหนิมิได้เกี่ยวกับเรื่องเชื้อชาติ มีรูปสวย น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณอันงามยิ่ง เขาไม่การทำการงานอย่างอื่นเลย ศึกษาแต่ศิลปะของพราหมณ์. บิดาและมารดาของเขาได้ถึงแก่กรรมเสียตั้งแต่เขารุ่นหนุ่ม. ต่อมาอำมาตย์ผู้จัดการผลประโยชน์ นำเอาบัญชีทรัพย์สินมา เปิดห้องคลังที่เต็มไปด้วย ทอง เงิน แก้วมณี และแก้วมุกดา เป็นต้น บอกให้ทราบถึงทรัพย์ตลอดเจ็ดชั่วตระกูลว่า ข้าแต่กุมาร ทรัพย์สินเท่านี้เป็นของมารดา เท่านี้เป็นของบิดา เท่านี้เป็นของปู่ตาและทวด แล้วเรียนว่า ขอท่านจงจัดการเถิด. สุเมธบัณฑิตคิดว่า ปู่เป็นต้นของเราสะสมทรัพย์นี้ไว้แล้ว เมื่อจะไปสู่ปรโลกที่ชื่อว่าจะถือเอาทรัพย์ แม้กหาปณะหนึ่งติดตัวไปด้วย หามีไม่. แต่เราควรการทำเหตุที่จะให้ถือเอาทรัพย์ไปด้วยได้. ดังนี้แล้วได้กราบทูลแด่พระราชา ให้ตีกลองป่าวร้องไปในพระนคร ให้ทานแก่มหาชน แล้วออกบวชเป็นดาบส ก็เพื่อที่จะให้เนื้อความนี้แจ่มแจ้ง ควรจะกล่าวสุเมธกถาไว้ในที่นี้ด้วย.
แต่สุเมธกถานี้ มีมาแล้วในพุทธวงศ์ติดต่อกัน แต่เพราะเล่าเรื่องประพันธ์เป็นคาถา จึงไม่ใคร่จะแจ่มชัดดีนัก. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจักกล่าวพร้อมกับแสดง คำที่ประพันธ์เป็นคาถา แทรกไว้ในระหว่างๆ. ในที่สุดแห่ง สี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ได้มีพระนครมีนามว่า อมรวดี และอีกนามหนึ่งว่า อมร อึกทึกไปด้วยเสียง ๑๐ เสียง ที่ท่านหมายถึงเสียงที่กล่าวไว้ในพุทธวงศ์ ว่า
ในสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป มีพระนครหนึ่งนามว่า อมร เป็นเมืองสวยงามน่าดู น่ารื่นรมย์ สมบูรณ์ด้วยข้าว และน้ำ อึกทึกไปด้วยเสียง ๑๐ เสียง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสหิ สทฺเทหิ อวิวิตฺตํ ความว่า อึกทึกไปด้วยเสียงเหล่านี้ คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงสังข์ เสียงกังสดาล เสียงที่ ๑๐ ว่า เชิญกิน เชิญขบเคี้ยว เชิญดื่ม ซึ่งท่านถือเอาเพียงเอกเทศหนึ่งแห่งเสียงเหล่านั้น จึงกล่าวคาถานี้ไว้ในพุทธวงศ์ว่า
กึกก้องด้วยเสียงช้าง เสียงม้า เสียงกลอง เสียงสังข์และเสียงรถ เสียงป่าวร้องด้วยข้าวและน้ำ ว่า เชิญขบเคี้ยว เชิญดื่ม.
แล้วกล่าวว่า
พระนครอันสมบูรณ์ด้วยคุณลักษณะทุกประการ เข้าถึงความเป็นพระนคร ที่มีสิ่งต้องการทุกชนิด สมบูรณ์ด้วยแก้วเจ็ดประการ ขวักไขว่ไปด้วยเหล่าชนต่างๆ มั่งคั่งเป็นดุจเทพนารี เป็นที่อาศัยอยู่ของเหล่าผู้มีบุญ. พราหมณ์ชื่อสุเมธ มีสมบัติสะสมไว้นั้นได้หลายโกฏิ มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เป็นผู้คงแก่เรียน ทรงมนต์ได้มาก เรียนจบไตรเพท ถึงความสำเร็จบริบูรณ์ในลักขณศาสตร์ อิติหาสศาสตร์ และในสัทธรรม.
ต่อมาวันหนึ่ง สุเมธบัณฑิตนั้นไปในที่เร้น ณ พื้นปราสาทชั้นบน นั่งขัดสมาธิคิดว่า นี่แน่ะบัณฑิต การเกิดอีก ชื่อว่าการถือปฏิสนธิเป็นทุกข์ การแตกดับแห่งสรีระในที่ที่เกิดแล้ว ก็เป็นทุกข์เช่นกัน และเราก็มีการเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา ควรที่เราผู้เป็นเช่นนี้ จะแสวงหาพระมหานิพพานที่ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีทุกข์ มีแต่สุข เยือกเย็น ไม่รู้จักตาย. ทางสายเดียวที่พ้นจากภพมีปรกติ นำไปสู่พระนิพพานจะพึงมีแน่นอน. ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เราเข้าไปสู่ที่เร้น นั่งแล้วในตอนนั้น ได้คิดว่า ขึ้นชื่อว่า การเกิดใหม่เป็นทุกข์ การแตกดับแห่งสรีระก็เป็นทุกข์ เรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาเช่นกัน. เราจักแสวงหาพระนิพพานที่ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นแดนเกษม. ไฉนหนอ เราไม่พึงมีเยื่อใย ไร้ความต้องการทิ้งร่างกายเน่า ซึ่งเต็มไปด้ายซากศพนานาชนิดนี้เสียได้ แล้วไปทางนั้นมีอยู่ จักมีแน่. ทางนั้นอันใครๆ ไม่อาจที่จะไม่ให้มีได้. เราจักแสวงหาทางนั้น เพื่อพ้นจากภพให้ได้ ดังนี้.
ต่อจากนั้น ก็คิดยิ่งขึ้นไปอีกอย่างนี้ว่า เหมือนอย่างว่าชื่อว่า สุขที่เป็นปฏิปักษ์ต่อทุกข์มีอยู่ในโลก ฉันใด เมื่อภพมีอยู่ แม้สิ่งที่ปราศจากภพ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อภพนั้นก็พึงมี ฉันนั้น. และเหมือนเมื่อความร้อนมีอยู่ แม้ความเย็นที่จะระงับความร้อนนั้นก็ต้องมี ฉันใด แม้พระนิพพานที่ระงับไฟ มีราคะเป็นต้นก็พึงมี ฉันนั้น. ธรรมที่ไม่มีโทษ อันงามที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ ธรรมอันเป็นบาปอันลามก ย่อมมีอยู่ ฉันใด. เมื่อชาติอันลามกมีอยู่ แม้พระนิพพาน กล่าวคือความไม่เกิด เพราะให้ความเกิดทุกอย่างสิ้นไปก็พึงมี ฉันนั้น. ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เมื่อทุกข์มีอยู่ ขึ้นชื่อว่าสุขก็ต้องมีฉันใด เมื่อภพมีอยู่ แม้สภาพที่ปราศจากภพ ก็ควรปรารถนาฉันนั้น. เมื่อความร้อนมีอยู่ ความเย็นอีกอย่างก็ต้องมีฉันใด ไฟสามอย่างมีอยู่ พระนิพพานก็ควรปรารถนาฉันนั้น. เมื่อสิ่งชั่วมีอยู่ แม้ความดีงามก็ต้องมีฉันใด ความเกิดมีอยู่ แม้ความไม่เกิดก็ควรปรารถนาฉันนั้น ดังนี้.
ท่านยังคิดข้ออื่นๆ อีกว่า บุรุษผู้จมอยู่ในกองคูถเห็น สระใหญ่ดาดาษไปด้วยดอกปทุมห้าสีแต่ไกล ควรที่จะแสวงหาสระนั้น ด้วยคิดว่า เราควรจะไปที่สระนั้นโดยทางไหนหนอ. การไม่แสวงหาสระนั้น หาเป็นความผิดของสระนั้นไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นเท่านั้น ฉันใด เมื่อสระใหญ่ คืออมตนิพพานเป็นที่ชำระล้างมลทิน คือกิเลสมีอยู่ การไม่แสวงหาสระนั้น ไม่เป็นความผิดของสระใหญ่ คืออมตนิพพาน แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นเท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. อนึ่งบุรุษผู้ถูกพวกโจรห้อมล้อม เมื่อทางหนีมีอยู่ ถ้าเขาไม่หนีไป ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นเท่านั้นฉันใด บุรุษผู้ถูก กิเลสห้อมล้อมจับไว้ได้แล้ว เมื่อทางอันเยือกเย็นเป็นที่ไปสู่พระนิพพานมีอยู่ แต่ไม่แสวงหาทางนั้น หาเป็นความผิดของทางไม่ แต่เป็นความผิดของบุคคลนั้นเท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. และบุรุษผู้ถูกพยาธิเบียดเบียน เมื่อหมอผู้รักษาความเจ็บป่วยมีอยู่ หากเขาไม่แสวงหาหมอนั้น ให้รักษาความเจ็บป่วย ข้อนั้นหาเป็นความผิดของหมอไม่ แต่เป็นความผิดของบุรุษนั้นฉันใด ผู้ใดถูกพยาธิ คือกิเลสเบียดเบียน ไม่แสวงหาอาจารย์ผู้ฉลาดในการระงับกิเลสซึ่งมีอยู่ ข้อนั้นเป็นความผิดของผู้นั้นเท่านั้น หาเป็นความผิดของอาจารย์ผู้ทำกิเลสให้พินาศไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน ดังนี้. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
บุรุษผู้ตกอยู่ในคูถ เห็นสระมีน้ำเต็มเปี่ยม ไม่ไปหาสระนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของสระไม่ ฉันใด เมื่อสระ คืออมตะในการที่จะชำระล้างมลทิน คือกิเลสมีอยู่ เขาไม่ไปหาสระนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของสระ คืออมตะไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน.
คนผู้ถูกศัตรูกลุ้มรุม เมื่อทางหนีไปมีอยู่ไม่หนีไป ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางไม่ ฉันใด คนที่ถูกกิเลสกลุ่มรุม เมื่อทางปลอดภัยมีอยู่ไม่ไปหาทางนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของทางที่ปลอดภัยนั้นไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน.
คนผู้เจ็บป่วยเมื่อหมอรักษาโรคมีอยู่ ไม่ยอมให้รักษาความเจ็บป่วยนั้น ข้อนั้นหาเป็นความผิดของหมอนั้นไม่ ฉันใด คนผู้ได้รับทุกข์ถูกความเจ็บป่วย คือกิเลสเบียดเบียนแล้ว ไม่ไปหาอาจารย์นั้น ข้อนั้น หาเป็นความผิดของอาจารย์ผู้แนะนำไม่ ฉันนั้นเหมือนกัน.
ท่านยังนึกถึงแม้ข้ออื่นๆ อีกว่า คนผู้ชอบแต่งตัวพึงทิ้ง ซากศพที่คล้องไว้ที่คอ ไปได้อย่างมีความสุข ฉันใด แม้เราก็ควรทิ้งกายอันเน่านี้ ไม่มีอาลัยเข้าไปสู่นิพพานนคร ฉันนั้น. ชายหญิงทั้งหลายถ่ายอุจจาระและปัสสาวะรด บนพื้นที่อันสกปรกแล้ว ย่อมไม่เก็บใส่พกหรือเอาชายผ้าห่อไป ต่างรังเกียจไม่มีอาลัยเลย กลับทิ้งไปเสีย ฉันใด แม้เราก็ควรจะไม่มีอาลัยทิ้งกายเน่านี้เสีย เข้าไปสู่นิพพานนครอันเป็นอมตะ ฉันนั้น. และนายเรือไม่มีอาลัย ทิ้งเรือลำเก่าคร่ำคร่าไป ฉันใด แม้เราก็จะละกาย อันเป็นที่หลั่งไหลออกจากปากแผลทั้งเก้านี้ ไม่มีอาลัยเข้าไปสู่นิพพานบุรี ฉันนั้น.
อนึ่ง บุรุษพาเอาแก้วนานาชนิดเดินทางไปพร้อมกับโจร จึงละทิ้งพวกโจรเหล่านั้นเสีย เพราะกลัวจะเสียแก้วของตน ถือเอาทางที่ปลอดภัย ฉันใด กรชกาย (กายที่เกิดจากธุลี) แม้นี้ ก็ฉันนั้น. เป็นเช่นกับโจรปล้นแก้ว ถ้าเราจักก่อตัณหาขึ้นในกายนี้ แก้วคือพระธรรมอันเป็นกุศล คืออริยมรรคจะสูญเสียไป. เพราะฉะนั้น ควรที่เราจะละทิ้งกาย อันเช่นกับโจรนี้เสีย แล้วเข้าไปสู่นิพพานนคร ดังนี้. เพราะเหตุนั้นท่าน จึงกล่าวว่า
บุรุษปลดเปลื้องซากศพที่น่าเกลียด ซึ่งผูกไว้ที่คอแล้วไป อยู่อย่างสุขเสรี อยู่ลำพังตนได้ ฉันใด คนก็ควรละทิ้งร่างกายเน่า ที่มากมูลด้วยซากศพนานาชนิดไปอย่างไม่มีอาลัย ไม่มีความต้องการอะไร ฉันนั้น.
ชายหญิงทั้งหลายถ่ายกรีสลงในที่ถ่ายอุจจาระทิ้งไปอย่างไม่มีอาลัย ไม่มีความต้องการอะไร ฉันใด เราจะละทิ้งกายที่เต็มไปด้วยซากศพนานาชนิดนี้ไป เหมือนคนถ่ายอุจจาระ แล้วละทิ้งส้วมไป ฉะนั้น.
เจ้าของละทิ้งเรือที่เก่าคร่ำคร่าผุพัง น้ำรั่วเข้าไปได้ ไม่มีความอาลัย ไม่มีความต้องการอะไร ฉันใด เราจักละทิ้งกายนี้ที่มีช่องเก้าช่อง หลั่งไหลออกเป็นนิตย์ เหมือนเจ้าของทิ้งเรือเก่าไป ฉะนั้น.
บุรุษไปพร้อมกับโจรถือห่อของไป เห็นภัยที่จะเกิดจากการตัดห่อของ จึงทิ้งแล้วไปเสีย ฉันใด กายนี้ เปรียบเหมือนมหาโจร เราจักละทิ้งกายนี้ไป เพราะกลัวจะถูกตัดกุศล ฉันนั้นเหมือนกัน.
สุเมธบัณฑิตคิดเนื้อความประกอบด้วยเนกขัมมะนี้ ด้วยอุปมาต่างๆ อย่างแล้ว สละกองแห่งโภคสมบัตินับไม่ถ้วน ในเรือนของตน แก่เหล่าชนมีคนกำพร้า และคนเดินทางไกลเป็นต้น ตามนัยที่กล่าวมาแล้วแต่หนหลัง ถวายมหาทาน ละวัตถุกามและกิเลสกามแล้ว ออกจากอมรนครคนเดียวเท่านั้น อาศัยภูเขาชื่อธรรมิกะในป่าหิมพานต์ สร้างอาศรม เนรมิตบรรณศาลาและที่จงกรม เนรมิตขึ้นด้วยกำลังแห่งบุญของตน เพื่อจะละเว้นเสียจากโทษแห่งนิวรณ์ทั้งห้า นำมาซึ่งกำลัง กล่าวคืออภิญญาที่ประกอบด้วยเหตุ อันเป็นคุณ ๘ อย่าง ตามที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า เมื่อจิตมั่นคงแล้วอย่างนี้ ดังนี้ แล้วละทิ้งผ้าสาฎกที่ประกอบด้วยโทษ ๙ ประการ ไว้ในอาศรมบทนั้น แล้วนุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ที่ประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการ บวชเป็นฤาษี. ท่านเมื่อบวชแล้วอย่างนี้ ก็ละบรรณศาลานั้น ซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าไปหาโคนต้นไม้ซึ่งประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ เลิกละข้าวต่างๆ อย่างทั้งปวง หันมาบริโภคผลไม้ที่หล่นจากต้นเอง เริ่มตั้งความเพียรด้วยอำนาจการนั่ง การยืน และการจงกรม ในภายในเจ็ดวันนั่นเอง ก็ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘. ท่านได้บรรลุกำลังแห่งอภิญญาตามที่ปรารถนาไว้นั้น ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เราคิดอย่างนี้แล้วได้ให้ทรัพย์นั้นได้หลายร้อยโกฏิ แก่คนยากจนอนาถา แล้วเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ ในที่ไม่ไกลแห่งป่าหิมพานต์มีภูเขาชื่อธรรมิกะ เราสร้างอาศรมอย่างดีไว้ เนรมิตบรรณศาลาไว้อย่างดี ทั้งยังเนรมิตที่จงกรมเว้นจากโทษ ๕ ประการไว้ในอาศรมนั้น เราได้กำลังอภิญญาประกอบด้วยองค์แปดประการ.
เราเลิกใช่ผ้าสาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๙ ประการ หันมานุ่งผ้าเปลือกไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑๒ ประการ. เราเลิกละบรรณศาลาที่เกลื่อนกล่นไปด้วยโทษ ๘ ประการ เข้าไปสู่โคนไม้อันประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ. เราเลิกละข้าวที่หว่านที่ปลูก โดยไม่มีส่วนเหลือเลย หันมาบริโภคผลไม้หล่นเอง ที่สมบูรณ์ด้วยคุณเป็นอเนกประการ. เราเริ่มตั้งความเพียรในที่นั่ง ที่ยืน และที่จงกรมในอาศรมบทนั้น ภายในเจ็ดวันก็ได้บรรลุ กำลังแห่งอภิญญา ดังนี้.
ในคาถานั้นด้วยบาลีนี้ว่า อสฺสโม สุกโต มยฺหํ ปณฺณสาลํ สุมาปิตํ ท่านกล่าวถึงบรรณศาลา และที่จงกรมไว้ราวกะว่า สุเมธบัณฑิตสร้างขึ้นด้วยมือของตนเอง แต่ในคาถานี้มีใจความดังต่อไปนี้ ท้าวสักกะทรงเห็นว่า พระมหาสัตว์จักเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์แล้ววันนี้ จักถึงภูเขาชื่อธรรมิกะ จึงรับสั่งเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรว่า นี่พ่อ สุเมธบัณฑิตออกมาด้วยคิดว่า เราจักบวช ท่านจงเนรมิตที่อยู่ให้แก่พระมหาสัตว์นั้น. วิสสุกรรมเทพบุตรนั้นรับพระดำรัสของพระองค์แล้ว จึงเนรมิตอาศรมน่ารื่นรมย์ บรรณศาลาสร้างอย่างดี ที่จงกรมน่าเบิกบานใจ. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยอาศรมบทนั้น ที่สำเร็จด้วยอานุภาพแห่งบุญของพระองค์ จึงตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร ที่ธรรมิกบรรพตนั้น อาศรมเราได้สร้างขึ้นอย่างดีแล้ว เนรมิตบรรณศาลาไว้อย่างดี ทั้งยังเนรมิตที่จงกรม เว้นจากโทษ ๕ ประการ ไว้ใกล้อาศรมนั้นด้วย ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุกโต มยฺหํ แปลว่า เราสร้างอาศรมไว้อย่างดีแล้ว. บทว่า ปณฺณสาลํ สุมาปิตํ ความว่า แม้บรรณศาลาที่มุงด้วยใบไม้ เราก็สร้างไว้ดีแล้ว. บทว่า ปญฺจโทสวิวชฺชิตํ ความว่า ชื่อว่าโทษของที่จงกรมมี ๕ อย่างเหล่านี้ คือ แข็งกระด้างและขรุขระ มีต้นไม้ภายใน มุงไว้รกรุงรัง คับแคบมากนัก กว้างขวางเกินไป. จริงอยู่ เมื่อบุคคลเดินจงกรมบนที่จงกรม มีพื้นดินแข็งกระด้างและขรุขระ เท้าทั้งสองจะเจ็บปวด เกิดการพองขึ้น จิตจึงไม่ได้ความแน่วแน่ และกรรมฐานก็จะวิบัติ แต่กรรมฐานจะถึงพร้อม เพราะอาศัยการอยู่สบายในพื้นที่อ่อนนุ่มและราบเรียบ. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า พื้นที่แข็งกระด้างและขรุขระเป็นโทษอันหนึ่ง. เมื่อต้นไม้มีอยู่ภายในหรือท่ามกลาง หรือที่สุดแห่งที่จงกรม เมื่ออาศัยความประมาท เดินจงกรม หน้าผากหรือศีรษะก็จะกระทบ. เพราะฉะนั้น มีต้นไม้ภายใน จึงเป็นโทษข้อที่ ๒. เมื่อเดินจงกรมบนที่จงกรมมุงไว้ รกรุงรังด้วยหญ้าและเถาวัลย์เป็นต้น ในเวลากลางคืนก็จะเหยียบสัตว์มีงูเป็นต้น ทำให้มันตาย หรือจะถูกพวกมันกัดได้รับความเดือดร้อน. เพราะฉะนั้น การที่มุงบังรกรุงรัง จึงจัดเป็นโทษข้อที่ ๓. เมื่อเดินจงกรมบนที่จงกรมแคบเกินไป จึงมีกำหนดโดยกว้างเพียงศอกเดียวหรือครึ่งศอก เล็บบ้าง นิ้วมือบ้าง จะไปสะดุดเข้าแล้วแตก. เพราะฉะนั้น ความคับแคบเกินไปจึงเป็นโทษข้อที่ ๔. เมื่อเดินจงกรมบนที่จงกรมกว้างขวางเกินไป จิตย่อมวิ่งพล่านจะไม่ได้ความมีอารมณ์แน่วแน่. เพราะฉะนั้น การที่ที่กว้างขวางเกินไป จึงเป็นโทษข้อที่ ๕. ที่เดินจงกรมโดยส่วนกว้างได้ศอกครึ่ง ในสองข้างมีประมาณศอกหนึ่ง ที่เดินจงกรมโดยส่วนยาวมีประมาณ ๖๐ ศอก มีพื้นอ่อนนุ่ม มีทรายโรยไว้เรียบเสมอ ก็ใช้ได้ เหมือนที่เดินจงกรมของพระมหินทเถระ. ผู้ปลูกฝังความเลื่อมใสให้ชาวเกาะที่เจติยคิรีวิหาร ก็ได้เป็นเช่นนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เราได้สร้างที่เดินจงกรมไว้ในอาศรมนั้น อันเว้นจากโทษ ๕ ประการ.
บทว่า อฏฺคุณสมุเปตํ คือประกอบด้วยสุขของสมณะ ๘ ประการ ชื่อว่าสุขของสมณะ ๘ ประการนั้นมีดังนี้คือ ไม่มีการหวงแหนทรัพย์สินและข้าว แสวงหาแต่บิณฑบาตที่ไม่มีโทษ บริโภคแต่บิณฑบาตที่เย็น ไม่มีการบีบบังคับราษฎร ในเมื่อพวกลูกหลวงทั้งหลายเที่ยวบีบบังคับ ราษฎรถือเอาทรัพย์มีค่า และเหรียญกษาปณ์ตะกั่วเป็นต้น ปราศจากความกำหนัด ด้วยอำนาจความพอใจในเครื่องอุปกรณ์ทั้งหลาย ไม่มีความกลัวภัยในเรื่องถูกโจรปล้น ไม่ต้องไปคลุกคลีกับพระราชาและราชอำมาตย์ ไม่ถูกกระทบกระทั่งในทิศทั้ง ๔. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ผู้อยู่ในอาศรมนั้น สามารถที่จะประสบสุขของสมณะ ๘ อย่างเหล่านี้ได้ ฉันใด เราสร้างอาศรมนั้นประกอบด้วยคุณ ๘ อย่าง ฉันนั้น. บทว่า อภิญฺาพลมาหรึ ความว่า ภายหลังเมื่อเราอยู่ในอาศรมนั้น กระทำบริกรรมในกสิณแล้ว เริ่มวิปัสสนาโดยความเป็นของไม่เที่ยง และโดยความเป็นทุกข์ เพื่อต้องการความเกิดขึ้นแห่งอภิญญาและสมาบัติ แล้วก็ได้กำลังแห่งวิปัสสนาอันทรงเรี่ยวแรง. อธิบายว่า เมื่อเราอยู่ในอาศรมนั้น สามารถนำกำลังนั้นมาได้ ฉันใด เราได้สร้างอาศรมนั้น กระทำให้เหมาะสมแก่กำลังแห่งวิปัสสนานั้น เพื่อประโยชน์แก่อภิญญา.
ในคาถานี้ว่า สาฏกํ ปชหึ ตตฺถ นวโทสมุปาคตํ มีคำที่จะกล่าวไปตามลำดับ ดังต่อไปนี้ ได้ยินว่า ในกาลนั้น เมื่อวิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตอาศรม ที่ประกอบด้วยกระท่อม ที่เร้น และที่เดินจงกรมโดยทางโค้ง ดาดาษไปด้วยต้นไม้ผลิดอกออกผล มีน้ำมีรสอร่อยน่ารื่นรมย์ ปราศจากสัตว์ ร้ายและนกมีเสียงร้องน่าสะพรึงกลัวต่างๆ ควรแก่การสงบสงัด จัดหาพะนักสำหรับพิง ไว้ที่ที่สุดสองข้างแห่งที่เดินจงกรม อันตกแต่งแล้ว ตั้งแผ่นหินมีสีดังถั่วเขียวมีหน้าเสมอ ไว้ที่ตรงท่ามกลางที่เดินจงกรม ในภายในบรรณศาลา เนรมิตสิ่งของทุกอย่างที่จะเป็นไป เพื่ออุปการะแก่บรรพชิตอย่างนี้คือ ชฎามณฑล (ชฎาทรงกลม) ผ้าเปลือกไม้ บริขารของดาบส มีไม้สามง่ามเป็นต้น ที่ซุ้มน้ำมีหม้อน้ำดื่ม สังข์ตักน้ำดื่ม ขันตักน้ำดื่ม ที่โรงไฟมีกะทะรองถ่าน และไม้ฟืนเป็นต้น ที่ฝาผนังแห่งบรรณาศาลาเขียนอักษรไว้ว่า ใครๆ มีประสงค์จะบวช จงถือเอาบริขารเหล่านี้บวชเถิด แล้วไปสู่เทวโลก.
สุเมธบัณฑิตไปสู่ป่าหิมพานต์ตามทางแห่งซอกเขา มองหาที่ผาสุกควรจะอาศัยอยู่ได้ของตน มองเห็นอาศรมน่ารื่นรมย์ ที่วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตไว้ อันท้าวสักกะประทานให้ที่ทางไหลกลับแห่งแม่น้ำ จึงไปที่ท้ายที่เดินจงกรม มิได้เห็นรอยเท้า จึงคิดว่า บรรพชิตแสวงหาภิกขาในบ้านใกล้ แล้วเหน็ดเหนื่อยจักมา เข้าไปสู่บรรณศาลาแล้วนั่งแน่แท้ จึงรออยู่หน่อยหนึ่งคิดว่า บรรพชิตชักช้าเหลือเกิน เราอยากจะรู้นัก จึงเปิดประกุฏิในบรรณศาลา เข้าไปข้างใน ตรวจดูข้างโนนและข้างนี้ อ่านอักษรที่ฝาผนังแผ่นใหญ่แล้วคิดว่า กัปปิยะบริขารเหล่านั้นเป็นของเรา เราจักถือเอาบริขารเหล่านั้นบวช จึงเปลื้องทิ้งผ้าสาฎกทั้งคู่ที่ตนนุ่งและห่มแล้วไว้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เราเปลื้องทิ้งผ้าสาฎกไว้ในบรรณศาลานั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ดูก่อนสารีบุตร เราเข้าไปอย่างนี้แล้ว เปลื้องทิ้งผ้าสาฎกอันประกอบด้วยโทษ ๙ ประการ ไว้ในบรรณศาลานั้น. เพราะฉะนั้น เราเมื่อจะเปลื้องทิ้งผ้าสาฎก จึงเปลื้องทิ้งไปเพราะเห็นโทษ ๙ ประการ. จริงอยู่ สำหรับผู้ที่บวชเป็นดาบส โทษ ๙ ประการย่อมปรากฏในผ้าสาฎก คือมีค่ามาก เป็นโทษอันหนึ่ง. เกิดขึ้นเพราะเกี่ยวเนื่องกับคนอื่น หนึ่ง. เศร้าหมองเร็วเพราะการใช้สอย หนึ่ง. เศร้าหมองแล้วจะต้องชักและต้องย้อม การที่เก่าไปเพราะการใช้สอย เป็นโทษอันหนึ่ง. ก็สำหรับผ้าที่เก่าแล้วจะต้องทำการชุนหรือใช้ผ้าดาม การที่จะได้รับด้วยการแสวงหาอีกก็ยาก เป็นโทษอันหนึ่ง. ไม่เหมาะสมกับการบวชเป็นดาบส เป็นโทษอันหนึ่ง. เป็นของทั่วไปแก่ศัตรู เป็นโทษอันหนึ่ง. เพราะจะต้องคุ้มครองไว้ โดยอาการที่ศัตรูจะถือเอาไม่ได้ เป็นเครื่องประดับประดาของผู้ใช้สอย เป็นโทษอันหนึ่ง. สำหรับผู้ถือเที่ยวไปเป็นคนมักมากในสิ่งที่เป็นของใช้ประจำตัว เป็นโทษอันหนึ่ง. บทว่า วากจีรํ นิวาเสสึ ความว่า ดูก่อนสารีบุตร ครั้งนั้นเราเห็นโทษ ๙ ประการเหล่านั้น จึงเปลื้องทิ้งผ้าสาฎกนุ่งผ้าเปลือกไม้ คือใช้ผ้าเปลือกไม้ ที่ฉีกหญ้ามุงกระต่ายให้เป็นชิ้นน้อยใหญ่ ถักเข้ากันกระทำขึ้น เพื่อประโยชน์จะใช้เป็นผ้านุ่งและผ้าห่ม.
บทว่า ทฺวาทสคุณมุปาคตํ คือ ประกอบด้วยอานิสงส์ ๑๒ ประการ ก็ในผ้าเปลือกไม้มีอานิสงส์ ๑๒ ประการ คือราคาถูกดีสมควร นี้เป็นอานิสงส์อันหนึ่งก่อน. สามารถทำด้วยมือตนเอง นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๒. จะเศร้าหมองช้าๆ ด้วยการใช้สอย แม้ซักก็ไม่ชักช้า นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๓. แม้จะเก่าไปเพราะการใช้สอยก็ไม่ต้องเย็บ นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๔. เมื่อแสวงหาใหม่ก็ทำได้ง่าย นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๕. เหมาะกับการบวชเป็นดาบส เป็นอานิสงส์ที่ ๖. ผู้เป็นศัตรูไม่ใช้สอย เป็นอานิสงส์ที่ ๗. เมื่อใช้สอยอยู่ ก็ไม่เป็นที่ตั้งแห่งการประดับประดา เป็นอานิสงส์ที่ ๘. จะนุ่งห่มก็เบา นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๙. แสดงว่ามักน้อยในปัจจัยคือจีวร นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๑๐. การเกิดขึ้นแห่งเปลือกไม้ เป็นของชอบธรรมและไม่มีโทษ เป็นอานิสงส์ที่ ๑๑. เมื่อผ้าเปลือกไม้แม้จะสูญหายไป ก็ไม่มีอาลัย นี้เป็นอานิสงส์ที่ ๑๒.
บทว่า อฏฺ โทสสมากิณฺณํ ปชหึ ปณฺณสาลกํ ความว่า เราละอย่างไร ได้ยินว่า สุเมธบัณฑิตนั้นเปลื้องผ้าสาฎกเนื้อดีทั้งคู่ออก แล้วถือเอาผ้าเปลือกไม้สีแดง เช่นกับพวงแห่งดอกอังกาบ ซึ่งคล้องอยู่ที่ราวจีวร แล้วนุ่งห่มผ้าเปลือกไม้สีดังทอง อีกผืนหนึ่งบนผ้าเปลือกไม้นั้น กระทำหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ เช่นกับสัณฐานของดอกบุนนาคพาดเฉวียงบ่า รวบชฎามณฑล แล้วสอดปิ่นปักผมทำด้วยไม้แข็งเข้าไปตรึงไว้กับมวย เพื่อทำให้ไม่ไหวติง ได้วางคนโทน้ำมีสีดังแก้วประพาฬในสาแหรกเช่นกับพวงแก้วมุกดา ถือเอาหาบโค้งในที่สามแห่ง คล้องคนโทน้ำไว้ที่ปลายหาบ ขอและตะกร้า ไม้สามง่ามเป็นต้น ไว้ที่ปลายข้างหนึ่ง เอาหาบดาบสบริขารวางบนบ่า เอามือขวาถือไม้เท้า ออกไปจากบรรณศาลา เดินจงกรมอยู่ไปมาบนที่เดินจงกรม มีประมาณ ๖๐ ศอก มองดูเพศของตน แล้วคิดว่า มโนรถของเราถึงที่สุดแล้ว การบรรพชาของเรางาม จริงหนอ ขึ้นชื่อว่าบรรพชานี้ อันท่านผู้เป็นธีรบุรุษทั้งปวง มีพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญชมเชยแล้ว. เครื่องผูกมัดของคฤหัสถ์ เราละแล้ว. เรากำลังออกบวช เราออกบวชแล้วได้บรรพชาอันสูงสุด เราจักกระทำสมณธรรม เราจักได้สุขอันเกิดแต่มรรคผล ดังนี้แล้ว เกิดความอุตสาหะวางหาบดาบสบริขารลง นั่งลงบนแผ่นหินมีสีดังถั่วเขียว เหมือนดังรูปปั้นทอง ฉะนั้น. ให้เวลากลางวันสิ้นไป เข้าไปสู่บรรณศาลาในเวลาเย็น นอนบนเสื่อที่ถักด้วยแขนงไม้ข้างเตียงหวาย ให้ตัวได้รับอากาศพอสบาย แล้วตื่นขึ้นตอนใกล้รุ่ง คำนึงถึงการมาของตนว่า เราเห็นโทษในฆราวาส แล้วสละโภคสมบัตินับไม่ถ้วน ยศอันหาที่สุดมิได้ เข้าไปสู่ป่าแสวงหาเนกขัมมะบวช จำเดิมแต่นี้ไป เราจะประพฤติตัวด้วยความประมาทหาควรไม่ เพราะแมลงวัน คือมิจฉาวิตก ย่อมจะกัดกินผู้ที่ละความสงบสงัดเที่ยวไป. บัดนี้ ควรที่เราจะพอกพูนความสงบสงัด ด้วยว่าเรามองเห็นการอยู่ครองเรือนโดยความเป็นของมีแต่กังวล จึงออกมา บรรณศาลาน่าพอใจนี้ พื้นที่ซึ่งล้อมรั้วไว้ราบเรียบแล้ว มีสีดังมะตูมสุก ฝาผนังสีขาวมีสีราวกะเงิน หลังคาใบไม้มีสีดังเท้านกพิราบ เตียงหวายมีสีแห่งเครื่องปูลาดอันงดงาม ที่อยู่พออยู่อาศัยได้อย่างผาสุก ความพร้อมมูลแห่งเรือนของเรา ปรากฏเหมือนจะมียิ่งกว่านี้ ดังนี้. เลือกเฟ้นโทษของบรรณศาลาอยู่ ก็ได้เห็นโทษ ๘ ประการ.
จริงอยู่ ในการใช้สอยบรรณศาลามีโทษ ๘ ประการ คือ จะต้องแสวงหาด้วยการรวบรวมขึ้น ด้วยทัพสัมภาระที่มีน้ำหนักมากกระทำ เป็นโทษข้อหนึ่ง. จะต้องช่อมแซมอยู่เป็นนิตย์ เพราะเมื่อหญ้าใบไม้และดินเหนียวร่วงหล่นลงมา จะต้องเอาของเหล่านั้นวางไว้ที่เดิมแล้วๆ เล่าๆ เป็นโทษข้อที่ ๒. ธรรมดา เสนาสนะจะต้องตกแก่คนแก่ก่อน เมื่อเขาเข้ามาให้เราลุกขึ้นในเวลาที่ไม่เหมาะ ความแน่วแน่แห่งจิตก็จะมีไม่ได้. เพราะฉะนั้น การที่ถูกปลุกให้ลุกขึ้น จึงเป็นโทษข้อที่ ๓. เพราะกำจัดเสียได้ซึ่งหนาวและร้อน ก็จะทำให้ร่างกายบอบบาง (ไม่แข็งแรง) เป็นโทษข้อที่ ๔. คนเข้าไปสู่เรือน อาจทำความชั่วอย่างใดอย่างหนึ่งได้. เพราะฉะนั้น การที่ปกปิดสิ่งน่าติเตียน เป็นโทษข้อที่ ๕. การหวงแหนด้วยคิดว่าเป็นของเรา เป็นโทษข้อที่ ๖. ธรรมดา การมีเรือนแสดงว่าต้องมีภรรยา เป็นโทษข้อที่ ๗. เป็นของทั่วไปแก่ตนหมู่มาก เพราะเป็นสาธารณะแก่สัตว์มีเล็น เรือด และตุ๊กแกเป็นต้น เป็นโทษข้อที่ ๘. บทว่า อิเม ความว่า พระมหาสัตว์เห็นโทษ ๘ ประการเหล่านี้ แล้วจึงเลิกละบรรณศาลา. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เราเลิกละบรรณศาลา ที่เกลื่อนกล่นด้วยโทษ ๘ ประการ.
บทว่า อุปาคมึ รุกฺขมูลํ คุเณ ทสหุปาคตํ ความว่า พระมหาสัตว์กล่าวว่า เราห้ามที่มุงบัง เข้าหาโคนต้นไม้ที่ประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ ในข้อนั้น คุณ ๑๐ ประการมีดังต่อไปนี้ มีความยุ่งยากน้อยเป็นคุณข้อที่ ๑. เพราะเพียงแต่เข้าไปเท่านั้น ก็อยู่ที่นั่นได้. เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องดูแลรักษา เป็นคุณข้อที่ ๒. ก็ที่นั้น จะหัดกวาดก็ตาม ไม่ปัดกวาดก็ตาม ก็ใช้สอยได้อย่างสบายเหมือนกัน การที่ไม่ต้องบากบั่นนัก เป็นคุณข้อที่ ๓. ที่นั้น ปกปิดความนินทาไม่ได้ เพราะเมื่อคนทำความชั่วในที่นั้นย่อมละอาย. เพราะฉะนั้น การปกปิดความนินทาไม่ได้ เป็นคุณข้อที่ ๔. โคนไม้เหมือนกับอยู่ในที่กลางแจ้ง ย่อมไม่ยังร่างกายให้อึดอัด. เพราะฉะนั้น การที่ร่างกายไม่อึดอัด จึงเป็นคุณข้อ ๕. ไม่มีการต้องทำการหวงแหนไว้ เป็นคุณข้อที่ ๖. ห้ามเสียได้ซึ่งความอาลัยในบ้านเรือน เป็นคุณข้อที่ ๗. ไม่มีการที่จะต้องพูดว่า เราจักปัดกวาดเช็ดถู พวกท่านจงออกไป แล้วก็ไล่ไปเหมือนในเรือนที่ทั่วไปแก่คนหมู่มาก เป็นคุณข้อที่ ๘. ผู้อยู่ก็ได้รับความเอิบอิ่มใจ เป็นคุณข้อที่ ๙. ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ เพราะเสนาสนะ คือโคนต้นไม้ หาได้ง่ายไม่ว่าจะไปที่ไหน เป็นคุณข้อที่ ๑๐.
พระมหาสัตว์เห็นคุณ ๑๐ อย่างเหล่านั้น จึงกล่าวว่า เราเข้าอาศัยโคนต้นไม้ดังนี้. พระมหาสัตว์กำหนดเหตุมีประมาณเท่านี้ เหล่านั้นแล้ว วันรุ่งขึ้น ก็เข้าไปเพื่อภิกษา. ครั้งนั้น พวกมนุษย์ในบ้านที่ท่านไปถึง ได้ถวายภิกษาด้วยความอุตสาหะใหญ่. ท่านทำภัตกิจเสร็จแล้วมายังอาศรม นั่งลงแล้วคิดว่า เราบวชด้วยคิดว่า เราจะไม่ได้อาหารก็หาไม่. ธรรมดาว่า อาหารที่อร่อยนี้ ย่อมยังความเมาด้วยอำนาจมานะ และความเมาในความเป็นบุรุษให้เจริญ และที่สุดแห่งทุกข์ อันมีอาหารเป็นมูลไม่มี. ถ้ากระไร เราพึงเลิกละอาหารที่เกิดจากข้าวที่เขาหว่านและปลูก บริโภคผลไม้ที่หล่นเอง ดังนี้. จำเดิมแต่นั้น ท่านกระทำอย่างนั้น พากเพียรพยายามอยู่ในภายในสัปดาห์หนึ่ง ทำให้สมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ เกิดขึ้นได้แล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เราเลิกละข้าวที่หว่านที่ปลูกโดยเด็ดขาด มาบริโภคผลไม้ที่หล่นเอง ที่สมบูรณ์ด้วยคุณเป็นอันมาก เราเริ่มตั้งความเพียรในการนั่ง การยืน และการเดินจงกรมที่โคนต้นไม้นั้น ในภายในสัปดาห์หนึ่ง ก็ได้บรรลุอภิญญาพละ ดังนี้.
เมื่อสุเมธดาบสบรรลุอภิญญาพละอย่างนี้แล้ว ให้เวลาล่วงไปด้วยสุข อันเกิดจากสมาบัติ. พระศาสดาทรงพระนามว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ในการถือปฏิสนธิ การอุบัติขึ้น การตรัสรู้และการประกาศพระธรรมจักร โลกธาตุหมื่นหนึ่งแม้ทั้งสิ้นหวั่นไหว สั่นสะเทือนร้องลั่นไปหมด บุรพนิมิต ๓๒ ประการ ปรากฏขึ้นแล้ว. สุเมธบัณฑิตให้เวลาล่วงเลยไป ด้วยสุขอันเกิดแต่สมาบัติ ไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย ทั้งไม่ได้เห็นนิมิตแม้เหล่านั้นด้วย. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เมื่อเราบรรลุความสำเร็จในศาสนา เป็นผู้มีความชำนิชำนาญอย่างนี้ พระชินเจ้าผู้เป็นโลกนายกทรงพระนามว่าทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงถือกำเนิด เสด็จอุบัติขึ้น ตรัสรู้ แสดงพระธรรมเทศนา เราเอิบอิ่มอยู่ด้วยความยินดีในฌาน มิได้เห็นนิมิตทั้ง ๔ เลย.
ในกาลนั้น พระทศพลทรงพระนามว่า ทีปังกร มีพระขีณาสพสี่แสนห้อมล้อมแล้ว เสด็จจาริกไปตามลำดับ เสด็จถึงนคร ชื่อรัมมกะบางแห่งเป็นรัมมนคร เสด็จประทับ ณ สุทัสนมหาวิหาร. พวกชาวรัมมกนครได้กล่าวว่า ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ผู้เป็นใหญ่กว่าสมณะ ทรงบรรลุอภิสัมโพธิอย่างยิ่ง ทรงประกาศพระธรรมจักรอันบวร เสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จถึงรัมมกนคร แล้วเสด็จประทับอยู่ที่ สุทัสนมหาวิหาร. ต่างพากันถือเภสัช มีเนยใสและเนยข้นเป็นต้น และผ้าเครื่องนุ่งห่ม มีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ ณ ที่ใด ก็หลั่งไหลพากันติดตามไป ณ ที่นั้นๆ เข้าไปเฝ้าพระศาสดา แล้วถวายบังคม บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนา แล้วทูลนิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น พากันลุกจากที่นั่ง แล้วหลีกไป. ในวันรุ่งขึ้น ต่างพากันตระเตรียมมหาทาน ประดับประดานคร ตกแต่งหนทางที่จะเสด็จมาของพระทศพล. ในที่มีน้ำเซาะก็เอาดินถมทำพื้นที่ดินให้ราบเสมอ โรยทรายอันมีสีดังแผ่นเงิน โปรยปรายข้าวตอกและดอกไม้ ปักธงชายและธงแผ่นผ้า พร้อมด้วยผ้าย้อมสีต่างๆ ตั้งต้นกล้วยและหม้อน้ำเต็มด้วยดอกไม้เรียงรายเป็นแถว.
ในกาลนั้น สุเมธดาบสเหาะจากอาศรมบทของตน มาโดยทางอากาศ เบื้องบนของพวกมนุษย์เหล่านั้น เห็นพวกเขาร่าเริงยินดีกัน คิดว่า มีเหตุอะไรกันหนอ. จึงลงจากอากาศยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ถามพวกเขาว่า ท่านผู่เจริญ พวกท่านพากันประดับประดาทางนี้ เพื่อใคร ดังนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พวกมนุษย์มีใจยินดี นิมนต์พระตถาคต ในเขตแดนแห่งปัจจันตประเทศแล้ว พากันชำระสะสางทางเสด็จดำเนินมาของพระองค์. สมัยนั้น เราออกไปจากอาศรมของตน สะบัดผ้าเปลือกไม้ไปมาแล้ว ทีนั้น ก็เหาะไปทางอากาศ.
เราเห็นชนต่างเกิดความดีใจ ต่างยินดีร่าเริง ต่างปราโมทย์ จึงลงจากท้องฟ้า ไต่ถามพวกมนุษย์ทันทีว่า มหาชนยินดีร่าเริง ปราโมทย์ เกิดความดีใจ พวกเขาชำระสะสางถนนหนทาง เพื่อใคร.
พวกมนุษย์จึงเรียนว่า ข้าแต่ท่านสุเมธผู้เจริญ ท่านไม่ทราบอะไร พระทศพลทีปังกร ทรงบรรลุสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จจาริกมาถึงนครของพวกเราแล้ว เสด็จพำนักที่สุทัสนมหาวิหาร. พวกเรานิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมา จึงตกแต่งทางนี้ที่จะเป็น ที่เสด็จมาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าพระองค์นั้น. สุเมธดาบสคิดว่า แม้เพียงคำประกาศว่า พระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากในโลก จะป่วยกล่าวไปไย ถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า แม้เราก็ควรจะร่วมกับมนุษย์เหล่านั้น ตกแต่งทางเพื่อพระทศพลด้วย. ท่านจึงกล่าวกะพวกมนุษย์เหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าพวกท่านตกแต่งทางนี้เพื่อพระพุทธเจ้า ขอจงให้โอกาสส่วนหนึ่งแก่เราบ้าง แม้เราก็จักตกแต่งทาง เพื่อพระทศพลพร้อมกับพวกท่าน. พวกเขาก็รับปากว่า ดีแล้ว. ต่างรู้ว่า สุเมธดาบสมีฤทธิ์ จึงกำหนดที่ว่างซึ่งมีน้ำเซาะให้กล่าวว่า ท่านจงแต่งที่นี้เถิด แล้วมอบให้ไป.
สุเมธดาบสยึดเอาปีติ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ คิดว่า เราสามารถจะตกแต่ง ที่ว่างนี้ด้วยฤทธิ์ได้. แต่เมื่อเราตกแต่งเช่นนี้ ใจก็จะไม่ยินดีนัก. วันนี้ เราควรจะกระทำการรับใช้ด้วยกาย ดังนี้แล้ว ขนดินมาเทลงในที่ว่างนั้น. เมื่อที่ว่างแห่งนั้น ยังตกแต่งไม่เสร็จเลย พระทศพลทีปังกร มีพระขีณาสพผู้ได้อภิญญา ๖ มีอานุภาพมาก สี่แสนรูปห้อมล้อม. เมื่อเหล่าเทวดาบูชาอยู่ ด้วยของหอมและดอกไม้ทิพย์ เมื่อสังคีตบรรเลงอยู่ เมื่อเหล่ามนุษย์บูชาอยู่ ด้วยของหอมและดอกไม้ เสด็จเยื้องกรายบนพื้นมโนสิลา ด้วยพระพุทธลีลาอันหาที่สุดมิได้ ประดุจราชสีห์ เสด็จดำเนินมาสู่ทาง ที่ตกแต่งประดับประดาแล้วนั้น. สุเมธดาบสลืมตาทั้งสองขึ้น มองดูพระวรกายของพระทศพล ผู้เสด็จดำเนินมาตามทางที่ตกแต่งแล้ว ซึ่งถึงความเลิศด้วยพระรูปโฉม ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สวยงามด้วยพระอนุพยัญชนะ (ลักษณะส่วนประกอบ) ๘๐ ประการ แวดวงด้วยแสงสว่างมีประมาณวาหนึ่ง เปล่งพระพุทธรัศมีหนาทึบมีสี ๖ ประการออกมาดูประหนึ่งสายฟ้าหลายหลาก ในพื้นท้องฟ้ามีสีดุจแก้วมณี ฉายแสงแปลบปลาบอยู่ไปมาและเป็นคู่ๆ กัน จึงคิดว่า วันนี้เราควรกระทำการบริจาคชีวิตแด่พระทศพล. เพราะฉะนั้น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าได้ทรงเหยียบเปือกตม แต่จงทรงย่ำหลังของเรา เสด็จพร้อมกับพระขีณาสพสี่แสน เหมือนทรงเหยียบสะพานแก้วมณีเถิด ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่เราตลอดกาลนาน ดังนี้แล้วแก้ผมออก ลาดหนังเสือ ชฎาและผ้าเปลือกไม้วางลงบนเปือกตม ซึ่งมีสีดำ นอนบนหลังเปือกตมเหมือนสะพานแผ่นแก้วมณี เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พวกมนุษย์เหล่านั้นถูกเราถาม แล้วยืนยันว่า พระพุทธเจ้าผู้ยอดเยี่ยม เป็นพระชินะ เป็นพระโลกนายก ทรงพระนามว่า ทีปังกร เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก. พวกเขาแผ้วถาง ถนนหนทางเพื่อพระองค์ ปีติเกิดขึ้นแล้วแก่เราทันใด เพราะได้ฟังคำว่า พุทโธ. เราเมื่อกล่าวอยู่ว่า พุทโธ พุทโธ ก็ได้เสวยโสมนัสแล้ว เรายืนอยู่ในที่นั้นยินดี มีใจเกิดความสังเวช จึงคิดว่า เราจักปลูกพืชไว้ในที่นั้น ขณะอย่าได้ล่วงเลยเราไปเสียเปล่า. ถ้าพวกท่านจะแผ้วถาง หนทางเพื่อพระพุทธเจ้า ก็จงให้ที่ว่างแห่งหนึ่งแก่เรา. แม้เราก็จักแผ้วถาง ถนนหนทางที่นั้น. พวกเขาได้ให้ที่ว่างแก่เรา เพื่อจะแผ้วถางทาง.
เวลานั้น เรากำลังคิดอยู่ว่า พุทโธ พุทโธ แผ้วถางทาง เมื่อที่ว่างของเราทำไม่เสร็จ พระมหามุนีทีปังกรผู้เป็นพระชินเจ้า พร้อมกับพระขีณาสพสี่แสน ได้อภิญญา ๖ ผู้คงที่ ปราศจากมลทิน เสด็จดำเนินมาทางนั้น การต้อนรับต่างๆ ก็มีขึ้น กลองมากมายบรรเลงขึ้น เหล่าคนและเทวดาล้วนร่าเริง ต่างทำเสียงสาธุการลั่นไปทั่ว เหล่าเทวดาเห็นพวกมนุษย์ และแม้เหล่ามนุษย์ก็เห็นเทวดา. แม้ทั้งสองพวกนั้นต่างประคองอัญชลี เดินตามพระตถาคตไป. เหล่าเทวดาที่เหาะมาทางอากาศ ก็โรยปรายดอกมณฑารพ ดอกบัวหลวง ดอกปาริฉัตรอันเป็นทิพย์ไปทั่วทุกทิศ. เหล่าคนที่อยู่บนพื้นดินต่าง ก็ชูดอกจำปา ดอก (สัลลชะ) ดอกกระทุ่ม ดอกกากะทิง ดอกบุนนาค ดอกการะเกดไปทั่วทุกทิศ. เราแก้ผมออก เปลื้องผ้าเปลือกไม้และหนังเสือในที่นั้น ลาดลงบนเปือกตม นอนคว่ำหน้า พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยศิษย์จงทรงเหยียบเรา เสด็จไป อย่าได้เหยียบบนเปือกตมเลย. ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เรา ดังนี้.
สุเมธดาบสนั้นนอนบนหลังเปือกตมนั้นแล ลืมตาทั้งสอง เห็นพระพุทธสิริของพระทศพลทีปังกร จึงคิดว่า ถ้าเราพึงต้องการ ก็พึงเผากิเลสทั้งปวงหมด แล้วเป็นพระสงฆ์นวกะเข้าไปสู่รัมมกนครได้ แต่เราไม่มีกิจด้วยการเผากิเลส ด้วยเพศที่ใครไม่รู้จัก แล้วบรรลุนิพพาน. ถ้ากระไร เราพึงเป็นดังพระทศพลทีปังกร บรรลุพระอภิสัมโพธิญาณอย่างสูงยิ่ง แล้วขึ้นสู่ธรรมนาวา ให้มหาชนข้ามสงสารสาครได้ แล้วปรินิพพานภายหลัง ข้อนี้สมควรแก่เรา. ดังนี้แล้ว ต่อจากนั้น ประมวลธรรม ๘ ประการ กระทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนอนลง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นิทานกถา
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
หน้าต่างที่ ๒ / ๘.

ปรินิพพานภายหลัง ข้อนี้สมควรแก่เรา. ดังนี้แล้ว ต่อจากนั้น ประมวลธรรม ๘ ประการ กระทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนอนลง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เมื่อเรานอนบนแผ่นดินได้มีความคิดอย่างนี้ว่า วันนี้ เราเมื่อปรารถนาอยู่ ก็พึงเผากิเลสของเราได้. จะมีประโยชน์อะไรแก่เราเล่า ด้วยการทำให้แจ้งธรรมในที่นี้ ด้วยเพศที่ใครๆ ไม่รู้จัก. เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก พร้อมทั้งเทวโลก. จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา ด้วยลูกผู้ชายผู้มีรูปร่างแข็งแรงนี้ ข้ามฝั่งไปคนเดียว. เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วจักให้มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาข้ามฝั่ง. ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่ของเรา ด้วยลูกผู้ชายผู้มีรูปร่างแข็งแรงนี้ เราบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จะให้เหล่าชนมากมายข้ามฝั่ง. เราตัดกระแสน้ำ คือสงสาร ทำลายภพทั้งสามแล้ว ขึ้นสู่ธรรมนาวา จักให้มนุษย์พร้อมทั้งเทวดาข้ามฝั่ง ดังนี้.
ก็เมื่อบุคคลปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่จะสำเร็จได้ เพราะประมวลมาซึ่งธรรม ๘ ประการ คือ ความเป็นมนุษย์ ๑ ความถึงพร้อมด้วยเพศ ๑ เหตุ ๑ การเห็นพระศาสดา ๑ การบรรพชา ๑ การสมบูรณ์ด้วยคุณ ๑ การกระทำยิ่งใหญ่ ๑ ความพอใจ ๑.
จริงอยู่ เมื่อบุคคลดำรงอยู่ใน ภาวะแห่งความเป็นมนุษย์นั่นแหละ ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนา ย่อมสำเร็จ. ความปรารถนาของนาค ครุฑหรือเทวดา หาสำเร็จไม่. แม้ในภาวะแห่งความเป็นมนุษย์ เมื่อเขาดำรงอยู่ในเพศบุรุษเท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จ. ความปรารถนาของหญิง หรือบัณเฑาะก์ กระเทย และอุภโตพยัญชนก ก็หาสำเร็จไม่. แม้สำหรับบุรุษ ความปรารถนาของผู้สมบูรณ์ด้วยเหตุที่จะบรรลุอรหัต แม้ในอัตภาพนั้นเท่านั้น จึงจะสำเร็จได้ นอกนี้หาสำเร็จไม่. แม้สำหรับผู้ที่สมบูรณ์ด้วยเหตุ ถ้าเมื่อปรารถนาในสำนักของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จ เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เมื่อปรารถนาในที่ใกล้เจดีย์ หรือที่โคนต้นโพธิ์ ก็หาสำเร็จไม่. แม้เมื่อปรารถนาในสำนักของพระพุทธเจ้า ความปรารถนาของผู้ที่ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตเท่านั้น จึงจะสำเร็จ. ผู้ที่ดำรงอยู่ในเพศคฤหัสถ์ หาสำเร็จไม่. แม้ผู้เป็นบรรพชิต ความปรารถนาของผู้ที่ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ เท่านั้น จึงจะสำเร็จ. ผู้ที่เว้นจากคุณสมบัตินี้ นอกนี้หาสำเร็จไม่. แม้ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยคุณแล้วก็ตาม ความปรารถนาของผู้ที่ได้ กระทำการบริจาคชีวิตของตนแด่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่นี้เท่านั้น จึงจะสำเร็จ. ของคนนอกนี้หาสำเร็จไม่. แม้ผู้ที่จะสมบูรณ์ด้วยการกระทำอันยิ่งใหญ่แล้ว ยังจะต้องมีฉันทะอันใหญ่หลวง อุตสาหะ ความพยายามและการแสวงหาอันใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ความปรารถนาจึงจะสำเร็จ. คนอื่นนอกจากนี้หาสำเร็จไม่.
ในข้อที่ฉันทะจะต้องยิ่งใหญ่นั้น มีข้ออุปมาดังต่อไปนี้. ก็ถ้าจะพึงเป็นไปอย่างนี้ว่า ผู้ใดสามารถที่จะใช้กำลังแขนของตน ข้ามห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ที่เป็นน้ำผืนเดียวกันหมด แล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้. หรือว่า ผู้ใดเดินด้วยเท้าสามารถที่จะเหยียบย่ำ ห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ที่ปกคลุมด้วยกอไผ่ แล้วถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้. หรือว่า ผู้ใดปักดาบทั้งหลายลง แล้วเอาเท้าเหยียบห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ซึ่งเต็มไปด้วยฝักดาบ สามารถที่จะถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้. หรือว่า ผู้ใดเอาเท้าย่ำห้วงแห่งจักรวาลทั้งสิ้น ซึ่งเต็มไปด้วยถ่านมีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง สามารถที่จะถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้. ผู้ใดไม่สำคัญเหตุเหล่านั้น แม้เหตุหนึ่งว่าเป็นของที่คนทำได้ยาก คิดแต่ว่า เราจักข้าม หรือไปถือเอาซึ่งฝั่งข้างหนึ่งจนได้ ดังนี้. เขาผู้นั้นจัดว่า เป็นผู้ประกอบด้วยฉันทะ อุตสาหะ ความพยายาม และการแสวงหาอันใหญ่ ความปรารถนาของเขาย่อมสำเร็จ คนนอกนี้หาสำเร็จไม่.
ก็สุเมธดาบส แม้จะประมวลธรรมทั้ง ๘ ประการเหล่านั้นได้แล้ว ยังการทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า แล้วนอนลง. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร เสด็จมาประทับยืน ที่เบื้องศีรษะของสุเมธดาบส ทรงลืมพระเนตรทั้งสองอันสมบูรณ์ ด้วยประสาทมีวรรณะ ๕ ชนิด ประหนึ่งว่า เปิดอยู่ซึ่งสีหบัญชรแก้วมณี ทอดพระเนตรเห็นสุเมธดาบสนอนบนหลังเปือกตม ทรงดำริว่า ดาบสนี้กระทำความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ หรือไม่หนอ. ทรงส่งพระอนาคตังสญาณ ใคร่ครวญอยู่ ทรงทราบว่า ล่วงสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม ยังประทับยืนอยู่นั่นแหละทรงพยากรณ์ แล้วด้วยตรัสว่า พวกท่านจงดาบสผู้มีตบะสูงนี้ ซึ่งนอนอยู่บนหลังเปือกตม. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นแล้ว พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า
ดาบสนี้กระทำ ความปรารถนายิ่งใหญ่เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า นอนแล้ว ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จ ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนับแต่นี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามว่าโคดม ก็ในอัตภาพนั้นของเขา นครนามว่า กบิลพัสดุ์ จักเป็นที่อยู่อาศัย พระเทวีทรงพระนามว่ามายา เป็นพระมารดา พระราชาทรงพระนามว่าสุทโธทนะ เป็นพระราชบิดา พระเถระชื่ออุปติสสะ เป็นอัครสาวก พระเถระชื่อโกลิตะ เป็นอัครสาวกที่สอง พุทธอุปฐากชื่ออานนท์ พระเถรีนามว่าเขมา เป็นอัครสาวิกา พระเถรีนามว่าอุบลวรรณา เป็นอัครสาวิกาที่สอง เขามีญาณแก่กล้าแล้ว ออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่ รับข้าวปายาสที่โคนต้นไทร เสวยที่ฝั่งเเม่น้ำเนรัญชรา ขึ้นสู่โพธิมณฑล จักตรัสรู้ที่โคนต้นอัสสัตถพฤกษ์. ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ผู้ทรงรู้แจ้งซึ่งโลก ผู้ทรงรับเครื่องบูชา ประทับยืน ณ เบื้องศีรษะ ได้ตรัสคำนี้กะเราว่า
พวกท่านจงดูดาบสผู้เป็นชฏิล ผู้มีตบะสูงนี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ในกัปที่นับไม่ถ้วนแต่กัปนี้ เขาเป็นตถาคตจะออกจากนครชื่อ กบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียร กระทำทุกรกิริยา นั่งที่โคนต้นอชปาลนิโครธ ประคองข้าวปายาส ไปยังแม่น้ำเนรัญชราในที่นั้น พระชินเจ้าพระองค์นั้นทรงถือข้าวปายาสไปที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จถึงโคนต้นโพธิ์โดยทางที่เขาแต่งไว้ดีแล้ว.
ลำดับนั้น พระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระยศใหญ่ มิมีใครยิ่งกว่า กระทำประทักษิณโพธิมณฑลแล้ว จักตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ. พระมารดาผู้เป็นชนนีของเขาจักมีนามว่า มายา. พระบิดาจักมีนามว่า สุทโธทนะ. เขาจักมีนามว่า โคดม. พระโกลิตะและอุปติสสะจักเป็นอัครสาวก ผู้หาอาสวะมิได้ ปราศจากราคะแล้ว มีจิตอันสงบตั้งมั่น. อุปฐากนามว่าอานนท์ จักเป็นอุปฐากพระชินเจ้านั้น. นางเขมาและนางอุบลวรรณา จักเป็นอัครสาวิกา ผู้หาอาสวะมิได้ ปราศราคะแล้ว มีจิตสงบตั้งมั่น. ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จักเรียกกันว่า อัสสัตถพฤกษ์ ดังนี้.
สุเมธดาบสได้บังเกิดโสมนัสว่า นัยว่า ความปรารถนาของเราจักสำเร็จ ดังนี้. มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระทศพลทีปังกร แล้วต่างได้พากันร่าเริงยินดีว่า นัยว่า สุเมธดาบสเป็นพืชแห่งพระพุทธเจ้า เป็นหน่อแห่งพระพุทธเจ้า และพวกเขาเหล่านั้นก็ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาว่า บุรุษเมื่อจะข้ามแม่น้ำ ไม่สามารถข้ามโดยท่าโดยตรงได้ ย่อมข้ามโดยท่าข้างใต้ ฉันใด แม้พวกเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อไม่ได้มรรคและผลในศาสนาของพระทศพลทีปังกร ในกาลใดในอนาคต ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า. ในกาลนั้น พวกเราพึงสามารถกระทำให้แจ้ง ซึ่งมรรคและผลในที่ต่อหน้าของท่าน ดังนี้ ต่างพากันตั้งความปรารถนาไว้. แม้พระทศพลทีปังกรทรงสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ทรงบูชาด้วยดอกไม้ ๘ กำมือ ทรงกระทำประทักษิณ แล้วเสด็จหลีกไป. แม้พระขีณาสพนับได้สี่แสนต่างก็พากันบูชาพระโพธิสัตว์ ด้วยของหอมและพวงดอกไม้ กระทำประทักษิณ แล้วหลีกไป.
พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นจากที่นอน ในเวลาที่คนทั้งปวงหลีกไปแล้ว คิดว่า เราจักตรวจตราดูบารมีทั้งหลาย. ดังนี้ จึงนั่งขัดสมาธิบนที่สุดของกองดอกไม้. เมื่อพระโพธิสัตว์นั่งแล้วอย่างนี้ เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นได้ให้สาธุการ กล่าวว่า ข้าแด่พระผู้เป็นเจ้าสุเมธดาบส ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เก่าก่อนทั้งหลายนั่งขัดสมาธิ ด้วยคิดว่า เราจักตรวจตราบารมีทั้งหลาย ชื่อว่าบุรพนิมิตเหล่าใดจะปรากฏ. บุรพนิมิตเหล่านั้น แม้ทั้งหมดปรากฏแจ่มแจ้งแล้วในวันนี้. ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พวกเราก็รู้ข้อนั้น นิมิตเหล่านี้ปรากฏแก่ผู้ใด ผู้นั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว. ท่านจงประคองความเพียรของตนให้มั่นดังนี้ กล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ด้วยคำสรรเสริญนานาประการ. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
คนและเทวดาได้ฟังคำนี้ ของพระพุทธเจ้าผู้หาผู้เสมอมิได้ ผู้ทรงแสวงหาคุณใหญ่ ต่างยินดีว่า ดาบสนี้เป็นพืช และเป็นหน่อพระพุทธเจ้า เสียงโห่ร้องดังลั่นไป. มนุษย์พร้อมเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ต่างปรบมือ หัวเราะร่า ต่างประคองอัญชลี นมัสการ. ถ้าพวกเราจักพลาดศาสนาของพระโลกนาถ ก็จักอยู่เฉพาะหน้าท่านผู้นี้ ในกาลไกลในอนาคต. มนุษย์เมื่อจะข้ามฝั่ง พลาดท่าที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้า ก็จะถือเอาท่าข้างใต้ข้ามแม่น้ำใหญ่ต่อไปได้ ฉันใด พวกเราแม้ทั้งหมดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าพ้นพระชินเจ้านี้ไป ก็จักอยู่เฉพาะหน้าท่านผู้นี้ ในกาลไกลในอนาคต.
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้ทรงรับเครื่องบูชา ทรงกำหนดกรรมของเราไว้แล้ว จึงทรงยกพระบาทเบื้องขวาเสด็จไป พระสาวกผู้เป็นพระชินบุตรเหล่าใดได้มีอยู่ในที่นั้น เหล่านั้นทั้งหมดได้ทำประทักษิณเรา. คน นาค คนธรรพ์ ต่างก็กราบไหว้แล้วหลีกไป. เมื่อพระโลกนายกพร้อมด้วยพระสงฆ์ล่วงทัศนวิสัยของเราแล้ว มีจิตยินดีและร่าเริง เราจึงลุกขึ้นจากอาสนะ ในบัดนั้น.
ครั้งนั้น เราสบายใจด้วยความสุข บันเทิงใจด้วยความปราโมทย์ ท่วมท้นด้วยปีติ นั่งขัดสมาธิอยู่. ทีนั้น เรานั่งขัดสมาธิ แล้วคิดได้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ชำนาญในฌาน ถึงความเต็มเปี่ยมในอภิญญาแล้วในโลกตั้งพัน ฤๅษีที่เสมอกับเราไม่มี เราไม่มีใครเสมอในฤทธิธรรม จึงได้ความสุขเช่นนี้ ในการนั่งขัดสมาธิของเรา เทวดาและมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในหมื่นจักรวาล ต่างเปล่งเสียงบรรลือลั่นว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน นิมิตใดจะปรากฏในการนั่งขัดสมาธิของพระโพธิสัตว์ในกาลก่อนนิมิตเหล่านั้น ก็ปรากฏแล้วในวันนี้.
ความหนาวก็เหือดหาย ความร้อนก็ระงับเหล่านี้ก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. โลกธาตุหมื่นหนึ่งก็ปราศจากเสียง ไม่มีความยุ่งเหยิง เหล่านี้ก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. พายุใหญ่ก็ไม่พัด แม่น้ำลำคลองก็ไม่ไหล เหล่านี้ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. ดอกไม้ทั้งหลายที่เกิดบนบกและเกิดในน้ำ ทั้งหมดต่างก็บานในทันใด ดอกไม้เหล่านั้นทั้งหมดก็ผลิตผลในวันนี้. รัตนะทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในอากาศและตั้งอยู่บนพื้นดิน ต่างก็ส่องแสงในทันใด รัตนะแม้เหล่านั้น ก็ส่องแสงในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. ดนตรีทั้งของมนุษย์และเป็นทิพย์ต่างบรรเลงขึ้นในทันใด แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็ขับขานขึ้นในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
ท้องฟ้ามีดอกไม้สวยงาม ก็ตกลงเป็นฝนในทันใด แม้เหล่านั้นก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. มหาสมุทรก็ม้วนตัวลง โลกธาตุหมื่นหนึ่งก็หวั่นไหว แม้ทั้งสองอย่างนั้นก็ดังลั่นไปในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. ไฟในนรกหมื่นขุมย่อมดับในขณะนั้น แม้วันนี้ไฟนั้นก็ดับแล้ว ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่. พระอาทิตย์ก็ปราศจากเมฆหมอก ดาวทั้งปวงก็มองเห็นได้ แม้เหล่านี้ก็ปรากฏในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. น้ำพุ่งประทุขึ้นจากแผ่นดิน โดยที่ฝนมิได้ตกเลย วันนี้น้ำก็พุ่งประทุขึ้นในทันใดนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. หมู่ดาวก็สว่างไสว ดาวฤกษ์ก็สว่างไสวในท้องฟ้า พระจันทร์ประกอบด้วยวิสาขฤกษ์ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
สัตว์ที่อาศัยอยู่ในโพรง อาศัยอยู่ในซอกเขา ต่างก็ออกมาจากที่อยู่ของตน วันนี้แม้สัตว์เหล่านี้ก็ทิ้งที่อยู่อาศัย ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. ความไม่ยินดีไม่มีแก่สัตว์ทั้งหลาย เขาต่างถือสันโดษ วันนี้สัตว์แม้เหล่านั้นทั้งหมดก็ถือสันโดษ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. คราวนั้น โรคทั้งหลายก็สงบระงับ และความหิวก็พินาศไป วันนี้ก็ปรากฏ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. คราวนั้น ราคะก็เบาบาง โทสะโมหะก็พินาศ กิเลสเหล่านั้นทั้งปวงก็ปราศจากไป ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. คราวนั้น ภัยก็ไม่มี แม้วันนี้ข้อนั้นก็ปรากฏ พวกเรารู้ได้ด้วยนิมิตนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. ธุลีไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบน แม้วันนี้ข้อนั้นก็ปรากฏ พวกเรารู้ได้ด้วยนิมิตนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. กลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาก็ถอยห่างไป มีแต่กลิ่นทิพย์ฟุ้งไปทั่ว วันนี้แม้กลิ่นก็ฟุ้งอยู่ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
เหล่าเทวดาทั้งสิ้นเว้นอรูปพรหมก็ปรากฏ วันนี้เทวดาแม้เหล่านั้นทั้งหมดก็มองเห็นได้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. ขึ้นชื่อว่านรกมีเพียงใด ทั้งหมดนั้นก็เห็นได้ในทันใด แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. คราวนั้นฝาผนัง บานประตู แผ่นหิน ไม่เป็นเครื่องกีดขวางได้ แม้สิ่งเหล่านั้น วันนี้ก็กลายเป็นที่ว่างหมด ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. การจุติ การอุบัติ ไม่มีในขณะนั้น วันนี้นิมิตเหล่านั้นก็ปรากฏ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. ท่านจงประคองความเพียรให้มั่น อย่าได้ถอยกลับ จงก้าวหน้าไป แม้พวกเราก็รู้ข้อนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน ดังนี้.
พระโพธิสัตว์ได้ฟัง พระดำรัสของพระทศพลทีปังกร และถ้อยคำของเทวดาในหมื่นจักรวาล เกิดความอุตสาหะโดยประมาณยิ่งขึ้น จึงคิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่ว่างเปล่า ถ้อยคำของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีเป็นอย่างอื่น. เหมือนอย่างว่า ก้อนดินที่ขว้างไปในอากาศจะต้องตก. สัตว์ที่เกิดแล้ว จะต้องตาย. เมื่ออรุณขึ้น พระอาทิตย์ก็ต้องขึ้น. ราชสีห์ที่ออกจากถ้ำที่อาศัย จะต้องบันลือสีหนาท. หญิงที่ครรภ์แก่จะต้องปลดเปลื้องภาระ [คลอด] เป็นของแน่นอน จะต้องมีเป็นแน่แท้ ฉันใด. ธรรมดาพระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นของแน่นอนไม่ว่างเปล่า ฉันนั้น. เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ดังนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เราฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้า และของเทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสองฝ่ายแล้ว มีความร่าเริง ยินดีเกิดปราโมทย์ จึงคิดขึ้นอย่างนี้ในคราวนั้นว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เป็นพระชินเจ้า ไม่มีพระดำรัสเป็นสอง มีพระดำรัสไม่ว่างเปล่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีพระดำรัสไม่จริง เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน. ก้อนดินที่ขว้างไปในท้องฟ้า ย่อมตกบนพื้นดินแน่นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง แม้ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง.
เมื่อถึงเวลาราตรีสิ้น พระอาทิตย์ก็ขึ้นแน่นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง. ราชสีห์ที่ลุกขึ้นจากที่นอน จะต้องบันลือสีหนาทแน่นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง. สัตว์ผู้มีครรภ์จะต้องเปลื้องภาระ [หญิงมีครรภ์จะต้องตลอด] ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมแน่นอนและเที่ยงตรง ดังนี้.
สุเมธดาบสนั้น กระทำการตกลงใจอย่างนี้ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน เพื่อที่จะใคร่ครวญถึง ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า. เมื่อตรวจตราดู ธรรมธาตุทั้งสิ้นโดยลำดับว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่ ณ ที่ไหนหนอ เบื้องสูงหรือเบื้องต่ำ ในทิศใหญ่หรือทิศน้อย ดังนี้. ได้เห็น ทานบารมีข้อที่ ๑ ที่พระโพธิสัตว์แต่เก่าก่อนทั้งหลายถือปฏิบัติเป็นประจำ จึงกล่าวสอนตนอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต จำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญทานบารมีข้อแรกให้เต็ม เหมือนอย่างว่าหม้อน้ำที่คว่ำแล้ว ย่อมคายน้ำออกไม่เหลือไม่นำกลับเข้าไปอีกฉันใด แม้ท่านเมื่อไม่เหลียวแลทรัพย์ ยศ บุตร ภริยาหรืออวัยวะใหญ่น้อย ให้สิ่งที่เขาต้องการอยากได้ทั้งหมดแก่ผู้ขอ ที่มาถึงกระทำมิให้มีส่วนเหลืออยู่ จักได้นั่งที่โคนต้นโพธิ์เป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้. ท่านได้อธิษฐานทานบารมีข้อแรก ทำให้มั่นแล้ว. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เอาเถอะเราจะเลือกเฟ้นธรรม ที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ทางโน้นและทางนี้ทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำตลอดสิบทิศ ตราบเท่าถึงธรรมธาตุนี้ ครั้งนั้น เมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่จึงได้เห็นทานบารมี ที่เป็นทางใหญ่เป็นข้อแรก ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ประพฤติสืบกันมาแล้ว. ท่านจงยึดทานบารมีข้อที่ ๑ นี้ทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นทานบารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ หม้อที่เต็มน้ำใครผู้ใดผู้หนึ่งคว่ำลง ก็จะคายน้ำออกจนไม่เหลือ ไม่ยอมรักษาไว้ แม้ฉันใด ท่านเห็นยาจกไม่ว่าจะต่ำทราม สูงส่งและปานกลาง จงให้ทานอย่าให้เหลือไว้ เหมือนหม้อน้ำที่เขาคว่ำลง ฉันนั้นเถิด ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญอยู่ยิ่งๆ ขึ้นด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย. เขาได้เห็นศีลบารมีข้อที่ ๒ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญศีลบารมีให้เต็มเปี่ยม เหมือนอย่างว่า ธรรมดาว่า เนื้อจามรีไม่เหลียวแลแม้ชีวิต รักษาหางของตนอย่างเดียว ฉันใด จำเดิมแต่นี้ แม้ท่านก็ไม่เหลียวแลแม้ชีวิต รักษาศีลอย่างเดียว จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้. เขาได้อธิษฐานศีลบารมีข้อที่สอง ทำให้มั่นแล้ว. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักหามีเพียงเท่านี้ไม่ เราจักเลือกเฟ้นธรรม แม้อย่างอื่นที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นศีลบารมีข้อ ๒ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อน ถือปฏิบัติเป็นประจำ. ท่านจงยึดถือศีลบารมีข้อที่ ๒ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นศีลบารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ. จามรี หางคล้องติดในที่ไหนก็ตาม ก็จะยอมตายในที่นั้น ไม่ยอมให้ทางหลุดลุ่ย ฉันใด ท่านจงบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ในภูมิทั้งสี่ จงรักษาศีลในกาลทุกเมื่อ เหมือนจามรีรักษาหาง ฉันนั้นเถิด ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญอยู่ยิ่งๆ ขึ้นด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย. เขาได้เห็นเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีให้เต็มเปี่ยม เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้อยู่ในเรือนจำ มิได้มีความรักใคร่ในเรือนจำนั้นเลย โดยที่แท้เขาย่อมรำคาญอย่างเดียว และไม่อยากจะอยู่เลย ฉันใด แม้ท่านก็จงทำภพทั้งปวง ให้เป็นเช่นกับเรือนจำ รำคาญอยากจะพ้นไปจากภพทั้งปวง มุ่งหน้าต่อการออกบวช ฉันนั้นเหมือนกัน. ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า โดยอาการอย่างนี้ ดังนี้. เขาได้อธิษฐานเนกขัมมบารมีข้อที่สาม มั่นแล้ว. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรม แม้เหล่าอื่นที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. คราวนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำ. ท่านจงยึดเนกขัมมบารมีข้อที่ ๓ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นเนกขัมมบารมี หากท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ. บุรุษผู้อยู่ในเรือนจำนาน ลำบากเพราะทุกข์ มิได้เกิดความยินดีในที่นั้น ย่อมแสวงหาทางที่จะพ้นไปฝ่ายเดียว ฉันใด ท่านจงเห็นภพทั้งปวงเหมือนเรือนจำ จงตั้งหน้ามุ่งต่อการออกบวช เพื่อพ้นจากภพ ฉันนั้นเถิด ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านั้นเลย. เขาได้เห็นปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญปัญญาบารมีให้บริบูรณ์ ท่านอย่าได้เว้นใครๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นคนชั้นเลว ชั้นปานกลางและชั้นสูง พึงเข้าไปหาบัณฑิตทุกคน แล้วถามปัญหา เหมือนอย่างว่า ภิกษุผู้เที่ยวไปบิณฑบาตมิได้เว้นตระกูลไรๆ ในบรรดาตระกูลที่แตกต่างกัน มีตระกูลชั้นต่ำเป็นต้น เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับ ย่อมได้อาหารพอยังชีพโดยพลัน ฉันใด. แม้ท่านก็เข้าไปหาบัณฑิตแล้วได้ถามอยู่ จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ฉันนั้น ดังนี้. เขาได้อธิษฐานกระทำปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ให้มั่น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ก็พุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีเพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรม แม้เหล่าอื่นที่บ่มโพธิญาณอีก. ในกาลนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นปัญญาบารมีข้อที่ ๔ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่ครั้งเก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำ. ท่านจงยึดปัญญาบารมีข้อที่ ๔ นี้กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นปัญญาบารมี หากท่านปรารถนาที่จะบรรลุโพธิญาณ. ภิกษุเมื่อขอเขาไม่เว้นตระกูลสูง ปานกลางและต่ำ ย่อมได้ภิกษาพอเลี้ยงชีพ โดยอาการอย่างนี้ ฉันใด ท่านเมื่อไต่ถามชนผู้รู้ ตลอดกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นปัญญาบารมี จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย. เขาได้เห็นวิริยบารมีข้อที่ ๕ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญวิริยบารมีให้เต็มเปี่ยม เหมือนอย่างว่า ราชสีห์พระยามฤคราช เป็นสัตว์มีความเพียรมั่น ในทุกอิริยาบถ ฉันใด แม้ท่านเมื่อเป็นผู้มีความเพียรนั่น มีความเพียรไม่ย่อหย่อน จักเป็นพระพุทธเจ้าได้. เขาได้อธิษฐานวิริยบารมีข้อที่ ๕ กระทำให้มั่นแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้เลย เราจักเลือกเฟ้นธรรม แม้เหล่าอื่นที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. ครั้งนั้น เมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ก็ได้เห็นวิริยบารมีข้อที่ ๕ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่เก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำ. ท่านจงยึดวิริยบารมีข้อที่ ๕ นี้ กระทำให้มั่นก่อน จงถึงความเป็นวิริยบารมี หากท่านปรารถนาบรรลุโพธิญาณ. ราชสีห์พระยามฤคราช มีความเพียรไม่ย่อหย่อน มีใจประคับประคองตลอดเวลา ฉันใด ท่านประคองความเพียรให้มั่น ในภพทั้งปวง ถึงความเป็นวิริยบารมีแล้ว จักบรรลุโพธิญาณ ฉันนั้นเหมือนกัน ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย. เขาได้เห็นขันติบารมีข้อที่ ๖ ได้มีความคิดว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญขันติบารมีให้เต็มเปี่ยม พึงเป็นผู้อดทนได้ทั้งในความนับถือ ทั้งในความดูหมิ่น เหมือนอย่างว่า คนทั้งหลายทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ลงบนแผ่นดิน แผ่นดินย่อมไม่กระทำความชอบใจ ไม่กระทำความแค้นใจ มีแต่อดทน อดกลั้นเท่านั้น ฉันใด แม้ท่านเมื่อ อดทนได้ในความนับถือก็ดี ในความดูหมิ่นก็ดี จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้. เขาได้อธิษฐานขันติบารมีข้อที่ ๖ เพราะทำให้มั่นแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้เลย เราจักเลือกเฟ้นธรรม แม้เหล่าอื่นที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. ครั้งนั้น เมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นขันติบารมีข้อที่ ๖ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำ. ท่านจงยึดขันติบารมีข้อที่ ๖ นี้ กระทำให้มั่นก่อน มีใจไม่ลังเล ในข้อนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณ. ธรรมดา แผ่นดินย่อมทนต่อสิ่งของที่เขาทิ้งลง สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้างทุกอย่าง ไม่กระทำความแค้นใจ มีแต่เอ็นดู ฉันใด แม้ท่านเป็นผู้อดทนต่อความนับถือ และความดูหมิ่นของตนทั้งปวงได้ ถึงความเป็นขันติบารมีแล้ว จักบรรลุโพธิญาณได้ ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย. เขาได้เห็นสัจบารมีข้อที่ ๗ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญสัจบารมีให้เต็มเปี่ยม อย่าได้กระทำการพูดเท็จทั้งรู้ตัวอยู่ ด้วยมุ่งทรัพย์เป็นต้น แม้เมื่อ อสนีบาตจะตกลงบนกระหม่อมของท่าน เหมือนอย่างว่า ธรรดา ดาวประกายพฤกษ์ในทุกฤดู หาเว้นทางโคจรของตนไม่ จะไม่โคจรไปในทางอื่น โคจรไปเฉพาะในทางของตนเท่านั้น ฉันใด แม้ท่านไม่ละสัจจะ ไม่กระทำ การพูดเท็จเด็ดขาด จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้. เขาได้อธิษฐานสัจบารมีข้อที่ ๗ กระทำให้มั่นแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้ เราจักเลือกเฟ้นธรรม แม้เหล่าอื่นที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. คราวนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นสัจบารมีข้อที่ ๗ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำกันมา. ท่านจงยึดสัจบารมีข้อที่ ๗ นี้กระทำให้มั่นก่อน มีคำพูดไม่เป็นสอง ในข้อนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้. ธรรมดาว่า ดาวประกายพฤกษ์นั้นเป็นคันชั่ง (เที่ยงตรง) ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ย่อมไม่โคจรแวะเวียนไปนอกทาง ไม่ว่าในสมัยหรือในฤดู และปีใด ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้นเหมือนกัน อย่าเดินเฉไปจากทางในสัจจะทั้งหลาย ถึงความเป็นสัจบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อเขาใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปโดยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย. เขาได้เห็นอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี ท่านอธิษฐานสิ่งใดไว้ พึงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในอธิษฐานนั้น เหมือนอย่างว่า ธรรมดา ภูเขาเมื่อลมทั่วทุกทิศพัดกระทบอยู่ ย่อมไม่สะเทือน ไม่หวั่นไหว ยังคงตั้งอยู่ในที่เดิมของตน ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เป็นผู้ไม่หวั่นไหวในความตั้งใจมั่นของตน จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้. เขาได้อธิษฐานอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ กระทำให้มั่นแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ความจริง พุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียง เท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรม แม้เหล่าอื่นที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. คราวนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำสืบกันก่อน. ท่านจงยึดอธิษฐานบารมีข้อที่ ๘ นี้ กระทำให้มั่นก่อน ท่านเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในข้อนั้น แล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณ. ภูเขาหินไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นแล้ว ย่อมไม่สะเทือนด้วยลมกล้า ย่อมตั้งอยู่ในที่เดิมของตนเท่านั้น ฉันใด ท่านจงไม่หวั่นไหวในความตั้งใจจริง ตลอดกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นอธิษฐานบารมีแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณ ดังนี้.
ลำดับนั้น เมื่อเขาได้ใคร่ครวญยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย. เขาได้เห็นเมตตาบารมีข้อที่ ๙ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า. ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญเมตตาบารมีให้เต็มเปี่ยม ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เกื้อกูล และมิใช่ประโยชน์ เกื้อกูล พึงมีจิตเป็นอย่างเดียวกัน เหมือนอย่างว่า ธรรมดาว่า น้ำย่อมกระทำให้เย็นแผ่ซ่านไปเช่นเดียวกันทั้งแก่คนชั่ว ทั้งแก่คนดี ฉันใด แม้ท่านเมื่อเป็นผู้มีน้ำใจเป็นอันเดียวกัน ด้วยเมตตาจิตในสัตว์ทั้งปวง จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังนี้. เขาได้อธิษฐานเมตตาบารมีข้อที่ ๙ กระทำให้มั่นแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ความจริงพุทธธรรมเหล่านี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมเหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. คราวนั้น เมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นเมตตาบารมีข้อที่ ๙ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำกันมา. ท่านจงยึดเมตตาบารมีข้อที่ ๙ นี้ กระทำให้มั่นก่อน ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณ ก็จงเป็นผู้ไม่มีใครเสมอด้วยเมตตา. ธรรมดา น้ำย่อมแผ่ความเย็นไปให้คนดี และคนเลวเสมอกัน ชะล้างมลทิน คือธุลี ออกได้ ฉันใด แม้ท่านก็จงเจริญ เมตตาให้สม่ำเสมอ ไปในคนทั้งที่เกื้อกูล และไม่เกื้อกูล ฉันนั้นเถิด. ท่านถึงความเป็นเมตตาบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ ดังนี้.
ต่อมา เมื่อเขาใคร่ครวญ แม้ยิ่งขึ้นไปอีกด้วยคิดว่า ธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่พึงมีเพียงเท่านี้เลย จึงได้เห็นอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับจำเดิมแต่นี้ไป ท่านพึงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี พึงวางใจเป็นกลาง ในสุขก็ดีในทุกข์ก็ดี เหมือนอย่างว่า ธรรมดา แผ่นดิน เมื่อคนทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ย่อมวางใจเป็นกลางทีเดียว ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น เมื่อวางใจเป็นกลางได้ในสุขและทุกข์ ก็จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. เขาได้อธิษฐานอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ ทำให้มั่นแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ความจริงพุทธธรรมนี้ จักไม่มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ เราจักเลือกเฟ้นธรรมเหล่าอื่น ที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ. คราวนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ก็ได้เห็นอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่เก่าก่อนทั้งหลาย ถือปฏิบัติเป็นประจำสืบกันมา. ท่านจงยืดอุเบกขาบารมีข้อที่ ๑๐ นี้ กระทำให้มั่นก่อน ท่านเป็นผู้มั่นคงประดุจตราชู จักบรรลุพระสัมโพธิญาณ. ธรรมดา แผ่นดินย่อมวางเฉยต่อของที่ไม่สะอาด และของที่สะอาด ซึ่งเขาทิ้งลงไป เว้นขาดจากความโกรธ และความยินดีต่อสิ่งทั้งสองนั้น ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น ควรเป็นประดุจตราชู ในสุขและทุกข์ในกาลทุกเมื่อ ถึงความเป็นอุเบกขาบารมีแล้ว จักบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ดังนี้.
ต่อนั้น เขาจึงคิดว่า พุทธการกธรรมที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ มีเพียงเท่านี้เท่านั้น ยกเว้นบารมี ๑๐ เสีย ธรรมเหล่าอื่นไม่มี บารมีทั้ง ๑๐ แม้เหล่านี้ แม้ในเบื้องสูง แม้ในอากาศก็ไม่มี ภายใต้แผ่นดินก็ดี ในทิศทั้งหลาย มีทิศตะวันออกเป็นต้นก็ดี ก็ไม่มี แต่มีตั้งอยู่ภายใน หทัยของเรานี้เอง ดังนี้. เขาเมื่อเห็นว่า บารมีเหล่านั้นตั้งอยู่ในหทัยแล้ว จึงอธิษฐานบารมี แม้ทั้งหมด กระทำให้มั่น พิจารณาอยู่แล้วๆ เล่าๆ พิจารณากลับไปกลับมา ยึดเอาตอนปลายทวนมาให้ถึงต้น ยึดเอาตอนต้นมาตั้งไว้ในตอนปลาย และยึดเอาตรงกลางให้จบลงตรงข้างทั้งสอง ยึดที่ที่สุดข้างทั้งสองมาให้จบลงตรงกลาง ยึดเอาบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ คือ การบริจาคสิ่งของภายนอกเป็นทานบารมี การบริจาคอวัยวะเป็นทานอุปบารมี การบริจาคชีวิตเป็นทานปรมัตบารมี ที่ตรงท่ามกลางแล้ว พิจารณาวกวนไปมา เหมือนคนหมุนเครื่องยนต์หีบน้ำมัน ไปมาและพิจารณาคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เหมือนคนกวนระคน กระทำยอดภูเขาใหญ่สิเนรุให้เป็นมหาสมุทร ในห้องจักรวาล ฉะนั้น. เมื่อเขาพิจารณาบารมีทั้ง ๑๐ อยู่ ด้วยเดชแห่งธรรม แผ่นดินใหญ่นี้ที่หนาได้สองแสนโยชน์ยิ่งด้วยสี่นหุต เป็นราวกะว่า มัดต้นอ้อที่ช้างเหยียบแล้ว และเครื่องยนต์หีบอ้อยที่กำลังหีบอยู่ ร้องดังลั่น หวั่นไหว สะเทือน เลื่อนลั่นไปหมด หมุนคว้าง ไม่ต่างอะไรกับ วงล้อเครื่องปั่นหม้อ และวงล้อของเครื่องยนต์บีบน้ำมัน. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ธรรมที่เป็นเครื่องบ่มโพธิญาณในโลกนี้เพียงนี้เท่านั้น ไม่นอกไปจากนี้ ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็ไม่มี. ท่านจงตั้งมั่นอยู่ในธรรมนั้น เมื่อเราไตร่ตรองธรรมเหล่านี้ พร้อมทั้งสภาวะกิจและลักษณะอยู่ ด้วยเดชแห่งธรรม แผ่นดินพร้อมโลกธาตุหมื่นหนึ่ง สั่นสะเทือนแล้ว ปฐพีก็ไหวร้องลั่น ดั่งเครื่องยนต์หีบอ้อยที่หีบอยู่ เมทนีดลก็เลื่อนลั่น ประดุจดังวงล้อเครื่องยนต์บีบน้ำมัน ฉะนั้น ดังนี้.
เมื่อมหาปฐพีไหวอยู่ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในรัมมนคร ต่างมิสามารถทรงตัวยืนอยู่ได้ ประหนึ่งว่า ศาลาหลังใหญ่ ที่ถูกลมบ้าหมู โหมพัดอย่างหนัก พากันเป็นลมล้มลง ภาชนะของช่างหม้อมีหม้อน้ำเป็นต้น ที่กำลังทำอยู่ต่างกระทบกันและกัน แตกเป็นจุรณวิจุรณไป. มหาชนสะดุ้งกลัว จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้อนั้นอย่างไรเลยว่า นี้นาคทำให้หมุนวน หรือว่า บรรดาภูตยักษ์และเทวดาพวกใดพวกหนึ่ง ทำให้หมุนวน. อีกประการหนึ่ง มหาชนแม้ทั้งหมดนี้ ถูกทำให้เดือนร้อน ความชั่วหรือความดีจักมีแก่โลกนี้. ขอพระองค์จงตรัสบอกเหตุนั้น แก่พวกข้าพระองค์เถิด. พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของพวกเขาแล้วตรัสว่า พวกท่านอย่าได้กลัวเลย อย่าคิดอะไรเลย ภัยจากเหตุนี้ไม่มีแก่พวกท่าน. วันนี้ สุเมธบัณฑิต เราพยากรณ์ให้แล้วว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม ในอนาคต. บัดนี้ เขาไตร่ตรองบารมีทั้งหลายอยู่ เมื่อเขาไตร่ครองอยู่ตรวจตราอยู่ เพราะเดชแห่งธรรม โลกธาตุทั้งสิ้นหมื่นหนึ่ง สะเทือนและร้องลั่นไปพร้อมกันทีเดียว ดังนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ในที่อังคาสพระพุทธเจ้า บริษัทมีประมาณเท่าใด บริษัทในที่นั้น มีประมาณเท่านั้น ต่างตัวสั่นอยู่ เป็นลมล้มลงบนแผ่นดิน หม้อน้ำหลายพันและหม้อข้าวหลายร้อยเป็นจำนวนมาก ในที่นั้นต่างกระทบกระแทกกันแตกละเอียดไปหมด. มหาชนต่างหวาดเสียว สะดุ้งกลัวภัย หัวหมุน มีใจว้าวุ่น จึงมาประชุมกัน เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าทีปังกร กราบทูลว่า อะไรจักมีแก่โลก ดีหรือชั่ว หรือโลกทั้งปวงจะถูกทำให้เดือดร้อน. ขอพระองค์ผู้เป็นดวงตาของโลก จงทรงบรรเทาเหตุนั้น.
คราวนั้น พระมหามุนีทีปังกรให้พวกเขาเข้าใจได้แล้ว ด้วยตรัสว่า พวกท่านจงวางใจเสียเถิด อย่าได้กลัวเลย ในการไหวของแผ่นดินนี้ วันนี้เราได้พยากรณ์แล้ว ถึงบุคคลใดว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า บุคคลนั้นไตร่ตรองถึง ธรรมที่พระชินเจ้าถือปฏิบัติมาแล้ว แต่เล่าก่อน. เมื่อเขาไตร่ตรองฟังธรรม อันเป็นพุทธภูมิโดยไม่เหลือ. เพราะเหตุนั้น ปฐพีนี้พร้อมหมื่นโลกธาตุ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก จึงไหวแล้ว ดังนี้.
มหาชนฟังพระดำรัสของพระตถาคต ยินดีและร่าเริงแล้ว พากันถือเอาดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ออกจากรัมมนคร เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ บูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น ไหว้ กระทำประทักษิณ แล้วเข้าไปยัง รัมมนครตามเดิม. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ไตร่ตรองบารมีทั้งสิ้น กระทำความเพียรให้มั่น อธิษฐานแล้ว ลุกจากอาสนะที่นั่ง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เพราะได้ฟังพระดำรัสของพระพุทธเจ้า ใจเย็นแล้ว ในทันใดนั้น ทุกคนเข้าไปหาเรา กราบไหว้แล้วอีก. เรายึดมั่นพระพุทธคุณ กระทำใจไว้ให้มั่น นมัสการพระทีปังกร ลุกจากอาสนะ ในกาลนั้น ดังนี้.
ลำดับนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นประชุมกันแล้ว บูชาพระโพธิสัตว์ผู้ลุกจากอาสนะ ด้วยดอกไม้ และของหอมอันเป็นทิพย์ แล้วป่าวประกาศ คำสรรเสริญอันเป็นมงคล เป็นต้นว่า ข้าแต่ท่านสุเมธดาบสผู้เป็นเจ้า วันนี้ ท่านตั้งปรารถนาอย่างใหญ่ที่บาทมูลของพระทศพลทีปังกร ขอความปรารถนาของท่าน จงสำเร็จโดยไม่มีอันตราย ความกลัวหรือความหวาดเสียว อย่าได้มีแก่ท่าน โรคแม้แต่น้อยหนึ่ง อย่าได้เกิดในร่างกาย. ขอท่านจงบำเพ็ญบารมีให้เต็มโดยพลัน แล้วบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ต้นไม้ที่จะเผล็ดดอกออกผล ย่อมเผล็ดดอก และออกผลตามฤดูกาล ฉันใด แม้ท่านก็จงได้สัมผัสพระโพธิญาณอันอุดมโดยพลัน อย่าได้ล่วงเลยสมัยนั้นเลย ฉันนั้นเหมือนกัน. เทวดาทั้งหลาย ครั้นป่าวประกาศอย่างนี้แล้ว ได้กลับไปยังเทวสถานของตนๆ ตามเดิม. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ผู้อันเทวดาสรรเสริญแล้ว คิดว่า เราจักบำเพ็ญบารมี ๑๐ แล้วในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. อธิษฐานกระทำความเพียรให้มั่นแล้ว เหาะขึ้นไปยังท้องฟ้า ไปสู่ป่าหิมพานต์ทันที. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
เหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งสองพวก ต่างโปรยปรายดอกไม้อันเป็นทิพย์ และอันเป็นของมนุษย์ แก่เขาผู้กำลังลุกจากอาสนะ ทั้งเทวดาและมนุษย์สองฝ่ายนั้น ต่างก็ได้รับความยินดีทั่วหน้า ความปรารถนาของท่านยิ่งใหญ่ ขอท่านจงได้สิ่งนั้นตามที่ท่านปรารถนาไว้ ขอสรรพเสนียดจัญไร จงแคล้วคลาดไป ขอโรคภัยจงพินาศไป ขออันตรายจงอย่ามีแก่ท่านเถิด ขอท่านจงได้รับสัมผัสพระโพธิญาณโดยพลัน. ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงเบิกบานด้วยพุทธญาณ เหมือนต้นไม้ที่มีดอกเมื่อถึงฤดูกาลก็เผล็ดดอก ฉันนั้นเถิด.
พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งพึงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้เต็มเปี่ยม ฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้เต็มเปี่ยม ฉันนั้นเถิด. พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งตรัสรู้ที่โพธิมณฑล ฉันใด ข้าแต่ท่านมหาวีระ ขอท่านจงตรัสรู้ที่โพธิมณฑลของพระชินเจ้า ฉันนั้น. พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่งทรงประกาศพระธรรมจักร ฉันใด ขอท่านจงประกาศพระธรรมจักร ฉันนั้น. พระจันทร์ในวันเพ็ญผ่องแผ้วย่อมรุ่งโรจน์ ฉันใด ขอท่านจงมีใจเต็มเปี่ยม รุ่งโรจน์ในหมื่นโลกธาตุ ฉันนั้นเถิด. พระอาทิตย์ที่พ้นจากราหูแล้ว ย่อมแผดแสงด้วยความร้อนแรง ฉันใด ขอท่านจงปลดเปลื้องเรื่องโลกีย์ออก แล้วสว่างไสวอยู่ด้วยสิริ ฉันนั้นเถิด. แม่น้ำใดๆ ก็ตามย่อมไหลไปลงทะเลใหญ่ ฉันใด ขอชาวโลกพร้อมทั้งเทวดา จงรวมลงที่สำนักของท่าน ฉันนั้นเถิด.
ในกาลนั้น เขาอันเทวดาและมนุษย์ ชมเชย และสรรเสริญแล้ว ยึดมั่นบารมีธรรม ๑๐. เมื่อจะบำเพ็ญบารมีธรรมเหล่านั้น เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์แล้ว.
กถาว่าด้วย สุเมธดาบส จบ


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นิทานกถา
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
หน้าต่างที่ ๓ / ๘.

ในกาลนั้น เขาอันเทวดาและมนุษย์ ชมเชย และสรรเสริญแล้ว ยึดมั่นบารมีธรรม ๑๐. เมื่อจะบำเพ็ญบารมีธรรมเหล่านั้น เข้าไปสู่ป่าหิมพานต์แล้ว.
กถาว่าด้วย สุเมธดาบส จบ

ฝ่ายชาวเมืองรัมมนครเล่าได้เข้าไปสู่นครแล้ว ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พวกเขา ให้มหาชนดำรงอยู่ในสรณะเป็นต้น แล้วเสด็จออกจากรัมมนครไป. ต่อจากนั้น พระองค์ทรงดำรงอยู่ตลอดพระชนมายุขัย ทรงกระทำพุทธกิจครบทุกอย่างแล้ว เสด็จดับขันธปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ โดยลำดับ. คำที่ควรจะกล่าวในที่นั้นทั้งหมด พึงทราบตามนัย ที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ในพุทธวงศ์นั้นเถิด. จริงอยู่ ท่านกล่าวไว้ใน พุทธวงศ์นั้นว่า
ในกาลนั้น ชนเหล่านั้นอังคาสพระโลกนาถ พร้อมทั้งพระสงฆ์แล้ว ได้ถึงพระศาสดาทีปังกรเป็นสรณะ. พระตถาคตยังคนบางคนให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ บางพวกก็ให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ อีกพวกก็ให้ตั้งอยู่ในศีล ๑๐ ทรงประทานสามัญผลสูงสุด ๔ แก่บางคน บางคนก็ทรงประทานธรรมที่ไม่มีสิ่งใดเสมอ คือปฏิสัมภิทา. บางคน พระนราสภก็ทรงประทานสมาบัติอันประเสริฐ ๘ อย่าง. บางคนก็ทรงมอบให้ ซึ่งวิชชา ๓ อภิญญา ๖. พระมหามุนีทรงสั่งสอนหมู่ชนด้วยความพยายามนั้น ศาสนาของพระโลกนาถได้แผ่ไพศาลแล้ว. เพราะเหตุนั้น พระทีปังกรผู้เป็นผู้นำ มีพระหนุใหญ่ [ผึ่งผาย] มีพระวรกายเหมือนของโคอุสภะ [สง่างาม] ทรงให้ชนเป็นอันมากข้ามถึงฝั่ง ทรงปลดเปลื้องทุคติให้. พระมหามุนีทอดพระเนตร เห็นชนที่พอจะตรัสรู้ธรรมได้ แม้ในที่ไกลได้แสนโยชน์ ก็เสด็จไปถึง โดยขณะเดียว ให้เขาตรัสรู้ได้.
ในการได้บรรลุมรรคผล ครั้งแรก [ปฐมโพธิกาล] พระพุทธเจ้าให้สัตว์ตรัสรู้ได้หนึ่งร้อยโกฏิ. ในการได้บรรลุมรรคผลครั้งที่สอง [มัชฌิมโพธิกาล] พระนาถะให้สัตว์ตรัสรู้ได้แสนโกฏิ และการได้บรรลุมรรคผลครั้งที่สาม [ปัจฉิมโพธิกาล] ได้มีแต่สัตว์เก้าสับพันโกฏิ ในเมื่อพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมในเทวพิภพ การประชุมของพระศาสดาทีปังกรได้มีสามครั้ง การประชุมครั้งแรกมีชนแสนโกฏิ อีกครั้งเมื่อพระชินเจ้าประทับอยู่วิเวก ที่ยอดเขานารทะ พระขีณาสพผู้ปราศจากมลทินร้อยโกฏิประชุมกัน. ในกาลใด พระมหาวีระประทับอยู่บนเขาในเมืองสุทัสนะ ในกาลนั้น พระมหามุนีทรงห้อมล้อมไปด้วยพระขีณาสพเก้าสิบพันโกฏิ. เราในสมัยนั้น เป็นชฏิลผู้มีตบะกล้า เหาะไปในที่กลางหาวได้ ได้สำเร็จในอภิญญา ๕ การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่ชนนับได้เป็นสิบพัน ยี่สิบพัน การตรัสรู้ของคนเพียงหนึ่งคน สองคน ไม่จำเป็นต้องนับ. ในกาลนั้น ศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร แผ่ไปกว้างขวาง ชนรู้กันมากมาย มั่งคั่ง แพร่หลาย บริสุทธิผุดผ่อง พระผู้ได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มากนับได้สี่แสนห้อมล้อม พระทีปังกรผู้ทรงรู้แจ้งโลกในกาลทุกเมื่อ ในสมัยนั้น ใครๆ ก็ตามจะละภพมนุษย์ไป [ตาย] เขาเหล่านั้นมิได้บรรลุอรหัต ยังเป็นเสขบุคคล จะต้องถูกเขาตำหนิติเตียน.
พระพุทธศาสนาก็บานเบิก ด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ งามสง่าอยู่ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ด้วยพระขีณาสพผู้ปราศจากมลทิน นครชื่อรัมมวดี กษัตริย์ทรงพระนาม สุเมธ เป็นพระชนก พระชนนีทรงพระนามว่า สุเมธา ของพระศาสดาทีปังกร. พระองค์ทรงครองเรือนอยู่หมื่นปี มีปราสาทอย่างดีที่สุดอยู่สามหลัง ชื่อรัมมะ สุรัมมะ และสุภะ. มีเหล่านารีแต่งตัวสวยงามนับได้สามแสน พระมเหสีพระนามว่า ปทุมา พระราชโอรสพระนามว่า อุสภขันธกุมาร พระองค์ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการแล้ว เสด็จออกผนวชด้วยคชสารยานพระที่นั่งต้น ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือนเต็ม ครั้นทรงประพฤติปธานจริยาแล้ว ก็ได้ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ พระมหามุนีทีปังกร มหาวีรชินเจ้า อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร แล้วประทับอยู่ในนันทาราม ประทับนั่งที่ ควงไม้ซึก ทรงปราบปรามเดียรถีย์ ได้ทรงกระทำการย่ำยีเดียรถีย์ ที่โคนต้นซึกอันน่ารื่นรมย์ มีพระอัครสาวกคือ พระสุมังคละและพระติสสะ พระศาสดาทีปังกรมีพระอุปฐากนามว่า สาคระ มีพระอัครสาวิกา คือ พระนางนันทาและพระนางสุนันทา ต้นไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกกันว่า ต้นปิปผลิ
พระมหามุนีทีปังกรมีพระวรกายสูงได้ ๘๐ ศอก พญาไม้สาละมีดอกบานสะพรั่ง เป็นต้นไม้ประจำทวีปดูงาม. พระผู้แสวงหาพระคุณใหญ่นั้น มีพระชนมายุได้แสนปี พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เท่านั้น ทรงให้เหล่าชนเป็นอันมากข้ามถึงฝั่ง [นิพพาน] พระองค์พร้อมทั้งพระสาวก ให้พระสัทธรรมสว่างไสว แล้วให้มหาชนข้ามถึงฝั่ง รุ่งโรจน์อยู่ ราวกะกองอัคคี ปรินิพพานแล้ว. พระฤทธิ์ พระยศและจักรรัตนะที่พระบาททั้งสอง ทุกอย่างก็อันตรธานไปหมด สังขารทั้งหลายเป็นของว่างเปล่า ดังนี้ และหลังจากพระทีปังกร ก็มีพระนายกทรงพระนามว่า โกณฑัญญะ ทรงมีพระเดชหาที่สุดมิได้ ทรงมีพระยศนับไม่ได้ มีพระคุณหาประมาณมิได้ ยากที่ใครจะต่อกรได้.
ก็ในกาลต่อจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปีงกร ล่วงมาได้หนึ่งอสงไขย พระศาสดาทรงพระนามว่า โกณฑัญญะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้การประชุมสาวกของพระองค์ก็ได้มีสามครั้ง ในการประชุมครั้งแรกมีสาวกแสนโกฏิ ในครั้งที่สองมีพันโกฏิ ในครั้งที่สามมีเก้าสิบโกฏิ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า วิชิตาวี ได้ถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข นับได้แสนโกฏิ. พระศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วทรงแสดงธรรม เขาฟังธรรมกถาของพระศาสดา แล้วสละราชสมบัติ ออกบวช. เขาเรียนพระไตรปิฎก ทำสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดขึ้นแล้ว มีฌานไม่เสื่อมไปเกิดในพรหมโลก.
ก็สำหรับพระโกณฑัญญพุทธเจ้า พระนครนามว่า รัมมวดี. กษัตริย์พระนามว่า อานันทะ เป็นพระราชบิดา พระเทวีพระนามว่า สุชาดา เป็นพระราชมารดา. พระภัตทะและพระสุภัททะ เป็นพระอัครสาวก. พระพุทธอุปฐากนามว่า อนุรุทธะ. พระติสสาเถรีและพระอุปติสสาเถรี เป็นพระอัครสาวิกา. ต้นไม้ที่ตรัสรู้ชื่อ สาลกัลยาณี [ต้นขานาง]. พระวรกายสูงได้ ๘๘ ศอก ประมาณพระชนมายุได้แสนปี.
ในกาลต่อจากพระองค์ล่วงได้หนึ่งอสงไขย ในกัปเดียวกันนั่นแหละ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๔ พระองค์ คือ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า มังคละ ได้มีการประชุมสาวก ๓ ครั้ง ในการประชุมครั้งแรก ได้มีภิกษุแสนโกฏิ. ครั้งที่ ๒ แสนโกฏิ. ครั้งที่ ๓ เก้าสิบโกฏิ. ได้ยินว่า พระภาดาต่างพระมารดาของพระองค์นามว่า อานันทกุมาร ได้เสด็จมายังสำนักของพระศาสดา เพื่อต้องการฟังธรรม พร้อมกับบริษัทนับได้ ๙๐ โกฏิ พระศาสดาตรัสอนุบุพพิกถาแก่พระองค์. พระองค์พร้อมกับบริษัทได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา พระศาสดาทรงเล็งดูบุรพจริยาของกุลบุตรเหล่านั้น ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยเเห่งบาตรและจีวร อันสำเร็จด้วยฤทธิ์ จึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวา ตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุ มาเถิด. ในขณะนั้นนั่นเอง เขาทั้งหมดก็ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ สมบูรณ์ด้วยอากัปกิริยา ประดุจพระเถระมีพรรษาได้ ๖๐ ถวายบังคมพระศาสดาห้อมล้อมแล้ว นี้เป็นการประชุมของพระสาวกครั้งที่ ๓ ของพระองค์.
พระรัศมีจากพระสรีระของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีประมาณ ๘๐ ศอกเท่านั้นโดยรอบ ฉันใด แต่ของพระมังคละหาเป็นฉันนั้นไม่. ส่วนพระรัศมีจากพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น แผ่ไปตลอดหมั่นโลกธาตุตั้งอยู่ ตลอดกาลเป็นนิตย์ ต้นไม้แผ่นดิน ภูเขา และทะเล เป็นต้น โดยที่สุดจนชั้นหม้อข้าวเป็นต้น ได้เป็นประหนึ่งว่า ปกคลุมไว้ด้วยแผ่นทองคำ. อนึ่ง ประมาณพระชนมายุของพระองค์ได้เก้าหมื่นปี ตลอดเวลาประมาณเท่านี้ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นต้น ไม่สามารถที่จะส่องแสงด้วยรัศมีของตน การกำหนดเวลา กลางคืนและกลางวันไม่ปรากฏมี ตอนกลางวัน เหล่าสัตว์ท่องเที่ยวไปด้วยแสงสว่างของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เหมือนกับด้วยแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ชาวโลกรู้กำหนดเวลากลางคืน และกลางวันได้ ด้วยอำนาจแห่งดอกไม้ที่บาน ในเวลาเย็น และนกเป็นต้น ในเวลาเช้า.
ถามว่า ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายองค์อื่นไม่มีอานุภาพนี้หรือ ? แก้ว่า ไม่มีหามิได้. จริงอยู่ พระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น เมื่อทรงมุ่งหวังอยู่ พึงแผ่พระรัศมีไปได้ตลอดโลกธาตุหมื่นหนึ่ง หรือยิ่งกว่านั้น ก็พระรัศมีจากพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้ามังคละ ได้แผ่ไปตลอดโลกธาตุหมื่นหนึ่ง ตลอดกาลเป็นนิตย์ทีเดียว เหมือนพระรัศมีแค่วาหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ด้วยอำนาจความปรารถนาในกาลก่อน.
ได้ยินว่า ในกาลที่ท่องเที่ยวไปเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ดำรงอยู่ในอัตภาพเช่นกับพระเวสสันดร พร้อมด้วยบุตรและภริยา อยู่ที่ภูเขาเช่นกับเขาวงกต. ครั้งนั้น มียักษ์คนหนึ่งชื่อขรทาฐิกะ ได้ยินว่า พระมหาบุรุษมีอัธยาศัยชอบให้ทาน จึงเข้าไปหาด้วยเพศแปลงเป็นพราหมณ์แล้ว ขอทารกสองคนกะพระมหาสัตว์. พระมหาสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ เราให้ลูกน้อย ดังนี้แล้ว ยินดีร่าเริง ทำให้แผ่นดินมีน้ำล้อมรอบไหวอยู่ ได้ให้ทารกแม้ทั้งสองแล้ว ยักษ์ยืนพิงพะนักพิง ในที่สุดแห่งที่จงกรม. เมื่อพระมหาสัตว์เห็นอยู่นั่นเอง เคี้ยวกินทารกเหมือนกำรากไม้ ความโทมนัสแม้เท่าปลายเส้นผม มิได้เกิดขึ้นแก่พระมหาบุรุษ เพราะมองดูยักษ์ แม้จะเห็นปากของมัน กำลังหลั่งสายเลือดออกมาอยู่ ดูราวกะว่า เปลวไฟในปากที่พออ้าขึ้น เมื่อเขาคิดอยู่ว่า ทานอันเราให้ดีแล้วหนอ ปีติและโสมนัสอย่างใหญ่หลวง ได้เกิดขึ้นทั่วตัว. เขาได้กระทำความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ในอนาคต ขอรัศมีจงฉายออก โดยทำนองนี้นี่แหละ. เพราะอาศัยความปรารถนานั้นของเขา รัศมีจึงฉายออกจากสรีระของเขา ผู้เป็นพระพุทธเจ้าแผ่ซ่านไปตลอดที่เพียงนั้น. บุรพจริยาแม้อื่นอีกของพระองค์ก็ยังมี
ได้ยินว่า พระองค์ในกาลเป็นพระโพธิสัตว์ เห็นเจดีย์ของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง คิดว่า เราควรบริจาคชีวิตแด่พระพุทธเจ้าองค์นี้ จึงพันสรีระทั้งหมด โดยทำนองที่พันประทีปด้าม เอาเนยใสใส่จนเต็มถาดทองคำมีค่าแสนหนึ่ง สูงได้หนึ่งศอกกำ จุดไส้ตะเกียงพันหนึ่งในถาดนั้น เอาศีรษะเทินถาดนั้นไว้ แล้วให้จุดไฟทั่วตัว กระทำประทักษิณเจดีย์ ให้ล่วงไปตลอดคืนหนึ่ง. เมื่อเขาแม้พยายามอยู่อย่างนี้จนถึงเวลาอรุณขึ้น ความร้อนก็มิได้ระคายเคืองแม้เพียงขุมขน ได้เป็นประหนึ่งว่า เข้าไปในห้องแห่งดอกบัวหลวง. จริงอยู่ ธรรมดาว่า ธรรมนี้ย่อมรักษาคนผู้รักษาตนอยู่. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ธรรมแลย่อมรักษาบุคคลผู้ปกติประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปสู่ทุคติ.
เพราะผลแห่งกรรมแม้นี้ แสงสว่างจากพระสรีระของพระผู้มีพระภาค เจ้าพระองค์นั้น จึงแผ่ซ่านไปตั้งอยู่ตลอดหมื่นโลกธาตุ.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ของพวกเรา เป็นพราหมณ์ชื่อ สุรุจิ คิดว่า เราจักนิมนต์พระศาสดา จึงเข้าไปเฝ้าฟังธรรมกถาอันไพเราะ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรุ่งนี้ ขอพระองค์จงรับภิกษา ในเรือนของข้าพระองค์เถิด.
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านมีความต้องการด้วยภิกษุมีประมาณเท่าไร ? พระศาสดาตรัส.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุผู้เป็นบริวารของพระองค์มีประมาณเท่าไร ? พราหมณ์ทูลถาม.
ในคราวนั้น พระศาสดาทรงมีการประชุมเป็นครั้งแรกพอดี เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า มีประมาณแสนโกฎิ. พราหมณ์จึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์แม้ทั้งหมด จงทรงรับภิกษาของข้าพระองค์ เถิด. พระศาสดาทรงรับแล้ว. พราหมณ์ ครั้นนิมนต์เพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้น แล้วไปสู่เรือนคิดว่า เราสามารถถวายข้าวต้ม ภัต และผ้าเป็นต้น แต่ภิกษุสงฆ์มีประมาณเท่านี้ได้ แต่ที่นั่งจักเป็นอย่างไร ดังนี้. ความคิดนั้นของเขาทำให้เกิด ความร้อนขึ้นแก่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวเทวราช ผู้ประทับยืนอยู่ในที่สุดแห่งแปดหมื่นสี่พันโยชน์. ท้าวสักกะทรงดำริว่า ใครหนอแลต้องการจะให้เราเคลื่อนจากอาสนะนี้ ทรงตรวจตราอยู่ด้วยทิพยจักษุ ทรงเห็นพระมหาบุรุษ ทรงดำริว่า สุรุจิพราหมณ์นี้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข คิดแล้ว เพื่อต้องการที่นั่ง ควรที่เราจะไปในที่นั้น ถือเอาส่วนบุญบ้าง จึงทรงเนรมิตร่างเป็นเพศช่างไม้ มีมือถือมีด และขวาน ได้ปรากฏตัวข้างหน้าของพระมหาบุรุษกล่าวว่า ใครๆ มีงานที่จะต้องจ้างทำบ้าง. พระมหาบุรุษเห็นเขาแล้ว จึงถามว่า ท่านจักทำงานอะไร ? เขากล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าศิลปะ ที่ข้าพเจ้าไม่รู้ไม่มี ผู้ใดจะให้เราทำงานใด เป็นบ้านก็ตาม มณฑปก็ตาม เรารู้ที่จะทำงานนั้นแก่ผู้นั้น. พระมหาบุรุษกล่าวว่า ถ้ากระนั้น งานของเรามีอยู่. เขากล่าวว่า งานอะไรนะท่าน.
ภิกษุแสนโกฏิ ข้าพเจ้านิมนต์เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้. ท่านจักกระทำมณฑปที่นั่งของภิกษุเหล่านั้น ได้ไหม.
ข้าพเจ้าทำได้ ถ้าท่านจักสามารถให้ค่าจ้างแก่ข้าพเจ้าได้.
เราจักสามารถ พ่อ.
เขารับปากว่า ดีละ ข้าพเจ้าจักกระทำ. จึงไปตรวจดูที่ว่างแห่งหนึ่ง ที่ว่างมีประมาณสิบสองโยชน์ ได้มีพื้นราบเรียบ ประหนึ่งมณฑลกสิณ. เขาคิดว่า ขอมณฑปสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ จงปรากฏขึ้นในที่มีประมาณเท่านี้. ในทันใดนั้น มณฑปก็แทรกแผ่นดินขึ้นมา. ที่เสาสำเร็จด้วยทองคำของปราสาทนั้น มีหม้อน้ำสำเร็จด้วยเงินตั้งอยู่. ที่เสาสำเร็จด้วยเงิน มีหม้อน้ำสำเร็จด้วยทองคำ ที่เสาแก้วมณีมีหม้อน้ำสำเร็จด้วยแก้วประพาฬ. ที่เสาสำเร็จด้วยแก้วประพาฬ มีหม้อน้ำสำเร็จด้วยแก้วมณี. ที่เสาสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ มีหม้อน้ำสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการเหมือนกัน. ต่อจากนั้น เขาก็มองดู ด้วยคิดว่า ขอน้ำข่ายกระดึง จงห้อยย้อยอยู่ตามระหว่างแห่งมณฑป พร้อมกับการมองดู นั่นเอง ตาข่ายกระดึงก็ห้อยย้อยลงแล้ว เสียงอันไพเราะของตาข่ายกระดึง ที่ถูกลมอ่อนรำเพยพัด ก็เปล่งเสียงออกมา ราวกะว่า เสียงอันไพเราะแห่งดนตรี ซึ่งประกอบด้วยองค์ ๕ จึงดูไม่ต่างอะไรกับเวลาที่ ทิพยสังคีตบรรเลงอยู่. เขาคิดว่า ในระหว่างๆ ขอให้พวงของหอมและพวงดอกไม้ จงห้อยย้อยลงมา พวงของหอมและพวงดอกไม้ก็ห้อยย้อยลงมาแล้ว. เขาคิดว่า ขออาสนะและแท่นที่รองนั่ง สำหรับภิกษุที่นับได้แสนโกฏิ จงแทรกแผ่นดินขึ้นมา. ในทันใดนั้นเอง ต่างก็แทรกขึ้นมา เขาคิดว่า ที่ทุกๆ มุม ขอให้หม้อน้ำแทรกขึ้นมามุมละใบ. หม้อน้ำก็แทรกขึ้นมา เขาเนรมิตสิ่งต่างๆ มีประมาณเท่านี้ เสร็จแล้ว จึงไปยังสำนักของพราหมณ์ แล้วกล่าวว่า มานี่แน่ะท่าน ท่านจงตรวจดูมณฑปแล้วให้ค่าจ้างแก่เรา. พระมหาบุรุษไปตรวจดูมณฑปแล้ว. เมื่อเขากำลังตรวจดูอยู่นั่นแหละ ทั่วตัวได้สัมผัสกับปีติ ๕ ชนิดตลอดเวลา.
ทีนั้น เมื่อเขามองดูมณฑปอยู่ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า มณฑปนี้ คนเป็นมนุษย์กระทำไม่ได้ แต่เพราะอาศัยอัธยาศัยของเรา คุณของเรา ภพของท้าวสักกะจะร้อนแน่นอน ก่อนนี้ ท้าวสักกเทวราชจักสร้างมณฑปนี้ขึ้น ดังนี้. เขาคิดว่า การถวายทานเพียงวันเดียวเท่านั้น ในมณฑปเห็นปานนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย เราจักถวายทานตลอด ๗ วัน. จริงอยู่ ทานภายนอก แม้มีประมาณสักเท่าไร ก็ไม่สามารถที่จะทำความยินดีให้แก่พระโพธิสัตว์ได้ แต่ในเวลาที่เขาตัดศีรษะที่ประดับประดาแล้ว ควักลูกตาทั้งสองข้างที่หยอดยาตาแล้ว ฉีกเนื้อหัวใจออกแล้วให้ไป พระโพธิสัตว์จะมีความยินดีนัก เพราะอาศัยการบริจาคนี้. เมื่อพระโพธิสัตว์ แม้ของพวกเราสละกหาปณะห้าแสนทุกวัน ให้ทานอยู่ที่ประตูทั้ง ๔ และที่ท่ามกลางพระนคร ในเรื่องสิวิราชชาดก ทานนั้นก็หาสามารถให้เกิดความยินดีในการบริจาคไม่. แต่ในกาลใด ท้าวสักกเทวราชปลอมตัวมาในรูปของพราหมณ์ ขอลูกตาทั้งสองข้างของเขา. ในกาลนั้น เมื่อเขาควักลูกตาเหล่านั้น ให้อยู่นั่นแหละ ความร่าเริงได้เกิดขึ้นแล้ว จิตมิได้เป็นอย่างอื่นแม้เท่าปลายเส้นผม. ขึ้นชื่อว่า อิ่มใจเพราะอาศัยทานที่ให้แล้ว โดยอาการอย่างนี้หามีแก่พระโพธิสัตว์ไม่. เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษแม้นั้น จึงคิดว่า เราควรจะถวายทานแก่ภิกษุทั้งหลายนับได้แสนโกฏิตลอด ๗ วัน จึงให้พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ประทับนั่งในมณฑปนั้น ได้ถวายทานชื่อควปานะตลอด ๗ วัน ที่เรียกว่า ควปานะนั้น ได้แก่ โภชนะที่เขาใส่นมจนเต็มหม้อใหญ่แล้ว ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ ใส่ข้าวสารนิดหน่อยในน้ำนม ที่ต้มสุกแล้วในหม้อต้ม แล้วปรุงรสด้วยน้ำผึ้ง ผงน้ำตาลกรวด และเนยใสที่ต้มแล้ว ก็มนุษย์นี้แหละไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูได้ แม้แต่เทวดาก็ต้องสลับกัน จึงจะเลี้ยงดูได้. แม้ที่มีประมาณ ๑๒ และ ๑๓ โยชน์ ก็ไม่เพียงพอที่จะบรรจุภิกษุทั้งหลายได้เลย แต่ภิกษุเหล่านั้นนั่งได้ด้วยอานุภาพของตน.
ในวันสุดท้าย เขาให้ล้างบาตรของภิกษุทุกรูป แล้วใส่เนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยเป็นต้น จนเต็มบาตร เพื่อต้องการให้เป็นเภสัช พร้อมด้วยไตรจีวร ผ้าสาฎกที่เป็นจีวร ซึ่งภิกษุนวกะในหมู่สงฆ์ได้รับ ไปได้มีราคาถึงหนึ่งแสน. พระศาสดา เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา ทรงใคร่ครวญดูว่า บุรุษนี้ได้ถวายมหาทานเห็นปานนี้ เขาจักได้เป็นอะไรหนอ ทอดพระเนตรเห็นว่า เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม ในที่สุดแห่งสองอสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัปในอนาคต ดังนี้ จึงตรัสเรียกพระมหาบุรุษมา แล้วทรงพยากรณ์ว่า ท่านล่วงกาลมีประมาณเท่านี้แล้ว จักได้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม.
พระมหาบุรุษได้ฟังคำพยากรณ์ แล้วคิดว่า นัยว่า เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้า จะประโยชน์อะไรของเรา ด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช จึงทอดทิ้งสมบัติ เห็นปานนั้น ประดุจก้อนเขฬะ แล้วบวชในสำนักของพระศาสดา. ครั้นบวชแล้วเล่าเรียนพระพุทธวจนะ ให้อภิญญาและสมาบัติเกิดขึ้นแล้ว ในเวลาสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก.
ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า มังคละ มีชื่อว่า อุตตระ แม้พระราชมารดาก็ทรงพระนามว่า อุตตรา แม้พระราชบิดาทรงเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า อุตตระ. พระอัครสาวกสององค์นามว่า สุเทวะหนึ่ง ธรรมเสนะหนึ่ง พระอุปฐากนามว่า ปาลิตะ พระอัครสาวิกาสององค์นามว่า สิมพลี ๑ นามว่า อโสกา ๑. ต้นไม้ตรัสรู้ ชื่อนาคพฤกษ์ (ต้นกากะทิง). พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก. พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ ๙๐,๐๐๐ พรรษา ก็ปรินิพพาน. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นปรินิพพานแล้ว จักรวาลหมื่นหนึ่งได้มืดเป็นอันเดียว โดยพร้อมกันทีเดียว. พวกมนุษย์ทั้งหลายในจักรวาลทั้งสิ้น ต่างร้องไห้คร่ำครวญกันไปหมด.
กาลภายหลังของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โกณฑัญญะ พระนายกทรงพระนามว่า มังคละ ทรงถือดวงประทีปธรรม กำจัดความมืดในโลกแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
ในกาลภายหลังแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้ปรินิพพานกระทำหมื่นโลกธาตุให้มืดอย่างนี้แล้ว พระศาสดาทรงพระนามว่า สุมนะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. สาวกสันนิบาตแม้ของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุเเสนโกฏิ. ครั้งที่ ๒ ที่กาญจนบรรพตมีภิกษุเก้าสิบแสนโกฏิ. ครั้งที่ ๓ แปดสิบแสนโกฏิ. ในกาลนั้น พระมหาสัตว์ได้เป็นนาคราชนามว่า อตุละ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก. พระยานาคนั้นได้ยินว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว มีหมู่ญาติห้อมล้อมแล้ว ออกจากนาคพิภพ ให้กระทำการบรรเลงถวาย ด้วยทิพยดนตรี แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวารแสนโกฎิ ถวายผ้าคู่เฉพาะองค์ แล้วตั้งอยู่ในสรณะ. พระศาสดาแม้นั้น ก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อ เมขลา พระราชาทรงพระนามว่า สุทัตตะ เป็นพระราชบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า สิริมา. พระอัครสาวกสององค์ นามว่าสรณะหนึ่ง นามว่าภาวิตัตตะหนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า อุเทนะ. พระอัครสาวิกาสององค์นามว่า โสณาหนึ่ง นามว่า อุปโสณาหนึ่ง และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๙๐ ศอก ประมาณพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ด้วยประการฉะนี้.
กาลภายหลังของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า มังคละ พระนายกทรงพระนามว่า สุมนะ หาผู้เสมอ มิได้โดยธรรมทั้งปวง สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง.
ในกาลภายหลังแห่งพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า เรวตะ ได้เสด็จอุบัติขึ้น. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็ได้มีสามครั้ง. ในสันนิบาตครั้งแรก นับไม่ได้. ครั้งที่ ๒ มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๓ ก็เช่นกัน. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ชื่อ อติเทพ ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ตั้งอยู่ในสรณะ ประคองอัญชลีเหนือศีรษะแล้ว ได้ฟังพระคุณในการละกิเลสของพระศาสดานั้น ได้กระทำการบูชาด้วยผ้าห่ม แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีชื่อว่า สุธัญญวดี แม้พระราชบิดาก็เป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า วิปุละ. พระราชมารดาทรงพระนามว่า วิมลา. พระ อัครสาวก ๒ องค์นามว่า วรุณะหนึ่ง นามว่า พรหมเทวะหนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า สัมภวะ พระอัครสาวิกา ๒ องค์นามว่า ภัตทาหนึ่ง นามว่า สุภัททาหนึ่ง และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๘๐ ศอก ประมาณพระชนมายุได้ ๖๐,๐๐๐ ปี ด้วยประการนี้.
กาลภายหลังแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุมนะ พระนายกทรงพระนามว่า เรวตะ เป็นพระชินเจ้า หาผู้เปรียบปานมิได้ หาผู้เสมอมิได้ ไม่มีผู้เทียมทัน เป็นผู้สูงสุด ด้วยประการฉะนี้.
ในกาลภายหลังพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า โสภิตะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็ได้มีสามครั้ง. ในสันนิบาตครั้งแรก ได้มีภิกษุร้อยโกฏิ. ในครั้งที่ ๒ เก้าสิบโกฏิ. ในครั้งที่ ๓ แปดสิบโกฏิ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ชื่อว่า อชิตะ ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ตั้งอยู่ในสรณะ ได้ถวายมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้นชื่อ สุธรรม. พระราชาทรงพระนามว่า สุธรรม ได้เป็นพระราชบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า สุธรรมา. พระอัครสาวกนามว่า อสมะ องค์หนึ่ง นามว่า สุเนตตะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า อโนมะ. พระอัครสาวิกา นามว่า นกุลา องค์หนึ่ง นามว่า สุชาดา องค์หนึ่ง. ต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๕๘ ศอก ประมาณพระชามายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ฉะนี้แล.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า เรวตะ พระนายกทรงพระนามว่า โสภิตะ มีพระทัยตั้งมั่น มีพระทัยสงบ หาผู้เสมอมิได้ หาผู้เปรียบปานมิได้ ด้วยประการฉะนี้.
ในกาลภายหลังของพระองค์ ครั้นล่วงได้อสงไขยหนึ่ง ในกัปเดียวกัน มีพระพุทธเจ้าสามพระองค์ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว คือ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระนารทะ.
สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี มีสาวกสันนิบาตสามครั้ง. ครั้งแรกมีภิกษุแปดแสน ครั้งที่ ๒ เจ็ดสิบแสน ครั้งที่ ๓ แปดสิบหกพันโกฏิ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นเสนาบดีของยักษ์ตนหนึ่ง มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เป็นอธิบดีของยักษ์แสนโกฏิ เป็นอันมาก. เขาได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วจึงมา แล้วได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. แม้พระศาสดาก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสี ชื่อว่า จันทวดี พระราชาทรงพระนามว่า ยสวา เป็นพระราชบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า ยโสธรา. พระอัครสาวกนามว่า นิสภะ องค์หนึ่ง นามว่า อโนมะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า วรุณะ. พระอัครสาวิกา นามว่า สุนทรี องค์หนึ่ง นามว่า สุมนา องค์หนึ่ง. อัชชุนพฤกษ์ (ต้นรกฟ้า) เป็นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๕๘ ศอก พระชนมายุ ได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โสภิตะ พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ผู้สูงสุดแห่งทวีป มีพระยศอันประมาณมิได้ มีพระเดชยากที่คนจะก้าวล่วงได้ ฉะนี้แล.
ในกาลภายหลังของพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า ปทุมะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ. ครั้งที่ ๒ มีสามแสน. ครั้งที่ ๓ มีภิกษุผู้อยู่ในชัฎแห่งป่ามหาวัน ในป่าที่มิใช่บ้านสองแสน. ในคราวนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในชัฏแห่งป่านั้น พระโพธิสัตว์เป็นราชสีห์ เห็นพระศาสดาเข้านิโรธสมาบัติอยู่ มีจิตเลื่อมใส ไหว้ กระทำประทักษิณ เกิดปีติและโสมนัส บันลือสีหนาทสามครั้ง ตลอดเจ็ดวันมิได้ละปีติ มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เพราะสุขอันเกิดจากปีตินั่นเอง ไม่ออกไปหากิน กระทำการบริจาคชีวิต ได้เข้าไปเฝ้ายืนอยู่. พระศาสดาเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติ เมื่อล่วงได้เจ็ดวันแล้ว ทอดพระเนตรเห็นราชสีห์ ทรงดำริว่า เขาจักให้จิตเลื่อมใสแม้ในภิกษุสงฆ์ แล้วไหว้ ขอภิกษุสงฆ์จงมา. ในทันใดนั่นเอง ภิกษุทั้งหลายก็มา. ราชสีห์ทำจิตให้เลื่อมใสแล้วในพระสงฆ์. พระศาสดาทรงตรวจดูใจของเขาแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมะ ชื่อจัมปกะ พระราชาทรงพระนามว่า ปทุมะ เป็นพระราชบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า อสมา. พระอัครสาวกนามว่า สาละ องค์หนึ่ง นามว่า อุปสาละ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า วรุณะ. พระอัครสาวิกานามว่า รามา องค์หนึ่ง นามว่า สุรามา องค์หนึ่ง. โสณพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๕๘ ศอก พระชนมายุได้แสนปี ฉะนี้แล.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมะ เป็นผู้สูงสุดแห่งทวีป หาผู้เสมอมิได้ ไม่มีผู้ใดเปรียบปาน ฉะนี้แล.
ในกาลภายหลังของพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า นารทะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ. ครั้งที่ ๒ มีภิกษุเก้าสิบแสนโกฏิ. ครั้งที่ ๓ มีภิกษุแปดสิบแสนโกฏิ. ในกาลนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็ได้บวชเป็นฤๅษี เป็นผู้ปฏิบัติจนชำนาญในอภิญญา ๕ ในสมาบัติ ๘ ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้กระทำการบูชาด้วยจันทน์แดง. แม้พระองค์ก็ได้พยากรณ์ฤาษีนั้นว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อธัญญวดี กษัตริย์ทรงพระนามว่า สุเมธะ เป็นราชบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า อโนมา. พระอัครสาวกพระนามว่า ภัททปาละ องค์หนึ่ง นามว่า ชิตมิตะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า วาเสฏฐะ พระอัครสาวิกนามว่า อุตตรา องค์หนึ่ง นามว่า ผัคคุณี องค์หนึ่ง. ต้นมหาโสณพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก พระชนมายุ ๙๐,๐๐๐ ปี.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมะ พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า นารทะ ผู้สูงสุดแห่งทวีป หาผู้เสมอมิได้ หาผู้เปรียบปานมิได้ ฉะนี้แล.
ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า นารทะ ในกัปหนึ่งในที่สุดแห่งแสนกัปแต่นี้ ล่วงได้อสงไขยหนึ่ง พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งพระนามว่า ปทุมุตตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ ก็มีสามครั้ง. ในครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ. ครั้งที่ ๒ ที่เวภารบรรพต มีภิกษุเก้าสิบแสนโกฏิ. ครั้งที่ ๓ มีภิกษุแปดสิบพันโกฏิ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นชฏิล นามว่า มหารัฏฐิยะ ได้ถวายจีวรทานแก่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. แม้พระองค์ก็ได้พยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. ก็ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ พวกเดียรถีย์ยังมิได้มี. พวกเทวดาและมนุษย์ทั้งปวง ได้ถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นสรณะ พระนครของพระองค์นามว่า หังสวดี. กษัตริย์ทรงพระนามว่า อานันทะ เป็นพระราชบิดา พระมารดาทรงพระนามว่า สุชาดา. พระอัครสาวกนามว่า เทวละ องค์หนึ่ง นามว่า สุชาตะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า สุมนะ พระอัครสาวิกานามว่า อมิตตา องค์หนึ่ง นามว่า อสมา องค์หนึ่ง. ต้นสาลพฤกษ์เป็นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก รัศมีจากพระสรีระพุ่งไปจดที่ ๑๒ โยชน์โดยรอบ พระชนมายุได้ แสนปี ฉะนี้แล.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า นารทะ พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้สูงสุดแห่งนระ เป็นพระชินะ อุปมาด้วยสาครที่ไม่กระเพื่อม ฉะนี้แล.
ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ล่วงไปได้สามหมื่นกัป ในกัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้าสองพระองค์ คือ พระสุเมธะ และพระสุชาตะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระพุทธเจ้าทรงพระนาม สุเมธะ ก็มีสามครั้ง. ในสันนิบาตครั้งที่ ๑ ในสุทัสสนนคร ได้มีพระขีณาสพ ร้อยโกฏิ. ครั้งที่ ๒ มีเก้าสิบโกฏิ. ครั้งที่ ๓ มีแปดสิบโกฏิ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นมาณพชื่อ อุตตระ สละทรัพย์แปดสิบโกฏิที่ฝั่งเก็บไว้ทั้งหมด ถวายมหาทานแต่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฟังธรรมแล้ว ตั้งอยู่ในสรณะ ออกบวช แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สุเมธะ ชื่อสุทัสสนะ. พระราชาทรงพระนาม สุทัตตะ เป็นพระราชาบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า สุทัตตา. พระอัครสาวกสององค์นามว่า สุมนะ องค์หนึ่ง นามว่า สัพพกามะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า สาตระ. พระอัครสาวิกาสององค์นามว่า รามา องค์หนึ่ง นามว่า สุรามา องค์หนึ่ง. มหานิมพพฤกษ์ต้นสะเดาใหญ่ เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก พระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ฉะนี้แล.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ พระนายกทรงพระนามว่า สุเมธะ หาผู้ที่จะต่อกรได้ยาก พระเดชาแก่กล้า เป็นพระมุนี ผู้สูงสุดในโลกทั้งปวง ฉะนี้แล.
ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า สุชาตะ อุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งที่ ๑ มีภิกษุหกหมื่น. ครั้งที่ ๒ มีห้าหมื่น. ครั้งที่ ๓ มีสี่หมื่น. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าฟังธรรม แล้วถวายราชสมบัติในสี่ทวีป พร้อมด้วยรัตนะ ๗ ประการแต่สงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วบวชในสำนักของพระศาสดา ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้น ต่างถือเอาเงินที่เกิดขึ้นของรัฐ รับหน้าที่เป็นคนทะนุบำรุงวัด. ได้ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเป็นนิตย์. แม้พระศาสดาก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีภาคเจ้าพระองค์นั้น มีชื่อว่า สุมังคละ พระราชาทรงพระนามว่า อุคคตะ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า ประภาวดี. พระอัครสาวกมีนามว่า สุทัสสนะ องค์หนึ่ง มีนามว่า สุเทวะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากมีนามว่า นารทะ พระอัครสาวิกามีนามว่า นาคา องค์หนึ่ง มีนามว่า นาคสมาลา องค์หนึ่ง. มหาเวฬุพฤกษ์ (ต้นไผ่ใหญ่) เป็นต้นไม้ตรัสรู้. ได้ยินว่า ต้นไม้นั้นไม่ใคร่มีรูโปร่ง ลำต้นแข็งแรง มีกิ่งใหญ่พุ่งขึ้นเบื้องบน แลดูงดงาม ราวกะกำแววหางนกยูง. พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นสูงได้ ๕๐ ศอก พระชนมายุ ๙๐,๐๐๐ ปี ฉะนี้แล
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแหละ มีพระนายกทรงพระนามว่า สุชาตะ ผู้มีพระหนุดังคางราชสีห์ (ผึ่งผาย) มีพระวรกาย ดังโคอุสภะ (สง่างาม) หาผู้เปรียบนี้ได้ หาผู้ต่อกรได้ยาก ฉะนั้นแล.
ในกาลต่อจากพระสุชาตพุทธเจ้า ในกัปหนึ่งในที่สุดแห่งสิบแปดกัปแต่นี้ มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นสามองค์คือ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี. แม้สาวกสันนิบาตของพระปิยทัสสี ก็มีสามครั้ง ครั้งแรกมีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ มีเก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ ๓ มีแปดสิบโกฏิ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นมาณพนามว่า กัสสปะ. เรียนจบเวททั้งสาม ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ได้บริจาคทรัพย์แสนโกฏิสร้างสังฆาราม ตั้งอยู่ในสรณะและศีลแล้ว ที่นั้นพระศาสดาทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อล่วงไปพันแปดร้อยกัป. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนาม อโนปมะ พระราชาทรงพระนามว่า สุทินนะ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า จันทา. พระอัครสาวกนามว่า ปาลิตะ องค์หนึ่ง นามว่า สัพพทัสสี องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า โสภิตะ พระอัครสาวิกานามว่า สุชาตา องค์หนึ่ง นามว่า ธรรมทินนา องค์หนึ่ง. กกุธพฤกษ์ (ต้นกุ่ม) เป็นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๘๐ ศอก พระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุชาตะ. พระปิยทัสสี ผู้เป็นพระโลกนาถ ผู้เป็นพระสยัมภู ยากที่ใครจะต่อกรได้ หาใครเสมอมิได้ ผู้มีพระยศใหญ่ ฉะนั้นแล.
ในกาลต่อจากพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อัตถทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุเก้าล้านแปดแสน ครั้งที่ ๒ แสนแปด ครั้งที่ ๓ ก็เท่ากัน. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบสผู้มีฤทธิ์มากชื่อว่า สุสิมะ นำฉัตรดอกมณฑารพ มาจากเทวโลก บูชาพระศาสดา. แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้า นามว่า โสภิตะ. พระราชาทรงพระนามว่า สาคระ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า สุทัสสนา. พระอัครสาวกนามว่า สันตะ องค์หนึ่ง นามว่า อุปสันตะองค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า อภยา. พระอัครสาวิกานามว่า ธรรมา องค์หนึ่ง นามว่า สุธรรมา องค์หนึ่ง. จัมปกพฤกษ์ (ต้นจัมปา) เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก รัศมีจากพระสรีระแผ่ไปโดยรวม ประมาณโยชน์หนึ่ง ตั้งอยู่ตลอดเวลา พระชนมายุได้ แสนปี.
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล พระนราสภ อัตถทัสสี ทรงกำจัดความมืดอย่างใหญ่แล้ว บรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม.
ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า ธรรมทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ ก็มีสามครั้ง. ครั้งแรกมีภิกษุร้อยโกฏิ ครั้งที่ ๒ เจ็ดสิบโกฏิ ครั้งที่ ๓ แปดสิบโกฏิ. ในครั้งนั้น พระมหาสัตว์เป็นท้าวสักกเทวราช ได้กระทำการบูชา ด้วยดอกไม้มีกลิ่นอันเป็นทิพย์ และด้วยเครื่องดนตรีทิพย์. แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น นามว่า สรณะ. พระราชาทรงพระนามว่า สรณะ เป็นพระราชบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า สุนันทา. พระอัครสาวกนามว่า ปทุมะ องค์หนึ่ง นามว่า ปุสสเทวะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า สุเนตตะ. พระอัครสาวิกานามว่า เขมา องค์หนึ่ง นามว่า สัพพนามา องค์หนึ่ง. ต้นรัตตกุรวกพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้. ต้นพิมพชาละบาลีพุทธวงศ์ เป็น ติมพชาละ (ไม้พลับ) (ไม้มะกล่ำเครือ) ก็เรียก. ก็พระสรีระของพระองค์สูงได้ ๘๐ ศอก พระชนมายุได้แสนปี.
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแหละ พระธรรมทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ ทรงกำจัดความมืดมน อนธการแล้ว รุ่งโรจน์อยู่ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก.


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นิทานกถา
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
หน้าต่างที่ ๔ / ๘.

ในมัณฑกัปนั้นนั่นแหละ พระธรรมทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ ทรงกำจัดความมืดมนอนธการแล้ว รุ่งโรจน์อยู่ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก.
ในกาลต่อจากพระองค์ ในกัปหนึ่งในที่สุดแห่งเก้าสิบสี่กัปแต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวทรงพระนามว่า สิทธัตถะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ ก็มีสามครั้ง. ในสันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ เก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ ๓ แปดสิบโกฏิ. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบส นามว่า มังคละ มีเดชกล้า สมบูรณ์ด้วยอภิญญาพละ ได้นำผลหว้าใหญ่มาถวายแด่พระตถาคต. แม้พระศาสดาเสวยผลไม้นั้นแล้ว ได้ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า ในที่สุดแห่งกัปเก้าสิบสี่กัป ท่านจักได้เป็นพระพุทธเจ้า. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น นามว่า เวภาระ พระราชาทรงพระนามว่า ชยเสนะ เป็นพระราชบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า สุผัสสา. พระอัครสาวกนามว่า สัมพละ องค์หนึ่ง นามว่า สุมิตตะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า เรวตะ. พระอัครสาวิกานามว่า สิจลา องค์หนึ่ง นามว่า สุรามา องค์หนึ่ง. กัณณิกพฤกษ์ เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุได้ แสนปี.
หลังจากพระธรรมทัสสี พระโลกนายกทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ทรงกำจัดความมืดเสียสิ้น เหมือนดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาแล้ว ฉะนั้น.
ในกาลต่อจากพระองค์ ในที่สุดแห่งกัปที่เก้าสิบสอง มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นสององค์ ในกัปหนึ่ง คือ ทรงพระนามว่า ติสสะ ทรงพระนามว่า ปุสสะ. สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ติสสะ มีสาวกสันนิบาตสามครั้ง. ในครั้งแรกมีภิกษุร้อยโกฏิ. ครั้งที่ ๒ มีเก้าสิบโกฏิ. ครั้งที่ ๓ มีแปดสิบโกฏิ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นกษัตริย์มีโภคสมบัติมาก มียศใหญ่นามว่า สุชาตะ ทรงผนวชเป็นฤาษี ถึงความเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ได้สดับว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ถือเอาดอกมณฑารพ ดอกบัวหลวง และดอกปาริฉัตรอันเป็นทิพย์ มาบูชาพระตถาคต ผู้ประทับอยู่ในท่ามกลางบริษัทสี่ ในอากาศ ได้กระทำเพดานดอกไม้ไว้. แม้พระศาสดาพระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์เขาว่า ในกัปที่เก้าสิบสองแต่กัปนี้ จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น นามว่า เขมะ. กษัตริย์ทรงพระนามว่า ชนสันธะ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า ปทุมา. พระอัครสาวกนามว่า พรหมเทวะ องค์หนึ่ง นามว่า อุทยะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า สัมภวะ. พระอัครสาวิกา นามว่า ปุสสา องค์หนึ่ง นามว่า สุทัตตา องค์หนึ่ง. อสนพฤกษ์ (ต้นประดู่ลาย) เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุได้แสนปี.
กาลต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สิทธัตถะ ก็มาถึงพระนายกผู้เลิศในโลก ทรงพระนามว่า ติสสะ หาผู้เสมอมิได้ หาผู้เปรียบมิได้ ทรงมีศีลหาที่สุดมิได้ ทรงมีพระยศนับไม่ได้.
กาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า ปุสสะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ ก็มีสามครั้ง. ในสันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุหกสิบแสน. ครั้งที่ ๒ ห้าสิบแสน ครั้งที่สาม สามสิบสองแสน. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า วิชิตาวี. ทรงสละราชสมบัติอันใหญ่ แล้วผนวชในสำนักของพระศาสดา ทรงเล่าเรียนพระไตรปิฎก แล้วทรงแสดงธรรมกถาแก่มหาชน ทรงบำเพ็ญศีลบารมี. แม้พระปุสสะก็พยากรณ์เขาว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น นามว่า กาสี พระราชาทรงพระนามว่า ชยเสนะ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า สิริมา. พระอัครสาวกนามว่า สุรักขิตะ องค์หนึ่ง นามว่า ธรรมเสนะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า โสภิยะ. พระอัครสาวิกานามว่า จาลา องค์หนึ่ง นามว่า อุปจาลา องค์หนึ่ง. อามลกพฤกษ์ (ต้นมะขามป้อม) เป็นต้นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๕๘ ศอก พระชนมายุ ๙๐,๐๐๐ ปี.
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแหละ ได้มีพระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมหาผู้เทียมมิได้ ไม่เป็นเช่นกับใคร ผู้เป็นพระนายกผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงพระนามว่า ปุสสะ.
กาลต่อจากพระองค์ ในกัปที่เก้าสิบเอ็ดแต่กัปนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ ก็มีสามครั้ง. ในสันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุหกสิบแปดแสน. ครั้งที่ ๒ มีเก้าสิบเจ็ดแสน ครั้งที่ ๓ มีแปดหมื่น. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระยานาคนามว่า อตุละ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ได้ถวายตั่งใหญ่ทำด้วยทองคำขจิต ด้วยแก้วเจ็ดประการแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. แม้พระองค์ท่านก็ได้ทรงพยากรณ์เขาว่า ในกัปที่เก้าสิบเอ็ดแต่กัปนี้ ท่านจักได้เป็นพระพุทธเจ้า. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น นามว่า พันธุมดี. พระราชาทรงพระนามว่า พันธุมะ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า พันธุมดี. พระอัครสาวกนามว่า ขันธะ องค์หนึ่ง นามว่า ติสสะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า อโศกะ. พระอัครสาวิกานามว่า จันทา องค์หนึ่ง นามว่า จันทมิตตา องค์หนึ่ง. ปาตลิพฤกษ์ (ต้นแคฝอย) เป็นต้นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๘๐ ศอก พระรัศมีจากพระสรีระแผ่ออกไปจด ๗ โยชน์ พระชนมายุ ๘๐,๐๐๐ ปี.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปุสสะ พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดในทวีป ทรงพระนามว่า วิปัสสี ผู้มีพระจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก.
ในกาลต่อจากพระองค์ ในกัปที่สามสิบเอ็ดแต่กัปนี้ ได้มีพระพุทธเจ้าสองพระองค์คือ พระสิขี และพระเวสสภู. แม้สาวกสันนิบาตของพระสิขี ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรกมีภิกษุแสนหนึ่ง ครั้งที่ ๒ มีแปดหมื่น ครั้งที่ ๓ มีเจ็ดหมื่น. ในกาลครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาทรงพระนามว่า อรินทมะ ได้ถวายมหาทานพร้อมด้วยจีวรแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายช้างแก้วซึ่งตกแต่งด้วยแก้วเจ็ดประการ ได้ถวายกัปปิยะภัณฑ์ ทำให้มีขนาดเท่าตัวช้าง. แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ในกัปที่สามสิบเอ็ดแต่กัปนี้. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีนามว่า อรุณวดี กษัตริย์นามว่า อรุณะ เป็นพระราชบิดา. พระราชมารดาทรงพระนามว่า ปภาวดี. พระอัครสาวกนามว่า อภิภู องค์หนึ่ง นามว่า สัมภวะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า เขมังกระ. พระอัครสาวิกานามว่า เขมา องค์หนึ่ง นามว่า ปทุมา องค์หนึ่ง. ปุณฑรีกพฤกษ์ (ต้นมะม่วง) เป็นต้นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๓๗ ศอก พระรัศมีจากพระสรีระแผ่ซ่านไปจด ๓๐๐ โยชน์ พระชนมายุได้ ๓๗,๐๐๐ ปี.
ในกาลต่อจากพระวิปัสสี พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดในทวีป เป็นพระชินเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี หาเสมอมิได้ หาบุคคลเปรียบปานมิได้.
ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า เวสสภู เสด็จอุบัติขึ้น. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ ก็มีสามครั้ง. ในสันนิบาตครั้งแรกได้มีภิกษุแปดล้าน ครั้งที่ ๒ มีเจ็ดล้าน ครั้งที่ ๓ มีหกล้าน. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาทรงพระนามว่า สุทัสนะ ถวายมหาทานพร้อมทั้งจีวร แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทรงผนวชในสำนักของพระองค์ ได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณ มากไปด้วยความยำเกรง และปีติในพระพุทธรัตนะ. แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์พระองค์ว่า ในกัปที่สามสิบเอ็ดแต่กัปนี้ จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น นามว่า อโนมะ พระราชาทรงพระนามว่า สุปปติตะ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า ยสวดี. พระอัครสาวกนามว่า โสณะ องค์หนึ่ง นามว่า อุตตระ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า อุปสันตะ. พระอัครสาวิกานามว่า รามา องค์หนึ่ง นามว่า สมาลา องค์หนึ่ง. สาลพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุได้ ๖๐,๐๐๐ ปี
ในมัณกัปนั้นนั่นแล พระชินเจ้าผู้หาใครเสมอมิได้ หาใครเปรียบปานมิได้ ทรงพระนามว่า เวสสภู เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก.
ในกาลต่อจากพระองค์ ในกัปนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นสี่พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา. สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กกุสันธะ มีสาวกสันนิบาตครั้งเดียว. ในสาวกสันนิบาตนั้น นั่นแหละมีภิกษุสี่หมื่น. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาทรงพระนามว่า เขมะ ถวายมหาทานพร้อมด้วยจีวรและเภสัช มียาหยอดตา เป็นต้น แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข สดับพระธรรมเทศนาของพระศาสดา แล้วทรงผนวช. แม้พระศาสดาพระองค์นั้น ก็ได้ทรงพยากรณ์เขาไว้แล้ว. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กกุสันธะ นามว่า เขมะ. พราหมณ์นามว่า อัคคิทัตตะ เป็นพระบิดา. นางพราหมณีนามว่า วิสาขา เป็นพระมารดา. พระอัครสาวกนามว่า วิธุระ องค์หนึ่ง นามว่า สัญชีวะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า พุทธิชะ พระอัครสาวิกานามว่า สาขา องค์หนึ่ง นามว่า สารัมภา องค์หนึ่ง. มหาสิริสพฤกษ์ [ต้นซึกใหญ่] เป็นต้นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๔๐ ศอก พระชนมายุได้ ๔๐,๐๐๐ ปี.
ต่อจากพระเวสสภูก็มาถึง พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในทวีป ทรงพระนามว่า กกุสันธะ หาคนเทียบเคียงมิได้ ยากที่ใครๆ จะต่อกรได้.
ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า โกนาคมนะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ ก็มีครั้งเดียว. ในสันนิบาตนั้น ได้มีภิกษุสามหมื่นรูป. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาทรงพระนามว่า ปัพพตะ มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม เสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา สดับพระธรรมเทศนา แล้วนิมนต์ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายมหาทาน แล้วถวายผ้าปัตตุณณะ [ผ้าไหม] จีนปฏะ [ผ้าขาวในเมืองจีน] ผ้าไหม ผ้ากัมพล และผ้าเปลือกไม้เนื้อดี รวมทั้งผ้าที่ทอด้วยทองคำ แล้วทรงผนวชในสำนักของพระศาสดา. แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์เขาไว้. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น นามว่า โสภวดี พราหมณ์นามว่า ยัญญทัตตะ เป็นพระบิดา. นางพราหมณ์นามว่า อุตตรา เป็นพระมารดา. พระอัครสาวกนามว่า ภิยโยสะ องค์หนึ่ง นามว่า อุตตระ องค์หนึ่ง. อุทุมพรพฤกษ์ [ต้นมะเดื่อ] เป็นต้นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๒๐ ศอก พระชนมายุได้ ๓๐,๐๐๐ ปี.
ต่อจากพระกกุสันธะ พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านระ ทรงพระนามว่า โกนาคมนะ ผู้เป็นพระชินเจ้า ผู้เป็นพระโลกเชษฐ์ พระนราสภ.
ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า กัสสปะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ ก็มีครั้งเดียวเท่านั้น. ในสันนิบาตนั้นมีภิกษุสองหมื่น. ในคราวนั้น พระโพธิสัตว์เป็นมาณพชื่อ โชติปาละ เรียนจบไตรเพท เป็นผู้มีชื่อเสียง ทั้งบนแผ่นดินและกลางหาว. ได้เป็นมิตรของช่างหม้อชื่อ ฆฏิการะ เขาพร้อมกับช่างหม้อนั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมกถา แล้วบวชลงมือทำความเพียร เล่าเรียนพระไตรปิฎก ดูงดงามในพระพุทธศาสนา เพราะถึงพร้อมด้วยวัตรปฏิบัติ พระศาสดาก็ได้ทรงพยากรณ์เขาไว้แล้ว. พระนครอันเป็นที่ประสูติของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีนามว่า พาราณสี. พราหมณ์นามว่า พรหมทัต เป็นพระบิดา. นางพราหมณีนามว่า ธนวดี เป็นพระมารดา. พระอัครสาวกนามว่า ติสสะ องค์หนึ่ง นามว่า ภารทวาชะ องค์หนึ่ง. พระอุปฐากนามว่า สัพพมิตตะ. พระอัครสาวิกานามว่า อนุลา องค์หนึ่ง นามว่า อุรุเวลา องค์หนึ่ง. ต้นนิโครธพฤกษ์ [ต้นไทร] เป็นต้นไม้ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๒๐ ศอก พระชนมายุได้ ๒๐,๐๐๐ ปี.
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคมนะ พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่านระ ทรงพระนามว่า กัสสปะ ผู้เป็นพระชินเจ้า เป็นพระธรรมราชา ทรงทำโลกให้สว่าง.
ก็ในกัปที่พระทศพลทีปังกรเสด็จอุบัติขึ้น แม้พระพุทธเจ้าจะมีถึงสามองค์ พระโพธิสัตว์ไม่ได้รับการพยากรณ์จากสำนักพระพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ท่านจึงมิได้แสดงไว้ในที่นี้ แต่ในอรรถกถา เพื่อที่จะแสดงพระพุทธเจ้าทั้งหมด จำเดิมแต่กัปนั้น. ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า
พระสัมพุทธเจ้าเหล่านี้ คือ พระตัณหังกร พระเมธังกร และพระสรณังกร พระทีปังกรสัมพุทธเจ้า พระโกณฑัญญะ ผู้สูงสุดกว่านระ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระมุนีโสภิตะ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระนารทะ พระปทุมุตตระ พระสุเมธะ พระสุชาตะ พระปิยทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่ พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี พระสิทธัถะผู้เป็นโลกนายก พระติสสะ พระปุสสสัมพุทธเจ้า พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระนายกกัสสปะ ล้วนทรงมีราคะกำจัดได้แล้ว มีพระหทัยตั้งมั่น ทรงกำจัดความมืดอย่างใหญ่หลวงได้ ประหนึ่งดวงอาทิตย์ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ลุกโพลงอยู่ ราวกะว่ากองไฟ เสด็จปรินิพพานแล้ว พร้อมทั้งสาวก ดังนี้.
ในเรื่องนั้น พระโพธิสัตว์ของพวกเราสร้าง คุณงามความดีในสำนักของพระพุทธเจ้ายี่สิบสี่องค์ มีพระทีปังกรเป็นต้น มาถึงตลอดสี่อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัป. ต่อจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์อื่น เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้. ก็พระโพธิสัตว์ได้รับคำพยากรณ์ ในสำนักของพระพุทธเจ้ายี่สิบสี่องค์ มีพระทีปังกรเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า.
เพราะประมวลธรรม ๘ ประการ คือ ความเป็นมนุษย์ ความสมบูรณ์ ด้วยเพศ ด้วยเหตุ การได้พบพระศาสดา การบรรพชา การถึงพร้อมด้วยคุณ การกระทำยิ่งใหญ่ ความพอใจ ความปรารถนาที่ตั้งใจจริง ย่อมสำเร็จได้.
พระมหาสัตว์ผู้ได้กระทำความปรารถนาที่ตั้งใจจริง ไว้แทบบาทมูลของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร ประมวลธรรม ประการเหล่านี้ มาแล้ว กระทำอุตสาหะว่า เอาเถอะ เราจะเลือกเฟ้นธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า จากที่โน้น บ้างที่นี้บ้าง. ได้เห็นพุทธการกธรรม มีทานบารมีเป็นต้น ด้วยกล่าวว่า ในกาลเมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ ได้เห็นทานบารมีเป็นข้อแรก. เขาบำเพ็ญธรรมเหล่านั้น อยู่มาจนถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดร และเมื่อมาถึงก็ได้มาบรรลุอานิสงส์ สำหรับพระโพธิสัตว์ ผู้ได้กระทำความปรารถนาที่ตั้งใจจริง ดังที่ท่านพรรณนา ไว้มากมายว่า
นรชนผู้สมบูรณ์ด้วยองค์คุณทุกประการ ผู้เที่ยงต่อโพธิญาณ ตลอดสงสารอันมีระยะกาลยาวนาน แม้นับด้วยร้อยโกฎิกัป จะไม่เกิดในอเวจี แม้ในโลกันตรนรก ก็เช่นกัน. แม้เมื่อเกิดในทุคติ จะไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต ขุปปิปาสาเปรต กาลกัญชิกาสูร ไม่เป็นสัตว์ตัวเล็กๆ.
เมื่อจะเกิดในมนุษย์ ก็ไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด ไม่เป็นคนหูหนวก ไม่เป็นคนใบ้ ไม่เกิดเป็นสตรี ไม่เป็นอุภโตพยัญชนก (คนสองเพศ) และกะเทย.
นรชนผู้เที่ยงต่อโพธิญาณ จะไม่มีใจติดพันในสิ่งใด พ้นจากอนันตริยกรรม เป็นผู้มีโคจรสะอาดในที่ทั้งปวง ไม่ซ่องเสพมิจฉาทิฏฐิ เพราะเห็นผลในการกระทำกรรม.
แม้จะอยู่ในพวกสัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่เกิดเป็นอสัญญีสัตว์. ในพวกที่อยู่ในสุทธาวาส ก็ไม่มีเหตุไปเกิด. เป็นสัตบุรุษ น้อมใจไปในเนกขัมมะ ปลดเปลื้องภพน้อยใหญ่ออก ประพฤติแต่ประโยชน์แก่โลก มุ่งบำเพ็ญบารมีทุกประการ เที่ยวไป.
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่นั่นแหละ อัตภาพที่บำเพ็ญทานบารมี คือ ในกาลเป็นพราหมณ์ชื่อ อกิตติ. ในกาลเป็นพราหมณ์ชื่อ สังขะ. ในกาลเป็นพระราชาทรงพระนามว่า ธนัญชยะ. ในกาลเป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ในกาลเป็นมหาโควินทะ ในกาลเป็นนิมิมหาราช ในกาลเป็นจันทกุมาร ในกาลเป็นวิสัยหเศรษฐี ในกาลเป็นพระเจ้าสิวิราช ในกาลเป็นพระเวสสันดร ก็เหลือที่จะนับได้ แต่ทานบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้กระทำการบริจาคตน ในสสบัณฑิตชาดก อย่างนี้ว่า
เราเห็นเขาเข้ามาเพื่อขอ จึงได้บริจาคตัวของตน. สิ่งที่เสมอด้วยทานของเราไม่มี นี้เป็นทานบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมีแน่นอน.
ก็เช่นเดียวกัน อัตภาพที่บำเพ็ญศีลบารมี คือ ในกาลเป็นสีลวนาคราช ในกาลที่เป็นจัมเปยยนาคราช ในกาลที่เป็นภูริทัตตนาคราช ในกาลที่เป็นฉัททันตนาคราช ในกาลเป็นชัยทิสราชบุตร ในกาลที่เป็นอลีนสัตตุกุมาร ก็เหลือที่จะนับได้ แต่ศีลบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ทำการบริจาคตน ในสังขปาลชาดก อย่างนี้ว่า
เราเมื่อถูกทิ่มแทงอยู่ด้วยหลาว แม่จะถูกตีซ้ำด้วยหอก ก็มิได้โกรธเคืองลูกผู้ใหญ่บ้านเลย นี้เป็นศีลบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมีแน่นอน.
ก็เช่นเดียวกัน อัตภาพที่พระโพธิสัตว์สละราชสมบัติอย่างใหญ่ บำเพ็ญเนกขัมบารมีคือ ในกาลที่เป็นโสมนัสกุมาร ในกาลที่เป็นหัตถิปาลกุมาร ในกาลที่เป็นอโยฆรบัณฑิต ก็เหลือที่จะนับได้. แต่เนกขัมมบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้ทิ้งราชสมบัติออกบวช เพราะเป็นผู้ปราศจากเครื่องข้อง ในจูฬสุตโสมชาดก อย่างนี้ว่า
เราละทิ้งราชสมบัติอย่างใหญ่หลวง ที่อยู่ในเงื้อมมือแล้วไปดุจก้อนเขฬะ เมื่อเราสละแล้ว ไม่มีความข้องอยู่เลย นี้เป็นเนกขัมมบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมีแน่นอน.
ก็เช่นเดียวกัน อัตภาพที่บำเพ็ญปัญญาบารมี คือ ในกาลที่เป็นวิธูรบัณฑิต ในกาลที่เป็นมหาโควินทบัณฑิต ในกาลที่เป็นขุททาลบัณฑิต ในกาลที่เป็นอรกบัณฑิต ในกาลที่เป็นโพธิปริพพาชก ในกาลที่เป็นมโหสถบัณฑิต ก็เหลือที่จะนับได้ แต่ปัญญาบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้แสดง งูที่อยู่ข้างในกระสอบ ในกาลที่เป็นเสนกบัณฑิต ในสัตตุภัตตชาดก อย่างนี้ว่า
เราเมื่อใคร่ครวญอยู่ด้วยปัญญา ปลดเปลื้องพราหมณ์ให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ที่เสมอด้วยปัญญาของเราไม่มี นี้เป็นปัญญาบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมีแน่นอน.
ก็เช่นเดียวกัน อัตภาพที่บำเพ็ญแม้วิริยบารมีเป็นต้น ก็เหลือที่จะนับได้. แต่วิริยบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้ข้ามมหาสมุทร ในมหาชนกชาดก อย่างนี้ว่า
ในท่ามกลางน้ำเราไม่เห็นฝั่งเลย พวกมนุษย์ลูกฆ่าตายหมด ความเป็นอย่างอื่นแห่งจิตไม่มีเลย นี้เป็นวิริยบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมี.
ขันติบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้อดกลั้นทุกข์หนัก เพราะทำเป็นเหมือนกับไม่มีจิตใจ ในขันติวาทีชาดก อย่างนี้ว่า
เราไม่โกรธในพระเจ้ากาสิกราช ผู้ทุบตีเราผู้เหมือนกับไม่มีจิตใจ ด้วยขวานอันคมกริบ นี้เป็นขันติบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
สัจบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้สละชีวิตคามรักษาอยู่ซึ่งสัจจะ ในมหาสุตโสมชาดก อย่างนี้ว่า
เราเมื่อตามรักษาอยู่ซึ่งสัจวาจา สละชีวิตของเราปลดเปลื้องกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ได้แล้ว นี้เป็นสัจบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
อธิษฐานบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ถึงกับสละชีวิตอธิษฐานวัตร ในมูคปักขชาดก อย่างนี้ว่า
มารดาบิดามิได้เป็นที่เกลียดชังของเรา ทั้งยศใหญ่เราก็มิได้เกลียดชัง แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงอธิษฐานวัตร ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
เมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ไม่เหลียวแลแม้แต่ชีวิต ยังคงมีเมตตาอยู่ ในเอกราชชาดก อย่างนี้ว่า
ใครๆ ก็ทำให้เราสะดุ้งไม่ได้ ทั้งเรา มิได้หวาดต่อใครๆ เราไม่แข็งกระด้าง เพราะกำลังเมตตา จึงยินดีอยู่ในป่าเขา ทุกเมื่อ ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
อุเบกขาบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ไม่ประพฤติล่วงอุเบกขา เมื่อพวกเด็กชาวบ้าน แม้จะก่อให้เกิดทุกข์และสุขด้วยการถ่มน้ำลายใส่เป็นต้นบ้าง ด้วยการนำดอกไม้และของหอม มาให้บ้าง ในโลมหังสชาดก อย่างนี้ว่า
เราหนุนซากศพเหลือแต่กระดูก สำเร็จการนอนในป่าช้า พวกเด็กต่างพากันกระโดดจากสนามวัว แล้วแสดงรูปต่างๆ เป็นอันมาก ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
ความสังเขปในที่นี้มีเพียงเท่านี้. ส่วนโดยพิศดาร พึงถือใจความนั้นจากจริยาปิฎก.
พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอย่างนี้แล้ว ดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร กระทำบุญใหญ่ อันเป็นเหตุให้แผ่นดินใหญ่ไหว อย่างนี้ว่า
แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจ ไม่รับรู้สุขทุกข์ แม้แผ่นดินนั้นก็ได้ไหวแล้วถึง ๗ ครั้ง เพราะอำนาจแห่งทานของเรา ดังนี้
ในเวลาสิ้นสุดแห่งอายุ จุติจากนั้นได้ไปเกิดในดุสิตพิภพ. จำเดิมแต่บาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร จนถึงพระโพธิสัตว์นี้เกิดในดุสิตบุรี ข้อนั้นพึงทราบว่า ชื่อทูเรนิทาน.


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นิทานกถา
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
หน้าต่างที่ ๕ / ๘.

ในเวลาสิ้นสุดแห่งอายุ จุติจากนั้นได้ไปเกิดในดุสิตพิภพ. จำเดิมแต่บาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร จนถึงพระโพธิสัตว์นี้เกิดในดุสิตบุรี ข้อนั้นพึงทราบว่า ชื่อทูเรนิทาน.

อวิทูเรนิทาน
ก็เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตบุรีนั่นแล ความแตกตื่นเรื่องพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว. จริงอยู่ ในโลกย่อมมีโกลาหล ๓ อย่างเกิดขึ้น คือ โกลาหลเรื่องกัป ๑ โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า ๑ โกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ ๑.
พวกเทวดาชั้นกามาวจรที่ชื่อว่า โลกพยุหะ ทราบว่า เหตุที่จะเกิดเมื่อสิ้นกัป จักมีโดยล่วงไปได้แสนปีนั้น ดังนี้ ต่างมีศีรษะเปียก สยายผมมีหน้า ร้องไห้ เอามือทั้งสองเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดง มีรูปร่างแปลก เที่ยวเดินบอกกล่าวไปในเมืองมนุษย์ ว่า
ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งแสนปีแต่นี้ เหตุที่จะเกิดเมื่อสิ้นกัปจักมีขึ้น แม้โลกนี้ก็จักพินาศไป แม้มหาสมุทรก็จักพินาศ แผ่นดินใหญ่นี้ และพญาแห่งภูเขาสิเนรุ จักถูกไฟไหม้ จักพินาศไป ความพินาศจักมีจนถึงพรหมโลก. ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ขอพวกท่านจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จงบำรุงมารดาบิดา จงเป็นผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล ดังนี้.
นี้ชื่อว่า โกลาหลเรื่องกัป.
พวกเทวดาชื่อว่า โลกบาล ทราบว่า ก็โดยล่วงไปแห่งพันปี พระสัพพัญญูพุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ดังนี้ แล้วพากันเที่ยวป่าวร้อง ชื่อว่า โกลาหล เรื่องพระพุทธเจ้า.
เทวดาพวกนั้นแหละทราบว่า โดยล่วงไปแห่งร้อยปี พระเจ้าจักรพรรดิจักเสด็จอุบัติขึ้น พากันเที่ยวป่าวประกาศว่า
ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดยล่วงไปแห่งร้อยปีแต่นี้ พระเจ้าจักรพรรดิจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ดังนี้.
นี้ชื่อว่า โกลาหล เรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ.
โกลาหลทั้งสามประการนี้ นับว่าเป็นของใหญ่. บรรดาโกลาหลทั้งสามนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้น ได้ฟังเสียงโกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้าแล้ว จึงร่วมประชุมพร้อมกัน ทราบว่า สัตว์ชื่อโน้นจักเป็นพระพุทธเจ้า เข้าไปหาเขา แล้วต่างจะอ้อนวอน และเมื่ออ้อนวอนอยู่ ก็จะอ้อนวอนในเมื่อบุรพนิมิตเกิดขึ้นแล้ว. ก็ในกาลนั้นเทวดาแม้ทั้งปวง พร้อมกับท้าวจาตุมมหาราช ท้าวสักกะ ท้าวสุยาม ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมานรดี ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี และท้าวมหาพรหม ในแต่ละจักรวาลมาประชุมพร้อมกันในจักรวาลหนึ่ง แล้วพากันไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ ในภพดุสิต ต่างอ้อนวอนว่า
“ ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเมื่อบำเพ็ญบารมีสิบ ก็มิได้ปรารถนาสมบัติของท้าวสักกะ สมบัติของมาร สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ สมบัติของพรหมบำเพ็ญ แต่ท่านปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณบำเพ็ญแล้ว เพื่อต้องการจะขนสัตว์ออกจากโลก. ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ บัดนี้ ถึงเวลาที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ถึงสมัยที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ”.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ยังไม่ให้ปฏิญาณแก่เทวดาทั้งหลาย จะตรวจดูมหาวิโลกนะ คือที่จะต้องเลือกใหญ่ ๕ ประการ คือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล และการกำหนดอายุของมารดา. ใน ๕ ประการนั้น พระโพธิสัตว์จะตรวจดู กาลก่อนว่า เป็นกาลสมควรหรือไม่สมควร. ในข้อนั้นกาลแห่งอายุที่เจริญขึ้นถึงแสนปี จัดว่า เป็นกาลไม่สมควร. เพราะเหตุไร. เพราะในกาลนั้น ชาติชราและมรณะไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย และพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่จะพ้นจากไตรลักษณ์ไม่มี. เมื่อพระองค์ตรัสว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา. พวกเขาก็จะคิดว่า พระองค์ตรัสข้อนั้นทำไม แล้วจะไม่เห็นเป็นสำคัญว่า ควรจะฟัง ควรจะเชื่อ. ต่อนั้น ก็จะไม่มีการตรัสรู้ เมื่อไม่มีการตรัสรู้ศาสนาก็จะไม่เป็นสิ่งนำออกจากทุกข์. เพราะฉะนั้น จึงเป็นกาลที่ยังไม่ควร. แม้กาลแห่งอายุหย่อนกว่าร้อยปี ก็จัดเป็นกาลที่ยังไม่ควร. เพราะเหตุไร. เพราะในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนา และโอวาทที่ให้แก่ผู้มีกิเลสหนา จะไม่ตั้งอยู่ในที่เป็นโอวาท. โอวาทนั้น ก็จะพลันปราศไปเร็วพลันเหมือนรอยไม้เท้าในน้ำ ฉะนั้น. เพราะฉะนั้น แม้กาลนั้น ก็จัดได้ว่าเป็นกาลไม่ควร. กาลแห่งอายุต่ำลงมาตั้งแต่แสนปี สูงขึ้นไปตั้งแต่ร้อยปี จัดเป็นกาลอันควร. และในกาลนั้น ก็เป็นกาลแห่งอายุร้อยปี. ทีนั้น พระมหาสัตว์ก็มองเห็นว่า เป็นกาลที่ควรจะเกิดได้แล้ว.
ต่อจากนั้น เมื่อจะตรวจดูทวีป ก็ตรวจดูทวีปใหญ่ ๔ ทวีป เห็นทวีปหนึ่งว่า ในทวีปทั้งสาม พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เสด็จอุบัติขึ้น เสด็จอุบัติขึ้นในชมพูทวีปเท่านั้น.
ต่อจากนั้น ก็ตรวจดูประเทศว่า ธรรมดาชมพูทวีปกว้างใหญ่มาก มีปริมาณถึงหมื่นโยชน์. พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในประเทศไหน หนอ. จึงมองเห็นมัชฌิมประเทศ. ชื่อว่า มัชฌิมประเทศ คือประเทศที่ท่านกล่าวไว้ในวินัย อย่างนี้ว่า ในทิศตะวันออก มีนิคมชื่อกชังคละ. ที่อื่นจากนิคมนั้นเป็นที่กว้างขวาง อื่นไปจากที่นั้น เป็นชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วมในเป็นมิชฌิมประเทศ. ในทิศใต้ มีแม่น้ำชื่อสัลลวดี. ต่อจากนั้น เป็นชนบทตั้งอยู่ชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศทักษิณ มีนิคมชื่อเสตกัณณิกะ. ต่อจากนั้นเป็นชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศตะวันตก มีพราหมณคามชื่อถูนะ. ต่อจากนั้นเป็นชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ. ในทิศเหนือ มีภูเขาชื่ออุสีรธชะ. ต่อจากนั้นเป็นชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ. มัชฌิมประเทศนั้นโดยยาววัดได้สามร้อยโยชน์ โดยกว้างได้สองร้อยห้าสิบโยชน์ โดยวงรอบได้เก้าร้อยโยชน์. ในประเทศนั้น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ และกษัตริย์พราหมณ์คฤหบดีมหาศาล ผู้มีศักดาใหญ่เหล่าอื่นย่อมเกิดขึ้น และนครชื่อว่ากบิลพัสดุ์นี้ ก็ตั้งอยู่ในมัชฌิมประเทศนี้. พระโพธิสัตว์จึงได้ถึงความตกลงใจว่า เราควรจะไปเกิดในนครนั้น.
ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์เมื่อจะเลือกตระกูล จึงเห็นตระกูลว่า มารดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เสด็จอุบัติในตระกูลแพศย์ หรือในตระกูลศูทร. แต่จะเสด็จอุบัติในตระกูลกษัตริย์ หรือในตระกูลพราหมณ์ที่โลกยกย่อง สองตระกูลนี้เท่านั้น. ก็บัดนี้ มีตระกูลกษัตริย์ที่โลกยกย่องแล้ว เราจักเกิดในตระกูลนั้น. พระเจ้าสุทโธทนมหาราช จักเป็นพระราชบิดาของเรา ดังนี้.
ต่อจากนั้น เมื่อจะเลือกมารดาก็เห็นว่า ธรรมดาพระพุทธมารดาย่อมไม่โลเลในบุรุษ ไม่เป็นนักเลงสุรา แต่จะเป็นผู้บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป. จำเดิมแต่เกิด จะมีศีล ๕ ไม่ขาดเลย และพระเทวีทรงพระนามว่า มหามายา นี้ทรงเป็นเช่นนี้ พระนางจะทรงเป็นพระราชมารดาของเรา ดังนี้. เมื่อตรวจดูว่า ก็พระนางจะทรงมีพระชนมายุเท่าไร ก็เห็นว่ามีอายุเกินกว่า ๑๐ เดือนไป ๗ วัน.
พระโพธิสัตว์ตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการนี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้วคิดว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ถึงกาลอันควรของเราแล้ว ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อจะกระทำการสงเคราะห์เทวดาทั้งหลาย จึงให้ปฏิญญา แล้วกล่าวว่า ขอพวกท่านไปได้ ส่งเทวดาเหล่านั้นกลับไป มีเทวดาชั้นดุสิตห้อมล้อมแล้ว ไปสู่นันทวันในดุสิตบุรี. จริงอยู่ นันทวันมีอยู่ในทุกเทวโลกทีเดียว. เทวดาในนันทวันในเทวโลกนั้น กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ขอท่านจงจุติจากนันทวัน นี้ไปสู่สุคติเถิด เที่ยวคอยเตือนให้ พระมหาสัตว์รำลึกถึงโอกาสแห่งกุศลกรรม ที่เคยกระทำไว้ครั้งก่อน. พระโพธิสัตว์อันพวกเทวดาผู้คอยเตือน ให้รำลึกถึงกุศลกรรมห้อมล้อมแล้วอย่างนี้ เที่ยวไปอยู่ในเทวโลกนั้น จุติแล้วถือเอาปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระมหามายาเทวี ก็เพื่อที่จะให้ชัดแจ้ง ถึงวิธีที่พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ มีถ้อยคำที่จะบรรยายตามลำดับ ดังนี้
ได้ยินว่า ในกาลนั้น ในนครกบิลพัสดุ์ได้มีงานนักขัตฤกษ์ เดือน ๘ กันอย่างเอิกเกริก. มหาชนเล่นงานนักขัตฤกษ์กัน. ฝ่ายพระนางมหามายาเทวี อีก ๗ วันจะถึงวันบุรณมี ทรงร่วมเล่นงานนักขัตฤกษ์ แต่ไม่มีการดื่มสุรากัน มีแต่จัดดอกไม้ของหอม และเครื่องประดับ. ในวันที่ ๗ ทรงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ทรงสนานด้วยน้ำหอม ทรงสละพระราชทรัพย์สี่แสน ถวายมหาทาน แล้วทรงแต่งพระองค์ ด้วยเครื่องประดับครบทุกอย่าง เสวยพระกระยาหารอย่างดี ทรงอธิษฐานองค์อุโบสถ. เสด็จเข้าห้องอันมีสิริ บรรทมบนพระสิริไสยาสน์ ก้าวลงสู่นิทรารมณ์ ได้ทรงพระสุบิน นี้ว่า
นัยว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ยกพระนางขึ้นพร้อมกับพระแท่นที่บรรทมทีเดียว ไปยังป่าหิมพานต์ แล้ววางบนพื้นแผ่นศิลา มีประมาณ ๖๐ โยชน์ ภายใต้ต้นสาละใหญ่มีประมาณ ๗ โยชน์ ได้ยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. ทีนั้น เหล่านางเทวีของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น ต่างพากันมานำพระเทวีไปยังสระอโนดาต ให้สรงสนานเพื่อที่จะชำระล้างมลทินของมนุษย์ออก ให้ทรงนุ่งห่มผ้าทิพย์ ลูบไล้ด้วยของหอมทิพย์ ประดับประดาด้วยดอกไม้ทิพย์. ในที่ไม่ไกลจากที่นั้น มีภูเขาเงินอยู่ลูกหนึ่ง ภายในภูเขานั้นมีวิมานทอง พวกเขาก็ตั้งพระแท่นที่บรรทมอันเป็นทิพย์ บ่ายพระเศียรสูงขึ้นทางปราจีนทิศ (ตะวันออก) ทูลให้บรรทมในวิมานทองนั้น. พระโพธิสัตว์เป็นพระยาช้างตัวประเสริฐสีขาวผ่อง เดินเที่ยวไปที่ภูเขาทองลูกหนึ่ง ในที่ไม่ไกลแต่ที่นั้น. เดินลงจากภูเขาทองนั้น ขึ้นไปยังภูเขาเงิน มาทางด้านอุตตรทิศ (ทิศเหนือ) เอางวงอันมีสีราวกะว่า พวงเงินจับดอกปทุมชาติสีขาว เปล่งโกญจนาท เข้าไปยังวิมานทอง. กระทำประทักษิณแท่นบรรทมของพระราชมารดา ๓ รอบแล้ว ปรากฏเหมือนกับว่า ทะลุทางด้านเบื้องขวาเข้าไปในพระอุทรของพระนาง. พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ ในวันนักขัตฤกษ์เดือน ๘ หลัง ด้วยประการฉะนี้.
ในวันรุ่งขึ้น พระเทวีทรงตื่นบรรทมแล้ว กราบทูลถึงพระสุบินนั้นแด่พระราชา. พระราชารับสั่งให้เชิญพราหมณ์ชั้นหัวหน้า ๖๔ คนเข้าเฝ้า ให้จัดปูลาดอาสนะมีค่ามากบนพื้นที่ฉาบด้วยโคมัยสด มีเครื่องสักการะอันเป็นมงคล กระทำด้วยข้าวตอกเป็นต้น ให้ใส่ข้าวปายาสอย่างเลิศ ซึ่งปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด ลงจนเต็มถาดทองและเงิน เอาถาดทองและเงินครอบแล้ว ถวายให้พวกเขาอิ่มหนำ พร้อมกับถวายผ้าห่ม และแม่โคแดงเป็นต้น. ทีนั้น เมื่อพวกพราหมณ์เหล่านั้นอิ่มหนำด้วยของที่ต้องการทุกอย่างแล้ว จึงตรัสบอกพระสุบิน แล้วตรัสถามว่า จักมีอะไรเกิด. พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงวิตกอะไรเลย พระเทวีทรงตั้งพระครรภ์แล้ว และพระครรภ์ที่ตั้งขึ้นนั้น เป็นครรภ์บุรุษ มิใช่ครรภ์ของสตรี. พระองค์จักมีพระราชบุตร ถ้าพระราชบุตรนั้นทรงอยู่ครองเรือน จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. ถ้าเสด็จออกจากเรือนบวชจักได้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ทรงมีกิเลส ประดุจหลังคาอันเปิดแล้วในโลก.
ก็ในขณะที่พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระคัพโภทรของพระมารดานั่นแหละ ตลอดหมื่นโลก ธาตุก็ไหวหวั่น สะเทือน เลื่อนลั่นขึ้นพร้อมกันทันที. บุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏขึ้นแล้ว. ในหมื่นจักรวาลได้มีแสงสว่าง สุดจะประมาณแผ่ซ่านไป. พวกคนตาบอดต่างก็ได้ตาดีขึ้น ดูประหนึ่งว่า มีประสงค์จะดูพระสิรินั้นของพระโพธิสัตว์นั้น. พวกคนหูหนวกก็ฟังเสียงได้ พวกคนใบ้ก็พูดจาได้ พวกคนค่อมก็มีตัวตรงขึ้น คนง่อยเปลี้ยเสียขาก็เดินด้วยเท้าได้. สัตว์ทั้งปวงที่ถูกจองจำ ก็พ้นจากเครื่องจองจำ มีขื่อคาเป็นต้น. ในนรกทุกแห่ง ไฟก็ดับ. ในเปรตวิสัยความหิวกระหายก็สงบระงับ. เหล่าสัตว์ดิรัจฉานก็ไม่มีความกลัวภัย. โรคและไฟกิเลส มีราคะเป็นต้นของสัตว์ทั้งปวง ก็สงบระงับ. สัตว์ทั้งปวงต่างมีวาจาน่ารัก ม้าทั้งหลายต่างก็ร้อง ช้างทั้งหลายต่างก็ร้อง ด้วยอาการอันอ่อนหวาน. บรรดาดนตรีทุกชนิด ต่างก็เปล่งเสียงกึกก้องของตนได้เอง ไม่ต้องมีใครตีเลย เครื่องอาภรณ์ที่สวมอยู่ที่มือของมนุษย์ทั้งหลาย ร้องขึ้นได้. ทิศทุกทิศต่างก็แจ่มใสไปทั่ว. สายลมอ่อนเย็นที่จะให้เกิดสุขแก่สัตว์ทั้งหลาย ก็พัดโชยมา. เมฆที่มิใช่กาลก็ให้ฝนตก. แม้จากแผ่นดิน น้ำก็ชำแรกไหลออกมา เหล่านกก็ไม่บินไปในอากาศ แม่น้ำก็นิ่งไม่ไหล น้ำในมหาสมุทรก็มีรสอร่อย. พื้นทั่วไปทุกแห่งก็ดาดาษ ด้วยดอกบัวหลวงมี ๕ สี. ดอกไม้ทุกชนิดที่เกิดบนพื้นดินและเกิดในน้ำ ต่างก็บานไปทั่ว. ที่ลำต้นต้นไม้ก็มีดอกปทุมลำต้นบาน ที่กิ่งก็มีดอกปทุมกิ่งบาน ที่เถาวัลย์ก็มีดอกปทุมเถาวัลย์บาน. ที่พื้นดินก็มีดอกปทุม มีก้านชำแรกพื้นหินโผล่ขึ้นเบื้องบนๆ แห่งละ ๗ ดอก ในอากาศก็มีดอกปทุมห้อยย้อยเกิดขึ้น ฝนดอกไม้โปรยปรายไปโดยรอบๆ ทิพยดนตรีต่างก็บรรเลงขึ้นในอากาศ. ทั้งหมื่นโลกธาตุเป็น ประดุจพวงมาลัยที่เขาจับเหวี่ยงให้หมุนแล้วปล่อยไป ดูราวกะว่า กำดอกไม้ที่เขาจับบีบเข้า แล้วมัดให้รวมกัน และเป็นเสมือน ที่นอนดอกไม้ที่ประดับประดาและตกแต่งแล้ว มีดอกไม้เป็นพวงเดียวกัน เหมือนพัดวาสวีชนีที่กำลังโบกสะบัดอยู่ อบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกไม้และธูป ได้เป็นโลกธาตุที่ถึงความงามสุดยอดแล้ว.
จำเดิมแต่ปฏิสนธิของพระโพธิสัตว์ ผู้ถือปฏิสนธิแล้วอย่างนี้ เพื่อที่จะป้องกัน มิให้เกิดอันตรายแก่พระโพธิสัตว์ และพระราชมารดาของพระโพธิสัตว์ เทวบุตร ๔ องค์มีมือถือพระขรรค์ คอยให้การอารักขา. ความคิดเกี่ยวกับราคะในบุรุษทั้งหลาย มิได้เกิดแต่พระราชมารดาของพระโพธิสัตว์. พระนางมีแต่ถึงความเลิศด้วยลาภ และความเลิศด้วยยศ มีความสุข มีพระวรกายไม่ลำบาก และทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งอยู่ในพระคัพโภทร ประดุจด้ายสีขาวที่ร้อยไว้ในแก้วมณีที่ใสแจ๋ว. ธรรมดาคัพโภทรที่พระโพธิสัตว์อาศัยอยู่ เป็นเช่นกับท้องของเจดีย์ สัตว์อื่นไม่สามารถจะอาศัยอยู่ หรือบริโภคได้. เพราะฉะนั้น พระราชมารดาของพระโพธิสัตว์จึงสวรรคต แล้วไปอุบัติในดุสิตบุรี ในเมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติแล้วได้ ๗ วัน. หญิงอื่นไม่ถึง ๑๐ เดือนบ้าง เลยไปบ้าง นั่งคลอดบ้าง นอนตลอดบ้าง ฉันใด พระราชมารดาของพระโพธิสัตว์ หาเป็นฉันนั้นไม่. แต่พระนางจะบริบาลพระโพธิสัตว์ ไว้ในพระคัพโภทรสิ้น ๑๐ เดือน แล้วประทับยืนตลอด และก็ข้อนี้เองเป็น ธรรมดาของพระราชมารดาของพระโพธิสัตว์.
แม้พระนางมหามายาเทวีทรงบริบาลพระโพธิสัตว์ในพระคัพโภทรสิ้น ๑๐ เดือน ประดุจบริบาลน้ำมันไว้ด้วยบาตร ฉะนั้น. มีพระครรภ์แก่เต็มที่แล้ว มีพระราชประสงค์จะเสด็จไปยังเรือนพระญาติ จึงกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนมหาราชว่า ข้าแต่สมมติเทพ หม่อมฉันปรารถนาจะไปยัง นครเทวหะที่เป็นของตระกูล. พระเจ้าสุทโธทนะทรงรับว่า ได้. แล้วรับสั่งให้ปราบทาง จากพระนครกบิลพัสดุ์จนถึงเทวทหนคร ให้ราบเรียบดีแล้ว ประดับประดาด้วยต้นกล้วย หม้อเต็มด้วยน้ำ ธงชายและธงแผ่นผ้า ให้พระเทวีประทับนั่งในพระวอทอง ให้อำมาตย์พันคนหามไป ทรงส่งไปพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก. ก็ในระหว่างพระนครทั้งสอง แม้ชาวพระนครทั้งสอง ก็มีสาลวันอันเป็นมงคล ชื่อว่าลุมพินีวัน. ในสมัยนั้น สาลวันทั้งปวงได้มีดอกไม้บาน เป็นอย่างเดียวกัน ตั้งแต่โคนต้นจนถึงปลายกิ่ง. จากระหว่างกิ่งและระหว่างดอก มีฝูงนกห้าสี มีสีดั่งแมลงภูจำนวนมากมาย เที่ยวบินร้องประสานเสียง. ลุมพินีวันทั้งสิ้น จึงเป็นเช่นกับจิตรลดาวัน ดูประหนึ่ง เป็นมณฑลของพื้นที่มาร่วมดื่มกัน. พระเทวีได้เกิดมีพระประสงค์ จะทรงเล่นกีฬาในสาลวัน เพราะทอดพระเนตรเห็นลุมพินีวันนั้น. พวกอำมาตย์พาพระเทวีเข้าไปยังสาลวัน พระนางได้ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จไปยัง โคนต้นสาละอันเป็นมงคลแล้ว ทรงจับที่กิ่งต้นสาละ กิ่งต้นสาละก็น้อมลง ประดุจยอดหวายที่ถูกรมให้ร้อนแล้ว พระหัตถ์พระเทวีพอจะเอื้อมถึงได้. พระนางทรงเหยียดพระหัตถ์ออกจับกิ่ง.
ก็ในขณะนั้นนั่นเอง ลมกันมัชวาตของพระนางเกิดปั่นป่วน. ทีนั้น มหาชนแวดวง พระวิสูตรแก่พระนาง แล้วก็หลีกไป. เมื่อพระนางทรงจับกิ่งต้นสาละ ประทับยืนอยู่นั่นแหละ ได้ทรงประสูติแล้ว. ในขณะนั้นนั่นเอง ท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ องค์ ก็มาถึงพร้อมกับถือข่ายทองมาด้วย เอาข่ายทองนั้นรับพระโพธิสัตว์ วางไว้ตรงพระพักตร์ของพระราชมารดา พลางทูลว่า ข้าแต่พระเทวี ขอพระองค์จงดีพระทัยเถิด พระราชบุตรของพระองค์ มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้ว เหมือนอย่างว่า สัตว์เหล่าอื่น เมื่อตลอดออกจากท้องมารดา ย่อมแปดเปื้อนด้วยสิ่งปฏิกูลอันไม่สะอาดตลอดออกมา ฉันใด. พระโพธิสัตว์หาเป็นฉันนั้นไม่ ก็พระโพธิสัตว์นั้นเหยียดมือ และเท้าสองข้างออก ยืนตรง ดุจพระธรรมกถึกลงจากธรรมาสน์ และดุจบุรุษลงจากบันได มิได้แปดเปื้อน ด้วยของไม่สะอาดใดๆ ที่มีอยู่ในครรภ์มารดา เป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ รุ่งโรจน์อยู่ ประดุจแก้วมณีที่เขาวางไว้บนผ้ากาสิกพัสตร์ ตลอดออกมาจากครรภ์มารดา. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วก็ตาม สายธารแห่งน้ำสองสายก็พลุ่งออกมาจากอากาศ โสรจสรงพระสรีระของพระโพธิสัตว์ และพระมารดาทำให้อบอุ่นสบาย เพื่อเป็นเครื่องสักการะแก่พระโพธิสัตว์และพระมารดา. ต่อนั้นท้าวมหาราช ๔ องค์ได้รับพระโพธิสัตว์นั้นจากมือของพรหม ผู้ยืนเอาข่ายทองรับอยู่ ด้วยเครื่องปูลาดที่ทำด้วย หนังเสือดาวที่มีสัมผัสอ่อนนุ่ม ซึ่งสมมติกันว่า เป็นมงคล. พวกมนุษย์จึงเอาพระยี่ภู่ผ้าทุกูลพัสตร์ รับจากมือของท้าวมหาราชเหล่านั้น.
พอพ้นจากมือของพวกมนุษย์ พระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดิน ทอดพระเนตรดูทิศตะวันออก จักรวาลนับได้หลายพันได้เป็นที่โล่ง เป็นอันเดียวกัน. พวกเทวดาและมนุษย์ในที่นั้นต่างพากัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้ เป็นต้น. กราบทูลว่า ข้าแต่ท่าน บุรุษคนอื่นในที่นี้เช่นกับท่านไม่มี คนที่ยิ่งกว่าท่านจักมีแต่ที่ไหน. พระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศใหญ่ทิศเล็กแม้ทั้ง ๑๐ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศเล็ก ๔ เบื้องล่าง เบื้องบน ก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับตน ทรงดำริว่า นี้เป็นทิศเหนือ แล้วได้เสด็จไปโดยย่างพระบาท ๗ ก้าว มีท้าวมหาพรหมกั้นเศวตฉัตร ท้าวสุยามเทวบุตรถือพัดวาลวีชนี และเทวดาเหล่าอื่นมีมือถือ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่เหลือ เดินตามเสด็จ. ต่อจากนั้น ประทับยืนที่พระบาทที่ ๗ ทรงเปล่งอาสภิวาจา [วาจาแสดงความยิ่งใหญ่] เป็นต้นว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก ทรงบรรลือสีหนาทแล้ว.
จริงอยู่ พระโพธิสัตว์เพียงคลอดออกมาจากครรภ์มารดาเท่านั้น ก็เปล่งวาจาได้ในสามอัตภาพเท่านั้น คือ ในอัตภาพเป็นมโหสถ ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ในอัตภาพนี้. นัยว่า ในอัตภาพเป็นมโหสถ เมื่อพระโพธิสัตว์คลอดออกจากครรภ์มารดาเท่านั้น ท้าวสักกเทวราชเสด็จมา ทรงวางแก่นจันทน์ที่มือ แล้วเสด็จไป. พระโพธิสัตว์กำแก่นจันทร์นั้น ไว้ในกำมือคลอดออกมา. ทีนั้น มารดาจึงถามเขาว่า แน่ะพ่อ ลูกถืออะไรมา. ข้าแต่แม่ ยาครับ พระโพธิสัตว์ ตอบ. เพราะเหตุที่ถือเอายามา คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อให้แก่เขาว่า โอสถทารก[เด็กถือยา]. ชนทั้งหลายจึงถือเอายานั้นใส่ไว้ในตุ่ม โอสถนั้นนั่นแหละได้เป็นยารักษาโรคสารพัดให้หายได้ แก่คนตาบอดและหูหนวกเป็นต้น ที่พากันมาๆ ต่อมา เพราะถือเอาคำที่พูดกันว่า โอสถนี้มีคุณมาก โอสถนี้มีคุณมาก เขาจึงได้เกิดมีชื่อขึ้นอีกว่า มโหสถ. ส่วนในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์เพียงคลอดออกจากครรภ์ของมารดา ก็เหยียดแขนออก พลางกล่าวว่า ข้าแต่แม่ ในเรือนมีทรัพย์บ้างไหม ลูกจะให้ทาน แล้วคลอดออกมา. ทีนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์นั้นกล่าวว่า แน่ะพ่อ ลูกเกิดในตระกูลที่มีทรัพย์ ว่าแล้วให้วางถุงเงินพันหนึ่งไว้แล้ว จึงวางมือของลูกไว้บนฝ่ามือของพระองค์. ในอัตภาพเป็นพระโพธิสัตว์บรรลือสีหนาทแม้นี้ ด้วยประการฉะนี้.
พระโพธิสัตว์เพียงแต่ว่าคลอดออกจากครรภ์มารดาเท่านั้น ก็เปล่งวาจา ได้ในสามอัตภาพโดยอาการอย่างนี้. เหมือนอย่างว่า ในขณะถือปฏิสนธิ ฉันใด แม้ในขณะอุบัติขึ้น ก็ฉันนั้น. บุรพนิมิต ๓๒ ประการก็ได้ปรากฏขึ้น ก็ในสมัยที่พระโพธิสัตว์ของพวกเราอุบัติ แล้วในลุมพินีวัน. ในสมัยนั้นนั่นแล พระเทวีผู้เป็นพระราชมารดาของพระราหุล ฉันนอำมาตย์ กาฬุทายีอำมาตย์ ราชกุมารอานนท์ พระยาม้ากัณฐกะ มหาโพธิพฤกษ์ ขุมทรัพย์ ๔ ขุม ก็เกิดขึ้นพร้อมกัน. บรรดาขุมทรัพย์เหล่านั้น ขุมทรัพย์หนึ่งมีประมาณคาวุตหนึ่ง ขุมหนึ่งประมาณกึ่งโยชน์ ขุมหนึ่งมีประมาณ ๓ คาวุต ขุมหนึ่งมีประมาณโยชน์หนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงรวมเป็นสหชาต ๗ อย่างเหล่านี้. พวกชาวเมืองสองนครต่างได้พาพระโพธิสัตว์กลับ ไปยังนครกบิลพัสดุ์เลยทีเดียว. ในวันนั้นนั่นเอง ชุมนุมเทวดาในดาวดึงสพิภพ ต่างร่าเริงยินดีว่า พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช อุบัติแล้วในนครกบิลพัสดุ์. พระราชกุมารนี้จักประทับนั่งที่ลานต้นโพธิ แล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้ แล้วพากันโบกสะบัดผ้า [แสดงความยินดี] เล่นสนุกกัน.
ในสมัยนั้น มีดาบสผู้คุ้นเคยกับตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ได้สำเร็จสมาบัติ ๘ ชื่อ กาลเทวละ. เขาฉันเสร็จสรรพแล้ว จึงเหาะไปยังดาวดึงส์พิภพ เพื่อพักผ่อนในเวลากลางวัน นั่งพักผ่อนกลางวันในที่นั้น เห็นเทวดาเหล่านั้น จึงถามว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงมีใจยินดี เล่นสนุกกันอย่างนี้ ขอได้โปรดบอกเหตุนั้นแก่อาตมภาพด้วย. พวกเทวดาได้บอกเหตุนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะอุบัติขึ้นแล้ว ในกาลนั้น พระองค์จักประทับนั่ง ที่ลานแห่งต้นโพธิ แล้วจักเป็นพระพุทธเจ้า ประกาศพระธรรมจักร. พวกข้าพเจ้าต่างยินดี เพราะเหตุนี้ว่า พวกเราจักได้เห็นพระพุทธลีลา อันหาที่สุดมิได้ และจักได้ฟังพระธรรมของพระองค์. ดาบสนั้นฟังคำของเหล่าเทวดาแล้ว ลงจากเทวโลกทันที เข้าไปยังพระราชนิเวศน์ นั่งบนอาสนะที่เขาปูไว้ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ได้ยินว่า พระราชโอรสของพระองค์อุบัติแล้ว อาตมภาพอยากเห็นพระองค์. พระราชามีรับสั่งให้พา พระราชกุมารผู้ประดับประดาตกแต่งแล้วมา ทรงอุ้มไป เพื่อให้นมัสการดาบส. พระบาททั้งสองของพระโพธิสัตว์ กลับไปประดิษฐาน อยู่บนชฎาของดาบส.
จริงอยู่ บุคคลอื่นที่ชื่อว่า พระมหาสัตว์จะพึงไหว้โดยอัตภาพนั้นไม่มี ถ้าคนผู้ไม่รู้ พึงวางศีรษะของพระโพธิสัตว์ที่บาทมูลของดาบส. ศีรษะของดาบสนั้น พึงแตกออก ๗ เสี่ยง. ดาบสคิดว่า การทำตนของเราให้พินาศไม่สมควร จึงลุกจากอาสนะ แล้วประคองอัญชลีแก่พระโพธิสัตว์. พระราชาทอดพระเนตร เห็นเหตุอัศจรรย์นั้น จึงทรงไหว้บุตรของตน. ดาบสระลึกได้ชาติ ๘๐ กัป คือ ในอดีต ๔๐ กัป ในอนาคต ๔๐ กัป. เห็นลักษณสมบัติของพระโพธิสัตว์ จึงใคร่ครวญดูว่า เธอจักได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่หนอ ทราบว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า โดยมิต้องสงสัย. คิดว่า พระราชบุตรนี้เป็นอัจฉริยบุรุษ จึงได้กระทำความยิ้มแย้มให้ปรากฏ. ต่อนั้น จึงใคร่ครวญดูว่า เราจักได้ทันเห็นความเป็นพระพุทธเจ้านี้หรือไม่หนอ. ก็เห็นว่า เราจักไม่ได้ทันเห็น จักตายเสียก่อน ในระหว่างนั้นแหละ. แล้วจักไปบังเกิดในอรูปภพ ที่พระพุทธเจ้าตั้งร้อยพระองค์ก็ดี ตั้งพันพระองค์ก็ดี ไม่สามารถที่จะเสด็จไปเพื่อให้ตรัสรู้ได้ แล้วคิดว่า เราจักไม่เห็นอัจฉริยบุรุษผู้เป็นพระพุทธเจ้า เห็นปานนี้ และเราจักมีความเสื่อมใหญ่ ดังนี้ แล้วร้องไห้ลั่นไป. พวกมนุษย์เห็นแล้ว จึงเรียนถามว่า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา เมื่อตะกี้นี้เอง หัวเราะแล้วกลับปรากฏร้องไห้ อีกเล่า. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อันตรายอะไรจักเกิดแก่พระลูกเจ้าของพวกเราหรือหนอ. ดาบสตอบว่า พระองค์ไม่มีอันตราย จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย.
พวกมนุษย์ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงร้องไห้ลั่นไป. ดาบสตอบว่า เราเศร้าโศกถึงตนว่า จักไม่ได้ทันเห็นพระมหาบุรุษผู้เป็นพระพุทธเจ้า เห็นปานนี้ ความเสื่อมใหญ่จักมีแก่เรา ดังนี้ จึงได้ร้องไห้.
ต่อจากนั้น ดาบสใคร่ครวญอยู่ว่า ในวงญาติของเรามี ใครบ้างจักได้เห็นความเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้มองเห็นนาลกทารกผู้เป็นหลาน เขาจึงไปยังเรือนของน้องสาว ถามว่า นาลกะ. บุตรของเจ้าอยู่ไหน. ข้าแต่พระคุณเจ้า เขาอยู่ในเรือน น้องสาวตอบ. จงเรียกเขามาที ให้เรียกมาแล้ว. ดาบสพูดกะเขาผู้มายังสำนักของตนว่า นี่แน่ะพ่อ พระราชโอรสอุบัติแล้วในตระกูลของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช เป็นหน่อพุทธางกูร พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อล่วงได้ ๓๕ ปี. เจ้าจักได้เห็นพระองค์ เจ้าจงบวชในวันนี้ทีเดียว. เด็กเกิดในตระกูลนี้ทรัพย์ได้ ๘๗ โกฏิ คิดว่า ลุงคงจักไม่ชักชวนเรา ในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์. ทันใดนั้นนั่นเอง ให้คนซื้อผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตรดินจากตลาด ให้ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ประคองอัญชลี บ่ายหน้าไปทางพระโพธิสัตว์ ด้วยกล่าวว่า บุคคลผู้สูงสุดในโลกพระองค์ใด ข้าพเจ้าขอบวชอุทิศบุคคลนั้น แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เอาบาตรใส่ถุงคล้องที่จะงอยบ่า แล้วไปยังหิมวันตประเทศ บำเพ็ญสมณธรรม. ท่านเข้าไปเฝ้าพระตถาคตผู้ได้บรรลุพระอภิสัมโพธิครั้งแรก ทูลขอให้พระองค์ทรงแสดงนาลกปฏิปทา แล้วเข้าไปยังป่าหิมพานต์อีก บรรลุพระอรหัต ปฏิบัติข้อปฏิปทาอย่างเคร่งครัด รักษาอายุมาได้ตลอด ๗ เดือน ยืนพิงภูเขาทองอยู่นั่นแหละ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสส นิพพานธาตุ.
ในวันที่ ๕ พระประยูรญาติทั้งหลายคิดว่า ในวันที่ ๕ พวกเราจักโสรจสรงเศียรเกล้าพระโพธิสัตว์ แล้วเฉลิมพระนามแด่พระองค์ ดังนี้ แล้วฉาบทาพระราชมณเฑียรด้วยคันธชาติ ๔ ชนิด โปรยดอกไม้มีข้าวดอกเป็นที่ ๕ ให้หุงข้าวปายาสล้วนๆ แล้วนิมนต์พรหมณ์ผู้เรียนจบไตรเพทจำนวน ๑๐๘ คน ให้นั่งในพระราชมณเฑียร ให้ฉันโภชนะอย่างดี ถวายสักการะมากมาย แล้วถามว่า อะไรหนอจักมี แล้วให้ตรวจดูพระลักษณะ. บรรดาพราหมณ์เหล่านั้น.
พราหมณ์ ๘ คนเหล่านี้ คือ พราหมณ์ชื่อรามะ ชื่อธชะ ชื่อลักขณะ ชื่อสุชาติมันตี ชื่อโภชะ ชื่อสุยามะ ชื่อโกณฑัญญะ ชื่อสุทัตตะ. ในครั้งนั้น พวกเขาได้เป็นพราหมณ์ ๘ คน ผู้เรียนจบเวทางคศาสตร์ทั้ง ๖ พยากรณ์มนต์แล้ว.
ได้เป็นผู้ตรวจดูพระลักษณะ แม้พระสุบินในวันที่ถือปฏิสนธิ พราหมณ์เหล่านี้แหละก็ได้ตรวจดูแล้ว. บรรดาพราหมณ์ทั้ง ๘ นั้น ๗ คนยกสองนิ้ว พยากรณ์เป็นสองทางว่า ผู้ประกอบด้วยลักษณะเหล่านี้ เมื่ออยู่ครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เมื่อบวชจักได้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้. ต่างพากันบอกถึง สมบัติอันมีสิริของพระเจ้าจักรพรรดิ. แต่มาณพชื่อโกณฑัญญะโดยโคตร เด็กกว่าพราหมณ์เหล่านั้นทุกคน พิจารณาดูความสมบูรณ์แห่งพระลักษณะของพระโพธิสัตว์ ชูนิ้วมือนิ้วเดียวเท่านั้น แล้วพยากรณ์อย่างเดียวว่า พระโพธิสัตว์นี้ไม่มีเหตุที่จะดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือน จักได้เป็นพระพุทธเจ้า ผู้ทรงปราศจากกิเลส ประดุจหลังคา โดยส่วนเดียวเท่านั้น. จริงอยู่ โกณฑัญญพราหมณ์นี้เป็นผู้สร้างความดียิ่งมาแล้ว เป็นสัตว์ที่จะเกิดเป็นภพสุดท้าย มีปัญญาเหนือกว่าคนทั้ง ๗ ได้เห็นคติเดียวเท่านั้นว่า สำหรับผู้ที่ประกอบด้วยลักษณะเหล่านั้น ไม่มีฐานะที่จะดำรงอยู่ในท่ามกลางเรือน จักต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้น เขาจึงชูนิ้วขึ้นนิ้วเดียว แล้วพยากรณ์อย่างเดียว. ต่อมา พวกพราหมณ์เหล่านั้นกลับไปยังเรือนของตน แล้วต่างพากันเรียกบุตรมาบอกว่า นี่แน่ะพ่อทั้งหลาย พวกเราแก่แล้วจะทันได้เห็น พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ หรือไม่ก็ไม่รู้. พวกเจ้าเมื่อพระราชกุมารนี้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พึงบวชในศาสนาของพระองค์เถิด. ชนแม้ทั้ง ๗ คนเหล่านั้น ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุขัย ก็ตายไปตามยถากรรม. โกณฑัญญมาณพเท่านั้นไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ (ยังมีชีวิตอยู่).
เมื่อพระมหาสัตว์เติบโต เจริญวัยขึ้นแล้ว เสด็จออกพระมหาภิเนษกรมณ์ เสด็จไปยังอุรุเวลาประเทศ ตามลำดับ. ทรงเกิดพระดำริว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริงหนอ สถานที่นี้เหมาะที่จะบำเพ็ญเพียร สำหรับกุลบุตรผู้มีความต้องการความเพียร. ดังนี้ แล้วเสด็จเข้าจำพรรษา ณ ที่นั้น. เขาได้ฟังข่าวว่า พระมหาบุรุษทรงผนวชแล้ว จึงเข้าไปหาบุตรของพราหมณ์เหล่านั้น พูดอย่างนี้ว่า ได้ทราบข่าวว่า พระสิทธีตถกุมารทรงผนวชแล้ว พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย. ถ้าบิดาของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาพึงออกบวชในวันนี้แน่ หากพวกท่านพึงต้องการเช่นนั้นบ้าง มาซิ เราจักบวชตามพระมหาบุรุษนั้น. พวกเขาทุกคนไม่สามารถ ที่จะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์กันได้. สามคนไม่บวช สี่คนนอกนี้บวช ตั้งให้โกณฑัญญพราหมณ์เป็นหัวหน้า. ชนทั้ง ๕ คนเหล่านั้น จึงได้มีชื่อว่า พระปัญจวัคคีย์เถระ.
ก็ในกาลนั้น พระราชาตรัสถามว่า บุตรของเราเห็นอะไร จึงจักบวช. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า บุพนิมิต ๔ (ลางบอกเหตุล่วงหน้า). ตรัสถามว่า อะไรบ้างๆ. กราบทูลว่า คนแก่เพราะชรา คนเจ็บป่วย คนตาย บรรพชิต. พระราชาตรัสว่า จำเดิมแต่นี้ไป พวกท่านอย่าได้ให้นิมิตเห็นปานนี้ เข้าไปสำนักแห่งบุตรของเรา เราไม่ต้องการให้บุตรเราเป็นพระพุทธเจ้า เราต้องการอยากจะเห็น บุตรของเราครอบครองราชสมบัติที่เป็นใหญ่ และปกครองทวีปใหญ่ทั้ง ๔ ซึ่งมีทวีปเล็กสองหมื่นเป็นบริวาร ห้อมล้อมไปด้วยบริษัทมีปริมณฑลได้สามสิบหกโยชน์ ท่องเที่ยวไปในพื้นนภากาศ. ก็แล เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว ทรงมีรับสั่งให้วางอารักขาไว้ในที่ทุกๆ คาวุต ในทิศทั้งสี่ เพื่อจะห้ามมิให้บริษัท ๔ ประการเหล่านั้น เข้ามายังคลองจักษุของพระกุมาร. ก็ในวันนั้น เมื่อตระกูลพระญาติแปดหมื่นประชุมกัน ในที่มงคลสถาน พระญาติแต่ละพระองค์ต่างยินยอมยกบุตรให้ แต่ละคนว่า พระราชกุมารสิทธัตถะนี้จะเป็นพระพุทธเจ้า หรือพระราชาก็ตาม. พวกเราจักให้บุตรคนละคน แม้ถ้าจักเป็นพระพุทธเจ้า ก็จักมีสมณกษัตริย์ไห้เกียรติและห้อมล้อม. แม้ถ้าเป็นพระราชา ก็จักมีขัตติยกุมารให้เกียรติและห้อมล้อม เที่ยวไป. ฝ่ายพระราชาก็ทรงตั้งนางนม ล้วนมีรูปทรงชั้นเยี่ยม ปราศจากสรรพโทษทุกประการแก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ทรงเจริญวัยด้วยบริวารอเนกอนันต์ ด้วยส่วนแห่งความงามอันยิ่งใหญ่.
ต่อมาวันหนึ่ง พระราชาได้มีพระราชพิธีวัปปมงคล (แรกนาขวัญ). วันนั้น พวกชาวนครต่างประดับประดา พระนครทุกหนทุกแห่ง ดุจดังเทพวิมาน. เหล่าพวกทาสและกรรมกรทั้งหมด ต่างนุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับประดาด้วยของหอมและดอกไม้ ประชุมกันในราชตระกูล. ในพระราชพิธีมีการเทียมไถถึงพันคัน ก็ในวันนั้น ไถ ๑๐๘ อันหย่อนหนึ่งคัน (๑๐๗ คัน) หุ้มด้วยเงินพร้อมด้วยโคผู้ ตะพาย และเชือก. ส่วนที่งอนพระนังคัลของพระราชา หุ้มด้วยทองคำสุกปลั่ง. เขาของโคผู้ ตะพาย เชือก และปฏัก ก็หุ้มด้วยทองคำทั้งนั้น. พระราชาทรงพร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก เสด็จออกจากพระนคร ทรงพาพระราชโอรสไปด้วย. ในที่ประกอบพระราชพิธี มีต้นหว้าอยู่ต้นหนึ่งมีใบหนาแน่นมีเงาทึบ. ภายใต้ต้นหว้านั้นนั่นแหละ พระราชาทรงรับสั่งให้ ปูลาดพระแท่นบรรทมของพระราชโอรส เบื้องบนให้ผูกเพดาน ปักด้วยดาวทองคำ ให้แวดวงด้วยปราการพระวิสูตร วางอารักขา. ส่วนพระองค์ก็ทรงประดับประดา ด้วยเครื่องสรรพอลงกรณ์ มีหมู่อำมาตย์แวดล้อม ได้เสด็จไปยังที่จรดพระนังคัล. ในที่นั้น พระราชาทรงถือพระนังคัลทองคำ พวกอำมาตย์ถือคันไถเงิน ๑๐๗ คัน พวกชาวนาต่างพากัน ถือคันไถที่เหลือ. เขาเหล่านั้นต่างถือคันไถ ไถไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง. แต่พระราชาทรงไถไป จากด้านในสู่ด้านนอก จากด้านนอกสู่ด้านใน. ในที่นั้นมีมหาสมบัติ. นางนมที่นั่งห้อมล้อมพระโพธิสัตว์อยู่ ต่างพากันออกมาข้างนอก จากภายในพระวิสูตร ด้วยคิดว่า พวกเราจะดูสมบัติของพระราชา. พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรดูข้างโน้นและข้างนี้ ไม่ทรงเห็นใคร จึงเสด็จลุกขึ้นโดยเร็ว ทรงนั่งขัดสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าออก ทำปฐมฌานให้เกิดขึ้นแล้ว. พวกนางนมพากันเที่ยวไปในระหว่างเวลากินอาหาร ชักช้าไปหน่อยหนึ่ง. เงาของต้นไม้ที่เหลือชายไป ส่วนเงาของต้นไม้นั้นตั้งเป็นปริมณฑลตรงอยู่. พวกนางนมคิดได้ว่า พระลูกเจ้าประทับอยู่พระองค์เดียว จึงรีบเปิดพระวิสูตรขึ้น เข้าไปข้างใน เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิบนแท่นบรรทม และปาฏิหาริย์นั้น. จึงไปกราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระราชกุมารประทับนั่งอย่างนี้ เงาของต้นไม้เหล่าอื่นชายไป ของต้นหว้าตั้งเป็นปริมณฑลตรงอยู่อย่างนี้. พระราชารีบเสด็จมา ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์จึงตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ นี้เป็นการไหว้เจ้าครั้งที่สอง แล้วทรงไหว้ลูก.
ต่อมา พระโพธิสัตว์มีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษาโดยลำดับ พระราชาทรงมีรับสั่งให้สร้าง ปราสาทสามหลังเหมาะสมกับสามฤดู คือ หลังหนึ่งมี ๙ ชั้น หลังหนึ่งมี ๗ ชั้น หลังหนึ่งมี ๕ ชั้น และให้จัดหาหญิงฟ้อนรำไว้สี่หมื่นคน. พระโพธิสัตว์มีหญิงฟ้อนรำแต่งตัวสวยห้อมล้อมอยู่ เป็นประหนึ่งเทพเจ้าผู้ห้อมล้อมอยู่ด้วยหมู่นางอัปสร ฉะนั้น. ถูกบำเรออยู่ด้วยดนตรี ไม่มีบุรุษเลย ทรงเสวยสมบัติใหญ่ ประทับอยู่ในปราสาทเหล่านั้นตามคราวแห่งฤดู. ส่วนพระราหุลมารดาได้เป็นพระอัครมเหสีของพระองค์. เมื่อพระองค์เสวยมหาสมบัติอยู่ วันหนึ่ง ได้มีพูดกันขึ้นในระหว่างหมู่พระญาติอย่างนี้ว่า พระสิทธัตถะทรงขวนขวายอยู่แต่การเล่นเท่านั้น มิได้ทรงศึกษาศิลปะใดๆ เลย เมื่อเกิดสงความขึ้นจักทำอย่างไรกัน. พระราชาทรงมีรับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์มาแล้วตรัสว่า นี่แน่ะพ่อ พวกญาติๆ ของลูกพูดกันว่า พระสิทธัตถะมิได้ศึกษาศิลปะใดๆ เลย เที่ยวขวนขวายแต่การเล่น. ดังนี้ ลูกจะเห็นว่า ถึงกาลอันควรหรือยัง. พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องศึกษาศิลปะ ขอพระองค์ได้โปรดให้ตีกลอง ป่าวร้องไปในพระนคร เพื่อให้มาดูการแสดงศิลปะของข้าพระองค์. แต่นี้อีก ๗ วัน ข้าพระองค์ก็จักแสดงศิลปะแก่พระญาติทั้งหลาย. พระราชาได้ทรงกระทำตามเช่นนั้น. พระโพธิสัตว์รับสั่งให้ประชุม เหล่านายขมังธนูที่สามารถยิงได้ดังสายฟ้าแลบ ยิงขนหางสัตว์ได้ ยิงต้านลูกศรได้ ยิงตามเสียงได้ และยิงลูกศรตามลูกศรได้ แล้วได้ทรงแสดงศิลปะ ๑๒ อย่าง ที่พวกนายขมังธนูเหล่าอื่นไม่มีแก่พระญาติทั้งหลาย ในท่ามกลาง มหาชน. ข้อนั้นพึงทราบตามนัยที่มีมา ในสรภังคชาดกนั้นเถิด. ในคราวนั้น หมู่พระญาติของพระองค์ได้หมดพระทัยสงสัยแล้ว.
ต่อมาวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์มีพระประสงค์จะเสด็จยังภูมิภาคในพระอุทยาน จึงตรัสเรียกสารถีมาตรัสว่า จงเทียมรถ เขารับพระดำรัสว่า ดีแล้ว. จึงประดับประดารถชั้นดีที่สุด มีค่ามากด้วยเครื่องอลังการทุกชนิด เทียมม้าสินธพอันเป็นมงคล ซึ่งมีสีดุจกลีบดอกบัวขาว ๔ ตัวเสร็จแล้ว ไปทูลบอกแด่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นรถอันเป็นเช่นกับเทววิมาน ทรงบ่ายพระพักตร์สู่พระอุทยาน. เทวดาทั้งหลายคิดว่า กาลที่จะตรัสรู้ของพระสิทธัตถราชกุมารใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราจักแสดงบุพนิมิต. แล้วแสดงเทวบุตรคนหนึ่ง ทำให้เป็นคนแก่หง่อม มีฟันหัก มีผมหงอก มีหลังโกงดุจกลอนเรือน มีตัวโค้งลง มีมือถือไม้เท้า เดินงกๆ เงินๆ อยู่. พระโพธิสัตว์และสารถีก็ได้ทอดพระเนตรเห็น และแลเห็นภาพนั้น. ทีนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสถามตามนัยที่มีมา ในอุปทานนั่นแหละว่า นี่แน่ะสหายผู้เจริญ ชายคนนี้ชื่ออะไรกันนะ แม้แต่ผมของเขาก็ไม่เหมือนของผู้อื่น ดังนี้ ทรงสดับคำของสารถีแล้ว ทรงมีพระทัยสังเวชว่า นี่แน่ะผู้เจริญ น่าติเตียนจริงหนอความเกิดนี้ ความแก่จักต้องปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดแล้วอย่างแน่นอน ดังนี้แล้ว เสด็จกลับจากพระอุทยาน เสด็จขึ้นสู่ปราสาททีเดียว. พระราชาตรัสถามว่า เพราะเหตุไร บุตรของเราจึงกลับเร็วนัก. พวกอำมาตย์ทูลว่า เพราะทอดพระเนตรเห็นคนแก่ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า พวกเจ้าพูดว่า ลูกของเราเห็นคนแก่แล้วจักบวช เพราะเหตุไร จึงมาทำลายเราเสียเล่า จงรีบจัดหาละครมาแสดงแก่บุตรของเรา. เธอเสวยสมบัติอยู่จักไม่ระลึกถึงการบรรพชา แล้วให้เพิ่มอารักขามากขึ้น วางไว้ทุกๆ ครึ่งโยชน์ในทุกทิศ.


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นิทานกถา
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
หน้าต่างที่ ๖ / ๘.

เรา. เธอเสวยสมบัติอยู่จักไม่ระลึกถึงการบรรพชา แล้วให้เพิ่มอารักขามากขึ้น วางไว้ทุกๆ ครึ่งโยชน์ในทุกทิศ.
ในวันรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์ก็เสด็จไปยังพระอุทยานเหมือนเดิม ทอดพระเนตรเห็น คนเจ็บที่เทวดาเนรมิตขึ้น จึงตรัสถามโดยนัยก่อน นั่นแหละ. ทรงมีพระหฤทัยสังเวช แล้วกลับในรูปสู่ปราสาท. ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถาม แล้วทรงจัดแจงตาม นัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ. ทรงวางอารักขาเพิ่มขึ้นอีก ในที่มีประมาณ ๓ คาพยุตโดยรอบ. ต่อมาอีกวันหนึ่ง พระโพธิสัตว์เสด็จไปยังพระอุทยานเหมือนเดิม ทอดพระเนตรเห็น คนตายที่เทวดาเนรมิตขึ้น ตรัสถามโดยนัยก่อนนั่นแหละ. มีพระหฤหัยสังเวชแล้ว เสด็จกลับในรูปสู่ปราสาทอีก ฝ่ายพระราชาก็ตรัสถาม แล้วทรงจัดแจงตามนัยที่กล่าวแล้ว ในหนหลังนั่นแหละ. ทรงวางอารักขาเพิ่มขึ้นอีก ในที่ประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ. ก็ในวันหนึ่งต่อมาอีก พระโพธิสัตว์เสด็จไปสู่พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็น บรรพชิตนุ่งห่มเรียบร้อย มีเทวดาเนรมิตขึ้นเช่นเดิมนั่นแหละ. จึงตรัสถามสารถีว่า นี่แน่ะเพื่อน คนนั้นเขาเรียกชื่ออะไรนะ. สารถีไม่ทราบถึงบรรพชิต หรือคนที่ทำให้เป็นบรรพชิตเลย เพราะไม่มีการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าก็จริง แต่ด้วยอานุภาพแห่งเทวดา จึงกราบทูลว่า คนนั้นเขาเรียกชื่อว่า บรรพชิต พระเจ้าข้า. แล้วพรรณนาคุณแห่งการบวช พระโพธิสัตว์ให้รู้สึกเกิดความพอพระทัยในบรรพชิต. ได้เสด็จไปยังพระอุทยานในวันนั้น. แต่ท่านผู้กล่าวทีฆนิกายกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ได้เสด็จไปทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง ๔ ในวันเดียวเท่านั้น.
พระโพธิสัตว์เสด็จเที่ยวเตร่ตลอดวัน ทรงสระสนานในสระโบกขรณีอันเป็นมงคล เมื่อพระอาทิตย์อัสดงแล้ว ประทับนั่งบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล มีพระประสงค์จะประดับประดาพระองค์ ทีนั้น พวกบริจาริกาของพระองค์พากันถือผ้ามีสีต่างๆ เครื่องอาภรณ์ต่างชนิดมากมาย และดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ มายืนห้อมล้อมอยู่โดยรอบ. ในขณะนั้น อาสนะที่ประทับนั่งของท้าวสักกะได้เกิดร้อนขึ้นแล้ว. ท้าวเธอทรงใคร่ครวญดูว่า ใครหนอมีประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่นี้ ทอดพระเนตรเห็นกาลที่จะต้องประดับประดาพระโพธิสัตว์. จึงตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา ตรัสว่า ดูก่อนวิสสุกรรมผู้สหาย วันนี้ สิทธัตถราชกุมารจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมน์ในเวลาเที่ยงคืน. นี้เป็นเครื่องประดับอันสุดท้ายของพระองค์ ท่านจงไปยังพระอุทยานพบพระมหาบุรุษแล้ว จงประดับด้วยเครื่องประดับทุกชนิด. วิสสุกรรมเทพบุตรทูลรับพระดำรัสว่า ดีแล้ว. เข้าไปหา ในขณะนั้นนั่นเองด้วยเทวานุภาพ แปลงเป็นช่างกัลบกของพระองค์ทีเดียว แล้วรับเอาผ้าโพกจากมือของช่างกัลบก มาพันพระเศียรของพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ทรงทราบด้วยสัมผัสแห่งมือเท่านั้นว่า ผู้นี้มิใช่มนุษย์เขาเป็นเทวบุตร. พอพันผ้าโพกเข้า ผ้าพันผืนก็ปลิวสูงขึ้น โดยอาการเหมือนแก้วมณี พระเมาลีบนพระเศียร เมื่อพันอีกก็เป็นผ้าพันผืน เพราะฉะนั้น เมื่อพันสิบครั้ง ผ้าหมื่นผืนก็ปลิวสูงขึ้น. ไม่ควรคิดว่า พระเศียรเล็กผ้ามีมาก ปลิวสูงขึ้นได้อย่างไร. ก็บรรดาผ้าเหล่านั้นผืนที่ใหญ่ที่สุด มีประมาณเท่าดอกสามลดา (เถาจิงจ้อ) ที่เหลือนอกนี้มีประมาณเท่าดอกกุตุมพกะ พระเศียรของพระโพธิสัตว์หนาแน่นด้วยศก เป็นเหมือนดอกสารภีที่แน่นทึบด้วยเกสร.
ต่อมา เมื่อพวกนักดนตรีแสดงปฏิภาณของตนๆ อยู่ เมื่อพวกพราหมณ์กล่าวยกย่องด้วยคำ เป็นต้นว่า ข้าแต่พระจอมนรินทร์ ขอพระองค์จงทรงชำนะเถิด และเมื่อพวกสารถีและมาฆตันธกะ เป็นต้น กล่าวยกย่องอยู่ด้วยถ้อยคำอันเป็นมงคล คำชมเชย และคำป่าวประกาศนานัปการ แก่พระโพธิสัตว์ผู้ประดับประดาแล้วด้วยเครื่องประดับสารพัด. พระองค์ก็เสด็จขึ้นยังพระราชรถอันประเสริฐ ซึ่งประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง.
ในสมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชทรงสดับข่าวว่า พระราชมารดาของพระราหุล ทรงประสูติพระราชโอรสแล้ว จึงทรงส่งข่าวสารไปด้วยตรัสว่า พวกเธอจงบอกความดีใจของเราแก่ลูกด้วย. พระโพธิสัตว์ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว ตรัสว่า ราหุลเกิดแล้ว เครื่องจองจำเกิดแล้ว. พระราชาตรัสถามว่า ลูกของเราพูดอะไรบ้าง. ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า จำเดิมแต่นี้ หลานของเราจงมีชื่อว่า ราหุลกุมาร เถิด. ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นยังพระราชรถอันประเสริฐ เสด็จเข้าพระนครด้วยพระยศอันยิ่งใหญ่ ด้วยพระสิริโสภาคย์อันน่ารื่นรมย์ใจยิ่งนัก. ในสมัยนั้น พระนางกิสาโคตมีขัตติยกัญญาเสด็จอยู่ ณ พื้นปราสาทชั้นบน ทอดพระเนตรเห็นพระรูปสิริของพระโพธิสัตว์ ผู้ทรงกระทำประทักษิณพระนครอยู่ ทรงเกิดพระปีติและโสมนัส จึงทรงเปล่งอุทานนี้ว่า
หญิงใดเป็นมารดาของพระกุมารนี้ หญิงนั้นดับทุกข์ได้. ชายใดเป็นบิดาของพระกุมารนี้ ชายนั้นดับทุกข์ได้. พระกุมารนี้เป็นพระสวามีของหญิงใด หญิงนั้นดับทุกข์ได้.
พระโพธิสัตว์สดับคำเป็นคาถานั้นแล้ว ทรงดำริว่า พระนางกิสาโคตมี นี้ตรัสอย่างนี้ว่า หทัยของมารดา หทัยของบิดา หทัยของภริยา ผู้เห็นอัตภาพเห็นปานนี้อยู่ ย่อมดับทุกข์ได้. เมื่ออะไรหนอดับ หทัยจึงชื่อว่าดับทุกข์ได้. ทีนั้น พระโพธิสัตว์ผู้มีน้ำพระทัยคลายกำหนัดแล้วในกิเลสทั้งหลาย ได้ทรงมีพระดำริว่า เมื่อไฟคือราคะดับ ขึ้นชื่อว่าความดับทุกข์ก็มีได้ เมื่อไฟคือโทสะดับ ขึ้นชื่อว่าความดับทุกข์ก็มีได้ เมื่อไฟคือโมหะดับ ขึ้นชื่อว่าความดับทุกข์ก็มีได้ เมื่อความเร่าร้อนทั้งหลายในกิเลสทั้งปวง มีมานะและทิฏฐิเป็นต้น ดับแล้ว ขึ้นชื่อว่าความดับทุกข์ก็มีได้. พระนางให้เราได้ฟังคำที่ดี ความจริงเราก็กำลังเที่ยวแสวงหานิพพานอยู่ เราควรจะทิ้งฆราวาสออกไปบวช และแสวงหานิพพานเสียวันนี้ทีเดียว. แล้วทรงปลดสร้อยไข่มุกมีค่าพันหนึ่งจากพระศอ ส่งไปมอบให้แก่พระนางกิสาโคตมี ด้วยทรงดำริว่า นี้จงเป็นอาจริยภาค[ค่าเล่าเรียนของครู] สำหรับพระนางเถิด. พระนางเกิดปีติและโสมนัสว่า สิทธัตถราชกุมารมีจิตรักใคร่ในเรา จึงส่งบรรณาการมาให้.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่ปราสาทของพระองค์ ด้วยพระสิริโสภาคย์อันใหญ่หลวง เสด็จบรรทมบนพระสิริไสยาสน์. ในทันใดนั้นเอง เหล่าสตรีผู้ประดับประดาด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง ได้ศึกษามาดีแล้วในเรื่องการฟ้อนและการขับเป็นต้น ทั้งมีรูปโฉมเลอเลิศ ประดุจดังนางเทพกัญญา ถือเอาดนตรีนานาชนิดมาล้อมวงเข้า แล้วบำเรอพระโพธิสัตว์ให้รื่นรมย์ ต่างพากันแสดงการฟ้อนรำขับร้อง และการบรรเลง. พระโพธิสัตว์ เพราะเหตุที่พระองค์ทรงมีพระทัยคลายกำหนัดแล้ว ในกิเลสทั้งหลาย จึงมิทรงอภิรมย์ในการฟ้อนรำเป็นต้น. ครู่เดียวก็ทรงเข้าสู่นิทรา. พวกสตรีเหล่านั้นคิดว่า พวกเราแสดงการฟ้อนรำเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่พระราชกุมารใด พระราชกุมารนั้นทรงเข้าสู่นิทราแล้ว. บัดนี้ จะลำบากไปเพื่ออะไร ต่างพากันวางเครื่องดนตรีที่ถือไว้ๆ ลงแล้วก็นอนหลับไป ดวงประทีปน้ำมันหอมยังคงลุกไหม้อยู่. พระโพธิสัตว์ทรงตื่นบรรทม ประทับนั่งขัดสมาธิบนพระแท่นบรรทม ได้ทอดพระเนตรเห็นสตรีเหล่านั้น นอนหลับทับเครื่องดนตรีอยู่ บางพวกมีน้ำลายไหล มีตัวเปรอะเปื้อนด้วยน้ำลาย บางพวกกัดฟัน บางพวกกรน บางพวกละเมอ บางพวกอ้าปาก บางพวกผ้านุ่งหลุดลุ่ย ปรากฏให้เห็นอวัยวะสตรีเพศที่น่าเกลียด พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็น อาการผิดปกติของสตรีเหล่านั้น ได้ทรงมีพระทัยคลายกำหนัด ในกามทั้งหลายเป็นอย่างมาก. พื้น [ปราสาท] ใหญ่นั้นประดับประดาตกแต่งแล้ว แม้จะเป็นเช่นกับพิภพของท้าวสักกะ ได้ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์นั้น ประหนึ่งว่าป่าช้าผีดิบ ที่กองเต็มไปด้วยซากศพต่างๆ ที่เขาทิ้งไว้. ภพสามปรากฏ ประหนึ่งว่าเรือนที่ไฟลุกไหม้. พระอุทานจึงมีขึ้นว่า วุ่นวายจริงหนอ ขัดข้องจริงหนอ. พระทัยทรงน้อมไปในการบรรพชาเหลือเกิน.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า ควรเราจะออกมหาภิเนษกรมณ์ เสียวันนี้ทีเดียว จึงเสด็จลุกขึ้นจากที่บรรทม ไปยังที่ใกล้ประตู. ตรัสว่า ใครอยู่ในที่นี้.
นายฉันนะนอนเอาศีรษะหนุนธรณีประตูอยู่ ทูลตอบว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ข้าพระองค์ ฉันนะ.
นี่แน่ะฉันนะ วันนี้เรามีประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมน์ จงจัดหาม้าให้เราตัวหนึ่ง.
เขาทูลรับว่า ได้ พระเจ้าข้า. แล้วเอาเครื่องแต่งม้าไปยังโรงพักม้า เมื่อดวงประทีปน้ำมันหอมลุกโพลงอยู่ เห็นพระยาม้ากัณฐกะยืนอยู่บนภูมิภาคน่ารื่นรมย์ ภายใต้เพดานที่ขึงไว้โดยรอบ คิดว่า วันนี้ เราควรจัดม้ากัณฐกะตัวนี้แหละถวาย. จึงจัดม้ากัณฐกะถวาย. ม้ากัณฐกะนั้นเมื่อเขาจัดเตรียมอยู่ ได้รู้ว่า การจัดเตรียมเราคราวนี้กระชับแน่นจริง ไม่เหมือนกับการจัดเตรียม ในเวลาเสด็จไปทรงเล่นในพระราชอุทยานในวันอื่นเป็นต้น. วันนี้ พระลูกเจ้าของเราคงจักทรงมีพระประสงค์ จะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์. ทีนั้น มีใจยินดีจึงร้องเสียงดังลั่นไปหมด เสียงนั้นพึงดังลั่นกลบทั่วพระนครทั้งสิ้น. แต่เทวดาคอยปิดกั้นไว้ มิให้ใครๆ ได้ยิน. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงใช้นายฉันนะไปแล้ว ทรงดำริว่า เราจักดูลูกเสียก่อน. จึงเสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับนั่งขัดสมาธิ ไปยังที่บรรทมของพระมารดาของพระราหุล เปิดพระทวารห้องแล้ว. ในขณะนั้น ประทีปที่เต็มด้วยน้ำมันหอมยังคงลุกไหม้อยู่ แม้พระราหุลมารดาก็บรรทมวางพระหัตถ์บนพระเศียรของพระโอรส บนที่บรรทมอันเกลื่อนกล่นไป ด้วยดอกมะลิซ้อนและดอกมะลิลาเป็นต้น ประมาณ ๑ อัมมณะ [มาตราตวงข้าวสารมีน้ำหนัก ๑๑ โทณะ (ทะนาน)] พระโพธิสัตว์ประทับยืนวางพระบาทบนธรณีประตูนั่นแหละ ทอดพระเนตรดู แล้วทรงดำริว่า ถ้าเราจักจับมือพระเทวีออก แล้วจับลูกของเรา พระเทวีจักตื่น เมื่อเป็นเช่นนี้อันตรายแห่งการไปจักมีแก่เรา. แม้เราเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็จักมาเยี่ยมลูกได้ ดังนี้ จึงเสด็จลงจากพื้นปราสาทไป. ก็คำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรกถาชาดกว่า ตอนนั้น พระราหุลกุมารประสูติได้ ๗ วัน ไม่มีในอรรกถาที่เหลือ เพราะฉะนั้น พึงถือเอาคำนี้นี่แหละ.
พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากพื้นปราสาท โดยประการนี้แล้ว ไปใกล้ม้า แล้วตรัสว่า นี่แน่ะพ่อกัณฐกะ วันนี้ เจ้าจงให้เราข้ามฝั่งสักคืนหนึ่งเถิด เราอาศัยเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จักให้โลกพร้อมทั้งเทวโลกข้ามฝั่งด้วย. ทีนั้น พระโพธิสัตว์ก็ทรงกระโดดขึ้นหลังม้ากัณฐกะ. ม้ากัณฐกะโดยยาววัดได้ ๑๘ ศอก เริ่มแต่คอประกอบด้วยส่วนสูงก็เท่ากัน สมบูรณ์ด้วยกำลังและความเร็ว ขาวล้วนประดุจสังข์ที่ขัดสะอาดแล้ว. ถ้าม้ากัณฐกะนั้นพึงร้อง หรือย่ำเท้า เสียงก็จะดังกลบทั่วพระนครหมด เพราะเหตุนั้น เทวดาจึงกั้นเสียงร้องของม้านั้น โดยอาการที่ใครๆ จะไม่ได้ยินด้วยอานุภาพของตน. พระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นสู่หลังม้าตัวประเสริฐ ทรงให้นายฉันนะจับหางของม้าไว้ เสด็จถึงที่ใกล้ประตูใหญ่ตอนเที่ยงคืน. ก็ในกาลนั้น พระราชาทรงดำริว่า พระโพธิสัตว์จักไม่สามารถเปิดประตูพระนครออกไปได้ ไม่ว่าในเวลาใดๆ จึงรับสั่งให้กระทำบานประตูสองบาน แต่ละบาน บุรุษพันคนจึงจะเปิดได้ ด้วยประการฉะนี้. พระโพธิสัตว์ทรงสมบูรณ์พระกำลังยิ่ง ทรงมีพระกำลัง เมื่อเทียบกับช้างก็นับได้พันโกฏิ เมื่อเทียบกับบุรุษ ก็ทรงมีพระกำลังนับได้สิบแสนโกฏิ. เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงดำริว่า ถ้าประตูไม่เปิด วันนี้เรานั่งอยู่บนหลังม้ากัณฐกะนี่แหละ จักเอาขาอ่อนหนีบม้ากัณฐกะแล้ว กระโดดข้ามกำแพงซึ่งสูงได้ ๑๘ ศอกไป. นายฉันนะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราจักให้พระลูกเจ้าประทับนั่งที่คอของเรา แล้วเอาแขนขวาโอบรอบม้ากัณฐกะที่ท้อง กระทำให้อยู่ในระหว่างรักแร้ จักกระโดดข้ามกำแพงไป. แม้ม้ากัณฐกะก็ติดว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราจักยกนายของเรา ทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนหลังนี่แหละ พร้อมกันทีเดียวกับนายฉันนะผู้จับทางยืนอยู่ กระโดดข้ามกำเเพงไป ถ้าประตูจะไม่มีใครเปิดให้. บรรดาคนทั้งสามคนใดคนหนึ่ง คงจะทำสมกับที่คิดไว้แน่ แต่เทวดาผู้สิงอยู่ที่ประตูเปิดประตูให้.
ในขณะนั้นนั่นเอง มารผู้มีบาปมาด้วยคิดว่า เราจักให้พระโพธิสัตว์กลับ แล้วยืนอยู่ในอากาศทูลว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ผู้เจริญ ท่านอย่าออกไป ในวันที่ ๗ นับเเต่วันนี้ไป จักรรัตนะจักปรากฏแก่ท่าน ท่านจักครอบครองราชสมบัติแห่งทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร. ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านจงกลับเสียเถิด.
จึงตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร.
มารตอบว่า เราเป็นวสวัตดีมาร.
ตรัสว่า ดูก่อนมาร เราทราบว่า จักรรัตนะจะปรากฏแก่เรา เราไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัตินั้น เราจักไห้หมื่นโลกธาตุบรรลือลั่น แล้วเป็นพระพุทธเจ้า.
มารกล่าวว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในเวลาที่ท่านทรงดำริถึงกามวิตกก็ดี พยาบาทวิตกก็ดี วิหิงสาวิตกก็ดี เราจักรู้ดังนี้ คอยแสวงหาช่องอยู่ ติดตามพระองค์ไปประดุจเงา.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์มิได้มีความอาลัย ละทิ้งจักรพรรดิราชสมบัติอันอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ ประหนึ่งทิ้งก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระนครด้วยสักการะอันใหญ่ ก็แหละในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะเดือน ๘ เมื่อนักขัตฤกษ์ในเดือนอุตตราสาฬหะ เดือน ๘ หลัง กำลังดำเนินไปอยู่ ครั้นเสด็จออกจากพระนครแล้ว มีพระประสงค์จะแลดูพระนคร. ก็แหละเมื่อพระโพธิสัตว์นั้นมีความคิดพอเกิดขึ้นเท่านั้น ปฐพีประหนึ่งจะทูลว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษ พระองค์ไม่ต้องหันกลับมา กระทำการทอดพระเนตรดอก จึงแยกหมุนกลับ ประดุจจักรของนายช่างหม้อ. พระโพธิสัตว์ประทับยืนบ่ายพระพักตร์ไปทางพระนคร ทอดพระเนตรดูพระนคร แล้วทรงแสดงเจดีย์สถานเป็นที่กลับของม้ากัณฐกะ. ณ ที่นั้น ทรงกระทำม้ากัณฐกะให้บ่ายหน้าต่อหนทางที่จะเสด็จ ได้เสด็จไปแล้วด้วยสักการะอันยิ่งใหญ่ ด้วยความงามสง่าอันโอฬาร. ได้ยินว่า ในกาลนั้น เทวดาทั้งหลายชูคบเพลิง ๖๐,๐๐๐ อันข้างหน้าพระโพธิสัตว์นั้น ข้างหลัง ๖๐,๐๐๐ อัน ข้างขวา ๖๐,๐๐๐ อัน ข้างซ้าย ๖๐,๐๐๐ อัน. เทวดาอีกพวกหนึ่ง ชูคบเพลิงหาประมาณมิได้ ณ ที่ขอบปากจักรวาล. เทวดา กับนาคและครุฑ เป็นต้นอีกพวกหนึ่ง เดินบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ จุรณและธูปอันเป็นทิพย์. พื้นท้องฟ้านภาดลได้ต่อเนื่องกันไปไม่ว่างเว้น ด้วยดอกปาริชาตและดอกมณฑารพ เหมือนเวลามีเมฆฝนอันหนาทึบ ทิพยสังคีตทั้งหลายได้เป็นไปแล้ว. ดนตรีหกหมื่นแปดพันชนิดบรรเลงขึ้นแล้วโดยทั่วๆ ไป. กาลย่อมเป็นไป เหมือนเวลาที่เมฆคำราม ในท้องมหาสมุทร และเหมือนเวลาที่สาครมีเสียงกึกก้อง ในท้องภูเขายุคนธร.
พระโพธิสัตว์ เมื่อเสด็จไปอยู่ด้วยสิริโสภาคย์นี้ ล่วงเลยราชอาณาจักรทั้ง ๓ โดยราตรีเดียวเท่านั้น เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที่ในที่สุดหนทาง ๓๐ โยชน์. ถามว่า ก็ม้าสามารถจะไปให้ยิ่งกว่านั้นได้หรือไม่ ? ตอบว่า สามารถไปได้ เพราะม้านั้นสามารถเที่ยวไปตลอดห้วงจักรวาล โดยไม่มีขอบเขตอย่างนี้ เหมือนเหยียบวงแห่งกงล้อที่สอดอยู่ในดุมแล้ว กลับมาก่อนอาหารเช้า บริโภคอาหารที่เขาจัดไว้สำหรับตน. ก็ในกาลนั้น ม้าดึงร่างอันทับถมด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ซึ่งเทวดา นาค และครุฑเป็นต้น ยืนอยู่ในอากาศ แล้วโปรยลงมาท่วม จนกระทั่งอุรุประเทศขาอ่อน แล้วตลุยชัฏแห่งของหอมและดอกไม้ไป จึงได้มีความล่าช้ามาก เพราะฉะนั้น ม้าจึงได้ไปเพียง ๓๐ โยชน์เท่านั้น. พระโพธิสัตว์ประทับยืนที่ฝั่งแม่น้ำ แล้วตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่ออะไร ?
นายฉันนะกราบทูลว่า ชื่ออโนมานที พะยะค่ะ.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า บรรพชาแม้ของเราก็จักไม่ทราม จึงเอาส้นพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้า. ม้าได้โดดข้ามแม่น้ำอันกว้างประมาณ ๘ อุสภะไปยืนที่ฝั่งโน้น. พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่เนินทรายอันเหมือนแผ่นเงิน ตรัสเรียกนายฉันนะมาว่า ฉันนะผู้สหาย เธอจงพาเอาอาภรณ์และม้าของเราไป เราจักบวช ณ ที่นี้แหละ.
นายฉันนะกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็จักบวชกับพระองค์ พระเจ้าข้า.
พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้งว่า เธอยังบวชไม่ได้ เธอจะต้องไป แล้วทรงมอบเครื่องอาภรณ์และม้ากัณฐกะให้ นายฉันทะรับไปแล้ว. ทรงดำริว่า ผมทั้งหลายของเรานี้ ไม่สมควรแก่สมณะ ทรงดำริต่อไปว่า ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่มี. เพราะเหตุนั้น เราจักตัดด้วยพระขรรค์นั้นด้วยตนเอง จึงเอาพระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์ เอาพระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา (จุก) พร้อมกับพระโมลี (มวยผม) แล้วจึงตัดออกเส้นพระเกศาเหลือประมาณ ๒ องคุลี เวียนขวาแนมติดพระเศียร พระเกศาได้มีประมาณเท่านั้น จนตลอดพระชนมชีพ. และพระมัสสุ (หนวด) ก็ได้มีพอเหมาะพอควรกับพระเกศานั้น ชื่อว่ากิจด้วยการปลงผมและหนวดมิได้มีอีกต่อไป. พระโพธิสัตว์จับพระจุฬาพร้อมด้วยพระโมลี ทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าไซร้ พระโมลีจงตั้งอยู่ในอากาศ. ถ้าจักไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า จงตกลงบนภาคพื้น แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ ม้วนพระจุฬามณีนั้นไปถึงที่ประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วได้คงอยู่ในอากาศ. ท้าวสักกเทวราชตรวจดูด้วยทิพยจักษุ จึงเอาผอบแก้วประมาณโยชน์หนึ่งรับไว้ นำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ ชื่อว่าจุฬามณีในภพชั้นดาวดึงส์ เหมือนดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
อัครบุคคลผู้เลิศได้ตัดพระโมลี อันอบด้วยกลิ่นหอมอันประเสริฐแล้ว โยนขึ้นไปยังเวหา.
ท้าววาสวะผู้มีพระเนตรตั้งพัน เอาผอบทองอันประเสริฐทูนพระเศียรรับไว้แล้ว.
พระโพธิสัตว์ทรงพระดำริอีกว่า ผ้ากาสิกพัสตร์เหล่านั้นไม่สมควรแก่สมณะสำหรับเรา. ลำดับนั้น ฆฏิการมหาพรหมผู้เป็นสหายเก่า ในครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า มีความเป็นมิตรยังไม่ถึงพุทธันดร คิดว่า วันนี้ สหายของเราออกมหาภิเนษกรมณ์ เราจักถือเอาสมณบริขารของสหายเรานั้นไป. จึงได้นำเอาบริขาร ๘ เหล่านั้น คือ
บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม รัดประคด เป็น ๘ กับผ้ากรองน้ำ ย่อมควรแก่ภิกษุ ประกอบความเพียร.
ไปให้ พระโพธิสัตว์ทรงนุ่งห่มธงชัยแห่งพระอรหัต แล้วถือเพศบรรพชาอันสูงสุด จึงทรงส่งนายฉันนะไป ด้วยพระดำรัสว่า ฉันนะ เธอจงทูลถึง ความไม่มีโรคป่วยไข้แก่พระชนกเเละชนนี ตามคำของเราด้วยเถิด. นายฉันนะถวายบังคมพระโพธิสัตว์ กระทำประทักษิณ แล้วหลีกไป. ส่วนม้ากัณฐกะยืนฟังคำของพระโพธิสัตว์ ซึ่งตรัสกับนายฉันนะ คิดว่า บัดนี้ เราจะไม่มีการได้เห็นนายอีกต่อไป เมื่อละคลองจักษุไป ไม่อาจอดกลั้นความโศกไว้ได้ เมื่อหทัยแตก ตายไปบังเกิดเป็นกัณฐกเทวบุตร ในภพดาวดึงส์. ครั้งแรก นายฉันนะได้มีความโศกเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อม้ากัณฐกะตายไป. นายฉันนะถูกความโศกครั้งที่สองบีบคั้น ได้ร้องไห้คร่ำครวญเดินไป.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ครั้นบรรพชาแล้วได้ยับยั้งอยู่ ด้วยความสุขอันเกิดจากการบรรพชา ตลอดสัปดาห์ ในอนุปิยอัมพวัน ซึ่งมีอยู่ในประเทศนั้นนั่นแล. แล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาท สิ้นหนทาง ๓๐ โยชน์ โดยวันเดียวเท่านั้น แล้วเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ ก็แหละครั้นเสด็จเข้าไปแล้ว เสด็จเที่ยวบิณฑบาตไป ตามลำดับตรอก. พระนครทั้งสิ้นได้ถึงความตื่นเต้น เพราะได้เห็นพระรูปโฉมของพระโพธิสัตว์ เหมือนตอนช้างธนบาลเข้าไปกรุงราชคฤห์ และเหมือนเทพนครตอนจอมอสูรเข้าไป ฉะนั้น. ลำดับนั้น ราชบุตรทั้งหลายมากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ บุคคลชื่อเห็นปานนี้ เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในพระนคร ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบเกล้าว่า ผู้นี้ชื่อไร จะเป็นเทพ มนุษย์ นาค หรือครุฑ. พระราชาประทับยืนที่พื้นปราสาท ทอดพระเนตรเห็นพระมหาบุรุษ เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น. ทรงสั่งพวกราชบุรุษว่า แน่ะพนาย ท่านทั้งหลายจงไปพิจารณาดู ถ้าจักเป็นอมนุษย์ เขาออกจากพระนครแล้วจักหายไป ถ้าเป็นเทวดาจักเหาะไป ก็ถ้าเป็นนาคจักดำดินไป ถ้าเป็นมนุษย์จักบริโภคภิกษาหารตามที่ได้.
ฝ่ายพระมหาบุรุษแล รวบรวมภัตอันสำรวมกันแล้วรู้ว่า ภัตมีประมาณเท่านี้พอสำหรับเรา เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป เสด็จออกจากพระนครทางประตูที่เสด็จเข้ามานั่นแล บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ประทับนั่งที่ร่มเงาของปัณฑวบรรพต. เริ่มเพื่อเสวยพระกระยาหาร. ลำดับนั้น พระอันตะไส้ใหญ่ของพระมหาบุรุษ ได้ถึงอาการจะออกมาทางพระโอษฐ์. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ทรงอึดอัด กังวลพระทัยด้วยอาหารอันปฏิกูล เพราะด้วยทั้งอัตภาพนั้น พระองค์ไม่เคยเห็นอาหาร เห็นปานนั้น แม้ด้วยพระเนตร. จึงทรงโอวาทตนด้วยพระองค์เองอย่างนี้ว่า ดูก่อนสิทธัตถะ เธอเกิดในสถานที่มีโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ด้วยโภชนะแห่งข้าวสาลีมีกลิ่นหอม ซึ่งเก็บไว้ ๓ ปี ในตระกูลอันมีข้าวและน้ำหาได้ง่ายมาก ได้เห็นบรรพชิตผู้ทรงผ้าบังสุกุลรูปหนึ่ง แล้วคิดว่า เมื่อไรหนอ แม้เราก็จักเป็นผู้เห็นปานนั้น เที่ยวบิณฑบาตบริโภค. กาลนั้น จักมีไหมหนอสำหรับเรา จึงออกบวช. บัดนี้ เธอจะทำข้อนั้นอย่างไร ครั้นทรงโอวาทพระองค์อย่างนี้แล้ว ไม่ทรงมีอาการอันผิดแผก ทรงเสวยพระกระยาหาร ราชบุรุษทั้งหลายเห็นความเป็นไปนั้นแล้ว จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชาได้สดับคำของทูตเท่านั้น รีบเสด็จออกจากพระนคร เสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ ทรงเลื่อมใสเฉพาะในพระอิริยาบถเท่านั้น จึงทรงมอบความเป็นใหญ่ให้แก่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์ตรัสว่า มหาบพิตร อาตมภาพไม่มีความต้องการ วัตถุกามหรือกิเลสกามทั้งหลาย อาตมภาพปรารถนาปรมาภิสัมโพธิญาณ จึงออกบวช. พระราชา แม้จะทรงอ้อนวอนเป็นอเนกประการ ก็ไม่ได้น้ำพระทัยของพระโพธิสัตว์นั้น. จึงตรัสว่า พระองค์จักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่แล้ว ก็พระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พึงเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อน นี้เป็นความย่อในที่นี้ ส่วนความพิศดาร พึงตรวจดูศัพท์ในบรรพชาสูตรนี้ว่า เราจักสรรเสริญการบวช เหมือนผู้มีจักษุบวชแล้ว ดังนี้. ในอรรถกถา แล้วพึงทราบเถิด.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงให้ปฏิญญาแก่พระราชาแล้ว เสด็จจาริกไปโดยลำดับ เข้าไปหา อาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร. ทำสมาบัติให้บังเกิด แล้วทรงดำริว่า นี้มิใช่ทางเพื่อจะตรัสรู้ จึงยังไม่ทรงพอพระทัย สมาบัติภาวนาแม้นั้น มีพระประสงค์จะเริ่มตั้งมหาปธานความเพียรใหญ่ เพื่อจะทรงแสดง เรี่ยวแรงและความเพียรของพระองค์แก่โลก พร้อมทั้งเทวโลก. จึงเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา ทรงพระดำรัสว่า ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์หนอ. จึงเสด็จเข้าอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลานั้น ทรงเริ่มตั้งมหาปธานความเพียรใหญ่. บรรพชิต ๕ รูป มีโกณฑัญญะเป็นประธานแม้เหล่านั้นแล พากันเที่ยวภิกขาจารไปในคาม นิคม และราชธานีได้ถึงทันพระโพธิสัตว์ ณ ตำบลอุรุเวลานั้น. ลำดับนั้น บรรพชิตทั้ง ๕ รูปนั้น อุปัฏฐากพระโพธิสัตว์นั้นผู้เริ่มตั้ง มหาปธานความเพียรตลอด ๖ พรรษา ด้วยวัตรปฏิบัติ มีการกวาดบริเวณเป็นต้น ด้วยหวังใจว่า จักเป็นพระพุทธเจ้าในบัดนี้ และได้เป็นผู้อยู่ในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า จักกระทำทุกรกิริยาให้ถึงที่สุด จึงทรงยับยั้งอยู่ด้วยข้าวสารเพียงเมล็ดงาหนึ่งเป็นต้น ได้ทรงกระทำการตัดอาหารเสีย โดยประการทั้งปวง. ฝ่ายเทวดาก็นำเอาโอชะใส่เข้าไปทางขุมพระโลมาทั้งหลาย. ครั้นเมื่อพระโพธิสัตว์นั้น มีพระวรกายอันถึงความอ่อนเปลี้ยอย่างยิ่ง เพราะความเป็นผู้ที่ไม่มีพระกระยาหารนั้น. พระวรกายอันมีฉวีวรรณ ดุจทองได้มีพระฉวีวรรณคำไป พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ก็ได้ถูกปกปิดไม่ปรากฏ. ในกาลบางคราว เมื่อทรงเพ่งฌานอันไม่มีลมปราณ ถูกเวทนาใหญ่หลวงครอบงำ ทรงวิสัญญีสลบล้มลง ในที่สุดที่จงกรม. ลำดับนั้น เทวดาบางพวกกล่าวถึงพระโพธิสัตว์นั้นว่า พระสมณโคดมกระทำกาลกิริยาแล้ว. เทวดาบางพวกกล่าวว่า นี้เป็นธรรมเครื่องอยู่ของพระอรหันต์ทีเดียว. บรรดาเทวดาเหล่านั้น เหล่าเทวดาผู้พูดว่า พระสมณโคดมได้กระทำกาลกิริยาแล้วนั้น พากันไปกราบทูลแก่พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชว่า พระราชโอรสของพระองค์สวรรคตแล้ว. พระเจ้าสุทโธทนะมหาราชตรัสว่า บุตรของเรายังไม่เป็นพระพุทธเจ้า จะยังไม่ตาย. เทวดาเหล่านั้นกราบทูลว่า พระโอรสของพระองค์ไม่อาจเป็นพระพุทธเจ้า ทรงล้มลงที่พื้นสำหรับบำเพ็ญเพียร สวรรคตแล้ว. พระราชาทรงสดับคำนี้ จึงตรัสห้ามว่า เราไม่เชื่อ ชื่อว่าบุตรของเรายังไม่บรรลุโพธิญาณแล้ว กระทำกาลกิริยา ย่อมไม่มี.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระราชาจึงไม่ทรงเชื่อ ?
ตอบว่า เพราะพระองค์ได้ทรงเห็นปาฏิหาริย์ทั้งหลาย ในวันที่ให้ไหว้พระกาลเทวลดาบส และที่ควงไม้หว้า.
พระโพธิสัตว์ทรงกลับได้สัญญาลุกขึ้นได้อีก เมื่อพระมหาสัตว์ลุกขึ้นแล้ว เทวดาเหล่านั้นมากราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่มหาราช พระราชโอรสของพระองค์ไม่มีพระโรคแล้ว. พระราชาตรัสว่า เราย่อมรู้ว่าบุตรของเราไม่ตาย.
เมื่อพระมหาสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๖ พรรษา กาลเวลาได้เป็นเหมือนขอดปมในอากาศ. พระมหาสัตว์นั้นทรงพระดำริว่า ชื่อว่าการทำทุกรกิริยานี้ ไม่ใช่ทาง (บรรลุ) จึงเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในคาม และนิคมทั้งหลาย เพื่อต้องการอาหารหยาบ แล้วนำอาหารมา. ครั้งนั้น มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของพระโพธิสัตว์นั้นได้กลับเป็นปกติ พระกายได้มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ. พระภิกษุปัญจวัคคีย์พากันคิดว่า พระมหาบุรุษนี้ แม้กระทำทุกรกิริยาถึง ๖ ปี ก็ไม่สามารถแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณได้. บัดนี้ เที่ยวบิณฑบาตไปในบ้านเป็นต้น นำอาหารหยาบมา จักสามารถได้อย่างไร. พระมหาบุรุษนี้กลายเป็นผู้มักมาก คลายความเพียร ชื่อว่าการคาดคะเนถึงคุณวิเศษ จากสำนักของพระมหาบุรุษนี้แห่งพวกเรา ก็เหมือนคนผู้จะสรงสนานศีรษะ คิดคาดคะเนเอาหยาดน้ำค้าง ฉะนั้น. พวกเราจะประโยชน์อะไรด้วยพระมหาบุรุษนี้ จึงพากันละพระมหาบุรุษ ถือเอาบาตรและจีวรของตนๆ เดินทางไปประมาณ ๑๘ โยชน์ เข้าไปยังป่าอิสิปตนะ.
ก็สมัยนั้นแล ทาริกาชื่อว่า สุชาดา บังเกิดในเรือนของเสนากุฎุมพี ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม. พอเจริญแล้ว ได้กระทำความปรารถนาที่ต้นไทรแห่งหนึ่งว่า ถ้าเราไปยังเรือนสกุลที่มีชาติเสมอกัน จักได้บุตรชายในครรภ์แรก เราจักทำพลีกรรม โดยบริจาคทรัพย์แสนหนึ่งแก่ท่านทุกปีๆ ความปรารถนาอันนั้นของนางก็สำเร็จแล้ว. เมื่อพระมหาสัตว์นั้นกระทำทุกรกิริยา. เมื่อครบปีที่ ๖ บริบูรณ์ นางสุชาดานั้นประสงค์จะพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖. และก่อนหน้านั้นแหละ ได้ปล่อยโคนม ๑,๐๐๐ ตัว ให้ท่องเที่ยวอยู่ในป่าชะเอม ให้โคนม ๕๐๐ ตัว ดื่มน้ำนมของโคนม ๑,๐๐๐ ตัวนั้น แล้วให้โคนม ๒๕๐ ตัว ดื่มน้ำนมของโคนม ๕๐๐ ตัวนั้น นางปรารถนาน้ำนมข้นและมีโอชะ จึงได้กระทำการหมุนเวียน ให้โคดื่มน้ำนมตราบเท่า ๘ ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๑๖ ตัวนั้น อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.
เช้าตรู่วันวิสาขบูรณมี นางสุชาดานั้นลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งแห่งราตรี ให้รีดนมโคนม ๘ ตัวนั้น. ลูกโคทั้งหลายยังไม่ได้ไปถึงเต้านมเหล่านั้น แต่พอนำภาชนะใหม่เข้าไปใกล้เต้านมเท่านั้น ธารน้ำนมก็ไหลออกตามธรรมดาของตน. นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์นั้น จึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเอง ใส่ลงในภาชนะใหม่ แล้วก่อไฟด้วยมือของตนเอง. เริ่มจะหุง เมื่อกำลังหุงข้าวปายาสนั้นนั่นแหละ ฟองใหญ่ๆ ตั้งขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ. แม้หยาดสักหยดหนึ่งก็ไม่หกออกภายนอก ควันไฟแม้มีประมาณน้อย ก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตา. สมัยนั้น ท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตา. ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่. จริงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมโอชะอันเข้าไปสำเร็จแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายในทวีปทั้ง ๔ อันมีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร ใส่เข้าไปในข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตนๆ เหมือนบุคคลคั้นรวงผึ้งอันติดอยู่ที่ท่อนไม้ แล้วถือเอาแต่น้ำหวาน ฉะนั้น.
จริงอยู่ ในเวลาอื่นๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในคำข้าว ก็แต่ว่าในวันตรัสรู้และวันปรินิพพาน ใส่โอชะในหม้อเลยทีเดียว.
นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อย ซึ่งปรากฏแก่ตนในที่นั้น โดยวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า แน่ะแม่ปุณณา วันนี้ เทวดาของเราทั้งหลายน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ในกาลมีประมาณเท่านี้ เราไม่เคยเห็นความอัศจรรย์เห็นปานนี้ เธอจงรีบไปดูแลเทวสถานโดยเร็ว. นางปุณณาทาสีนั้น รับคำของนางสุชาดานั้นแล้ว ได้รีบด่วนไปยังโคนต้นไม้. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้ทรงเห็นมหาสุบิน ๕ ประการ ในตอนกลางคืนนั้น ทรงใคร่ครวญอยู่ จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย พอราตรีนั้นล่วงไป ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ คอยเวลาภิกขาจารอยู่ พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ทรงกระทำโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยรัศมีของพระองค์.
ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมา ได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่ง ที่โคนไม้ทอดพระเนตรดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออก. และเพราะได้เห็นต้นไม้ทั้งสิ้นมีสีดังสีทอง ด้วยพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระโพธิสัตว์นั้น. นางจึงได้คิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดาของเราทั้งหลาย เห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อจะรับพลีกรรมด้วยมือของตนเองทีเดียว จึงเป็นผู้ถึงความสลดใจ รีบไปบอกเนื้อความนั้น แก่นางสุชาดา. นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้น แล้วก็ดีใจจึงกล่าวว่า วันนี้ ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าจงดำรงอยู่ในฐานะธิดาคนใหญ่ของเรา แล้วได้ให้เครื่องประดับทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา. ก็เพราะเหตุที่ในวันจะบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า การได้ถาดทองมีค่าแสนหนึ่งจึงจะควร เพราะฉะนั้น นางสุชาดานั้นจึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า จักใส่ข้าวปายาสในถาดทอง จึงให้คนใช้นำถาดทองมีค่าแสนหนึ่งออกมา ประสงค์จะใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่ลุกแล้ว. ข้าวปายาสทั้งหมดก็กลิ้งไปประดิษฐานอยู่ในถาด เหมือนน้ำกลิ้งจากใบบัว ฉะนั้น. ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี. นางจึงเอาถาดทองใบอื่น ครอบถาดใบนั้น แล้วเอาผ้าขาวห่อ ประดับร่างกายด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง เอาถาดนั้นทูนบนศีรษะของตน เดินไปยังโคนต้นไทรนั้นด้วยอานุภาพใหญ่ แลดูพระโพธิสัตว์ เกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นเทวดา จึงค้อมกายลงเดินไป จำเดิมแต่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้ว เปิดฝาเอาสุวรรณภิงคารใส่น้ำอันอบด้วยดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ พระโพธิสัตว์. บาตรดินที่ท้าวฆฏิการมหาพรหมถวาย ไม่ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลนานมีประมาณเท่านี้ ได้หายไปในขณะนั้น. พระโพธิสัตว์ เมื่อแลไม่เห็นบาตร จึงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับ. นางสุชาดาจึงวางถาดทองข้าวปายาส ในพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ. พระมหาบุรุษทอดพระเนตรดูนางสุชาดา. นางสุชาดากำหนดอาการแล้วจึงทูลว่า ข้าแต่เจ้า ขอท่านจงถือเอาสิ่งที่ข้าพเจ้าบริจาคแก่ท่านไปเถิด ไหว้แล้วทูลว่า มโนรถความปรารถนาจงสำเร็จแก่ท่าน เหมือนดังสำเร็จแก่ข้าพเจ้าเถิด นางไม่ห่วงอาลัยถาดทองอันมีค่าแสนหนึ่ง เป็นเหมือนภาชนะดินเก่า หลีกไปแล้ว.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับ ทรงทำประทักษิณต้นไม้ ถือถาดเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในวันที่พระโพธิสัตว์หลายแสนจะตรัสรู้ มีท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะ (สุประดิษฐ์) เป็นสถานที่เสด็จลงสรงสนาน จึงทรงวางถาดที่ฝั่งแห่งท่าชื่อว่าสุปติฏฐิตะนั้น เสด็จลงสรงสนานเสร็จ แล้วทรงนุ่งธงชัยแห่งพระอรหัต อันเป็นเครื่องนุ่งห่มของพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ ทรงนั่งผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงกระทำปั้นข้าว ๔๙ ปั้นประมาณเท่าจาวตาลสุก จาวหนึ่งๆ แล้วเสวยมธุปายาสมีน้ำน้อยทั้งหมด. ก็เป็นอย่างนั้น ข้าวมธุปายาสนั้นได้เป็นอาหารอยู่ได้ตลอด ๗ สัปดาห์ สำหรับพระโพธิสัตว์นั้น ผู้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่ โพธิมัณฑ์ประเทศ เป็นที่ผ่องใสแห่งพระปัญญาเครื่องตรัสรู้. ในกาลมีประมาณเท่านั้น ไม่มีอาหารอย่างอื่น ไม่มีการสรงสนาน ไม่มีการชำระพระโอษฐ์ ไม่มีการถ่ายพระบังคนหนัก ทรงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุข มรรคสุขและผลสุขเท่านั้น.
ก็พระโพธิสัตว์ ครั้นเสวยข้าวข้าวปายาสนั้นแล้ว จับถาดทองทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ไซร้ ถาดของเราใบนี้ จงลอยทวนกระแสน้ำไป ถ้าจักไม่ได้เป็น จงลอยไปตามกระแสน้ำ. ครั้นทรงอธิษฐานแล้วได้ลอยถาดไป. ถาดนั้นลอยตัดกระแสน้ำไปถึงกลางแม่น้ำ ณ ที่ตรงกลางแม่น้ำนั่นแล ได้ลอยทวนกระแสน้ำไป สิ้นสถานที่ประมาณ ๘๐ ศอก เปรียบเหมือนม้าซึ่งเพียบพร้อมด้วยฝีเท้าอันเร็วไว ฉะนั้น. แล้วจมลงที่น้ำวนแห่งหนึ่ง จมลงไปถึงภพของกาลนาคราช กระทบถาดเครื่องบริโภคของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ มีเสียงดังกริ๊กๆ แล้วได้วางรองอยู่ใต้ถาดเหล่านั้น. กาลนาคราชครั้นได้สดับเสียงนั้นแล้ว กล่าวว่า เมื่อวานนี้ พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดแล้วองค์หนึ่ง วันนี้ บังเกิดอีกองค์หนึ่ง. จึงได้ยืนกล่าวสดุดีด้วยบทหลายร้อยบท. ได้ยินว่า เวลาที่มหาปฐพีงอกขึ้นเต็มท้องฟ้า ประมาณหนึ่งโยชน์สามคาวุต ได้เป็นเสมือนวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้ แก่กาลนาคราชนั้น.
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงพักผ่อนกลางวัน อยู่ในสาลวันอันมีดอกบานสะพรั่งใกล้ฝั่งแม่น้ำ. เวลาเย็น ในเวลาดอกไม้ทั้งหลายหลุดจากขั้ว ได้เสด็จบ่ายหน้าไปยังโพธิพฤกษ์ ตามหนทางกว้างประมาณ ๘ อุสภะ ซึ่งเทวดาทั้งหลายตกแต่งไว้ ดุจราชสีห์เยื้องกราย ฉะนั้น. นาค ยักษ์และสุบรรณเป็นต้น ได้บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นอันเป็นทิพย์ หมื่นโลกธาตุได้มีกลิ่นหอมเป็นอันเดียวกัน มีระเบียบดอกไม้เป็นอันเดียวกัน และมีเสียงสาธุการเป็นอันเดียวกัน. สมัยนั้นพราหมณ์ชื่อโสตถิยะ เป็นคนหาบหญ้า ถือหญ้าเดินสวนทางมา รู้อาการของมหาบุรุษจึงได้ถวายหญ้า ๘ กำ พระโพธิสัตว์รับหญ้าแล้วเสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑ์ ได้ประทับยืนในด้านทิศใต้ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ. ขณะนั้น จักรวาลด้านทิศใต้ทรุดลง ได้เป็นประหนึ่งว่าจรดถึงอเวจีเบื้องล่าง จักรวาลด้านทิศเหนือลอยขึ้น ได้เป็นประหนึ่งจรดถึงภวัคคพรหมในเบื้องบน. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า ที่ตรงนี้เห็นจะไม่เป็นสถานที่ที่จะให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงการทำประทักษิณ เสด็จไปยังด้านทิศตะวันตก ได้ประทับยืนผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก. ลำดับนั้น จักรวาลด้านทิศตะวันตกได้ทรุดลง ได้เป็นประหนึ่งว่าจรดถึงอเวจีในเบื้องล่าง จักรวาลด้านเว้นออกลอยขึ้น ได้เป็นประหนึ่งว่าจรดถึงภวัคคพรหมในเบื้องบน.
นัยว่า ในที่ที่พระมหาบุรุษนั้นประทับยืนแล้วๆ มหาปฐพีได้ยุบลงและฟูขึ้น เหมือนล้อเกวียนใหญ่ซึ่งติดอยู่ในดุม ถูกคนเหยียบริมขอบวงของกงล้อ ฉะนั้น. พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า สถานที่นี้เห็นจะไม่เป็นสถานที่ให้บรรลุพระสัมโพธิญาณ จึงกระทำประทักษิณ เสด็จไปทางด้านทิศเหนือ ประทับยืนผินพระพักตร์ใปทางด้านทิศใต้. ลำดับนั้น จักรวาลด้านทิศเหนือได้ทรุดลง ได้เป็นประหนึ่งจรดถึงอเวจีในเบื้องล่าง จักรวาลด้านทิศใต้ลอยขึ้น ได้เป็นประหนึ่งจรดถึงภวัคคพรหมในเบื้องบน. พระโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า แม้สถานที่นี้ก็เห็นจะไม่ใช่สถานที่เป็นที่ตรัสรู้พระสัมโพธิญาณ จึงทรงกระทำประทักษิณ เสด็จไปยังด้านทิศตะวันออก ได้ประทับยืนผินพระพักตร์ไปทางด้านทิศตะวันตก ก็สถานที่ตั้งบัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง มีอยู่ในด้านทิศตะวันออก สถานที่นั้นจึงไม่หวั่นไหว ไม่สั่นสะเทือน. พระมหาสัตว์ทรงทราบว่า สถานที่นี้ เป็นที่อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงไม่ทรงละ เป็นสถานที่ไม่หวั่นไหว เป็นสถานที่กำจัดกรง คือกิเลส จึงทรงจับปลายหญ้าแล้วเขย่าให้สั่น. ทันใดนั้นเอง ได้มีบัลลังก์ ๑๔ ศอก หญ้าแม้เหล่านั้นก็คงตั้งอยู่ โดยการลาดเห็นปานนั้น ซึ่งช่างเขียนหรือช่างฉาบ แม้ผู้ฉลาดยิ่งก็ไม่สามารถจะเขียน หรือฉาบทาได้.


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นิทานกถา
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
หน้าต่างที่ ๗ / ๘.

คงตั้งอยู่ โดยการลาดเห็นปานนั้น ซึ่งช่างเขียนหรือช่างฉาบ แม้ผู้ฉลาดยิ่งก็ไม่สามารถจะเขียน หรือฉาบทาได้.
พระโพธิสัตว์ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก โดยให้ลำต้นโพธิ์อยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ เป็นผู้มีพระมนัสมั่นคง ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง ๑๐๐ ครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐานว่า
เนื้อ และเลือดในสรีระนี้แม้ทั้งสิ้นจงเหือดแห่งไป จะเหลือแต่หนังเอ็น และกระดูก ก็ตามที.
เราไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณบนบัลลังก์นี้แหละ จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้.
สมัยนั้น เทวปุตตมารคิดว่า สิทธัตถกุมารประสงค์จะก้าวล่วงอำนาจของเรา บัดนี้ เราจักไม่ให้สิทธัตถกุมารนั้น ล่วงพ้นไปได้ จึงไปยังสำนักของพลมาร บอกความนั้น ให้โห่ร้องอย่างมาร แล้วพาพลมารออกไป ก็เสนามารนั้นมีข้างหน้ามาร ๑๒ โยชน์ ข้างขวาและข้างซ้ายข้างละ ๑๒ โยชน์ ส่วนข้างหลังเสนามารตั้งจรดขอบจักรวาลสูงขึ้นด้านบน ๙ โยชน์ ซึ่งเมื่อบันลือขึ้น เสียงบันลือจะได้ยินเหมือนเสียงแผ่นดินทรุด ตั้งแต่ที่ประมาณพันโยชน์. ลำดับนั้น เทวปุตตมารขึ้นขี่ช้างชื่อคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์ นิรมิตแขนพันแขน ถืออาวุธนานาชนิด แม้ในบริษัทมารนอกนี้ มาร ๒ คนจะไม่ถืออาวุธเหมือนกัน เป็นผู้มีหน้าต่างๆ คนละอย่างกันพากันมา เหมือนดังจะท่วมทับพระมหาสัตว์.
ก็เทวดาในหมื่นจักรวาลได้ยืนกล่าวชมเชยพระมหาสัตว์ ส่วนท้าวสักกเทวราชได้ยืนเป่าสังข์วิชัยยุตร ได้ยินว่า สังข์นั้นมีขนาด ๑๒๐ ศอก เพื่อให้เก็บลมไว้คราวเดียวแล้วเป่า จะมีเสียงอยู่ถึง ๔ เดือน จึงจะหมดเสียง มหากาลนาคราชได้ยืนกล่าวสรรเสริญคุณเกินกว่าร้อยบท ท้าวมหาพรหมได้ยืนกั้นเศวตฉัตร. แต่เมื่อพลมารเข้าไปใกล้โพธิมัณฑ์ บรรดาเทวดาเป็นต้นเหล่านั้น แม้คนหนึ่งก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ ต่างพากันหนีไปเฉพาะในที่ที่ตรงหน้าๆ กาลนาคราชดำดินลงไปยังนาคภพอันมีมณเฑียร ประมาณ ๕๐๐ โยชน์ นอนเอามือทั้งสองปิดหน้า ท้าวสักกะเอาสังข์วิชัยยุตรไว้ข้างหลัง ได้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล. ท้าวมหาพรหมจับปลายเศวตฉัตรไปยังพรหมโลกทันที แม้เทวดาคนหนึ่งชื่อว่าผู้สามารถดำรงอยู่ มิได้มี. พระมหาบุรุษพระองค์เดียวเท่านั้น ประทับนั่งอยู่.
ฝ่ายมารก็กล่าวกะบริษัทของตนว่า พ่อทั้งหลาย ชื่อว่าบุรุษอื่น เช่นกับสิทธัตถะ โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ย่อมไม่มี. พวกเราจักไม่อาจทำการสู้รบซึ่งหน้า พวกเราจักสู้รบทางด้านหลัง. ฝ่ายพระมหาบุรุษก็เหลียวดูแม้ทั้ง ๓ ด้าน ได้ทรงเห็นแต่ความว่างเปล่า เพราะเทวดาทั้งปวงพากันหนีไปหมด ได้ทรง เห็นพลมารหนุนเนื่องเข้ามาทางด้านเหนืออีก ทรงพระดำริว่า ชนนี้มีประมาณเท่านี้ มุ่งหมายเราผู้เดียว กระทำความพากเพียรพยายามอย่างใหญ่หลวง. ในที่นี้ไม่มีบิดามารดา บุตร ธิดา พี่น้องชาย หรือญาติไรๆ อื่น มีแต่บารมี ๑๐ นี้เท่านั้น จะเป็นเช่นกับบุตรแลบริวารชนของเราไปตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เราจะกระทำบารมีให้เป็นโล่ แล้วประหารด้วยศัสตรา คือบารมีนั่นแหละ กำจัดหมู่พลนี้เสีย จึงจะควร. จึงทรงนั่งระลึกถึงบารมีทั้ง ๑๐ อยู่.
ลำดับนั้น เทวปุตตมารได้บันดาลมณฑลประเทศแห่งลมให้ตั้งขึ้น ด้วยคิดว่า เราจักให้สิทธัตถะหนีไปด้วยลมนี้ ทีเดียว. ขณะนั้นเอง ลมอันต่างด้วยลมทิศตะวันออกเป็นต้น ได้ตั้งขึ้นแม้สามารถทำลายยอดเขาขนาดกึ่งโยชน์ ๑ โยชน์ ๒ โยชน์ และ ๓ โยชน์ ถอนรากไม้ กอไม้ และต้นไม้เป็นต้น กระทำตามและนิคมรอบด้าน ให้เป็นจุรณวิจุรณไปได้ ก็มีอานุภาพอันเดชแห่งบุญของมหาบุรุษจัดเสียแล้ว พอมาถึงพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจทำ แม้สักว่าชายจีวรให้ไหว. ลำดับนั้น เทวปุตตมารได้บันดาลให้ห่าฝนใหญ่ตั้งขึ้น ด้วยหวังว่าจักให้น้ำท่วมตาย ด้วยอานุภาพของเทวปุตตมารนั้น เมฆฝนอันมีหลืบได้ร้อยหลืบพันหลืบเป็นต้น เป็นประเภทตั้งขึ้นในเบื้องบนแล้วตกลงมา แผ่นดินได้เป็นช่องๆ ไปด้วยกำลังแห่งสายธารน้ำฝน มหาเมฆลอยมาทางด้านบนป่าไม้ และต้นไม้เป็นต้น ก็ไม่อาจให้น้ำสักเท่าหยาดน้ำค้างหยด ให้เปียกที่จีวรของพระมหาสัตว์.
แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่าฝนหินตั้งขึ้น ยอดภูเขาใหญ่ๆ คุกรุ่นเป็นควันลุกเป็นเปลวไฟ ลอยมาทางอากาศ. พอถึงพระโพธิสัตว์ ก็กลับกลายเป็นกลุ่มดอกไม้ทิพย์. แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่าฝนเครื่องประหารตั้งขึ้น ศัสตราวุธมีดาบ หอก และลูกศรเป็นต้น มีคมข้างเดียวบ้าง มีคมสองข้างบ้าง คุกรุ่นเป็นควัน ลุกเป็นเปลวไฟ ลอยมาทางอากาศ. พอถึงพระโพธิสัตว์ ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์. แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่าฝนถ่านเพลิงตั้งขึ้น ถ่านเพลิงทั้งหลายมีสีดังดอกทองกวาว ลอยมาทางอากาศ กลายเป็นดอกไม้ทิพย์โปรยปรายลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์. แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่าฝนเถ้ารึงตั้งขึ้น เถ้ารึงร้อนจัดมีสีดังไฟลอยมาทางอากาศ กลายเป็นฝุ่นไม้จันทน์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์. แต่นั้น ได้บันดาลให้ห่าฝนทรายตั้งขึ้น ทรายทั้งหลายละเอียดยิบ คุเป็นควันลุกเป็นไฟ ลอยมาทางอากาศ กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์. แต่นั้น จึงบันดาลห่าฝนเปือกตมให้ตั้งขึ้น เปือกตมคุเป็นควันลุกเป็นไฟ ลอยมาทางอากาศ กลายเป็นเครื่องลูบไล้ทิพย์ ตกลงที่บาทมูลของพระโพธิสัตว์. แต่นั้น ได้บันดาลความมืดให้ตั้งขึ้น ด้วยคิดว่า เราจักทำให้ตกใจกลัวด้วยความมืดนี้ แล้วให้สิทธัตถะหนีไป ความมืดนั้นเป็นความมืดตื้อ ประดุจประกอบด้วยองค์ ๔ [คือแรม ๑๔ ค่ำ ป่าชัฏ เมฆทึบ และเที่ยงคืน]. พอถึงพระโพธิสัตว์ ก็อันตรธานไป เหมือนความมืดที่ถูกขจัด ด้วยแสงสว่างแห่งพระอาทิตย์
มารไม่อาจทำให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝน คือความมืด รวม ๙ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ จึงสั่งบริษัทนั้นว่า แน่ะพนาย พวกท่านจะหยุดอยู่ทำไม จงจับสิทธัตถกุมารนี้ จงฆ่า จงทำให้หนีไป. ส่วนตนเองนั่งบนคอช้างคีรีเมข ถือจักราวุธเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวว่า สิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้ไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ถึงแก่เรา.
พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของมารนั้น จึงได้ตรัสว่า ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ ทั้งไม่ได้บริจาคมหาบริจาค ๕ ไม่ได้บำเพ็ญญาตัตถจริยา โลกัตถจริยาและพุทธัตถจริยา บัลลังก์นี้จึงไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ได้ถึงแก่เรา. มารโกรธอดกลั้นกำลังความโกรธไว้ไม่ได้ จึงขว้างจักราวุธใส่พระมหาสัตว์ เมื่อพระมหาสัตว์นั้นทรงรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศอยู่. จักราวุธนั้น ได้ตั้งเป็นเพดานดอกไม้อยู่ในส่วนเบื้องบน. ได้ยินว่า จักราวุธนั้นคมกล้านัก มารนั้นโกรธแล้ว ขว้างไปในที่อื่นๆ จะตัดเสาหินแต่งทึบเป็นอันเดียวไปเหมือนตัดหน่อไม้ไผ่. แต่บัดนี้ เมื่อจักราวุธนั้น กลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่. บริษัทมารนอกนี้คิดว่า สิทธัตถกุมารจักลุกจากบัลลังก์หนีไปในบัดนี้ จึงพากันปล่อยยอดเขาหินใหญ่ๆ ลงมา. เมื่อพระมหาบุรุษทรงรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศ แม้ยอดเขาหินเหล่านั้น ก็ถึงภาวะเป็นกลุ่มดอกไม้ตกลงยังภาคพื้น เทวดาทั้งหลายผู้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล ยืดคอชะเง้อศีรษะออกดู ด้วยคิดกันว่า ท่านผู้เจริญ อัตภาพอันถึงความงามแห่งพระรูปโฉมของสิทธัตถกุมาร ฉิบหายเสียแล้วหนอ สิทธัตถกุมารจักทรงกระทำอย่างไรหนอ.
ลำดับนั้น พระมหาบุรุษตรัสว่า บัลลังก์ได้ถึงแก่เรา ในวันที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญบารมี แล้วตรัสรู้ยิ่ง ดังนี้ แล้วตรัสกะมารผู้ยืนอยู่ สืบไปว่า ดูก่อนมาร ใครเป็นสักขีพยานในความที่ ท่านให้ทานแล้ว.
มารเหยียดมือไปตรงหน้าหมู่มาร โดยพูดว่า มารเหล่านั้นมีประมาณเท่านี้เป็นพยาน. ขณะนั้น เสียงของบริษัทมารซึ่งเป็นไปว่า เราเป็นพยาน เราเป็นพยาน ดังนี้ ได้เป็นเช่นกับเสียงแผ่นดินทรุด. ลำดับนั้น มารจึงกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า ดูก่อนสิทธัตถะ ในภาวะที่ท่านให้ทาน ใครเป็นสักขีพยาน.
พระมหาบุรุษตรัสว่า ก่อนอื่น ในภาวะที่ท่านให้ทาน พลมารทั้งหลายผู้มีจิตใจเป็นพยาน แต่สำหรับเรา ใครๆ ผู้มีจิตใจชื่อว่าจะเป็นพยานให้ ย่อมไม่มีในที่นี้. ทานที่เราให้แล้วในอัตภาพอื่นๆ จงยกไว้ ก็ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้ว ได้ให้สัตตสตกมหาทาน ให้สิ่งของอย่างละ ๗๐๐ มหาปฐพีอันหนาทึบนี้ แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานให้ก่อน จึงทรงนำออกเฉพาะพระหัตถ์ขวา จากภายในกลีบจีวร แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ชี้ลงตรงหน้ามหาปฐพี พร้อมกับตรัสว่า ในคราวที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร แล้วให้สัตตสตกมหาทาน ท่านได้เป็นพยานหรือไม่ได้เป็น.
มหาปฐพีได้ดั่งสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียงพันเสียงว่า ในกาลนั้น เราเป็นพยานท่าน แต่นั้น มหาปฐพีได้กล่าวว่า ท่านสิทธัตถะ ทานที่ท่านให้แล้ว เป็นมหาทาน เป็นอุดมทาน.
เมื่อพระมหาบุรุษพิจารณาไปๆ ถึงทานที่ได้ให้โดยอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ช้างคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์ ก็คุกเข่าลง. บริษัทของมารต่างพากันหนีไปยังทิศานุทิศ ชื่อว่ามารสองตนจะไปทางเดียวกัน ย่อมไม่มี ต่างละทิ้งเครื่องประดับศีรษะและผ้าที่นุ่งห่ม หนีไปเฉพาะทิศทั้งหลายตรงๆ หน้า. ลำดับนั้น หมู่เทพทั้งหลายเห็นมารและพลมารหนีไปแล้ว กล่าวกันว่า มารปราชัยพ่ายแพ้แล้ว สิทธัตถกุมารมีชัยชนะแล้ว พวกเรามากระทำการบูชาความมีชัยกันเถิด ดังนี้ พวกนาคก็ประกาศแก่พวกนาค พวกครุฑก็ประกาศแก่พวกครุฑ พวกเทวดาก็ประกาศแก่พวกเทวดา พวกพรหมก็ประกาศแก่พวกพรหม พวกวิชชาธร (ก็ประกาศแก่พวกวิชชาธร) ต่างมีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น มายังโพธิบัลลังก์สำนักของพระมหาบุรุษ. ก็เมื่อมารและพลมารเหล่านั้น หนีไปอย่างนี้แล้ว
ในกาลนั้น หมู่นาคมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า
ก็พระพุทธเจ้าผู้มีพระสิรินี้ทรงมีชัยชำนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้แล้ว.
แม้หมู่ครุฑก็มีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า
ก็พระพุทธเจ้าผู้มีพระสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้แล้ว.
ในกาลนั้น หมู่เทพมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า
ก็พระพุทธเจ้าผู้มีพระสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้แล้ว.
ในกาลนั้น แม้หมู่พรหมก็มีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า
ก็พระพุทธเจ้าผู้มีพระสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้แล้ว แล.
เทวดาในหมื่นจักรวาลที่เหลือ บูชาด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้เป็นต้น ได้ยืนกล่าวสดุดีมีประการต่างๆ เมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่ อย่างนี้นั่นแล พระมหาบุรุษทรงขจัดมารและพลมารได้แล้ว อันหน่อโพธิพฤกษ์ซึ่งตกลงเหนือจีวร ประหนึ่งกลีบแก้วประพาฬแดง บูชาอยู่
ทรงระลึกได้บุพเพนิวาสญาณในปฐมยาม ทรงชำระทิพยจักษุในมัชฉิมยาม ทรงยังญาณให้หยั่งลงในปฏิจจสมุปบาทในปัจฉิมยาม. ครั้งเมื่อพระมหาบุรุษนั้น ทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ ๑๒ โดยอนุโลมและปฏิโลม ด้วยอำนาจวัฏฏะและวิวัฏฏะ หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว ๑๒ ครั้ง จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด ก็พระมหาบุรุษทรงยังหมื่นโลกธาตุ ให้บันลือลั่นหวั่นไหวแล้ว ได้ทรงรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ ในเวลาอรุณขึ้น.
เมื่อพระมหาบุรุษนั้นทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว หมื่นโลกธาตุทั้งสิ้นได้มีการประดับตกแต่งแล้ว รัศมีของธงชัยและธงปฏากที่ยกขึ้น ณ ปากขอบจักรวาลทิศตะวันออก กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก. ที่ยกขึ้น ณ ขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก ก็เหมือนกัน กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศตะวันออก. ที่ยกขึ้น ณ ขอบปากจักรวาลทิศเหนือ กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศใต้ ที่ยกขึ้น ณ ขอบปากจักรวาลทิศใต้ กระทบถึงขอบปากจักรวาลทิศเหนือ. ส่วนรัศมีของธงชัยและธงปฏากที่ยกขึ้น ณ พื้นปฐพี ได้ตั้งอยู่จรดพรหมโลก. รัศมีที่ตั้งอยู่ในพรหมโลก ก็ตั้งถึงพื้นปฐพี. ต้นไม้ดอกในหมื่นจักรวาลก็ผลิดอก ต้นไม้ผลก็ได้เต็มไปด้วยพวงผล ปทุมชนิดลำต้นก็ออกดอกที่ลำต้น ปทุมชนิดกิ่งก้านก็ออกดอกที่กิ่งก้าน ปทุมชนิดเครือเถาก็ออกดอกที่เครือเถา ปทุมชนิดห้อยก็ออกดอกในอากาศ ปทุมชนิดเป็นช่อได้เจาะทำลายช่อหินตั้งขึ้นซ้อนๆ กัน ช่อละ ๗ ชั้น หมื่นโลกธาตุได้หนุนไป เหมือนกลุ่มด้ายที่คลายออก และเหมือนเครื่องปูลาดที่จัดวางไว้ดีแล้ว ฉะนั้น.
โลกันตนรกกว้าง ๕๐๐ โยชน์ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่าง ด้วยแสงพระอาทิตย์ ๗ ดวง ก็ได้มีแสงสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน มหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล คนบอดแต่กำเนิดแลเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดได้ยินเสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดเดินได้ กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำเป็นต้น แห่งบรรดาเครื่องจองจำ คือขื่อเป็นต้น ได้ขาดหลุดไป. พระมหาบุรุษอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บูชาด้วยสมบัติอันประกอบด้วยสิริ หาปริมาณมิได้ ด้วยประการอย่างนี้. เมื่ออัจฉริยธรรมอันน่าอัศจรรย์ทั้งหลายมีประการต่างๆ ปรากฏแล้ว ได้แทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณ จึงทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวง มิได้ทรงละว่า
เราเมื่อแสวงหานายช่าง (คือตัณหา) ผู้กระทำเรือน เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อย ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์.
ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว จิต (ของเรา) ถึงวิสังขาร (นิพพาน) แล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว.
ฐานะมีประมาณท่าน เริ่มแต่ดุสิตบุรีจนกระทั่งบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ที่โพธิมัณฑ์นี้ พึงทราบว่า ชื่ออวิทูเรนิทาน ด้วยประการฉะนี้.

สันติเกนิทาน
ก็สันติเกนิทาน ท่านกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในที่นั้นๆ อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใน พระวิหารเชตวันอันเป็นอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี (และว่า) ประทับอยู่ในกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี ดังนี้ สันติเกนิทานย่อมมีได้ในที่นั้นๆ นั่นเอง. ท่านกล่าวไว้อย่างนั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น สันติเกนิทานนั้น พึงทราบอย่างนั้น จำเดิมแต่ต้นไป.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์ชัย เปล่งอุทานนี้แล้ว ได้มีพระดำริดังนี้ว่า เราแล่นไปถึงสี่อสังไขยกับแสนกัป ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เราตัดศีรษะอันประดับแล้วที่ลำคอ แล้วให้ทานไปตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ก็เพราะเหตุบัลลังก์นี้ เราควักนัยน์ตาที่หยอดดีแล้ว (และ) ควักเนื้อหัวใจให้ไปให้บุตร เช่นชาลีกุมาร ให้ธิดาเช่นกับกัณหาชินากุมารี และให้ภรรยาเช่นพระมัทรีเทวี เพื่อเป็นทาสของคนอื่นๆ เพราะเหตุบัลลังก์นี้. บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ชัย เป็นบัลลังก์ประเสริฐของเรา ความดำริของเราผู้นั่งบนบัลลังก์นี้ ยังไม่บริบูรณ์เพียงใด เราจักไม่ลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้เพียงนั้น ดังนี้ จึงทรงนั่งเข้าสมาบัติหลายแสนโกฏิอยู่ ณ บัลลังก์นั้น นั่นแหละตลอดสัปดาห์ ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์เดียว ตลอดสัปดาห์ สัปดาห์ที่ ๑ หลังจากตรัสรู้. ครั้งนั้น เทวดาบางเหล่าเกิดความปริวิตกขึ้นว่า แม้วันนี้ พระสิทธัตถะก็ยังมีกิจที่จะต้องทำอยู่หรือหนอ เพราะยังไม่ละความอาลัยในบัลลังก์. พระศาสดาทรงทราบความวิตกของเทวดาทั้งหลาย เพื่อจะทรงระงับความปริวิตกของเทวดาเหล่านั้น จึงทรงเหาะขึ้นยังเวหาส ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์. จริงอยู่ ยมกปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำ ณ มหาโพธิมัณฑ์ก็ดี ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคมพระญาติก็ดี ปาฏิหาริย์ที่ทรงกระทำในสมาคมชาวปาตลีบุตรก็ดี ทั้งหมดได้เป็นเหมือนยมกปาฏิหาริย์ ที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์.
พระศาสดา ครั้นทรงระงับความปริวิตกของเทวดาทั้งหลายด้วยปาฏิหาริย์นี้แล้ว จึงประทับยืนทางด้านทิศเหนือ เยื้องไปทางทิศตะวันออกนิดหน่อย ทรงพระดำริว่า เราได้รู้แจ้งพระสัพพัญญุตญาณบนบัลลังก์นี้หนอ จึงทอดพระเนตรทั้งสองโดยไม่กระพริบ มองดูบัลลังก์อันเป็นสถานที่บรรลุผลแห่งบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา ตลอดสี่อสงไขยแสนกัป ทรงยับยั้งอยู่หนึ่งสัปดาห์.
สถานที่นั้น จึงชื่อว่า อนิมิสเจดีย์ สัปดาห์ที่ ๒ นับแต่ตรัสรู้
ลำดับนั้น ทรงนิรมิตที่จงกรมในระหว่างบัลลังก์ และที่ที่ประทับยืน แล้วทรงจงกรมในรัตนจงกรมอันยาวจากตะวันออกไปตะวันตก ทรงยับยั้งอยู่หนึ่งสัปดาห์.
สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตนจงกรมเจดีย์ สัปดาห์ที่ ๓ นับแต่ตรัสรู้.
แต่ในสัปดาห์ที่ ๔ เทวดาทั้งหลายนิรมิตเรือนแก้วในด้านทิศพายัพ จากต้นโพธิประทับนั่งบนบัลลังก์ในเรือนแก้วนั้น ทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิฎกและสมันตปัฏฐานอนันตนัย ในเรือนแก้วนี้โดยพิเศษ ทรงยับยั้งอยู่หนึ่งสัปดาห์. ส่วนนักอภิธรรมกล่าวว่า เรือนอันล้วนแล้วด้วยแก้ว ชื่อว่ารัตนฆระเรือนแก้ว สถานที่ทรงพิจารณาปกรณ์ทั้ง ๗ พระคัมภีร์ ก็ชื่อว่า รัตนฆรเรือนแก้ว. ก็เพราะเหตุที่ปริยายแม้ทั้งสองนี้ย่อมใช้ได้ในที่นี้ ฉะนั้น
คำทั้งสองนี้ควรเธอถือทีเดียว. ก็จำเดิมแต่นั้นมา สถานที่นั้น จึงชื่อว่า รัตนฆรเจดีย์ สัปดาห์ที่ ๔ นับแต่ตรัสรู้.
พระศาสดาทรงยับยั้งอยู่ ณ ที่ใกล้ต้นโพธิ์นั่นเอง ตลอด ๔ สัปดาห์ด้วยอาการอย่างนี้.
ในสัปดาห์ที่ ๕ จึงเสด็จจากควงโพธิพฤกษ์เข้าไปยังต้นอชปาลนิโครธ ทรงนั่งพิจารณาพระธรรมและเสวยวิมุตติสุขอยู่ ณ ต้นอชปาลนิโครธ สัปดาห์ที่ ๕ นับแต่ตรัสรู้ แม้นั้น.
สมัยนั้น เทวปุตรมารติดตามอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แม้จะเพ่งมองหาช่องทางอยู่ ก็ไม่ได้เห็นความพลั้งพลาดอะไรๆ ของพระสิทธัตถะนี้ จึงถึงความโทมนัสว่า บัดนี้ สิทธัตถะนี้ล่วงพ้นวิสัยของเราแล้ว จึงนั่งที่หนทางใหญ่ คิดถึงเหตุ ๑๖ ประการ. จึงขีดเส้น ๑๖ เส้นลงบนแผ่นดิน คือ คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญทานบารมีเหมือนสิทธัตถะนี้ แล้วขีดลงไปเส้นหนึ่ง. อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้ ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้ แล้วขีดเส้น (ที่ ๒ ถึง) ที่ ๑๐. อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอด อาสยานุสยญาณ อินทริยปโรปริยญาณ มหากรุณาสมาปัตติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ อนาวรณญาณ และสัพพัญญุตญาณ อันไม่ทั่วไปแก่ผู้อื่น เหมือนดังสิทธัตถะนี้. ด้วยเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนดังสิทธัตถะนี้ แล้วขีดเส้น (ที่ ๑๑ ถึง) ที่ ๑๖. เมื่อเทวปุตตมารนั้นนั่งขีดเส้น ๑๖ เส้น อยู่บนทางใหญ่ เพราะเหตุเหล่านั้น ด้วยประการอย่างนี้แล้ว
สมัยนั้น ธิดามารทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดีและนางราคา กล่าวกันว่า บิดาของพวกเราไม่ปรากฏ บัดนี้ อยู่ที่ไหนหนอ จึงมองหาอยู่. ได้เห็นเทวปุตรมารนั้น ได้รับความโทมนัสขีดแผ่นดินอยู่ จึงพากันไปยังสำนักของบิดาถามว่า ท่านพ่อ เพราะเหตุไร ท่านพ่อจึงเป็นทุกข์ หม่นหมองใจ.
เทวปุตรมารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว พ่อคอยดูอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ยังไม่อาจเห็นช่องโอกาสของมหาสมณะนี้ ด้วยเหตุนั้น พ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ.
มารธิดากล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น คุณพ่ออย่าได้เสียใจ พวกข้าพเจ้าจักกระทำมหาสมณะนั้น ให้อยู่ในอำนาจของตน แล้วจักพามา.
เทวปุตรมารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย ใครๆ ไม่อาจทำมหาสมณะนี้ให้อยู่ในอำนาจ บุรุษผู้นี้ตั้งอยู่ใน ศรัทธาอันไม่หวั่นไหว.
ธิดามารกล่าวว่า ท่านพ่อ พวกข้าพเจ้าเป็นลูกผู้หญิงนะ พวกข้าพเจ้าจักเอาบ่วง คือราคะเป็นต้น ผูกมหาสมณะให้มั่น แล้วนำมาให้เดี๋ยวนี้ ท่านพ่ออย่าคิดไปเลย. กล่าวแล้วธิดามารทั้ง ๓ นั้น จึงจากที่นี้เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกข้าพระบาทจักบำเรอเท้าของพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ลืมพระเนตรแลดู มีพระมนัสน้อมไปใน ธรรมเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม และประทับนั่งเสวยสุข อันเกิดแต่วิเวกเท่านั้น.
ธิดามารคิดกันอีกว่า ความประสงค์ของพวกผู้ชายไม่เหมือนกัน ผู้ชายบางคนรักหญิงกุมารีรุ่นสาว บางคนรักหญิงผู้อยู่ในปฐมวัย บางคนรักหญิงผู้ตั้งอยู่ในมัชฌิมวัย บางคนรักหญิงผู้ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย ถ้ากระไร พวกเราควรประเล้าประโลมด้วยรูปนานาประการ จึงนางหนึ่งๆ นิรมิตอัตภาพเป็นร้อยๆ อัตภาพ โดยเป็นรูปหญิงรุ่นเป็นต้น เป็นหญิงยังไม่คลอด เป็นหญิงคลอดคราวเดียว เป็นหญิงคลอด ๒ คราว เป็นหญิงกลางคนและเป็นหญิงรุ่นใหญ่ เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง ๖ ครั้ง แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกข้าพระบาทจักบำเรอบาทของพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงใส่พระทัยถึงข้อแม้นั้น โดยประการที่ทรงน้อมไปใน ธรรมเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม.
ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงเห็นธิดามารเหล่านั้นเข้ามาหาโดย ภาวะเป็นหญิงผู้ใหญ่จึงทรงอธิษฐานว่า หญิงเหล่านี้จงเป็นผู้มีฟันหัก ผมหงอกอย่างนี้ๆ. คำของเกจิอาจารย์นั้นไม่ควรเชื่อถือ. เพราะพระศาสดาจะไม่ทรงกระทำการอธิษฐาน เห็นปานนั้น.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกท่านจงหลีกไป พวกท่านผู้เช่นไร จึงพากันพยายามอย่างนี้ ชื่อว่ากรรมเห็นปานนี้ ควรกระทำเบื้องหน้าของคน ผู้ยังไม่ปราศจากราคะเป็นต้น แต่ตถาคตละราคะ โทสะ โมหะได้แล้ว จึงทรงพระปรารภถึง การละกิเลสของพระองค์. ทรงแสดงธรรมตรัสพระคาถา ๒ คาถาในพระธรรมบท พุทธวรรค ขุ. ๒๕/ข้อ ๒๔ ดังนี้ว่า
ความชนะอันผู้ใดชนะแล้วไม่กลับแพ้ อันใครๆ จะนำความชนะของผู้นั้นไปในโลกได้ ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร.
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่มีตัณหาอันเป็น ดุจข่ายส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ เพื่อจะนำไปในที่ไหนๆ ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร.
ธิดามารเหล่านั้นกล่าวคำเป็นต้นว่า นัยว่า บิดาของพวกเราพูดจริง พระอรหันต์สุคตเจ้าเป็นผู้ที่จะนำไปไม่ได้ง่ายๆ ในโลกด้วยราคะ แล้วได้พากันไปยังสำนักของบิดา.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่ อชปาลนิโครธนั้นหนึ่งสัปดาห์ แล้วได้เสด็จไปที่โคนไม้มุจลินท์ สัปดาห์ที่ ๖ นับแต่ตรัสรู้ ณ ที่นั้นฝนพรำเกิดขึ้น ๗ วัน พระองค์อันพระยามุจลินทนาคราชวงด้วยขนด ๗ รอบ เพื่อป้องกันความหนาวเป็นต้น เสวยวิมุตติสุข ประหนึ่งประทับอยู่ในพระคันธกุฏีอันไม่คับแคบ ทรงยับยั้งอยู่หนึ่งสัปดาห์ แล้วเสด็จไปยังต้นราชายตนะ สัปดาห์ที่ ๗ นับแต่ตรัสรู้ ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขอยู่ ณ ที่ต้นราชายตนะแม้นั้นหนึ่งสัปดาห์ โดยลำดับกาลเพียงเท่านี้ สัปดาห์ทั้งหลายก็ครบบริบูรณ์.
ในระหว่างนี้ไม่มีการชำระล้างพระพักตร์ ไม่มีการปฏิบัติพระสรีระ ไม่มีกิจด้วยพระกระยาหาร ทรงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุข มรรคสุข และผลสุข. ครั้นในวันที่ ๔๙ อันเป็นวันสุดท้ายแห่งสัปดาห์ที่ ๗ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นประทับนั่งที่ต้นราชายตนะนั้น เกิดพระดำริขึ้นว่า จักสรงพระพักตร์. ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรงนำผลสมอมาถวายด้วยพระองค์เอง. พระศาสดาเสวยผลสมอนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้มีการถ่ายพระบังคนหนัก. ลำดับนั้น ท้าวสักกะนั่นแหละได้ถวายไม้ชำระพระทนต์ชื่อนาคลดา และน้ำล้างพระพักตร์แด่พระศาสดานั้น. พระศาสดาทรงเคี้ยวไม้ชำระพระทนต์ ล้างพระพักตร์ด้วยน้ำในสระอโนดาต แล้วคงประทับนั่งที่โคนไม้ราชายตนะ นั่นเอง.
สมัยนั้น พาณิช ๒ คน ชื่อตปุสสะ และภัลลิกะ จากอุกกุลาชนบทจะไปยังมัชฌิมประเทศ ด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม ถูกเทวดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตนปิดทางเกวียนไว้ ทำให้อุตสาหะในการมอบถวายอาหารแด่พระศาสดา จึงถือเอาข้าวสตูก้อนและขนมน้ำผึ้ง แล้วได้เข้าไปใกล้พระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ขอจงอนุเคราะห์รับอาหารนี้เถิด แล้วยืนอยู่. ก็เพราะบาตรได้หายไปในวันรับข้าวมธุปายาส นั่นเอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงพระดำริว่า พระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่รับที่มือ เราจะรับอย่างไรหนอ.
ลำดับนั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่จากทิศทั้งสี่ รู้พระดำริของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จึงน้อมบาตรอันสำเร็จ ด้วยแก้วอินทนิลเข้าไปถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธบาตรเหล่านั้น. ท้าวมหาราชจึงน้อมนำบาตร ๔ ใบ อันสำเร็จด้วยหินมีสีดังถั่วเขียวเข้าไปถวาย. เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เทวบุตรแม้ ๔ องค์ จึงทรงรับบาตรทั้ง ๔ ไปแล้ววางซ้อนๆ กัน ทรงอธิษฐานว่า จงเป็นบาตรใบเดียว. บาตรแม้ทั้ง ๔ จึงไม่มีรอยปรากฏอยู่ที่ขอบปากบาตร รวมเป็นบาตรใบเดียวกัน โดยประมาณบาตรขนาดกลาง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาหารที่บาตร อันล้วนด้วยศิลาที่เห็นประจักษ์นั้น เสวยแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนา. พาณิช ๒ คนพี่น้อง ถึงพระพุทธเจ้าและพระธรรมเป็นสรณะ ได้เป็นทเววาจิกอุบาสกผู้เปล่งวาจาถึงสรณะทั้งสอง. ลำดับนั้น เมื่อพาณิชทั้งสองนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงโปรดประทาน ฐานะที่จะพึงปรนนิบัติอย่างหนึ่ง แก่ข้าพระองค์ทั้งสอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเอาพระหัตถ์ขวาลูบพระเศียรของพระองค์ แล้วประทานพระเกศธาตุทั้งหลายให้ไป พาณิชทั้งสองนั้นจึงให้ก่อพระเจดีย์ บรรจุพระเกศธาตุไว้ภายใน ณ เมืองของตน.
จำเดิมแต่นั้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปยังต้นอชปาลนิโครธอีก ทรงประทับนั่งที่โคนต้นนิโครธ. ลำดับนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พอประทับที่โคนต้นนิโครธนั้นเท่านั้น ก็ทรงพิจารณาความที่ธรรม ซึ่งพระองค์ทรงบรรลุแล้วเป็นธรรมลึกซึ้ง ทรงพระดำริว่า ธรรมนี้พระพุทธเจ้าทั้งปวงประพฤติสั่งสมไว้แล้ว เราได้บรรลุแล้วแล จึงเกิดความตรึกอันถึงอาการ คือ ความไม่ประสงค์ที่จะแสดงธรรมแก่ชนเหล่าอื่น. ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมตรัสว่า ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจักฉิบหายละหนอ ท่านผู้เจริญ โลกจักฉิบหายละหนอ แล้วทรงพาท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันดุสิต ท้าววสวัตดี และท้าวมหาพรหมจากหมื่นจักรวาลไปเฝ้าพระศาสดา ทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม โดยนัยมีอาทิว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงธรรม พระศาสดาทรงให้ปฏิญญาแก่ท้าวสหัมบดีพรหมนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า เราจะแสดงธรรมครั้งแรกแก่ใครหนอ ทรงยังพระดำริให้เกิดขึ้นว่า อาฬารดาบสเป็นบัณฑิต อาฬารดาบสนั้นจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้โดยเร็วพลัน แล้วทรงตรวจดูอีก ได้ทรงทราบว่า อาฬารดาบสนั้นกระทำกาละได้ ๗ วันแล้ว จึงทรงรำพึงถึงอุทกดาบส ได้ทรงทราบว่า แม้อุทกดาบสนั้นก็ได้ทำกาละไปแล้ว เมื่อพลบค่ำเย็นวานนี้.
จึงทรงมนสิการปรารภถึงพระปัญจวัคคีย์ว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์มีอุปการะมากแก่เรา จึงทรงพระรำพึงว่า บัดนี้ ภิกษุปัญจวัคคีย์นั้นอยู่ที่ไหนหนอ ได้ทรงทราบว่า อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี จึงทรงพระดำริว่า เราจักไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น แล้วแสดงพระธรรมจักร จึงเสด็จเที่ยวบิณฑบาตไปรอบๆ โพธิมัณฑ์เท่านั้น ๒-๓ วัน ทรงพระดำริว่า เราจักไปเมืองพาราณสี ในวันอาสาฬหบูรณมี กลางเดือน ๘ พอในวันจาตุททสีขึ้น ๑๔ ค่ำ ในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง เมื่อราตรีสว่างแล้ว พอเช้าตรู่ก็ทรงถือบาตรจีวร เสด็จดำเนินไปสิ้นหนทาง ๑๘ โยชน์ ทรงพบอุปกาชีวกในระหว่างทาง จึงตรัสบอกถึงความที่ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแก่อุปกาชีวกนั้น แล้วได้เสด็จไปถึงป่าอิสิปคนมฤคทายวัน ในเย็นวันนั้นเอง.
พระเถระปัญจวัคคีย์เห็นพระตถาคตเจ้าเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว จึงได้ทำกติกากันไว้ว่า ดูก่อนอาวุโส พระสมณโคดมนี้เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมากในปัจจัย มีกายสมบูรณ์ มีอินทรีย์ผ่องใส มีผิวพรรณดุจทองคำ กำลังมาอยู่ เราจักไม่กระทำสามีจิกรรม มีอภิวาทเป็นต้น แก่พระสมณโคดมนี้ แต่เธอประสูติในตระกูลใหญ่โต ย่อมควรจัดอาสนะไว้. ด้วยเหตุนั้น พวกเราจักปูลาดเพียงอาสนะไว้เพื่อเธอ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์นี้คิดอย่างไรหนอ ก็ได้ทรงทราบความคิดด้วยพระญาณ อันสามารถรู้วาระจิตของโลกพร้อมทั้งเทวโลก. ลำดับนั้น จึงทรงย่นย่อเอาเมตตาจิตอันสามารถแผ่ไป โดยไม่เจาะจงในหมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง แล้วทรงแผ่เมตตาจิตไป. พระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น โดยเฉพาะพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ถูกต้องด้วยเมตตาจิตแล้ว เมื่อพระตถาคตเจ้าเสด็จเข้าไปใกล้ ไม่อาจดำรงอยู่ในกติกาของตน ได้พากันทำกิจทั้งมวล มีการอภิวาท และการลุกรับเป็นต้น แต่ยังไม่รู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระสัมมาสันพุทธเจ้าแล้ว จึงใช้วาจาเรียกโดยชื่อ และโดยคำว่า อาวุโส อย่างเดียว. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าเรียกตถาคตโดยชื่อ และโดยวาทะว่า อาวุโส เลย ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้ แล้วประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่ตกแต่งไว้
เมื่อกลุ่มดาวนักษัตรแห่งเดือนอุตตราสาฬหะ เดือน ๘ หลัง กำลังดำเนินไปอยู่ ทรงห้อมล้อมด้วยพรหม ๑๘ โกฏิ ได้ตรัสเรียกพระเถระปัญจวัคคีย์มา ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร. บรรดาพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น พระอัญญาโกณฑัญญเถระส่งญาณไปตามกระแสแห่งพระธรรมเทศนา ในเวลาจบพระสูตร ได้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผลพร้อมกับพรหม ๑๘ โกฏิ. พระศาสดาทรงเข้าจำพรรษา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้นนั่นเอง วันรุ่งขึ้น ประทับนั่งสั่งสอนพระวัปปเถระอยู่ในที่อยู่นั่นเอง พระเถระที่เหลือ ๔ รูปเที่ยวไปบิณฑบาต. พระวัปปเถระได้บรรลุโสดาปัตติผลในเวลาเช้านั่นแล. ก็โดยอุบายนี้แหละ ทรงยังพระภัททิยเถระให้ดำรงอยู่โสดาปัตติผลในวันรุ่งขึ้น. พระมหานามเถระในวันรุ่งขึ้น และพระอัสสชิในวันรุ่งขึ้น. รวมความว่า ทรงยังพระเถระทั้งปวงให้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ในดิถีที่ ๕ แห่งปักษ์ ได้เห็นพระเถระแม้ทั้ง ๕ ประชุมกัน แล้วทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรในเวลาจบเทศนา พระเถระแม้ทั้ง ๕ ดำรงอยู่ในพระอรหัต.
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยของยสกุลบุตร เขาเบื่อหน่าย ละเรือนออกไปในตอนกลางคืน จึงตรัสเรียกว่า มานี่เถิด ยสะ. แล้วให้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล ในตอนกลางคืนนั้นนั่นเอง. วันรุ่งขึ้นได้ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัต ทรงยังคนอื่นอีก ๕๔ คนผู้สหายของพระยสะนั้น ให้บรรพชาด้วยเอหิภิกขุบรรพชา แล้วให้บรรลุพระอรหัต. ก็เมื่อพระอรหันต์ ๖๑ องค์เกิดขึ้นในโลก ด้วยประการอย่างนี้แล้ว พระศาสดาทรงออกพรรษา ปวารณาแล้วทรงส่งภิกษุ ๖๐ องค์ไปในทิศทั้งหลาย ด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป ส่วนพระองค์เองเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา. ในระหว่างทางได้ทรงแนะนำภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐ คน ในชัฏป่าฝ้าย. บรรดาภัททวัคคีย์กุมารเหล่านั้น คนท้ายสุดได้เป็นพระโสดาบัน คนเหนือสุดได้เป็นพระอนาคามี พระองค์ทรงให้ภัททวัคคีย์กุมารทั้งหมด แม้เหล่านั้นบรรพชา ด้วยความเป็นเอหิภิกขุเหมือนกัน แล้วทรงส่งไปในทิศทั้งหลาย แล้วพระองค์ได้เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา ทรงแสดงปาฏิหาริย์ ๓,๕๐๐ปาฏิหาริย์ ทรงแนะนำชฎิล ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปเป็นต้น มีบริวารหนึ่งพัน ให้บรรพชาด้วยความเป็นเอหิภิกขุเหมือนกัน แล้วให้นั่งที่คยาสีสประเทศ ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัต ด้วยอาทิตตปริยายเทศนาอันพระอรหันต์หนึ่งพันนั้นแวดล้อม ทรงพระดำริว่า จักเปลื้องปฏิญญาที่ทรงให้ไว้แก่ พระเจ้าพิมพิสาร จึงได้เสด็จไปยังลัฏฐิวัน อุทยานสวนตาลหนุ่ม ณ ชานพระนครราชคฤห์.
พระราชาได้ทรงสดับจากสำนักของนายอุทยานบาลว่า พระศาสดาเสด็จมาแล้ว จึงทรงห้อมล้อมด้วยพราหมณ์และคฤหบดี ๑๒ นหุต (คือ ๑๒ หมื่น) เข้าได้เฝ้าพระศาสดา เมื่อพื้นพระบาทอันวิจิตรด้วยจักรกำลังเปล่งแสงสุกสกาวขึ้น ประหนึ่งเพดานแผ่นทองคำ จึงทรงหมอบพระเศียรลงแทบพระบาทของพระตถาคตเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งพร้อมกับบริษัท. ลำดับนั้น พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น ได้มีความคิดดังนี้ว่า พระมหาสมณะประพฤติพรหมจรรย์ในท่านอุรุเวลกัสสป หรือว่าท่านอุรุเวลกัสสปประพฤติพรหมจรรย์ในพระมหาสมณะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ ความปริวิตกของพราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้น. จึงได้ตรัสกะพระเถระ ด้วยพระคาถาว่า
ท่านอยู่ในอุรุเวลา (มานาน) ซูบผอม (เพราะกำลังพรต) เป็นผู้กล่าวสอน (ประชาชน) เห็นโทษอะไรหรือ จึงละไฟ (ที่บูชา) เสีย. ดูก่อนกัสสป เราถามเนื้อความนี้กะท่าน อย่างไรท่านจึงละการบูชาไฟเสียเล่า.
ฝ่ายพระเถระรู้พระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคาถานี้ว่า
ยัญทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รส และหญิงที่น่าใคร่ ข้าพระองค์รู้ว่า นี้เป็นมลทินในอุปธิทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ยินดีในการเซ่นสรวง และการบูชา ดังนี้.


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นิทานกถา
ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน
หน้าต่างที่ ๘ / ๘.

ยัญทั้งหลายย่อมกล่าวสรรเสริญ รูป เสียง กลิ่น รส และหญิงที่น่าใคร่ ข้าพระองค์รู้ว่า นี้เป็นมลทินในอุปธิทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่ยินดีในการเซ่นสรวง และการบูชา ดังนี้.
เพื่อที่จะประกาศความที่ตนเป็นสาวก จึงซบศีรษะที่หลังพระบาทของพระตถาคต แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ดังนี้แล้ว เหาะขึ้นสู่เวหาส ๗ ครั้ง คือ ๑ ชั่วลำตาล ๒ ชั่วลำตาล จนประมาณ ๗ ชั่วลำตาล แล้วลงมาถวายบังคมพระตถาคตแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. มหาชนได้เห็นปาฏิหาริย์นั้นแล้วพากัน กล่าวพรรณนาพระคุณของพระศาสดาว่า น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทรงมีอานุภาพมาก แม้พระอุรุเวลกัสสปชื่อว่ามีทิฏฐิ เข็มแข็งอย่างนี้ สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ ก็ถูกพระตถาคตทำลายข่าย คือทิฏฐิ ทรมานแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราทรมานพระอุรุเวลกัสสป แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในอดีต พระอุรุเวลกัสสปนี้ก็ถูกเราตถาคตทรมานมาแล้วเหมือนกัน แล้วตรัสมหานารทกัสสปชาดก ในเพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น แล้วทรงประกาศสัจจะทั้ง ๔. พระเจ้ามคธราชทรงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับบริวาร ๑๑ นหุต ส่วนอีกหนึ่งนหุตประกาศความเป็นอุบาสก. พระราชาทรงประทับอยู่ในสำนักของพระศาสดานั้นแล ทรงประกาศเหตุอันมาซึ่งความสบายพระทัย ๕ ประการ แล้วทรงถึงสรณะ ทรงนิมนต์เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แล้วเสด็จลุกจากพระอาสน์ ทรงกระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วเสด็จหลีกไป.
วันรุ่งขึ้น พวกมนุษย์ชาวเมืองราชคฤห์ แม้ทั้งสิ้นนับได้ ๑๘ โกฏิ ทั้งที่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าและทั้งที่ไม่ได้เห็น มีความประสงค์จะเห็นพระตถาคต จึงได้จากกรุงราชคฤห์ไปยังลัฏฐิวัน แต่เช้าตรู่. หนทาง ๓ คาวุตไม่เพียงพอ ลัฏฐิวันอุทยานทั้งสิ้นได้แน่นขนัดไปหมด. มหาชนแลดูอัตภาพอันถึงความงามด้วยพระรูปโฉมของพระทศพล ไม่อาจกระทำให้อิ่มได้. ในฐานะทั้งหลายแม้เห็นปานนี้ พึงพรรณนาความสง่างามแห่งพระรูปกาย แม้ทั้งสิ้นนี้อันมีประเภทเป็นพระลักษณะ และพระอนุพยัญชนะของพระตถาคต ชื่อว่าวรรณรูป (การพรรณนารูป). มหาชนผู้แลดู พระสรีระของพระทศพล อันถึงความงามด้วยพระรูปโฉมแน่นขนัดไปหมด ด้วยอาการอย่างนี้. จึงไม่มีโอกาสที่แม้ภิกษุรูปหนึ่งจะออกไปที่อุทยานและที่หนทาง.
ได้ยินว่า วันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงขาดพระกระยาหาร การขาดพระกระยาหารนั้น อย่าได้มีเลย. เพราะเหตุนั้น อาสน์ที่ท้าวสักกะประทับนั่ง จึงแสดงอาการร้อน. ท้าวสักกะนั้นทรงพระรำพึงอยู่ ได้ทรงทราบเหตุการณ์นั้น จึงทรงนิรมิตเพศเป็นมาณพน้อย กล่าวคำสดุดีอันปฏิสังยุต ด้วยพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เสด็จลงตรงเบื้องพระพักตร์ของพระทศพล ได้โอกาสด้วยเทวานุภาพ เสด็จนำไปข้างหน้ากล่าวคุณของพระศาสดา ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะงาม ดุจลิ่มทองสิงคี ผู้ทรงฝึกแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์พร้อมด้วยพระปุราณชฏิล ผู้ฝึกตนได้แล้ว ผู้หลุดพ้นแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีวรรณะงามดุจลิ่มทองสิงคี ผู้หลุดพ้นแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์พร้อมกับพระปุราณชฏิล ผู้หลุดพ้นแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีวรรณะงาม ดุจทองสิงคี ผู้ทรงข้ามแล้ว เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์พร้อมกับพระปุราณชฏิล ผู้ข้ามพ้นแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ๑๐ มีพระกำลัง ๑๐ ทรงรู้แจ้งธรรม ๑๐ และประกอบด้วยพระคุณ ๑๐ มีบริวารพันหนึ่ง เสด็จเข้ากรุงราชคฤห์แล้ว.
มหาชนได้เห็นความสง่าแห่งรูปของมาณพน้อย แล้วคิดว่า มาณพน้อยนี้มีรูปงามยิ่งนัก ก็มาณพน้อยนี้ เราไม่เคยเห็นเลย จึงกล่าวว่า มาณพน้อยนี้มาจากไหน หรือมาณพน้อยของใคร. มาณพน้อยได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาว่า
พระสุคตเจ้าพระองค์ใด ทรงฝึกพระองค์ได้ในที่ทั้งปวง ทรงประเสริฐที่สุด ไม่มีบุคคลเปรียบเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นคนรับใช้ของพระสุคตเจ้าพระองค์นั้น.
พระศาสดาทรงดำเนินทางซึ่งมีโอกาส อันท้าวสักกะทรงกระทำแล้ว ทรงห้อมล้อมด้วยภิกษุพันหนึ่ง เสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์. พระราชาทรงถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจักไม่อาจเป็นไปอยู่โดยเว้นรัตนะทั้งสาม หม่อมฉันจักมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเวลาบ้างไม่ใช่เวลาบ้าง ก็ชื่อว่าลัฏฐิวันอุทยาน ไกลเกินไป แต่อุทยานชื่อว่าเวฬุวัน ของหม่อมฉันนี้ ไม่ไกลเกินไปไม่ใกล้เกินไป เป็นเสนาสนะสมบูรณ์ด้วยการคมนาคม สมควรแก่พระพุทธเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงรับเวฬุวัน นี้เถิด แล้วทรงเอาพระสุวรรณภิงคารตักน้ำ อันมีสีดังแก้วมณี อบด้วยดอกไม้และของหอม เมื่อจะทรงบริจาคพระเวฬุวันอุทยาน จึงทรงหลั่งน้ำให้ตกลงบนพระหัตถ์ของพระทศพล ในขณะทรงรับพระอาราม มหาปฐพีได้หวั่นไหว อันเป็นเหตุให้รู้ว่า รากแก้วของพระพุทธศาสนาได้หยั่งลงแล้ว. จริงอยู่ ในชมพูทวีปยกเว้นพระเวฬุวันเสีย ชื่อว่าเสนาสนะอื่นที่ทรงรับแล้วแผ่นดินไหว ย่อมไม่มี. ฝ่ายในตามพปัณณิทวีป (คือเกาะลังกา) ไม่มีเสนาสนะอื่นที่รับแล้วแผ่นดินไหว ยกเว้นมหาวิหาร. พระศาสดา ครั้นทรงรับพระเวฬุวนารามแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาแก่พระราชา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะ ห้อมล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ได้เสด็จไปยังพระเวฬุวัน.
ก็สมัยนั้นแล ปริพาชกทั้งสอง คือสารีบุตรและโมคคัลลานะอาศัยกรุงราชคฤห์ แสวงหาอมตธรรมอยู่. บรรดาปริพาชกทั้งสองนั้น สารีบุตรเห็นพระอัสสชิเถระเข้าไปบิณฑบาต มีจิตเลื่อมใส จึงเข้าไปนั่งใกล้ ได้ฟังคาถาว่า เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด ดังนี้เป็นต้น ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ได้กล่าวคาถานั้นนั่นแหละ แม้แก่โมคคัลลานะปริพาชก ผู้สหายของตน. ฝ่ายโมคคัลลานะปริพาชกก็ได้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. สหายแม้ทั้งสองนั้นลาสัญชัยปริพาชกแล้ว บวชในสำนักของพระศาสดาพร้อมด้วยบริวารของตน. บรรดาสหายทั้งสองนั้น พระโมคคัลลานเถระบรรลุพระอรหัตโดย ๗ วัน พระสารีบุตรเถระบรรลุพระอรหัต โดยล่วงไปกึ่งเดือน. พระศาสดาทรงตั้งพระเถระแม้ทั้งสองไว้ในตำแหน่งอัครสาวก และในวันที่พระสารีบุตรเถระบรรลุพระอรหัตนั่นแล ได้ทรงกระทำสาวกสันนิบาต ประชุมพระสาวก.
ก็เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในพระเวฬุวันอุทยานนั้นนั่นแล พระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ทรงสดับว่า ข่าวว่า บุตรของเราประพฤติทุกรกิริยา ๖ ปี บรรลุพระปรมาภิสัมโพธิญาณแล้ว ประกาศธรรมจักรอันบวร อาศัยเมืองราชคฤห์อยู่ในเวฬุวัน. จึงตรัสเรียกอำมาตย์ผู้หนึ่ง มาตรัสว่า มาเถิดพนาย ท่านจงมีบุรุษพันหนึ่งเป็นบริวาร เดินทางไปกรุงราชคฤห์ กล่าวตามคำของเราว่า พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระบิดาของพระองค์มีพระประสงค์จะพบ แล้วจงพาบุตรของเรามา. อำมาตย์ผู้นั้นรับพระดำรัสของพระราชาด้วยเศียรเกล้าว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า. แล้วมีบุรุษหนึ่งพันเป็นบริวาร รีบเดินทางไปประมาณ ๖๐ โยชน์ นั่งอยู่ในท่ามกลางบริษัท ๔ ของพระทศพล แล้วเข้าไปยังวิหารในเวลาแสดงธรรม อำมาตย์นั้นคิดว่า พระราชสาสน์ของพระราชาที่ส่งมาจงงดไว้ก่อน แล้วยืนอยู่ท้ายสุดบริษัท ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ตามที่ยืนอยู่นั่นแล ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับบุรุษบริวารหนึ่งพัน จึงทูลขอบรรพชา. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในขณะนั้นเอง คนทั้งหมดทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นประหนึ่งพระเถระมีพรรษา ๖๐ ฉะนั้น.
ก็ธรรมดา พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมมีตนเป็นกลาง จำเดิมแต่เวลาที่ได้บรรลุพระอรหัต. เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้กราบทูลสาสน์ที่พระราชาทรงส่งมา. พระราชาตรัสว่า อำมาตย์ผู้ไปแล้วก็ยังไม่มา ข่าวสาสน์ก็ไม่ได้ฟัง มาเถอะพนาย ท่านจงไป แล้วทรงส่งอำมาตย์อื่นไป ตามทำนองนั้นนั่นแล แม้อำมาตย์นั้น ไปแล้วได้บรรลุพระอรหัตพร้อมทั้งบริษัท โดยนัยก่อนนั่นแหละ ก็ได้นิ่งเสีย. พระราชาทรงส่งอำมาตย์ ๙ คน ซึ่งมีบริวารคนละหนึ่งพันไป โดยทำนองนี้นั่นแล. อำมาตย์ทุกคนยังกิจของตนให้สำเร็จแล้ว ก็เป็นผู้นิ่งอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ นั้นนั่นเอง. พระราชาไม่ได้อำมาตย์ผู้นำแม้มาตรว่า ข่าวสาสน์มาบอก จึงทรงพระดำริว่า ก็ชนมีประมาณเท่านี้ ไม่นำกลับมา แม้มาตรว่าข่าวสาสน์ เพราะไม่มีความรักในเรา ใครหนอ จักกระทำตามคำของเรา เมื่อทรงตรวจพลของหลวงทั้งหมด ก็ได้เห็นกาฬุทายีอำมาตย์. ได้ยินว่า กาฬุทายีนั้นเป็นอำมาตย์ผู้จัดราชกิจทั้งปวงให้สำเร็จ เป็นคนวงใน มีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เกิดวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์ เป็นสหายเล่นฝุ่นมาด้วยกัน.
ลำดับนั้น พระราชาตรัสเรียกกาฬุทายีอำมาตย์นั้นมาว่า พ่ออุทายี เราปรารถนาจะเห็นบุตรของเรา จึงส่งบุรุษไป ๙ พัน แม้บุรุษสักคนหนึ่งจะมาบอกมาตรว่า ข่าวสาสน์ก็ไม่มี ก็อันตรายแห่งชีวิตของเรารู้ได้ยากนัก เรามีชีวิตอยู่ปรารถนาจะเห็นบุตร ท่านจักอาจหรือหนอ ที่จะแสดงบุตรแก่เรา. กาฬุทายีอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าจักอาจ ถ้าจักได้บรรพชา. พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ ท่านจะได้บวชหรือไม่ได้บวชก็ตาม จงแสดงบุตรแก่เรา. กาฬุทายีอำมาตย์นั้นรับพระดำรัสแล้ว ถือพระราชสาสน์ไปยังกรุงราชคฤห์ ยืนอยู่ท้ายบริษัท ในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา ได้สดับธรรมแล้ว พร้อมทั้งบริวารก็บรรลุพระอรหัตผล ดำรงอยู่ในความเป็นเอหิภิกขุ.
ฝ่ายพระศาสดาได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ประทับอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตลอดภายในพรรษาแรก ออกพรรษาปวารณา แล้วเสด็จไปยังตำบลอุรุเวลา ประทับอยู่ที่ตำบลอุรุเวลานั้น ตลอด ๓ เดือน ทรงแนะนำชฏิล ๓ พี่น้อง มีภิกษุพันหนึ่งเป็นบริวาร ในวันเพ็ญเดือนยี่ เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ๒ เดือน. โดยลำดับกาลมีประมาณเท่านี้เป็นเวลา ๕ เดือน สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จออกจากกรุงพาราณสี ฤดูเหมันต์ทั้งสิ้นล่วงไปแล้ว จำเดิมแต่วันที่พระอุทายีเถระมาแล้ว เวลาได้ล่วงไป ๗-๘ วัน ในวันเพ็ญเดือน ๔ พระอุทายีเถระนั้นคิดว่า ฤดูเหมันต์ก็ล่วงไปแล้ว ฤดูวสันต์กำลังย่างเข้ามา พวกมนุษย์ถอนข้าวกล้าไปแล้ว ทำให้หนทางในที่ที่ตรงหน้าๆ ชุ่มแผ่นดินดาดาษไปด้วยหญ้าเขียวสด ราวป่ามีดอกไม้บานสะพรั่ง หนทางเหมาะแก่การที่จะเดิน กาลนี้เป็นกาลที่พระทศพลจะทรงกระทำการสงเคราะห์พระญาติ. ลำดับนั้น พระอุทายีเถระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พรรณนาหนทางเสด็จ เพื่อต้องการให้พระทศพลเสด็จไปยังพระนครของราชสกุล ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ต้นไม้ทั้งหลายมีดอกแดงสะพรั่ง มีผลเต็มต้นสลัดใบแล้ว ต้นไม้เหล่านั้นสว่างไสว ดุจมีเปลวไฟโชติช่วงอยู่. ข้าแต่พระมหาวีระ ถึงสมัยที่เหมาะสมแก่การที่พระองค์จะรื่นรมย์ สถานที่ไม่เย็นจัด ไม่ร้อนจัด ไม่อัตคัดและอดอยากนัก พื้นภูมิภาคก็มีห้าแพรกอันเขียวสด. ข้าแต่พระมหามุนี กาลนี้เป็นกาลสมควรแล้วที่จะเสด็จไป.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะอุทายีเถระว่า อุทายี เพราะเหตุไรหนอ เธอจึงพรรณนาการไปด้วยเสียงอันไพเราะ. พระอุทายีเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระชนกของพระองค์ มีพระประสงค์จะพบเห็นพระองค์ ขอพระองค์จงกระทำการสงเคราะห์แก่พระญาติทั้งหลายเถิด. พระศาสดาตรัสว่า ดีละ อุทายี เราจักกระทำการสงเคราะห์พระญาติ เธอจงบอกแก่ภิกษุสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายจักได้บำเพ็ญคมิกวัตรสำหรับผู้จะไป. พระเถระรับพระพุทธดำรัส แล้วบอกแก่ภิกษุสงฆ์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้อมล้อม ด้วยภิกษุขีณาสพทั้งสิ้นสองหมื่นองค์ คือ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวอังคะและมคธะหมื่นองค์ ภิกษุผู้เป็นกุลบุตรชาวเมืองกบิลพัสดุ์หมื่นองค์ เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จเดินทางวันละหนึ่งโยชน์. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า จักเสด็จจากกรุงราชคฤห์ถึงกรุงกบิลพัสดุ์ทาง ๖๐ โยชน์ โดยเวลา ๒ เดือน จึงเสด็จหลีกจาริกไปโดยไม่รีบด่วน. ฝ่ายพระเถระคิดว่า จักกราบทูลความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกมาแล้ว จึงเหาะขึ้นสู่เวหาสไปปรากฏ ในพระราชนิเวศน์ของพระราชา. พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระเถระแล้วทรงดีพระทัย นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์อันควรค่ามาก ได้ทรงนำบาตรให้เต็ม ด้วยโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ที่เขาจัดเตรียมไว้เพื่อพระองค์แล้วถวายไป พระเถระลุกขึ้นแสดงอาการจะไป พระราชาตรัสว่า จงนั่งฉันเถิดพ่อ. พระเถระทูลว่า มหาบพิตร อาตมภาพจักไปยังสำนักของพระศาสดาแล้วจักฉัน. พระราชาตรัสว่า พระศาสดาอยู่ที่ไหนละพ่อ. พระอุทายีเถระทูลว่า มหาบพิตร พระศาสดามีภิกษุ ๒ หมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกเพื่อจะเห็นพระองค์. พระราชาทรงดีพระทัยตรัสว่า ท่านฉันภัตตาหารนี้ แล้วจงนำบิณฑบาตจากพระราชนิเวศนั้นไปถวายพระโอรสนั้น จนกว่าพระโอรสของเราจะถึงพระนครนี้. พระเถระรับแล้ว พระราชาอังคาสพระเถระ แล้วอบบาตรด้วยจุรณหอม บรรจุเต็มด้วยโภชนะอันอุดม แล้ววางไว้ที่มือของพระเถระ โดยตรัสว่า ท่านจงถวายพระตถาคต.
พระเถระ เมื่อชนชาววังทั้งปวงเห็นอยู่นั่นแล ได้โยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาส นำบิณฑบาตไปวางเฉพาะที่พระหัตถ์ของพระศาสดาโดยตรง พระศาสดาเสวยบิณฑบาตนั้น พระเถระได้นำบิณฑบาตมาทุกวันๆ โดยอุบายนี้. แม้พระศาสดาก็เสวยบิณฑบาตเฉพาะของพระราชาเท่านั้น ในระหว่างเดินทาง ในเวลาเสด็จภัตกิจทุกๆ วัน แม้พระเถระก็กล่าวว่า วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ วันนี้เสด็จมาสิ้นระยะทางมีประมาณเท่านี้ ได้กระทำราชสกุลทั้งสิ้นให้มีความเลื่อมใสเกิดขึ้นในพระศาสดา โดยเว้นการได้เห็นพระศาสดาด้วยธรรมีกถาอันสัมปยุตด้วยพุทธคุณ. ด้วยเหตุนั้นแหละ พระศาสดาจึงสถาปนาพระอุทายีเถระนั้นไว้ใน ตำแหน่งเอตทัคคะ ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระกาฬุทายีนั้นเป็นเลิศกว่าพระสาวกทั้งหลายของเรา ผู้ยังตระกูลไห้เลื่อมใส.
ฝ่ายเจ้าศากยะทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงโดยลำดับแล้ว ได้ปรึกษากันว่า พวกเราจักเห็นพระญาติผู้ประเสริฐของพวกเรา จึงประชุมกันพิจารณา สถานที่เป็นที่ประทับอยู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า กำหนดกันว่า อารามของเจ้านิโครธศากยะน่ารื่นรมย์ จึงให้กระทำวิธีการซ่อมแซมทุกอย่างในอารามนั้น ถือของหอมและดอกไม้ เมื่อจะกระทำการต้อนรับ จึงส่งเด็กชายและเด็กหญิงชาวบ้านหนุ่มสาว ซึ่งประดับด้วยเครื่องประดับทุกอย่างไปก่อน จากนั้นจึงส่งราชกุมารและราชกุมารีไป ตนเองบูชาด้วยของหอม ดอกไม้ และจุรณเป็นต้น อยู่ในระหว่างราชกุมารและราชกุมารีเหล่านั้น ได้พาพระผู้มีพระภาคเจ้าไปยังนิโครธารามนั้นเอง. ในนิโครธารามนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยพระขีณาสพ ๒ หมื่น ประทับนั่งบนบวรพุทธอาสน์ที่เขาปูลาดไว้แล้ว. ธรรมดา เจ้าศากยะทั้งหลายผู้มีพระชาติมานะ ถือตัวจัด. เจ้าศากยะเหล่านั้นทรงพระดำริว่า สิทธัตถกุมารเป็นเด็กกว่าเราทั้งหลาย เป็นพระกนิษฐา เป็นพระภาคิไนย เป็นพระโอรส เป็นพระนัดดา ของเราทั้งหลาย จึงตรัสกะราชะกุมารทั้งหลายที่หนุ่มๆ ว่า ท่านทั้งหลายจงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า พวกเราจักนั่งข้างหลังท่านทั้งหลาย.
เมื่อศากยะเหล่านั้นไม่ถวายบังคมประทับนั่งแล้วอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอัธยาศัยของเจ้าศากยะเหล่านั้น แล้วทรงพระดำริว่า พระญาติทั้งหลายไม่ไหว้เรา เอาเถอะ เราจักให้พระญาติเหล่านั้นไหว้ จึงทรงเข้าจตุตถฌานมีอภิญญาเป็นบาท ออกจากฌานแล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส ปานประหนึ่ง โปรยธุลีพระบาทลงบนพระเศียรของเจ้าศากยะเหล่านั้น ได้ทรงกระทำปาฏิหาริย์เช่นเดียวกับยมกปาฏิหาริย์ ที่ควงต้นคัณฑามพพฤกษ์. พระราชาทรงเห็นความอัศจรรย์นั้น จึงตรัสว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในวันที่พระองค์ประสูติ หม่อมฉันแม้ได้เห็นพระบาทของพระองค์ ซึ่งหม่อมฉันนำเข้าไปให้ไหว้กาลเทวลดาบส กลับไปประดิษฐานบนกระหม่อมของพราหมณ์ ก็ได้ไหว้พระองค์ นี้เป็นการไหว้ครั้งแรกของหม่อมฉัน. ในวันวัปปมงคลแรกนาขวัญ ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของร่มเงาไม้หว้าของพระองค์ ผู้บรรทมอยู่บนที่บรรทมอันประกอบด้วยสิริใต้ร่มเงาไม้หว้า ก็ได้ไหว้พระบาท นี้เป็นการไหว้ครั้งที่สอง. บัดนี้ แม้ได้เห็นปาฏิหาริย์นี้ ซึ่งไม่เคยเห็น จึงไหว้พระบาทของพระองค์ นี้เป็นการไหว้ครั้งที่สามของหม่อมฉัน.
ก็เมื่อพระราชาถวายบังคมแล้ว แม้เจ้าศากยะพระองค์หนึ่ง ชื่อว่าผู้สามารถเพื่อจะไม่ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วดำรงอยู่ ไม่ได้มี. เจ้าศากยะทั้งปวงพากันถวายบังคมทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระญาติทั้งหลายถวายบังคม ด้วยประการดังนี้ แล้วจึงเสด็จลงจากอากาศ ประทับนั่งบนพระอาสน์ที่ลาดไว้. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแล้ว สมาคมพระญาติอันถึงสุดยอดจึงได้มีขึ้น. เจ้าศากยะทั้งปวงเป็นผู้มีพระทัยแน่วแน่ประทับนั่งแล้ว. ลำดับนั้น มหาเมฆได้ยังฝนโบกขรพรรษให้ตกลงมา น้ำสีแดงมีเสียงไหลไปข้างล่าง และผู้ประสงค์จะให้เปียกจึงจะเปียก ฝนโบกขรพรรษ แม้มาตรว่าหยาดเดียวก็ไม่ตกลงบนร่างกายของผู้ที่ไม่ประสงค์จะให้เบียก. เจ้าศากยะทั้งปวงเห็นดังนั้น เกิดอัศจรรย์ไม่เคยเป็น จึงส่งสนทนากันว่า โอ! น่าอัศจรรย์ โอ! ไม่เคยมี. พระศาสดาตรัสว่า ฝนโบกขรพรรษตกลงในสมาคมแห่งพระญาติของเรา ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในอดีตก็ได้ตกแล้ว จึงตรัสเวสสันดรชาดก เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้. เจ้าศากยะทั้งปวงสดับพระธรรมเทศนาแล้ว เสด็จลุกขึ้นถวายบังคม แล้วหลีกไป. พระราชาหรือมหาอำมาตย์ของพระราชา แม้พระองค์เดียว ชื่อว่ากราบทูลว่า ขอพระองค์จงรับภิกษาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ในวันพรุ่งนี้ ดังนี้แล้วจึงเสด็จไป มิได้มีเลย.
วันรุ่งขึ้นพระศาสดาทรงแวดล้อมด้วยภิกษุสองหมื่นองค์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงกบิลพัสด์. ไม่มีใครๆ จะไปนิมนต์หรือรับบาตร พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนที่เสาเขื่อน ทรงพระรำพึงว่า พระพุทธเจ้าในปางก่อนทั้งหลาย เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนครของตระกูล อย่างไรหนอ. ได้เสด็จไปยังเรือนของอิสรชนโดยข้ามลำดับ หรือเสด็จเที่ยวจาริกไปตามลำดับตรอก. แต่นั้น ไม่ได้ทรงเห็น แม้พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเสด็จไปโดยข้ามลำดับ. แล้วทรงพระดำริว่า นี้เท่านั้นเป็นวงศ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น นี้เป็นประเพณีของเรา แม้เราก็ควรจะยกไว้ในบัดนี้ และสาวกทั้งหลายของเราสำเหนียกตามเราอยู่นั่นแล จักบำเพ็ญบิณฑบาตจาริกวัตรต่อไป. จึงเสด็จเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอก ตั้งแต่เรือนที่ตั้งอยู่ในที่สุดไป. มหาชนเล่าลือกันว่า ได้ยินว่า สิทธัตถกุมารผู้เป็นเจ้า เที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว จึงเปิดหน้าต่างบนปราสาทชั้นที่ ๒ และชั้นที่ ๓ เป็นต้น ได้เป็นผู้ขวนขวายเพื่อจะดู.
ฝ่ายพระเทวีมารดาพระราหุล ทรงพระดำริว่า นัยว่า พระลูกเจ้าเสด็จเที่ยวไปด้วยวอทอง เป็นต้น โดยราชานุภาพยิ่งใหญ่ในพระนครนี้แหละ. บัดนี้ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ถือกระเบื้องเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว จะงามหรือหนอ จึงทรงเปิดสีหสัญชรทอดพระเนตรตรวจดูอยู่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังถนนในพระนครให้สว่างไสว ด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระอันรุ่งเรืองด้วยความรุ่งเรืองต่างๆ ไพโรจน์ด้วยพุทธสิริอันหาอุปมามิได้ ประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ สว่างด้วยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ซึ่งตามประชิดล้อมรอบด้วยพระรัศมีด้านละวา. จึงทรงชมเชย ตั้งแต่พระอุณหิสจนถึงพื้นพระบาท ด้วยคาถาชื่อว่า นรสีหะ ๘ ประการ มีอาทิอย่างนี้ว่า
พระผู้นรสีหะมีพระเกสาเป็นลอน อ่อน ดำสนิท มีพื้นพระนลาตปราศจากมลทิน ดุจพระอาทิตย์ มีพระนาสิกโค้งอ่อนยาวพอเหมาะ ซ่านไปด้วยพระข่ายแห่งพระรัศมี ดังนี้.
แล้วจึงกราบทูลแด่พระราชาว่า พระโอรสของพระองค์เสด็จเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว. พระราชาทรงสลดพระทัย ทรงจัดผ้าสาฎกให้เข้าที่ด้วยพระหัตถ์ รีบด่วนเสด็จออกไปโดยเร็ว ประทับยืนเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงกระทำหม่อมฉันให้ได้อาย เพื่ออะไร จึงเสด็จเที่ยวไปเพื่อก้อนข้าว ทำไมพระองค์จึงกระทำความสำคัญว่า ภิกษุทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ไม่อาจได้ภัตตาหาร. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร อันนี้เป็นวงศ์ เป็นจารีตของอาตมภาพ. พระราชาตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันทั้งหลายมีวงศ์ เป็นกษัตริย์มหาสมมติราช มิใช่หรือ ก็ในวงศ์กษัตริย์มหาสมมตราชนั้น แม้กษัตริย์พระองค์หนึ่งชื่อว่า เที่ยวไปเพื่อภิกขาจาร ย่อมไม่มี. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ชื่อว่าวงศ์นี้ เป็นวงศ์ของพระองค์. แต่ชื่อว่าพุทธวงศ์นี้ คือ พระทีปังกร พระโกณฑัญญะ พระกัสสปะ เป็นวงศ์ของอาตมภาพ และพระพุทธเจ้าอื่นๆ นับได้หลายพัน ได้สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยการภิกขาจารเท่านั้น ประทับยืนในระหว่างถนนนั้นแล ตรัสพระคาถานี้ว่า
บุคคลไม่ควรประมาทในก้อนข้าว อันบุคคลพึงลุกขึ้นยืนรับ พึงประพฤติธรรมให้สุจริต บุคคลผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้ และในโลกหน้า.
ในเวลาจบคาถา พระราชาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. และได้สดับคาถานี้ว่า
บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติธรรมนั้นให้ทุจริต ผู้ประพฤติธรรมเป็นปรกติ ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งในโลกนี้ และในโลกหน้า ดังนี้.
ได้ดำรงอยู่ในสกทาคามิผล. ได้ทรงสดับธรรมปาลชาดก ได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล. ในสมัยใกล้จะสวรรคต ทรงบรรทมบนพระที่บรรทมอันประกอบด้วยสิริภายใต้เศวตฉัตร ได้บรรลุพระอรหัต. กิจในการตามประกอบความเพียรโดยการอยู่ป่าไม่ได้มีแก่พระราชา. ก็ครั้นทรงกระทำให้แจ้งเฉพาะโสดาปัตติผลเท่านั้น ทรงรับบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งบริษัทให้เสด็จขึ้นสู่มหาปราสาท ทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต. ในเวลาเสร็จภัตกิจ นางสนมทั้งปวงยกเว้น พระมารดาพระราหุลพากันมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็พระมารดาของพระราหุลนั้น แม้ชนผู้เป็นบริวารจะกล่าวว่า พระองค์จงเสด็จไปถวายบังคมพระลูกเจ้าเถิด ก็ตรัสว่า ถ้าคุณของเรามีอยู่ไซร้ พระลูกเจ้าจักเสด็จมายังสำนักของเรา ด้วยพระองค์เองทีเดียว เราจักถวายบังคมพระลูกเจ้านั้นผู้เสด็จมาเท่านั้น. ครั้นตรัสดังนี้แล้ว ก็มิได้เสด็จไป.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระราชาถือบาตร แล้วเสด็จไปยังห้องอันมีสิริของพระราชธิดา พร้อมกับพระอัครสาวกทั้งสอง แล้วตรัสว่า พระราชธิดาเมื่อถวายบังคมตามชอบใจ ไม่พึงกล่าวคำอะไรๆ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ เขาปูลาดไว้. พระราชธิดาเสด็จมาโดยเร็ว จับข้อพระบาททั้งสอง เกลือกพระเศียรบนหลังพระบาท ถวายบังคมตามพระอัธยาศัย. พระราชาตรัสคุณสมบัติมีความรักและความนับถือมาก ในพระผู้มีพระภาคเจ้าของพระราชธิดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธิดาของหม่อมฉันได้ฟังข่าวว่า พระองค์ทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ตั้งแต่นั้นก็ทรงผ้ากาสาวะบ้าง . ได้สดับว่า พระองค์มีภัตหนเดียว ก็มีภัตหนเดียวบ้าง. ทรงสดับว่า พระองค์ทรงละที่นั่งที่นอนใหญ่ ก็ทรงบรรทมเฉพาะบน เตียงน้อยอันขึงด้วยแผ่นผ้า. ทรงทราบว่า พระองค์ทรงละเว้นจากของหอมมีดอกไม้เป็นต้น ก็ทรงงดเว้นดอกไม้และของหอมบ้าง. เมื่อพระญาติทรงส่งข่าวมาว่า เราทั้งหลายจักปฏิบัติในญาติทั้งหลายของตน ก็ไม่ทรงเหลียวแลแม้พระญาติสักองค์เดียว ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระธิดาของหม่อมฉันเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติอย่างนี้. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ข้อที่พระราชธิดาอันพระองค์รักษาคุ้มครองอยู่ในบัดนี้ พึงรักษาคุ้มครองตนในเมื่อญาณแก่กล้าแล้วนั้น ไม่น่าอัศจรรย์. เมื่อก่อน ราชธิดานี้ไม่มีการอารักขา ท่องเที่ยวอยู่ที่เชิงเขาก็รักษาคนอยู่ได้ ในเมื่อญาณยังไม่แก่กล้า. ดังนี้ แล้วทรงบรรเทาความเศร้าโศกของพระราชธิดานั้น ตรัสจันทกินรีชาดก ทรงให้โสดาปัตติผล แล้วลุกจากอาสนะเสด็จหลีกไป.
ในวันที่สอง เมื่อวิวาหมงคลเนื่องในการเสด็จเข้าพระตำหนักอภิเษกของนันทราชกุมาร ดำเนินไปอยู่. พระศาสดาเสด็จไปยังตำหนักของนันทราชกุมารนั้น ทรงให้พระกุมารถือบาตร มีพระประสงค์จะให้บวช จึงตรัสมงคลกถา แล้วเสด็จลุกขึ้นจากอาสนะ เสด็จหลีกไป. นางชนบทกัลยาณีเห็นพระกุมารกำลังเสด็จไป จึงทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า พระองค์ควรเสด็จกลับมาโดยด่วน แล้วทรงชะเง้อพระศอแลดู. ฝ่ายพระกุมารนั้น ไม่อาจทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระองค์ทรงรับเอาบาตรไป ได้เสด็จไปยังวิหารนั่นแล. นันทกุมารนั้นไม่ปรารถนาเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้บรรพชาแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปกบิลพัสดุ์บุรีทรงให้นันทกุมารบวช ด้วยประการฉะนี้.
ในวันที่ ๗ พระมารดาพระราหุลประดับพระกุมาร แล้วส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระดำรัสว่า ลูกเอย เจ้าจงดูพระสมณะซึ่งมีรูปดังพรหม มีวรรณะดังทองคำ แวดล้อมด้วยสมณะ ๒ หมื่นองค์อย่างนั้น พระสมณะนี้เป็นพระบิดาของเจ้า พระสมณะนั้นได้มีขุมทรัพย์ใหญ่ จำเดิมแต่ พระสมณะนั้นออกบวชแล้ว แม่ไม่เห็นขุมทรัพย์เหล่านั้น เจ้าจงไปขอมรดกกะพระสมณะนั้น ว่า ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์เป็นกุมาร ได้รับอภิเษกแล้วจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ข้าพระองค์ต้องการทรัพย์ ขอพระองค์จงประทานทรัพย์แก่ข้าพระองค์ เพราะบุตรย่อมเป็นเจ้าของสิ่งของอันเป็นของบิดา. พระกุมารเสด็จไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียว กลับได้ความรักต่อพระบิดา มีจิตใจร่าเริงนัก กราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ร่มเงาของพระองค์เป็นสุข แล้วได้ยืนตรัสถ้อยคำอย่างอื่น อันสมควรแก่พระองค์เป็นอันมาก. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงการทำภัตกิจ แล้วทรงกระทำอนุโมทนา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป. ฝ่ายพระกุมารเสด็จติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไป โดยตรัสว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงประทานมรดกแก่ข้าพระองค์ ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงประทานมรดกแก่ข้าพระองค์. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงไม่ให้พระกุมารกลับ. บริวารชนไม่ได้อาจเพื่อจะยัง พระกุมารผู้เสด็จไปพร้อมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้กลับ. พระกุมารนั้นได้เสด็จไปยังพระอาราม พร้อมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไป ทรงพระดำริว่า กุมารนี้ปรารถนาทรัพย์อันเป็นของบิดา ซึ่งเป็นไปตามวัฏฏะมีความคับแค้น. เอาเถอะ เราจะให้อริยทรัพย์ ๗ ประการ ซึ่งเราได้เฉพาะที่โพธิมัณฑ์แก่กุมารนี้ เราจะกระทำให้เป็นเจ้าของทรัพย์มรดกอันเป็นโลกุตระ. แล้วตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมา ว่า สารีบุตร ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้ราหุลกุมารบวช. ก็เมื่อพระกุมารบวชแล้ว ทุกข์มีประมาณยิ่งเกิดขึ้นแก่พระราชา. เมื่อไม่ทรงสามารถจะอดกลั้นความทุกข์นั้น จึงทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ. แล้วทรงขอพรว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ดังหม่อมฉันจะขอโอกาส พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ไม่พึงบวชบุตรที่บิดามารดายังไม่อนุญาต. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับพระดำรัสนั้นของพระราชานั้น
ในวันรุ่งขึ้น เสวยพระกระยาหารเข้าในพระราชนิเวศน์ เมื่อพระราชาผู้ประทับนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่งตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในคราวที่พระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา เทวดาองค์หนึ่งเข้าไปหาหม่อมฉันกล่าวว่า พระโอรสของพระองค์ทรงทำกาละแล้ว หม่อมฉันไม่เชื่อคำของเทวดานั้น ห้ามเทวดานั้นว่า บุตรของเรายังไม่บรรลุพระโพธิญาณจะยังไม่ทำกาละ จึงตรัสว่า บัดนี้ พระองค์จักทรงเชื่อได้อย่างไร แม้ในกาลก่อน เมื่อคนเอากระดูกแสดง แล้วกล่าวว่า บุตรของท่านตายแล้ว พระองค์ก็ยังไม่เชื่อ แล้วตรัสมหาธรรมปาลชาดก เพราะเหตุเกิดเรื่องนี้ขึ้น. ในเวลาจบพระคาถา พระราชาทรงดำรงอยู่ในพระอนาคามิผล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พระบิดาดำรงอยู่ในผลทั้ง ๓ ด้วยประการดังนี้ แล้วอันภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว เสด็จไปกรุงราชคฤห์อีก ทรงประทับอยู่ที่ป่าสีตวัน.
สมัยนั้น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี เอาเกวียน ๕๐๐ เล่ม บรรทุกสินค้าไปยัง เรือนของเศรษฐีผู้เป็นสหายที่รักของตน ในกรุงราชคฤห์. ได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในกรุงราชคฤห์นั้น ในเวลาใกล้รุ่ง ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทางประตูที่เปิดด้วยอานุภาพของเทวดา ฟังธรรมแล้ว ได้ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตตผล. ในวันที่สอง ได้ถวายมหาทานแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้ขอให้พระศาสดาทรงรับปฏิญญาที่จะเสด็จมาเมืองสาวัตถี. ในระหว่างทาง ได้ให้ทรัพย์แสนหนึ่งสร้างวิหาร (ระยะทางห่างกัน) โยชน์หนึ่ง แล้วซื้อสวนของเจ้าเชตด้วยเงิน ๑๘ โกฏิ โดยการปูลาดกหาปณะจำนวนโกฏิ (เต็มเนื้อที่) แล้วทำการก่อสร้างเสร็จ (คือ) ให้สร้างพระคันธกุฏีเพื่อพระทศพลตรงกลาง แล้วให้สร้างวิหารอันน่ารื่นรมย์ใจ รายล้อมพระคันธกุฏีนั้น ในภูมิภาคอันน่ารื่นรมย์ ด้วยการบริจาคเงิน ๑๘ โกฏิ คือ ให้สร้างเสนาสนะ เช่น กุฏิหลังเดียว กุฏิสองหลัง กุฏิทรงหงส์เวียน ศาลาราย และปะรำเป็นต้น และสระโบกขรณี ที่จงกรม ที่พักกลางคืน และที่พักกลางวัน โดยเป็นอาวาสสำหรับอยู่อาศัยเฉพาะผู้เดียว ตามลำดับๆ เพื่อพระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ องค์ แล้วส่งทูตไปเพื่อต้องการให้พระทศพลเสด็จมา.
พระศาสดาได้ทรงสดับคำของทูตแล้ว มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ เสด็จถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ. ฝ่ายมหาเศรษฐีแลเตรียมการฉลองพระวิหาร ในวันที่พระตถาคตเสด็จเข้าพระเชตวันวิหาร ได้ตกแต่งประดับประดาบุตร ด้วยอลังการเครื่องประดับทั้งปวง แล้วส่งไปพร้อมกับกุมาร ๕๐๐ คนผู้ตกแต่งประดับประดาแล้ว. บุตรเศรษฐีนั้นพร้อมทั้งบริวาร ถือธง ๕๐๐ คัน อันเรื่องรองด้วยผ้าห้าสี ได้อยู่ข้างเบื้องพระพักตร์ของพระทศพล. ข้างหลังของกุมารเหล่านั้น มีธิดาเศรษฐี ๒ นาง คือ สุภัททา และจุลลสุภัททา พร้อมกับกุมารี ๕๐๐ นาง ถือหม้อเต็มด้วยน้ำเดินออกไป. ข้างหลังของกุมารีเหล่านั้น ภรรยาของท่านเศรษฐีประดับ ด้วยอลังการทั้งปวง พร้อมกับมาตุคาม ๕๐๐ นาง ถือถาดเต็ม (ด้วยอาหาร) ออกไปเบื้องหลังของตนทั้งหมด ท่านมหาเศรษฐีเองนุ่งผ้าใหม่ พร้อมกับเศรษฐี ๕๐๐ คนผู้นุ่งผ้าใหม่ มุ่งไปเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำอุบาสกบริษัทนี้ไว้ข้างหน้า เเวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ทรงกระทำระหว่างป่าให้เป็น ดุจสีแดงเรื่อๆ อันราดรดด้วยรสน้ำทอง ด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ เสด็จเข้าสู่พระเชตวันวิหารด้วยพุทธลีลาอันต่อเนื่องกัน และด้วยพุทธสิริ อันหาที่เปรียบมิได้. ลำดับนั้น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะปฏิบัติในพระวิหารนี้อย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถวายแก่ภิกษุสงฆ์ผู้ที่มาแล้วๆ ยังวิหารนี้ เถิด.
ท่านมหาเศรษฐีรับพระพุทธฎีกา แล้วถือเต้าน้ำทอง หลั่งน้ำลงบนพระหัตถ์ของพระทศพล แล้ว กล่าวถวาย ด้วยคำว่า ข้าพระองค์ขอถวายพระเชตวันวิหารนี้แก่สงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ซึ่งมาแล้วทั้ง ๕ ทิศ.
พระศาสดาทรงรับวิหารแล้ว เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา ได้ตรัสอานิสงส์ของการถวายวิหาร ว่า
เสนาสนะย่อมป้องกันเย็นและร้อน และแต่นั้นย่อมป้องกันเนื้อร้าย งู ยุง น้ำค้างและฝน แต่นั้น ลมและแดดอันกล้าเกิดขึ้นแล้ว ย่อมบรรเทาไป การถวายวิหารแก่สงฆ์ เพื่อเร้นอยู่ เพื่อความสุข เพื่อเพ่งพิจารณา และเพื่อเห็นแจ้ง.
พระพุทธเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นทานอันเลิศ. เพราะเหตุนั้นแล บุรุษบัณฑิต เมื่อเล็งเห็นประโยชน์ตนพึงสร้างวิหารอันรื่นรมย์ ให้ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูตอยู่เถิด.
อนึ่ง พึงถวายข้าว น้ำ ผ้า และเสนาสนะ แก่ท่านเหล่านั้นด้วยน้ำใจอันเลื่อมใส ในท่านผู้ซื่อตรง เขารู้ธรรมอันใดในโลกนี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน. ท่านย่อมแสดงธรรมนั้น อันเป็นเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่เขา.
จำเดิมแต่วันที่สองไป ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเริ่มการฉลองวิหาร การฉลองวิหารของนางวิสาขา ๔ เดือนเสร็จ แต่การฉลองวิหารของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ๙ เดือน จึงเสร็จ หมดทรัพย์ไป ๘ โกฏิทีเดียว. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีบริจาคทรัพย์นับได้ ๕๔ โกฏิ เฉพาะวิหารหลังเดียวเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
ก็ในอดีตกาล ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี เศรษฐีนามว่า ปุนัพพสุมิตต์ ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณหนึ่งโยชน์ลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าสิขี เศรษฐีนามว่า สิริวัฑฒะ ซื้อที่โดยการปูลาดข่ายทองคำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ ๓ คาวุตลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าเวสสภู เศรษฐีนามว่า โสตถิยะ ซื้อที่โดยการปูลาดรอยเท้าช้างทองคำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณกึ่งโยชน์ลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะ เศรษฐีนามว่า อัจจุตะ ซื้อที่โดยการปูลาดอิฐทองคำเหมือนกัน แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณหนึ่งคาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าโกนาคมนะ เศรษฐีนามว่า อุคคะ ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทองคำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณกึ่งคาวุต ลงในที่นั้นนั่นแหละ. ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะ เศรษฐีนามว่า สุมังคละ ซื้อที่โดยการปูลาดเต่าทองคำ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ ๑๖ กรีส ลงในทีนั้นนั่นแหละ. แต่ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เศรษฐีนามว่า อนาถบิณฑิกะ ซื้อที่โดยการปูลาดกหาปณะจำนวนโกฏิ แล้วให้สร้างสังฆารามประมาณ ๘ กรีส ลงในพื้นที่นั้นนั่นแหละ. ได้ยินว่า ที่นั้นเป็นสถานที่อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละเลยแล้ว.
ตั้งแต่ ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ที่มหาโพธิมัณฑ์ จนกระทั่งถึง เตียงเป็นที่เสด็จมหาปรินิพพาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในสถานที่ใด สถานที่นี้ชื่อว่า สันติเกนิทาน ด้วยประการฉะนี้. ข้าพเจ้าจักพรรณนาชาดกทั้งปวง ด้วยอำนาจสันติเกนิทาน นั้นแล.
จบนิทานกถา ด้วยประการฉะนี้.


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่อง ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน ก็เพิ่งได้ยินวันนี้ล่ะ

ก็เลยต้องลองไปสอดส่องดูว่า นิทาน คืออัลไล

และก็พบว่า ...

:b12: :b12: :b12:

ยาว ..... http://www.84000.org/tipitaka/atita100/nitana3_01.php

:b1: แต่เชื่อเถอะเอกอนจะไปอ่านให้จบแน่นอน

เพราะ ...

คำสอนของพระองค์ เกี่ยวกับธรรม ก็ได้ถูกบันทึกครบจบกระบวนความแล้ว

ทำไม ถึงต้องมีนิทานเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าแนบอยู่ไว้อีกถึงขนาดนั้น ...

นอกเสียจากว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสิ่งหนึ่งที่จะต้องมี

สาวก รู้ได้เพียง คำสอน ยังยาก

แล้ว เรื่องเล่านิทานขนาดนี้ ใครคือผู้ที่ล่วงรู้ และใครคือผู้ที่เล่าต่อ
และนำมาบันทึกได้ และก็ยังคงดำรงค์รักษาต่อมา

เพื่อ ... :b1:

เมื่อพูดถึงธรรม ทุกคนแทบจะหันไปมองคำสอนที่บันทึกไว้

แต่ นิทาน ... มีแต่เรื่องเล่าเกี่ยวพันกับเรื่องราวที่เหนือโลก

พวกเรา ๆ เชื่อเรื่องเหนือโลก หรือ ไม่

:b1:

หรือ เราเลือกที่จะเชื่อแต่ส่วนคำสอนที่เราพอจะจับต้องได้

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 26 ก.ย. 2018, 21:24, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 19:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอนเคย ไม่สนใจ นิทาน ในพระไตรปิฎก
แต่ตอนนี้คงไม่คิดอย่างนั้น

อย่างน้อยนิทานเรื่องนี้ก็มีประโยชน์ แน่นอน

เมื่อไรก็ตามที่เราเป็นเพียงผู้อ่านนิทาน เราจะ เพลิดเพลิน

แต่ถ้า เมื่อไรผู้ที่เคยอยู่ในนิทานได้กลับมา ได้ยิน ได้ฟัง นิทานเรื่องนี้

เขาอาจจะรู้ ... เขาอาจจะตื่น

:b1:

ถ้า ฟลุ๊ค ไปเจอ ผู้ที่เคยอยู่ในนิทานแล้วบังเอิญมาเกิดในชาตินี้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม .... :b32:

แล้ว บังเอิญทำให้เขาเกิดอาการระลึกชาติตื่นขึ้นมาได้ ... :b32:
ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความทรงจำของพระธรรมในอดีตที่เคยซึมซับเอาไว้ ... :b21:

:b32: :b32: :b32:

นึกภาพแล้ว จั๊กกะจี๊ หัวใจ ... :b13:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


ยังไม่จบเรยค่ะ พี่เอกอน

นิทานสันติเก จะมีเรื่องที่พระพุทธองค์ เสด็จไปดาวดึงส์ เพื่อแสดงพระอภิธรรม แก่พระมารดา
ในความในนั้น เป็นเนิ้อหาพระอภิธรรมที่เอามาบรรยายต่อไงคะ

คำสอนพระองค์ต้องมีฐานที่ 84000 ค่ะ






โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 20:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

Quote Tipitaka:
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา

..........ในลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดำริว่า.....พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ในอดีตนั้น หลังจากได้แสดงยมกปาฏิหารย์แล้ว ได้ทรงเสด็จไปจำพรรษา ณ. ที่ใด?

ครั้นพระองค์ทรงทราบด้วยอตีตังสนาคญาณว่า พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ในอดีต เมื่อได้ทรงแสดงยมกปาฏิหารย์แล้ว ได้ทรงเสด็จไปจำพรรษาบนชั้นดาวดึงส์เทวโลกเพื่อแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา สนองพระคุณด้วยกตัญญูกตเวทิตาธรรมอันบริบูรณ์อยู่ในพระหฤทัย

แล้วทรงดำริต่อไปว่า แม้พระองค์ก็จะทรงปฏิบัติเช่นนั้น ครั้นทรงดำริแล้วในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงลุกจากรัตนบัลลังก์อันตั้งอยู่เหนือยอดคัณฑามพฤกษ์

เสด็จขึ้นไปประทับนั่งบนปัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ภายใต้ร่มไม้ปาริชาด ณ. ดาวดึงส์เทวโลก

ในลำดับนั้น ท่านท้าวสหัสนัยเทวราช ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จขึ้นมาประทับยังชั้นดาวดึงส์สถาน ก็ทรงเกษมศานย์โสมนัสยิ่ง ประณมหัตถ์ถวายอภิวาท แล้วก็ขอประทานโอกาสออกไปประกาศให้เทพดาทั้งหลายทุกชั้นฟ้า มาสันนิบาตประชุมกันเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ารอบพระแท่นปัณฑุกัมพลพุทธอาสน์ เพื่อสดับพระธรรมเทศนา

ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระประสงค์จะให้พระพุทธมารดาเสด็จมาสู่ที่ประชุมเทพดานั้น ครั้นมิได้ทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสถามท้าวโกสีย์ว่า พระพุทธมารดาของตถาคตอยู่ ณ ที่ใด ?

เมื่อท้าวสักกะทราบถึงพระพุทธอัธยาศัยเช่นนั้น จึงได้ทูลลาขึ้นไปดุสิตเทวภพ เข้าเฝ้าพระนางสิริมหามายาเทวีเทพเจ้า ทูลอัญเชิญให้เสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามพุทธประสงค์


ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทอดพระเนตรเห็นพระพุทธมารดา เสด็จมาประทับในเทวสมาคมเช่นนั้นแล้ว ก็ทรงโสมนัส ตรัสอัญเชิญให้เสด็จมาอยู่ในที่ใกล้ แล้วทรงประกาศซึ่งพระคุณของพระมารดา อันยิ่งใหญ่ไพศาลสุดจะคณนา ให้ปรากฏในเทวสมาคม

ในลำดับนั้น ก็ทรงแสดงพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดพระพุทธมารดาตลอดไตรมาส(สามเดือน) ให้เทพยดาในโลกธาตุที่ประชุมฟังธรรมอยู่ในที่นั้น ได้บรรลุมรรคผลสุดที่จะประมาณ ในอวสานกาลเป็นที่จบพระคัมภีร์มหาปัฎฐาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ ๗ พระนางสิริมหามายาเทวี พระพุทธมารดาได้ทรงบรรลุพระโสดาปัตติผล สมพระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ได้ทรงตั้งพระทัยเสด็จขึ้นมาสนองคุณพระพุทธมารดา.


:b20: :b20: :b20: ...ถ้ามีฟลุ๊ค...ล่ะ

:b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 26 ก.ย. 2018, 21:23, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
อ้างคำพูด:
ส่วนเจตนาเจตสิกนั้น ผู้จบกิจ ไม่มีค่ะ ดับไปหมดตามปฎิจจสมุบาทก่อนหน้าแล้ว


ขอต้นฉบับได้ไหมคะ จะไปศึกษาเพิ่มเติม ว่าอยู่เล่มไหน หน้าไหน..ย่อหน้าที่เท่าไหร่ แบบนี้คะ

(เจตสิกสาธารณะ..ดับ ได้ด้วย หรือคะ?)

เพราะคุณสายน้ำเมย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ศึกษา พระไตรปิฎก
วันๆ คุยอยู่ในลานสนทนา

เรยไม่รู้ว่า เจตสิกสัมมาองค์มรรค 8 ในมัคคจิตตปุบาท 4 มีอะไรบ้าง

และเพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรมัตสังคหะปริเฉทที่ 8
เรยไม่รู้ว่า 11 อาการ 12องค์ธรรม ของปฎิจจสมุปาท ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ทั้งสายเกิด และสายดับ

เพราะคุณสายน้ำเมย ไม่ได้ศึกษาพระสูตร เรยไม่รู้ว่า อวิชชา เป็นปัจจัย ให้เกิดสังขาร

คุณสายน้ำเมย นี่เป็นตัวอย่าง คนที่ไม่เอาไหนในการศึกษาค่ะ

ไปศึกษา ปัจจัยสังคหวิภาค ซะนะคะ
จะไปอ่านแค่ย่อหน้า หรือแค่บรรทัด สองสามบรรทัด
จะยิ่งเขลาหละค่ะ เพราะไม่เข้าใจในภาพรวมทั้งหมด

ทางที่ดีนะคะ ไปอ่านซะทุกเล่มทุกหมวด ในพระไตรปิฎกนะคะ

เมแนะนำ


:b7: เฮ้อ..เราถามดีๆจะได้ไปเรียนรู้เพิ่มเติม..เบื่อจริงๆพวกฝีปากจัดจ้านเนี้ยะ..ผ่านๆ

การเรียนอภิธรรมของคุณโลกสวย ไม่ได้เรียนเรื่องกรรมบทสิบมาบ้างหรือคะ

ได้เรียนคำว่า ธรรมในจิตบ้างไหมคะ..หรือ ดูแต่รูปนามๆๆ ไปเรื่อยๆ จนฝีปากจัดจ้านแบบนี้้

ด่าว่าใครก็ได้ ถือว่าไม่ผิด เพราะไม่ได้ด่าบุคคล ด่ารูปนามตามอภิธรรม

เจอเยอะเลย คนเรียนอภิธรรมแล้วมีฝีปากจัดจ้าน วาจาหอกดาบ แหลมคมแบบนี้ แย่ๆ คะ ไม่ไหว :b11:



ตรงไหนคะ ที่คุณสายน้ำเมย ร้อนฉ่าจน คิดว่า เม ไปด่า

ที่พูดตรงๆว่า คุณไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษา
หรือว่า พูดว่า วันๆ เอาแต่พูดอยู่ในลานสนทนา
หรือว่า ที่คุณไม่เอาไหนในการศึกษา
จะ เอาแค่ประโยคสองประโยค บรรทัด สองบรรทัด เป็นความเขลา


เม แนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคุณสายน้ำเมย ทั้งสิ้นหล่ะค่ะ
เป็นกุศลกรรมบท ค่ะ


ไม่ได้ชวนไปกินเหล้าเมายาค่ะ







:b32:
สมมุติว่าบรรลุธรรมมี4ชั้น
มรรคคือบันไดไต่ถึงชั้น4ไงคะ
คือถึงนิพพานแล้วบันไดก็ไม่ต้องใช้แล้ว
:b32: :b32: :b32:

เพราะคุณยายโรสไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก
เรยไม่รู้ว่า

ปริยัติเป็นปัจจัยให้เกิดปริยัติญาน
และปริยัติญานย่อมเป็นปัจจัย ทำให้เกิด ปฎิบัติญาน
และปฎิบัติญานย่อมเป็นปัจจัยให้แทงตลอดในโลกตุรธรรม ถึง ปฎิเวธญาน
ตรง ถูกต้อง และสอดคล้องกะคำสอนพระพุทธองค์ค่ะ

ที่คุณยายโรสพูดมา ไม่ตรงค่ะ

ไม่ใช่อริยะมรรค

มรรคอันใดไม่ใช่อริยะมรรค เหล่านั้น เป็นปกติมรรค ค่ะ
อริยะหมายถึงห่างไกลจากข้าศึกศัตรูภายใน
มรรค หมายถึงข้อปฎิบัติหรือหนทางที่ควรดำเนิน

มรรคเฉยๆ อย่างคุณยายโรสกล่าว เรียกว่าปกติมรรคค่ะ
ไม่ใช่อริยะมรรค ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
ไม่อาจถึงนิพพานได้ค่ะ

:b32:
หนูเมคะ...ที่หนูพยายามสื่อสารเล่าชีวิต
ความเป็นมาของหลานให้ยายรู้จักหนูน่ะ
เขาเรียกว่าชาดกคือเรื่องราวชีวิตชาตินี้
ของหนูเมไงคะปกติธรรมดาของปัญญา
ต้องเกิดร่วมกับสติตอนกำลังฟังและคิด
ตามคำตถาคตทีละคำคือสุตมยปัญญา
การแสดงความคิดเห็นที่เขียนไม่ตรงนะ
เขียนแล้วไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีอยู่
เขาเรียกเขียนความไม่รู้ไม่เข้าใจออกมา
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญาล้วนๆ
และปัญญาเกิดได้เมื่อเริ่มฟังต้องรู้สึกตัวว่า
ตนเองวันหนึ่งๆพึ่งการฟังคำตถาคตบ้างรึเปล่า
และการฟังนั้นต้องระลึกตามได้ทีละคำไม่วอกแวกด้วยนะ
https://youtu.be/DSakJ0sCQZU
:b32: :b32: :b32:

:b12:
ทุกคนมองความจริงตรงหน้าสิ
ตถาคตตรัสรู้ว่าเห็นสีกระทบตา
ถ้านึกไม่ออกว่าความจริงเป็นไง
ก็มองดูทุกอย่างรอบตัวเดี๋ยวนี้สิ
มีอะไรบ้างยังไม่เอ่ยชื่อเลยจำผิด
วิปลาสคลาดเคลื่อนจากคำสอนแล้ว
แปลว่าตัวเองสะสมกิเลสอวิชชาแล้วไง
เพราะไม่ได้กำลังระลึกตามคำสอนจากสุตมยปัญญาฟังบ้างเถ๊อะจะได้เริ่มมีปัญญาเกิดบ้าง
https://youtu.be/Qfaa6RT2bgs
:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.ย. 2018, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2018, 02:56
โพสต์: 2166

โฮมเพจ: maybe
แนวปฏิบัติ: สติปัฎฐาน
งานอดิเรก: กีฬา
สิ่งที่ชื่นชอบ: แบรนด์เเนม
ชื่อเล่น: เม
อายุ: 22
ที่อยู่: Bangkok Thailand

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
Rosarin เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
โลกสวย เขียน:
สายน้ำเมย เขียน:
อ้างคำพูด:
ส่วนเจตนาเจตสิกนั้น ผู้จบกิจ ไม่มีค่ะ ดับไปหมดตามปฎิจจสมุบาทก่อนหน้าแล้ว


ขอต้นฉบับได้ไหมคะ จะไปศึกษาเพิ่มเติม ว่าอยู่เล่มไหน หน้าไหน..ย่อหน้าที่เท่าไหร่ แบบนี้คะ

(เจตสิกสาธารณะ..ดับ ได้ด้วย หรือคะ?)

เพราะคุณสายน้ำเมย ไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ศึกษา พระไตรปิฎก
วันๆ คุยอยู่ในลานสนทนา

เรยไม่รู้ว่า เจตสิกสัมมาองค์มรรค 8 ในมัคคจิตตปุบาท 4 มีอะไรบ้าง

และเพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรมัตสังคหะปริเฉทที่ 8
เรยไม่รู้ว่า 11 อาการ 12องค์ธรรม ของปฎิจจสมุปาท ประกอบด้วยอะไรบ้าง
ทั้งสายเกิด และสายดับ

เพราะคุณสายน้ำเมย ไม่ได้ศึกษาพระสูตร เรยไม่รู้ว่า อวิชชา เป็นปัจจัย ให้เกิดสังขาร

คุณสายน้ำเมย นี่เป็นตัวอย่าง คนที่ไม่เอาไหนในการศึกษาค่ะ

ไปศึกษา ปัจจัยสังคหวิภาค ซะนะคะ
จะไปอ่านแค่ย่อหน้า หรือแค่บรรทัด สองสามบรรทัด
จะยิ่งเขลาหละค่ะ เพราะไม่เข้าใจในภาพรวมทั้งหมด

ทางที่ดีนะคะ ไปอ่านซะทุกเล่มทุกหมวด ในพระไตรปิฎกนะคะ

เมแนะนำ


:b7: เฮ้อ..เราถามดีๆจะได้ไปเรียนรู้เพิ่มเติม..เบื่อจริงๆพวกฝีปากจัดจ้านเนี้ยะ..ผ่านๆ

การเรียนอภิธรรมของคุณโลกสวย ไม่ได้เรียนเรื่องกรรมบทสิบมาบ้างหรือคะ

ได้เรียนคำว่า ธรรมในจิตบ้างไหมคะ..หรือ ดูแต่รูปนามๆๆ ไปเรื่อยๆ จนฝีปากจัดจ้านแบบนี้้

ด่าว่าใครก็ได้ ถือว่าไม่ผิด เพราะไม่ได้ด่าบุคคล ด่ารูปนามตามอภิธรรม

เจอเยอะเลย คนเรียนอภิธรรมแล้วมีฝีปากจัดจ้าน วาจาหอกดาบ แหลมคมแบบนี้ แย่ๆ คะ ไม่ไหว :b11:



ตรงไหนคะ ที่คุณสายน้ำเมย ร้อนฉ่าจน คิดว่า เม ไปด่า

ที่พูดตรงๆว่า คุณไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษา
หรือว่า พูดว่า วันๆ เอาแต่พูดอยู่ในลานสนทนา
หรือว่า ที่คุณไม่เอาไหนในการศึกษา
จะ เอาแค่ประโยคสองประโยค บรรทัด สองบรรทัด เป็นความเขลา


เม แนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคุณสายน้ำเมย ทั้งสิ้นหล่ะค่ะ
เป็นกุศลกรรมบท ค่ะ


ไม่ได้ชวนไปกินเหล้าเมายาค่ะ







:b32:
สมมุติว่าบรรลุธรรมมี4ชั้น
มรรคคือบันไดไต่ถึงชั้น4ไงคะ
คือถึงนิพพานแล้วบันไดก็ไม่ต้องใช้แล้ว
:b32: :b32: :b32:

เพราะคุณยายโรสไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนพระไตรปิฎก
เรยไม่รู้ว่า

ปริยัติเป็นปัจจัยให้เกิดปริยัติญาน
และปริยัติญานย่อมเป็นปัจจัย ทำให้เกิด ปฎิบัติญาน
และปฎิบัติญานย่อมเป็นปัจจัยให้แทงตลอดในโลกตุรธรรม ถึง ปฎิเวธญาน
ตรง ถูกต้อง และสอดคล้องกะคำสอนพระพุทธองค์ค่ะ

ที่คุณยายโรสพูดมา ไม่ตรงค่ะ

ไม่ใช่อริยะมรรค

มรรคอันใดไม่ใช่อริยะมรรค เหล่านั้น เป็นปกติมรรค ค่ะ
อริยะหมายถึงห่างไกลจากข้าศึกศัตรูภายใน
มรรค หมายถึงข้อปฎิบัติหรือหนทางที่ควรดำเนิน

มรรคเฉยๆ อย่างคุณยายโรสกล่าว เรียกว่าปกติมรรคค่ะ
ไม่ใช่อริยะมรรค ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง
ไม่อาจถึงนิพพานได้ค่ะ

:b32:
หนูเมคะ...ที่หนูพยายามสื่อสารเล่าชีวิต
ความเป็นมาของหลานให้ยายรู้จักหนูน่ะ
เขาเรียกว่าชาดกคือเรื่องราวชีวิตชาตินี้
ของหนูเมไงคะปกติธรรมดาของปัญญา
ต้องเกิดร่วมกับสติตอนกำลังฟังและคิด
ตามคำตถาคตทีละคำคือสุตมยปัญญา
การแสดงความคิดเห็นที่เขียนไม่ตรงนะ
เขียนแล้วไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีอยู่
เขาเรียกเขียนความไม่รู้ไม่เข้าใจออกมา
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นปัญญาล้วนๆ
และปัญญาเกิดได้เมื่อเริ่มฟังต้องรู้สึกตัวว่า
ตนเองวันหนึ่งๆพึ่งการฟังคำตถาคตบ้างรึเปล่า
และการฟังนั้นต้องระลึกตามได้ทีละคำไม่วอกแวกด้วยนะ
https://youtu.be/DSakJ0sCQZU
:b32: :b32: :b32:

:b12:
ทุกคนมองความจริงตรงหน้าสิ
ตถาคตตรัสรู้ว่าเห็นสีกระทบตา
ถ้านึกไม่ออกว่าความจริงเป็นไง
ก็มองดูทุกอย่างรอบตัวเดี๋ยวนี้สิ
มีอะไรบ้างยังไม่เอ่ยชื่อเลยจำผิด
วิปลาสคลาดเคลื่อนจากคำสอนแล้ว
แปลว่าตัวเองสะสมกิเลสอวิชชาแล้วไง
เพราะไม่ได้กำลังระลึกตามคำสอนจากสุตมยปัญญา
:b32: :b32: :b32:


คุณยายโรสขา คำพูดคุณยาย ไม่ได้อยู่บนฐาน 84000
เพราะคุณยายเรียนมาไม่ครบ

พระวินัยก็ไม่เรียน
พระสูตรก็ไม่เข้าใจ
พระอภิธรรมก็ไม่เคยเรียน
ปฎิบัติวิปัสสนาก็ไม่เป็น
แยกรูปนาม ก็ไม่ได้
ไหลไปตามอายตนะ

ระลึกได้มั๊ยคะ ว่าพระพุทธองค์สอน คันถธุระ ให้เล่าเรียน

ไปฟังคนที่เรียนแค่ 42000 ยังอัดเทปไม่จบเรย
ไม่มีฐาน 84000 เรย

ไปเรียนซะนะคะ ขอร้องๆๆๆๆๆ






แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 55 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร