วันเวลาปัจจุบัน 07 ส.ค. 2025, 23:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 15 มี.ค. 2014, 22:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สร้างวาทะกรรมใหม่อีกแระ....อโสกะ....อุปาทานที่ไม่มีพิษภัย...

ก็น่าเห็นใจ....เพราะไม่รู้จะไปทางไหน....ก็ยึดว่า..สัญญา..จำอะไรได้ก็เป็นอุปาทาน..ไปแล้วนะซิ...จึงดิ้นออกมาแนวนี้


โอ้ย..หน่อ...
อุปาทาน...มีได้เพราะกิเลส

สัญญา...จำนั้น..จำนี้ได้...มันเป็นกิเลสตรงไหน...ขันธ์5 มันเป็นกิเลสตรงไหน..โอ้..หน่อ

เข้าใจตรงนี้ไม่ได้....ระวังไม่ได้เป็นอริยะ..เน้อเอ้า

และ..อุปาทาน 4 เข้าใจว่า..อาจารย์หลังๆมาขยายความนะครับ...


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 12:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อวานก็เข้ามาทักอยู่ แต่ตอนกดส่ง เว๊บหลุด... :b32: :b9:

asoka เขียน:
1.สิ่งที่มีอยู่ในสัญญาทั้งหมดนั่นแหละคืออุปาทาน ความผูกยึดไว้ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

asoka เขียน:
.... สัญญาหรืออุปาทานที่มีอยู่เป็นเพียงเงาร่าง ที่ยังสามารถนำเอามาใช้สื่อกับผู้คนได้อยู่


เอกอนมีความเห็นว่า
ท่านอโศกน่าจะตั้งสติกลับไปทบทวนความเห็นที่แสดงอีกรอบ
ในเรื่อง สัญญา อุปทาน ที่ดูเหมือนท่านจะเอามันมาเป็นกันและกันไปเสียแล้ว

ขันธ์5 เป็นที่ตั้งแห่งอุปทาน
ซึ่งตัวมัน ไม่ใช่อุปทาน

ซึ่งสิ่งที่ทำให้อุปทานเข้าไปตั้งอยู่ในขันธ์ ก็ด้วย อวิชชา/ตัณหา

สิ่งที่ท่านอ๊บซ์ทักในข้อความเห็นข้างต้น
ท่านรับฟังบ้างก็น่าจะเป็นการดี...

:b1:


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 13:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เมื่อวานก็เข้ามาทักอยู่ แต่ตอนกดส่ง เว๊บหลุด... :b32: :b9:

asoka เขียน:
1.สิ่งที่มีอยู่ในสัญญาทั้งหมดนั่นแหละคืออุปาทาน ความผูกยึดไว้ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

asoka เขียน:
.... สัญญาหรืออุปาทานที่มีอยู่เป็นเพียงเงาร่าง ที่ยังสามารถนำเอามาใช้สื่อกับผู้คนได้อยู่


เอกอนมีความเห็นว่า
ท่านอโศกน่าจะตั้งสติกลับไปทบทวนความเห็นที่แสดงอีกรอบ
ในเรื่อง สัญญา อุปทาน ที่ดูเหมือนท่านจะเอามันมาเป็นกันและกันไปเสียแล้ว

ขันธ์5 เป็นที่ตั้งแห่งอุปทาน
ซึ่งตัวมัน ไม่ใช่อุปทาน

ซึ่งสิ่งที่ทำให้อุปทานเข้าไปตั้งอยู่ในขันธ์ ก็ด้วย อวิชชา/ตัณหา

สิ่งที่ท่านอ๊บซ์ทักในข้อความเห็นข้างต้น
ท่านรับฟังบ้างก็น่าจะเป็นการดี...

:b1:

s004 s004
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ต้องพิจารณากันให้ลึกซึ้งนะครับ

อุปาทาน .....ความผูกยึดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้....ความ็เห็นว่าเป็น คน สัตว์ สิ่งของ สวย ชั่ว เลว ดี ภาษาที่ใช้พูด ล้วนแต่อุปาทานที่ผูกยึดกันขึ้นมาทั้งสิ้น

เพราะมีอัตตา อุปาทานตัวสำคัญ จึงเกิดลูกออกหลานเป็นอุปาทานมากมายสุดคณานับ ซับซ้อนปรุงแต่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างและเป็นโลกใบนี้

สัญญาจะเป็นผู้เก็บบันทึกอุปาทานทั้งหมดนี้ไว้

อุปาทานเป็นส่วนของสังขารขันธ์ ความปรุงว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

:b38:


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 13:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
สร้างวาทะกรรมใหม่อีกแระ....อโสกะ....อุปาทานที่ไม่มีพิษภัย...

ก็น่าเห็นใจ....เพราะไม่รู้จะไปทางไหน....ก็ยึดว่า..สัญญา..จำอะไรได้ก็เป็นอุปาทาน..ไปแล้วนะซิ...จึงดิ้นออกมาแนวนี้


โอ้ย..หน่อ...
อุปาทาน...มีได้เพราะกิเลส

สัญญา...จำนั้น..จำนี้ได้...มันเป็นกิเลสตรงไหน...ขันธ์5 มันเป็นกิเลสตรงไหน..โอ้..หน่อ

เข้าใจตรงนี้ไม่ได้....ระวังไม่ได้เป็นอริยะ..เน้อเอ้า

และ..อุปาทาน 4 เข้าใจว่า..อาจารย์หลังๆมาขยายความนะครับ...

s004
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากนะคุณกบ อย่าได้ยึดว่าอุปาทานเกิดได้เพราะกิเลศอกุศลฝ่ายเดียว จะทำให้มุมมองแคบ

ชื่อกบ ที่ตั้งขึ้นมานี่ก็อุปาทาน เมื่อบันทึกไว้จึงเป็นสัญญา
สัญญา เป็นนามขันธ์แต่ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสตัณหาเมื่ออัตตาเอาสัญญามาปรุง ลองทบทวน ทดสอบดูจากของจริงให้ดีๆนะคุณกบ
:b41:


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 14:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปาทานขันธ์ ขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน ได้แก่ เบญจขันธ์หรือขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทาน คือ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณที่ประกอบด้วยอาสวะ, ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า รูปูปาทานขันธ์, เวทนูปาทานขันธ์, สัญญูปาทานขันธ์, สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์

อุปาทานขันธสูตร

[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ เป็นไฉน คือ รูปูปาทานักขันธ์ ๑ เวทนูปาทานักขันธ์ ๑ สัญญูปาทานักขันธ์ ๑ สังขารูปาทานักขันธ์ ๑ วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯ

(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓)



พุทธพจน์ แสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕

ปัญจขันธสูตร

[๙๕] ....."ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ เธอทั้งหลายจงฟัง"
"ขันธ์ ๕ เป็นไฉน ? รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลหรือใกล้ก็ตาม เหล่านี้ เรียกว่า ขันธ์ ๕".....


[๙๖] ....."อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน ? รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลหรือใกล้ก็ตาม ที่ประกอบด้วยอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน(หรือถูกอุปาทานครอบงำในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง)...เหล่านี้ เรียกว่า อุปาทานขันธ์ ๕"....
(สํ.ข. ๑๗ / ๙๕-๙๖ /๕๘-๖๐)


"ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน และตัวอุปาทาน เธอทั้งหลายจงฟัง.
"รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ คือ ธรรม(สิ่ง)อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน (ส่วน)ฉันทราคะ(ก็คือตัณหา) ในรูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ นั้นคือ อุปาทานในสิ่งนั้นๆ"
(ฉันทะราคะ คือความชอบใจจนติด หรืออยากอย่างแรงจนยึดติด กล่าวคือตัณหา จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมีอุปาทานครอบงำ)
(สํ.ข. ๑๗ / ๓๐๙ / ๒๐๒)



เข้าใจเท่านี้ก็เป็นที่ละเอียดลึกซึ้งเพียงพอแล้วล่ะ ท่านอโศกะ
ความสัมพันธ์ระหว่างขันธ์ กับ อุปทาน ก็มีเพียงเท่านี้

:b1:


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 17:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อีกพระสูตรที่แสดงไว้อย่างละเอียดอ่อนลึกซึ้ง...

:b8: :b8: :b8:

Quote Tipitaka:
ขันธ์5 อุปทานขันธ์5 ผู้เห็นธรรม การสงเคราะห์ การประชุมพร้อม หมวดหมู่แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ย่อมมีได้ ด้วยประการนี้

ผู้เห็นธรรม

[๓๔๖] ดูกรท่านมีอายุทั้งหลาย อากาศอาศัยไม้และอาศัยเถาวัลย์ ดินเหนียวและหญ้า
แวดล้อมแล้ว ย่อมถึงความนับว่า เป็นเรือนฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย อากาศอาศัยกระดูก
และอาศัยเอ็นเนื้อและหนังแวดล้อมแล้ว ย่อมถึงความนับว่า รูป ฉันนั้นเหมือนกันแล.


ดูกรท่าน
ผู้มีอายุทั้งหลาย หากว่า จักษุอันเป็นไปในภายใน เป็นของไม่แตกทำลายแล้ว และรูปทั้งหลาย
อันเป็นภายนอกย่อมไม่มาสู่คลองจักษุ ทั้งความกำหนัดอันเกิดแต่จักษุและรูปนั้นก็ไม่มี ความ
ปรากฏแห่งส่วนแห่งวิญญาณอันเกิดแต่จักษุ และรูปนั้น ก็ยังมีไม่ได้ก่อน. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้ง
หลาย หากว่า จักษุอันเป็นไปในภายใน เป็นของไม่แตกทำลายแล้ว และรูปทั้งหลายอันเป็น
ภายนอก ย่อมมาสู่คลองจักษุ แต่ความกำหนดอันเกิดแต่จักษุ และรูปนั้นไม่มี ความปรากฏ
แห่งส่วนแห่งวิญญาณอันเกิดแต่จักษุ และรูปนั้นก็ยังมีไม่ได้ก่อน. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
แต่ว่าในกาลใดแลจักษุอันเป็นไปในภายในเป็นของไม่แตกไม่ทำลายแล้ว และรูปทั้งหลายอันเป็น
ภายนอก ย่อมมาสู่คลองจักษุ ทั้งความกำหนัดอันเกิดแต่จักษุและรูปก็ย่อมมีในกาลนั้น ความ
ปรากฏแห่งส่วนแห่งวิญญาณอันเกิดแต่จักษุและรูปนั้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.

รูปแห่ง
สภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด รูปนั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์ ในอุปาทานขันธ์ คือ รูป


เวทนาแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด เวทนานั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์ในอุปาทานขันธ์
คือ เวทนา


สัญญาแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด สัญญานั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์
ในอุปาทานขันธ์ คือ สัญญา


สังขารแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นเหล่าใด สังขารเหล่านั้น ย่อม
ถึงความสงเคราะห์ในอุปาทาน คือ สังขาร



วิญญาณแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด วิญญาณนั้น
ย่อมถึงความสงเคราะห์ ในอุปาทานขันธ์ คือ วิญญาณ.



ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า
การสงเคราะห์ การประชุมพร้อม หมวดหมู่แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ย่อมมีได้ ด้วยประ
การอย่างนี้.




อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อ
ว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้. ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ใด
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรมแล. ความพอใจความอาลัย ความยินดี ความ
ชื่นชอบ ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้อันใด อันนั้นชื่อว่าทุกขสมุทัย การกำจัดความกำหนัดด้วย
สามารถความพอใจ การละความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้อันใด
อันนั้นชื่อว่าทุกขนิโรธแล. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้แล. คำสอนของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอันภิกษุทำให้มากแล้ว.
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย หากว่า โสตะอันเป็นไปในภายในเป็นของไม่แตกทำลาย
แล้ว ฯลฯ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย หากว่า ฆานะอันเป็นไปในภายใน เป็นของไม่แตกทำลาย
แล้ว ฯลฯ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย หากว่า ชิวหา อันเป็นไปในภายใน เป็นของไม่แตกทำลาย
แล้ว ฯลฯ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย หากว่า กายอันเป็นไปในภายใน เป็นของไม่แตกทำลาย
แล้ว ฯลฯ
ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย หากว่า มนะอันเป็นไปในภายใน เป็นของไม่แตกทำลาย
แล้ว และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันเป็นภายนอก ย่อมไม่มาสู่คลอง ทั้งความกำหนัดอันเกิด
แต่มนะ และธรรมารมณ์นั้น ก็ไม่มี ความปรากฏแห่งส่วนแห่งวิญญาณอันเกิดแต่มนะและ
ธรรมารมณ์นั้น ก็ยังมีไม่ได้ก่อน. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย หากว่า มนะอันเป็นไปในภาย
ใน เป็นของไม่แตกทำลายแล้ว และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันเป็นภายนอก ย่อมมาสู่คลอง
แต่ความกำหนดอันเกิดแต่มนะและธรรมารมณ์นั้นไม่มี ความปรากฏแห่งส่วนแห่งวิญญาณอัน
เกิดแต่มนะและธรรมารมณ์นั้น ก็ยังมีไม่ได้ก่อน. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย แต่ว่าในกาลใด
แล มนะอันเป็นไปในภายในเป็นของไม่แตกทำลายแล้ว และธรรมารมณ์ทั้งหลายอันเป็นภาย
นอก ย่อมมาสู่คลอง ทั้งความกำหนัดอันเกิดแต่มนะและธรรมารมณ์นั้น ก็ย่อมมี ในกาล
นั้น ความปรากฏแห่งส่วนแห่งส่วนแห่งวิญญาณอันเกิดแต่มนะและธรรมารมณ์นั้น ย่อมมีได้
ด้วยอาการอย่างนี้. รูปแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด รูปนั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์ ใน
อุปาทานขันธ์คือรูป เวทนาแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด เวทนานั้น ย่อมถึงความ
สงเคราะห์ ในอุปาทานขันธ์คือเวทนา สัญญาแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด สัญญานั้น
ย่อมถึงความสงเคราะห์ ในอุปาทานขันธ์คือสัญญา สังขารทั้งหลายแห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้น
เหล่าใด สังขารเหล่านั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์ ในอุปาทานขันธ์คือสังขาร วิญญาณ
แห่งสภาพที่เป็นแล้วอย่างนั้นอันใด วิญญาณนั้น ย่อมถึงความสงเคราะห์ ในอุปาทานขันธ์
คือวิญญาณ. ภิกษุนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า การสงเคราะห์ การประชุมพร้อม
หมวดหมู่แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ย่อมมีได้ ด้วยประการอย่างนี้. อนึ่ง พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสพระพจน์นี้ไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น
ชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้. ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ใด อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ชื่อว่า
ปฏิจจสมุปปันนธรรมแล. ความพอใจ ความอาลัย ความยินดี ความชื่นชอบ ในอุปาทาน-
*ขันธ์ ๕ เหล่านี้อันใด อันนี้ชื่อว่าทุกขสมุทัย การกำจัดความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจ
การละความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจ ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันใด อันนั้นชื่อว่า
ทุกขนิโรธแล. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้แล คำสอนของพระผู้มี
พระภาค เป็นอันภิกษุทำให้มากแล้ว.

ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวธรรมปริยายนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ชื่นชม ยินดีภาษิต
ของท่านพระสารีบุตรแล้วแล.

จบ. มหาหัตถิปโทปมสูตรที่ ๘


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 17:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


แบบว่าเอาลงไว้ที่กระทู้อื่น แต่เห็นว่ามันเกี่ยวข้องกับความพอใจ ไม่พอใจ ความติดใจ ไม่ติดใจ ไม่ชอบใจ เป็นงานวิจัยทางจิตที่น่าสนใจ ....

eragon_joe เขียน:
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสมองที่น่าสนใจ... :b1: :b1:
เอามาแบ่งปัน

บางส่วนจากหนังสือ
"โลกจิต"
เขียนโดย แทนไท ประเสริฐกุล

10 อันดับอาการบาดเจ็บทางสมองยอดเยี่ยม (ตอน2)
....

อันดับที่ 5 อันนี้ไม่ใช่โรคนะครับ แต่เป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่น่าสนใจ
ก่อนหน้านี้เรามักจะคิดกันว่า อาการบาดเจ็บทางสมองจะต้องนำมาแต่เรื่องร้าย ๆ เท่านั้น
แต่ปรากฏว่าเมื่อต้นปี 2007 ทีมวิจัยของด๊อกเตอร์เบชาร่า(Antoine Bechara) ที่มหาวิทยาลัย
เซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย เพิ่งจะค้นพบเป็นครั้งแรกว่า การที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน
บางทีก็สามารถก่อให้เกิดผลดีได้เหมือนกัน
กลุ่มผู้ป่วยที่ด็อกเตอร์เขาศึกษา เดิมล้วนเป็นคนที่สูบบุหรี่มาก่อนทั้งสิ้น ทว่าพอหลังจากเกิดเรื่อง
ขึ้นกับสมอง ผลปรากฏว่ามีจำนวนไม่น้อยเลย ที่สามารถเลิกบุหรี่ได้เองอย่างฉับพลันโดยอัตโนมัติ
เลิกแล้วเลิกเลยเป็นปลิดทิ้ง ราวกับเป็นปาฏิหาริย์ก็ว่าได้
……คนไข้คนหนึ่งวัยกลางคน สูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 สูบมากถึงวันละ 40 มวน
แต่พอได้รับการผ่าตัดปุ๊บ ฟื้นมาวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าตั้งแต่นั้นมาแกก็ไม่สูบบุหรี่อีกเลย
เรียกว่า เลิกได้อย่างถาวร
ลุงแกให้สัมภาษณ์ว่า จริง ๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเลิกด้วยซ้ำ เพียงแต่อยู่ๆร่างกายมันก็เหมือนกับ
ลืมไปเอง.... ว่าไอ้ความรู้สึกอยากยานี้มันเป็นยังไง เรื่องราวของคนไข้อื่นอีก 10 กว่าคนก็เป็นทำนองเดียวกัน

ทุกคนได้รับความเสียหายที่บริเวณสมองส่วนเดียวกันหมด นั่นก็คือ ส่วนที่มีชื่อว่า Insula
ซึ่งตั้งอยู่ลึกลงไปนิดหน่อยตรงตำแหน่งขมับเหนือหูขึ้นมานิดนึง
.....

ส่วนคนที่จะเลิกนิสัยเสพติดอย่างอื่น อย่างเช่น ติดเหล้า หรือติดโค้ก จะทดลองวิธีนี้ด้วยก็ได้
เพราะ อินซูล่าจริง ๆ แล้วดูเหมือนจะรับผิดชอบเรื่องความรู้สึกอยาก ความรู้สึกติดหลาย ๆ อย่าง
ไม่ใช่เพียงแค่บุหรี่อย่างเดียวมันเป็นสมองส่วนที่คอยเรียนรู้ที่จะจดจำความสบายของร่างกาย
หลังจากได้รับอะไรบางอย่าง(หรือไม่ก็ ความไม่สบายหลังจากขาดอะไรบางอย่าง) จากนั้นจะค่อย
ส่งสัญญาณไปกระตุ้นสมองส่วนที่อยู่เหนือขึ้นไป ซึ่งเป็นตัวกำหนดสติความรับรู้ของคนเรา
ให้เกิดความลงแดง ความอยากได้ความรู้สึกเหล่านั้นขึ้นมา เหตุนี้เอง คนที่วงจรในส่วนนี้ขาดไป
ไม่มีอินซูล่าคอยกระตุ้นจึงไม่รู้สึกหงุดหงิด ไม่อยากเสพใด ๆ ทั้งสิ้น
.....

นอกจากความอยากแล้ว ตัณหาที่กลับด้านกันคือ “ความไม่อยาก” ก็เกี่ยวข้องกับการทำงานของอินซูล่าด้วย
เช่น ความกลัวเจ็บ ความขยะแขยง ความอับอาย ไม่กล้าสู้หน้าคน ฯลฯ
ที่ผ่านมามีงานวิจัยน่าสนใจมากพบว่า ในผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำจะมีอินซูล่าที่หนาและหยักกว่าปกติ
นั่นอาจจะสะท้อนถึงการมีสติรู้ทันสภาวะกายใจตนเองมากกว่าคนทั่วไป และอาจรวมไปถึงอำนาจ
ควบคุมที่จะดับกิเลสตัณหาต่าง ๆ



smiley

สนับสนุนเด็กไทย และนักปฏิบัติธรรม ให้รักการอ่านค่ะ...
งานวิจัยที่เอื้อและมีคุณประโยชน์ต่อการศึกษาปฏิบัติธรรม
ต่อผู้ที่สนใจค้นหาความจริงเกี่ยวกับความเป็นไปแห่งชีวิต
ให้ได้มีความรู้ความเข้าใจอยู่บนหลักพื้นฐานความเป็นจริงของร่างกายและจิตใจก็มีอยู่เยอะค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 16 มี.ค. 2014, 21:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
:b27:
:b36:


โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2014, 21:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สร้างวาทะกรรมใหม่อีกแระ....อโสกะ....อุปาทานที่ไม่มีพิษภัย...

ก็น่าเห็นใจ....เพราะไม่รู้จะไปทางไหน....ก็ยึดว่า..สัญญา..จำอะไรได้ก็เป็นอุปาทาน..ไปแล้วนะซิ...จึงดิ้นออกมาแนวนี้

โอ้ย..หน่อ...
อุปาทาน...มีได้เพราะกิเลส
สัญญา...จำนั้น..จำนี้ได้...มันเป็นกิเลสตรงไหน...ขันธ์5 มันเป็นกิเลสตรงไหน..โอ้..หน่อ
เข้าใจตรงนี้ไม่ได้....ระวังไม่ได้เป็นอริยะ..เน้อเอ้า
และ..อุปาทาน 4 เข้าใจว่า..อาจารย์หลังๆมาขยายความนะครับ...

s004
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากนะคุณกบ อย่าได้ยึดว่าอุปาทานเกิดได้เพราะกิเลศอกุศลฝ่ายเดียว จะทำให้มุมมองแคบ

ชื่อกบ ที่ตั้งขึ้นมานี่ก็อุปาทาน เมื่อบันทึกไว้จึงเป็นสัญญา
สัญญา เป็นนามขันธ์แต่ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสตัณหาเมื่ออัตตาเอาสัญญามาปรุง ลองทบทวน ทดสอบดูจากของจริงให้ดีๆนะคุณกบ
:b41:


เห็นอโสกะ...แสดงสาธุการกับข้อความของเอกอน...ก็คิดว่า.อโสกะเข้าใจ...ขันธ์...กับ..อุปาทาน...แล้วนะครับ

asoka เขียน:
อย่าได้ยึดว่าอุปาทานเกิดได้เพราะกิเลศอกุศลฝ่ายเดียว จะทำให้มุมมองแคบ

ใครเขาพูดถึง..อกุศล..หรือกุศล..กันละอโสกะ....
เขาพูดถึง....กิเลส..กัน

เอ้...อโสกะพูดว่า..กิเลสฝ่ายอกุศล
แสดงว่า...อโสกะมีกิเลสฝ่ายกุศล..ใช่มั้ย?....อยากให้อโสกะยกตัวอย่างกิเลสฝ่ายกุศลกหน่อยได้มั้ย

ปล. อย่าเอากุศล..อกุศล...ไปปะปนกับคำว่า.บุญและบาป..นะ


โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2014, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมพอจะข้าใจแล้วว่า...คอนเซ็ปของอโสกะ..ที่ว่า...จำอะไรได้..ก็เป็นอุปาทานแล้วเพราะ....อุปาทานถูกเก้บใว้ในสัญญา...
แม้แต่..ชื่อ...ก็ยังเป้นอุปาทานได้...

แต่อโสกะเปลี่ยนความคิดแล้วละเน๊าะ....จะได้ไม่พูดประเด็นนี้อีก...ถ้าอโสกะยังมีส่วนไม่เข้าใจ....ก็ถามเพื่อนๆในนี้ก็ได้นะ
ไม่ต้องถามผมก็ได้...เพราะคงไม่เชื่อผมหรอก...อิอิ


โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2014, 22:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมพอจะข้าใจแล้วว่า...คอนเซ็ปของอโสกะ..ที่ว่า...จำอะไรได้..ก็เป็นอุปาทานแล้วเพราะ....อุปาทานถูกเก้บใว้ในสัญญา...
แม้แต่..ชื่อ...ก็ยังเป้นอุปาทานได้...

แต่อโสกะเปลี่ยนความคิดแล้วละเน๊าะ....จะได้ไม่พูดประเด็นนี้อีก...ถ้าอโสกะยังมีส่วนไม่เข้าใจ....ก็ถามเพื่อนๆในนี้ก็ได้นะ
ไม่ต้องถามผมก็ได้...เพราะคงไม่เชื่อผมหรอก...อิอิ

:b12:
ไม่ใช่คอนเซ็บ

ความจริงของการผูกยึดไว้ในใจ ที่ภาษาบาลีท่านเรียกว่าอุปาทานนั่นแหละ
:b16:


โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2014, 22:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
สร้างวาทะกรรมใหม่อีกแระ....อโสกะ....อุปาทานที่ไม่มีพิษภัย...

ก็น่าเห็นใจ....เพราะไม่รู้จะไปทางไหน....ก็ยึดว่า..สัญญา..จำอะไรได้ก็เป็นอุปาทาน..ไปแล้วนะซิ...จึงดิ้นออกมาแนวนี้

โอ้ย..หน่อ...
อุปาทาน...มีได้เพราะกิเลส
สัญญา...จำนั้น..จำนี้ได้...มันเป็นกิเลสตรงไหน...ขันธ์5 มันเป็นกิเลสตรงไหน..โอ้..หน่อ
เข้าใจตรงนี้ไม่ได้....ระวังไม่ได้เป็นอริยะ..เน้อเอ้า
และ..อุปาทาน 4 เข้าใจว่า..อาจารย์หลังๆมาขยายความนะครับ...

s004
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากนะคุณกบ อย่าได้ยึดว่าอุปาทานเกิดได้เพราะกิเลศอกุศลฝ่ายเดียว จะทำให้มุมมองแคบ

ชื่อกบ ที่ตั้งขึ้นมานี่ก็อุปาทาน เมื่อบันทึกไว้จึงเป็นสัญญา
สัญญา เป็นนามขันธ์แต่ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสตัณหาเมื่ออัตตาเอาสัญญามาปรุง ลองทบทวน ทดสอบดูจากของจริงให้ดีๆนะคุณกบ
:b41:


เห็นอโสกะ...แสดงสาธุการกับข้อความของเอกอน...ก็คิดว่า.อโสกะเข้าใจ...ขันธ์...กับ..อุปาทาน...แล้วนะครับ

asoka เขียน:
อย่าได้ยึดว่าอุปาทานเกิดได้เพราะกิเลศอกุศลฝ่ายเดียว จะทำให้มุมมองแคบ

ใครเขาพูดถึง..อกุศล..หรือกุศล..กันละอโสกะ....
เขาพูดถึง....กิเลส..กัน

เอ้...อโสกะพูดว่า..กิเลสฝ่ายอกุศล
แสดงว่า...อโสกะมีกิเลสฝ่ายกุศล..ใช่มั้ย?....อยากให้อโสกะยกตัวอย่างกิเลสฝ่ายกุศลกหน่อยได้มั้ย

ปล. อย่าเอากุศล..อกุศล...ไปปะปนกับคำว่า.บุญและบาป..นะ

:b12:
ผมสาธุให้กับความเพียรพยายามคัดลอกข้อธรรมในคัมภีร์มาอ้าง
แต่ยาวมาก เข้าใจยากและยังไม่ตรงประเด็นเรื่องอุปาทานที่อยากจะชี้ให้ทุกคนเห็นด้วยเรื่องและภาษาง่ายๆ

ทำไมพากันมองข้ามความผูกยึด หรืออุปาทานง่ายๆกันไปหมด

ภาษาไทยที่พูดทุกคำนี่ก็อุปาทานแบบไทย ซึ่งจะแตกต่างไปจากอุปาทานแบบฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น หรือชาติภาษาอื่น ซึ่งมีสมมุติหรือบัญญัติต่างกัน

ถ้าจะเอามาอิงปฏิจจสมุปบาทก็อาจอธิบายได้ว่า เพราะตัณหาอยากจะสื่อภาษากันให้รู้เรื่อง จึ่งสร้างความผูกยึดร่วมกันในหมู่คนไทยว่า นี หมา ยี่นี่แมว นี้คน นี้สัตว์ นี่ภูเขา นี่ทะเล ฯลฯ ภาษาทั้งหมดนี่ไม่ใช่อุปาทานแล้วเป็นอะไร กบ
s006
อุปาทานที่เป็นกุศลนะหรือ ก็อย่างเช่นคนที่ปารถนาว่าจะช่วยรื้อขนสัตว์โลกแล้วพากันอธิษฐานขิอเป็นพระโพธิสัตว์กันให้มั่วไปหมดโดยไม่ประมาณตนแบบที่เขาเรียกว่าช้างขี้ก็ขี้ตามช้าง พากันติดหลงอยู่ในคำอธิษฐานชวดเชยโอกาสที่จะได้เข้าถึงมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาติ
:b20:


โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2014, 22:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
ผมสาธุให้กับความเพียรพยายามคัดลอกข้อธรรมในคัมภีร์มาอ้าง
แต่ยาวมาก เข้าใจยากและยังไม่ตรงประเด็น


:b1:

อุปทานในทัศนะของพระพุทธองค์ ไม่ตรงประเด็นกับอุปทานในทัศนะของท่านอโศกะอยู่แล้วล่ะ

ที่ท่านว่ามาเช่นนั้น ถูกต้องแล้ว

สรุปแล้วใครจะต้องศึกษาธรรมให้ตรงประเด็นใครกันล่ะ

:b1: :b1: :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 18 มี.ค. 2014, 22:39, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2014, 22:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผูกยึดใจ....ด้วย..กิเลสตัญหาอาสวะ..ด้วยนะ...

อย่าง..เห็นรถเบนซ์...เราก็จำได้ว่า..เป็นรถเบนซ์..ราคามันแพง....อันนี้...สัญญาเฉยๆ
แต่ถ้า..มีห้อยท้ายว่า..รถมันดีนะ(ถ้าได้มาใช้คงจะดี)...อันนี้เริ่มแล้ว


โพสต์ เมื่อ: 18 มี.ค. 2014, 22:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะ..ต้องดู..ที่ตัญหาเป็นหลัก..ที่ง่ายที่สุด....
อย่าง..ชื่อ...ถ้าอโสกะเห็นชื่อที่ตัวเองตั้งมานี้...มันดีนะ...เห็นทุกครั้งก็ชื่นใจว่ามันดีนะ...ความรู้วึกว่ามันดี..นี้แหละอุปาทาน...

คือ..เห็นแล้วดี..เห็นแล้วดี...นี้จึงจะเรียกว่ามีอุปาทานพร้อมกับการเห็น..นั้นๆ

ถ้าเห็นชื่อ..แล้วก็จำได้ว่าชื่อนี้เราตั้งมาเอง..แค่นี้....ก็ให้หาดูว่า..เรามีตัญหาอะไรกับการเห็นนี้มั้ย..ถ้าไม่มี...การเห็นนั้นก็แค่เห็นเฉยๆ..ก็แค่นี้เอง...อโสกะมีอะไรละเอียดลึกซึ่งซ่อนอยู่มากกว่านี้มั้ย...ก็บอกมาได้นะ...ไม่มีอะไรอธิบายไม่ได้หรอก...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 26, 27, 28, 29, 30, 31, 32 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร