วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 19:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 00:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:





หุ หุ 555555 หึ หึ


หวาด! ระแวง...แวง...แวง...แวง...แวง...แวง...

:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 02:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วตัวที่มันรู้ว่าจิตมีสติหรือขาดสติเรียกว่าอะไรครับ
เกิดดับตลอดเวลาด้วยหรือเปล่า

เมื่อจิตที่หลงไปดับไปแล้ว และจิตที่สัมปยุตด้วยสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น(ตามเหตุปัจจัย) ย่อมรู้ว่าเมื่อกี้หลงไปแล้ว

ถ้าเห็นว่ามีจิตบางอย่างที่เที่ยง ก็คงกลายเป็นว่า มีสังขตธรรมบางอย่างที่เที่ยง แล้วความสิ้นทุกข์คงไม่ปรากฎมีได้ เพราะพระโสดาบันบุคคล นั้นละสักกายทิฏฐิ ได้ด้วยเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง(สังขตธรรม (จิต เจตสิก รูป(รูป นาม(กาย ใจ))))เกิดขึ้น(ตามเหตุปัจจัย) ย่อมดับไป(หมดเหตุปัจจัย)เป็นธรรมดา

สิ่งใดสิ่งหนึ่ง(สังขตธรรม)เกิดขึ้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา(อนิจจลักษณะ)ทนอยู่ในสภาพเดิมได้ยาก(ทุกขลักษณะ)เป็นเพียงการประชุมกันของเหตุปัจจัยชั่วครั้งคราว หาใช่ตัวตน(อนัตตลักษณะ)

ผิดพลาดประการใดได้โปรดอดโทษและอโหสิกรรมด้วยครับ tongue


แก้ไขล่าสุดโดย ภัทรพงศ์ เมื่อ 20 พ.ค. 2010, 03:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อจิตที่หลงไปดับไปแล้ว
และจิตที่สัมปยุตด้วยสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น
( ตามเหตุปัจจัย) ย่อมรู้ว่าเมื่อกี้หลงไปแล้ว
ถ้าเห็นว่ามีจิตบางอย่างที่เที่ยง ก็คงกลายเป็นว่า
มีสังขตธรรมบางอย่างที่เที่ยง?????
แล้วความสิ้นทุกข์คงไม่ปรากฎมีได้

.....................++++......;................





แล้วขณะที่จิตหลง(ขาดสติ)เกิด จิตตอนนั้นมีสภาวะที่รู้หรือไม่

ถ้ารู้ แล้วมันจะดับไปตอนไหน

ถ้าไม่รู้ แล้วจิตดวงต่อไปจะทราบได้อย่างไรว่าจิตหลง(ขาสติ)ในเมื่อไม่มีตัวรู้

ขอแสดงความเห็น เรื่องจิต ตามที่ผมเข้าใจ
จิตในความเห็นของผมคือ ธาตุรู้ ไม่ได้เป็นสังขารแต่อย่างใด มีคุณลักษณะคือ สภาวะที่รู้ แต่ไม่ได้ไปให้ค่ากับสิ่งใดทั้งนั้น เป็นกลาง ดีรู้ ชั่วรู้ หลงรู้ ไม่หลงก็รู้ ไม่เกี่ยวกับขันธ์5
แต่เป็นตัวรู้การทำงานของขันธ์5 อายตนะทั้งหลาย
เป็นที่อยู่และแสดงตัวของอวิชชา กรรมรวมถึงเหตุและปัจจัยต่างๆก็อาศัยจิตนี้เป็นที่อยู่ ที่แสดงตัวอยู่ตลอดเวลา
เช่นกัน

จิตเป็นนามธรรม จึงไม่ทราบขนาดกว้างยาว จะเรียกเป็นดวงก็กลัวจะไม่ถูก อยู่ที่ใดก็ไม่ทราบ (ครูบาอาจารย์เคยบอกว่าจิตมันใหญ่ครอบสามโลกธาตุ)เป็นตัวที่รู้อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าสติจะระลึกได้หรือไม่


เป็นธรรมชาติที่มีอยู่ เช่นเดียวกับธาตุต่างๆเช่นดิน น้ำ ไฟ ลม และมีลักษณะสภาวะต่างกันไปตามแบบใครแบบมันเช่น
ธาตุดิน แข็ง อ่อน
ธาตุไฟ ร้อน
ธาตุรู้ รู้
จะให้ค่าว่ามันเที่ยงหรือไม่เที่ยงมันก็สุดแท้แก่ท่านเพราะมันก็แสดงของมันอยู่เช่นนั้น

ส่วนเรื่องสภาวะไตรลักษ์ที่แสดงตัวอยู่ในจิตตลอดเวลานั้นไม่ขอกล่าวถึง
เพราะเป็นเรื่องของ สติ ปัญญา และตำรา

ในแต่ละท่านที่ จะทำให้แจ้ง หรือทำให้จำ

ยินดีที่ได้สนทนาธรรมครับ

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


แก้ไขล่าสุดโดย ชิวว์ เมื่อ 20 พ.ค. 2010, 21:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:07
โพสต์: 86

แนวปฏิบัติ: เงียบๆคนเดียว
งานอดิเรก: ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย&หลวงพ่อปราโมทย์.
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตามดูจิต,หลวงปู่ฝากไว้,สติปัฏฐาน ๔
ชื่อเล่น: Mulan ;)
อายุ: 0
ที่อยู่: ปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลิ้มธรรม เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 04:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอโอกาสทำความเข้าใจเรื่องเกิดดับสักหน่อยนะครับ

ตามความเข้าใจของผมนั้น

สิ่งใดที่ไม่มีอยู่ในขณะปัจจุบันแล้วปรากฏขึ้นมา
เรียกว่า ....เกิด
...
สิ่งใดมีอยู่ในปัจจุบัน แล้วหายไป เรียกว่า ...ดับ...

ถูกผิดประการใดโปรดชี้แนะ

ขอบคุณที่ให้โอกาสแสดงความเห็นครับ

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


โพสต์ เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 23:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


ชิวว์ เขียน:
แล้วตัวที่มันรู้ว่าจิตมีสติหรือขาดสติเรียกว่าอะไรครับ

เรียกว่า..จิตที่มีสัมมาสมาธิ ที่มีองค์ธรรมครบถ้วน เเม้ขณะจิตเดียวก็ตาม
ชิวว์ เขียน:
เกิดดับตลอดเวลาด้วยหรือเปล่า

เกิดดับตลอดเวลา[/quote]
ในเมื่อจิตมีสัมมาสมาธิและองค์ธรรมครบถ้วนแล้วจิตจะขาดสติไปอย่างไรครับ

ขอโอกาสถามใหม่นะครับ
๑.ในขณะที่ขาดสติอยู่นั้นมีตัวรู้หรือไม่ว่าขาดสติและไปรู้ได้อย่างไร
หรือไม่รู้ แล้วทำไมมันไม่รู้ แล้วเมื่อสติกลับมาทำไมรู้ว่าเมื่อกี้ขาดสติ
ถ้าเป็นตัวสัมมาสมาธิที่ไปรู้ มันไปรู้ในขณะใด ขณะที่ขาดสติอันนี้คงจะไม่ได้ หรือขณะที่สตินั้นกลับมาแล้วมันก็เป็นการระลึกถึงสภาวะขาดสติที่ดับไปแล้ว
แล้วขณะที่ขาดสติอยู่นั้น หละครับตัวไหนที่มันทำงานอยู่ หรือไม่มี


ขอบคุณที่ให้โอกาสเจริญในธรรมครับ

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


แก้ไขล่าสุดโดย ชิวว์ เมื่อ 21 พ.ค. 2010, 00:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 05:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 21:53
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตเป็นสภาพรู้นั้นถูกต้องแล้ว แต่การรู้ตัว(รู้ถึงความมีอยู่ของกายใจ)นั้นเป็นอีกอันหนึ่ง
เช่น ขณะที่ดูหนัง ละคร แล้วเพลินไปนั้น เราก็รู้เรื่องหนังละคร แต่เราไม่รู้ตัว(เหมือนโลกทั้งโลกไม่มีอยู่)
และขณะที่ขาดสติไปนั้นจิตก็เกิดดับสืบต่อไปตามปกติ(ขณิกมรณะ) แต่เพราะ สันตติ คือความเกิดดับสืบต่อที่รวดเร็วจึงปิดบังอนิจจังไว้ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะเกิดจิตชนิดนี้ๆถึงพร้อม จิตชนิดนี้ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ดับ เมื่อเหตุปัจจัยที่จะมองเห็นถึงพร้อมจักขุวิญญาณจิตก็เกิดเมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ดับ เมื่อเหตุปัจจัยที่จะได้ยินถึงพร้อมโสตวิญญาณจิตก็เกิดเมื่อหมดเหตุปัจจัยก็ดับ เมื่อไม่มีเหตุปัจจัยที่จะเกิดวิถีจิตขึ้นรับรู้อารมณ์ทางใดทางหนึ่งในหกทวารก็เป็นภวังคจิตดำรงภพชาติไว้ จิตที่เกิดก่อน ๆ เป็นปัจจัยแก่จิต ที่เกิดหลัง ๆ โดยความเป็นอนันตรปัจจัย และสั่งสมสันดานด้วยความสามารถแห่งชวนวิถีจิต

ลองศึกษาพระอภิธรรมเถิดครับ หรือหากเห็นว่าเป็นเพียงความรู้จากตำรา ไม่สำคัญเท่าการปฏิบัติก็จงเลือกตรองดูเองเถิด แต่ขอให้ปฏิบัติให้ลงรอยกับพระปริยัตินะครับ ไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็นการยกอัตโนมติข่มบาลี

สุดท้ายขอฝาก คติธรรมของหลวงปู่ดูลย์ อตุโลที่ว่า ผู้ที่หลงใหลตำราและอาจารย์ไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้ที่พ้นทุกข์ได้ก็ต้องอาศัยตำราและอาจารย์

ผิดพลาดประการใดได้โปรดอดโทษและอโหสิกรรมด้วยครับคงยุติการแสดงความคิดเห็นกระทู้นี้แล้วเพราะว่าสิ้นภูมิรู้ผมแล้วครับ tongue


แก้ไขล่าสุดโดย ภัทรพงศ์ เมื่อ 21 พ.ค. 2010, 06:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 21 พ.ค. 2010, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


ยินดีทีที่ได้สนทนาธรรมกับท่านภัทรพงศ์ครับ


ทางที่คุณเดินอยู่คุณย่อมเชื่อว่ามันพาคุณไปถึงจุดหมายได้
แม้ว่าจะไม่เคยเห็นเลยก็ตาม
ทางที่ผมเดินก็เช่นกัน



ไม่ว่าจะมีความเห็นเหมือนหรือต่างกันก็ตาม
แต่สัจจะธรรมความจริงนั้นก็จะยังคงมีอยู่และแสดงตัวอยู่ตลอดไป
ถึงจะเห็นไปในทางที่ถูกหรือผิดก็ไม่ทำให้สัจจะธรรมความจริงนั้น
จะเปลี่ยนไปได้เลย


ผมไม่สามารถบอกได้ว่าความเห็นของผมนั้นถูกหรือผิด
เพราะยังเป็นผู้หลงอยู่ในวัฏจักรอยู่เช่นกัน
จึงต้องปฏิบัติเพื่อให้ถึงความรู้แจ้งนั้น
และจากการปฏิบัติก็มีผลคือความรู้ อันเรียกได้ว่าเป็นความรู้ที่หยาบๆ
แต่ความรู้อันหยาบๆนี้มันก็
ทำให้เห็นถึงความจริงอันหยาบๆเช่นกัน


และเช่นเดียวกันไม่ว่าคุณหรือผมจะไปตีค่าว่ามันถูกหรือผิด
ควาจริงอันหยาบๆอันนี้มันก็ยังมีอยู่ในจิตใจ
นี้
และการแสดงความเห็นนี้ก็มาจากความรู้ความเห็นที่ได้พบมา

เห็นแบบนี้ก็แสดงไปแบบนี้
จะผิดจะถูกมันเป็นแบบนี้


เมื่อเรายังเป็นปุถุชนยังหลงอยู่เรื่องการเห็นถูกเห็นผิดย่อมมีด้วยกันทุกคน

ถ้ามันถูกจริงๆก็เป็นปัจจัยให้เราเดินไปข้างหน้าได้อย่าง ไม่ต้องมาลังเลสงสัยเพราะมันรู้ว่าถูกจริงๆ

และถ้ามันผิดจริงๆก็ย่อมจะเป็นปัจจัยนำไปสู่สิ่งที่ถูกต้องและไม่หวนกลับมาในทางที่ผิดอีกเพราะรู้แล้วว่ามันผิดจริงๆ

แต่เราที่ยังเวียนตายเวียนเกิดก็เพราะยังไม่สามารถเห็นว่าที่ทำไปนั้นมันผิดหรือถูกจริงๆ
ได้นั่นเอง

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


โพสต์ เมื่อ: 23 พ.ค. 2010, 02:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:07
โพสต์: 86

แนวปฏิบัติ: เงียบๆคนเดียว
งานอดิเรก: ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย&หลวงพ่อปราโมทย์.
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตามดูจิต,หลวงปู่ฝากไว้,สติปัฏฐาน ๔
ชื่อเล่น: Mulan ;)
อายุ: 0
ที่อยู่: ปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลิ้มธรรม เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 04:08, แก้ไขแล้ว 20 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 04:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2010, 10:07
โพสต์: 86

แนวปฏิบัติ: เงียบๆคนเดียว
งานอดิเรก: ฟังธรรมของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย&หลวงพ่อปราโมทย์.
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตามดูจิต,หลวงปู่ฝากไว้,สติปัฏฐาน ๔
ชื่อเล่น: Mulan ;)
อายุ: 0
ที่อยู่: ปัจจุบัน

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลิ้มธรรม เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 04:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


ลิ้มธรรม เขียน:
โลกียะ..มันต้องมีสอง
มี..บุ๋น..ก็ต้องมี..บู๊
มี..มิตร ก็ต้องมี..ศัตรู
จริงเเท้..เเน่นอน
สัจจธรรม..มีให้เห็นต่อหน้าต่อตา
ชัดเจนกว่าเปิดตำราหลายเท่า
ของจริงนี่งเป็นใบ้...ของพูดได้ไม่ใช่ของจริง



:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


..เมื่อจิตสงบตั้งมั่นจน
เป็นสมาธิแล้ว
..มันจะไปพบสภาะธรรมที่มันมีอยู่เดิมนี่แหละครับ
ตัวที่มันไม่คิดไม่นึก
นี้แหละ
..แต่มันถูกบดบังด้วยความคิดความปรุงต่างๆจึงไม่อาจเห็นสภาพเดิมได้
..เราทำจิตให้สงบก็เพื่อให้มันมาเห็นจุดนี้
..ยกตัวอย่างเช่นเวลาเราบริกรรมพุทโธเพื่อให้ความคิดความปรุงนั้นสงบตัวลง
..ก็เพื่อจะย้อนกลับเข้าไปดูว่ามันออกมาจากไหน
..พุทโธไม่ใช่ผู้รู้แต่มันออกมาจากผู้รู้
..มันเป็นความคิดความปรุงที่ออกมาจากจุดนั้น
..ที่เราทำสมาธิภาวนาให้จิตใจสงบก็เพื่อใ
ห้มันเห็นตัวนี้แหละครับที่มันเป็นฐานของการภาวนา
..ของจริงมันนิ่งเป็นใบ้
..ของที่มันพูดได้(ความคิดความปรุง)ไม่ใช่ของจริง
..มันไม่ได้อยู่ในตำราเล่มไหน
..มันจะเห็นได้จากการภาวนา
..ขอบคุณครับ

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 13:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชิวว์ เขียน:

..เมื่อจิตสงบตั้งมั่นจน
เป็นสมาธิแล้ว
..มันจะไปพบสภาะธรรมที่มันมีอยู่เดิมนี่แหละครับ
ตัวที่มันไม่คิดไม่นึก
นี้แหละ
..แต่มันถูกบดบังด้วยความคิดความปรุงต่างๆจึงไม่อาจเห็นสภาพเดิมได้
..เราทำจิตให้สงบก็เพื่อให้มันมาเห็นจุดนี้
..ยกตัวอย่างเช่นเวลาเราบริกรรมพุทโธเพื่อให้ความคิดความปรุงนั้นสงบตัวลง
..ก็เพื่อจะย้อนกลับเข้าไปดูว่ามันออกมาจากไหน
..พุทโธไม่ใช่ผู้รู้แต่มันออกมาจากผู้รู้
..มันเป็นความคิดความปรุงที่ออกมาจากจุดนั้น
..ที่เราทำสมาธิภาวนาให้จิตใจสงบก็เพื่อใ
ห้มันเห็นตัวนี้แหละครับที่มันเป็นฐานของการภาวนา
..ของจริงมันนิ่งเป็นใบ้
..ของที่มันพูดได้(ความคิดความปรุง)ไม่ใช่ของจริง
..มันไม่ได้อยู่ในตำราเล่มไหน
..มันจะเห็นได้จากการภาวนา
..ขอบคุณครับ


ชิวว์ เชื่อมั๊ย หลวงจีนที่รำมวยให้เห็นใน youtube นั้น
ตัวไหว แต่ใจเขานิ่งมาก เพราะถ้าจิตไหว
ประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสจะลดลง...
ประสิทธิภาพที่อวัยวะทุกอย่างจะเคลื่อนตัวอย่างสมดุลจะลดลง
ไม่ใช่การคิด
การ control ร่างกายให้ได้ตามภาพนั้น
ต้องไม่มีอะไร ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีตัว
ทุกอย่างเคลื่อนที่ออกจากความว่าง ณ จุดศูนย์กลาง
เพราะไม่มี ทุกอย่างจึงมี...
การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ ยากที่จะเชื่อ
จนกว่าเราจะลงไปศึกษา ด้วยตัวเราเอง
มันเป็นสิ่งที่ ความรู้ทางตำรา ไม่ได้มีความหมายใด ๆ
ประหนึ่ง รู้กระบวนท่า แต่ไม่อาจใช้กระบวนท่าได้...

ย๊ากกกกกกซ์.... อึดซ์....อิ อิ
อิ อิ เอกอนเป็นมวยจีน นิดนุง... :b4: :b4:
เป็น...หมอนวดแผนจีนได้ด้วย...นิดนุง...
และ...เป็นลมปราณจีนด้วย...นิดนุง... :b17: :b17:
เพราะ เป็นนิดนุง...จึงเข้าใจเกี่ยวกับภาพที่เห็น...นิดนุง... อิ อิ
...

:b44: :b50: :b44: :b50: :b44: :b50:


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 14:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
อ้างคำพูด:
ชิวว์ / เขียน
ขอโอกาสทำความเข้าใจเรื่องเกิดดับสักหน่อยนะครับ

ตามความเข้าใจของผมนั้น

สิ่งใดที่ไม่มีอยู่ในขณะปัจจุบันแล้วปรากฏขึ้นมา
เรียกว่า ....เกิด
...
สิ่งใดมีอยู่ในปัจจุบัน แล้วหายไป เรียกว่า ...ดับ...

ถูกผิดประการใดโปรดชี้แนะ

ขอบคุณที่ให้โอกาสแสดงความเห็นครับ

:b6:
...ยกตัวอย่างง่ายๆ...ตากระทบรูปเกิดจากแสงสะท้อนไปที่วัตถุแล้วสะท้อนมาเข้าลูกตาเรา...
...ถ้ามืดก็มองไม่เห็นอ่ะค่ะ...และที่เรามองเห็นก็เพราะมีความต่อเนื่องของการมองเห็นนั้น...
...ซึ่งการมองเห็นนั้นไม่ได้เกิดติดต่อกันตลอดเวลา...แต่เกิดจากการเกิดดับของการกระพริบตา...
...มันเกิดดับแบบรวดเร็วจนตัวเรารู้สึกว่าการมองเห็นนั้นไม่ขาดตอนเพราะรับภาพได้ตลอดเวลา...
:b16:
...แม้แต่อิริยาบทของการยืน เดิน นั่ง นอน ก็มีการเกิดดับ เพราะทุกสิ่งมีความไม่เที่ยง...
...คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้นาน...เช่นจากนอนมานั่งก็มีการดับของการนอน...
...จากนั่งเปลี่ยนเป็นยืนก่อนถึงจะเดินได้...เพราะเกิดสิ่งหนึงดับไปและเกิดสิ่งใหม่เข้ามาเสมอ...
...เสื้อผ้าใหม่ใส่ไปแล้วก็เก่า...นานเข้าก็ขาด...ถ้าไม่เย็บซ่อมเอามาใส่ต่อก็เอาไปเป็นผ้าถูพื้น...
:b12:
...แม้แต่การสร้างตึก...นานไปก็ผุพังไปได้...เพราะมีการเกิด-ดับของทุกสิ่งถ้าเราหมั่นพิจารณา...
...และตามสภาพร่างกายของสิ่งมีชีวิตบนโลกมนุษย์...ก็เริ่มมาจากปฏิสนธิ...กลายมาเป็นตัวอ่อน...
...ในครรภ์และเติบโตแก่วันเดือนปี...จนคลอดออกจากครรภ์มารดาออกมาเป็นวัยเริ่มต้นคือเด็ก...วัยรุ่น...
...เป็นผู้ใหญ่และเป็นคนแก่คือมีการเกิด-แก่-เจ็บ-ตายเป็นธรรมดา...สัจจธรรมล้วนมีอยู่อย่างนี้ค่ะ...
:b4: :b4:
:b55: :b55: :b55: :b55: :b55:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 24 พ.ค. 2010, 14:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 14:54
โพสต์: 126

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเกิดดับของจิต ขอยกตัวอย่าง เช่น ท่านฟังพระสวดมนต์ พระท่านตั้งนะโมฯ ท่านลองหลับตาฟัง คำว่านะมากระทบที่โสตทวาร จิตก็เกิดขึ้นและดับไปเมื่อสิ้นสุดคำว่านะ ได้ยินคำโมจิตก็เกิดขึ้นอีกและดับไปเมื่อสิ้นสุดคำว่าโม เป็นอย่างนี้เลื่อยไป ถ้าท่านฝึกไปเลื่อยๆในการเกิดดับของจิตที่รับรู้ผัสสะที่มากระทบทางทวารทั้ง ๖ แล้วความตามทันจิตก็จะเกิดขึ้นและจะเห็นช่องว่างของจิตที่มีการเกิดดับติดต่อกันเป็นกระแส ( สันตติ ) ง่ายๆคือมองเห็นช่องว่างของสันตติ
ขอผลบุญท่านจงทำให้ท่านตามทันสันตติโดยเร็ว ขออนุโมทนาสาธุ


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2010, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2009, 13:59
โพสต์: 50

อายุ: 0
ที่อยู่: ท่องไปดุจ..นอแรด

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
ชิวว์ เขียน:

..
ชิวว์ เชื่อมั๊ย หลวงจีนที่รำมวยให้เห็นใน youtube นั้น
ตัวไหว แต่ใจเขานิ่งมาก เพราะถ้าจิตไหว
ประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสจะลดลง...
ประสิทธิภาพที่อวัยวะทุกอย่างจะเคลื่อนตัวอย่างสมดุลจะลดลง
ไม่ใช่การคิด
การ control ร่างกายให้ได้ตามภาพนั้น
ต้องไม่มีอะไร ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีตัว
ทุกอย่างเคลื่อนที่ออกจากความว่าง ณ จุดศูนย์กลาง
เพราะไม่มี ทุกอย่างจึงมี...
การเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ ยากที่จะเชื่อ
จนกว่าเราจะลงไปศึกษา ด้วยตัวเราเอง
มันเป็นสิ่งที่ ความรู้ทางตำรา ไม่ได้มีความหมายใด ๆ
ประหนึ่ง รู้กระบวนท่า แต่ไม่อาจใช้กระบวนท่าได้...

ย๊ากกกกกกซ์.... อึดซ์....อิ อิ
อิ อิ เอกอนเป็นมวยจีน นิดนุง... :b4: :b4:
เป็น...หมอนวดแผนจีนได้ด้วย...นิดนุง...
และ...เป็นลมปราณจีนด้วย...นิดนุง... :b17: :b17:
เพราะ เป็นนิดนุง...จึงเข้าใจเกี่ยวกับภาพที่เห็น...นิดนุง... อิ อิ
...

:b44: :b50: :b44: :b50: :b44: :b50:


...เชื่อครับ..
...ท่วงท่าเหล่านั้นไม่ได้ออกมาจากการบังคับร่างกายแน่นอน

...เคยได้ศึกษาประวัติครูบาอาจารย์ที่ท่านสามารถออกรู้ออกเห็นอะไรต่างๆ มากมาย
...หลวงจีนก็น่าจะใช้ในหลักการเดียวกันนี้คือ
ผู้ที่สามารถเจริญฌาณเข้าออกได้จนเป็นวสี
...เข้าฌาณ4ถอยออกมาฌาณ3น้อมใจไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือเข้าฌาณ3แล้วน้อมไปเลย จิตตอนนี้จะมีกำลังมาก
...ทำให้เกิดอัศจรรย์ต่างๆได้มากมาย เมื่อกำลังอ่อนลงก็เข้าไปตั้งมั่นในฌาณ4ใหม่
..สมัยพุทธกาลมีฤาษีเป็นผู้สามารถเจริญฌาณจนเหาะเหินเดินอากาศได้
..แต่เหาะไปเจอสาวๆอาบน้ำจิตกระเพื่อมตกตุ๊บ!!ลงมาต้องเดินกลับอาศรม
..เป็นความรู้ในตำราจริงเท็จไม่อาจทราบได้

.....................................................
"..หลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่การพูดกันเฉย ๆ
หรือด้วยการเดา..หรือการคิดเอาเอง
หลักของพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคือ
การรู้เท่าทันความจริงตามความเป็นจริงนั่นเอง
ถ้ารู้เท่าทันตามความเป็นจริงนี้แล้ว
การสอนก็ไม่จำเป็น..แต่ถ้าไม่รู้ถึงความเป็นจริงอันนี้
แม้จะฟังคำสอนเท่าใด ก็เหมือนกับไม่ได้ฟัง!!!"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร