วันเวลาปัจจุบัน 24 ก.ค. 2025, 07:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 30 ก.ย. 2010, 21:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
ผัสสะ แล้วเวทนา ทันที
ผัสสะ แล้วทุกข์ใจ ทันทีถ้าใจมีโทสะ
มันมีช่วงให้ไม่เอา โทสะ หรือไม่


รูปขันธ์ -> วิญญาณขันธ์ -> เวทนาขันธ์ -> สัญญาขันธ์ -> สังขารขันธ์[โกรธ ชอบ ฯ เกิดที่นี่แหละครับ]

รูปขันธ์มีวิญญาณขันธ์ย่อมรับเวทนาขันธ์เข้ามาเป็นปกติ เป็นธรรมชาติของมันนั่นแหละครับ

สัญญาขันธ์ นี่แหละครับที่แสบที่สุด หลอกลวงเราตลอดเวลา
เหมือนคนโดนมีดบาด ก็จำความเจ็บตั้งแต่โดนบาด ยันไปถึงทำแผล (เผลอๆแผลหายแล้วยังจำมาเจ็บได้อีก)
แล้วไปยึดไปถือว่า เราโดนบาด เราเจ็บมานาน ทรมานมาตลอด
เราเลยรับเวทนาไปมากกว่าความจริงที่เจ็บอยู่จริงๆนะปัจจุบันขณะไม่รู้กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านๆเท่า
ผลของความทรมานทางใจ(สังขารขันธ์)มันก็มาจากการไปเอาของเก่ามาปนของใหม่แล้วยึดว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน
ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ความเจ็บในปัจจุบันมันแทบไม่มีเลย(ตัวเวทนาที่รับมาจริงๆนี่ยิ่งกว่าเศษเสี้ยวของวินาทีด้วยซ้ำ)

กรณีของโทสะก็เหมือนกัน
ลองถามว่าตอนที่คุณโกรธน่ะ เรื่องที่ทำให้คุณโกรธมันเป็นปัจจุบัน หรืออดีต(อาจจะแค่เศษของวินาทีมันก็ไม่ใช่ปัจจุบันแล้วครับ)?
ไปโกรธเรื่องในอดีตมันจะต่างอะไรกับที่คุณไปโกรธภาพลวงตาที่มันไม่มีอยู่จริง?
เขาเรียกโดนสัญญามันหลอก เพราะไปยึดว่ามันเป็นตัวเรา หรือเราเป็นตัวมัน
การปฏิบัติกับสัญญาอย่างถูกต้องก็ให้รู้แค่ว่ามีอะไรเคยเกิดขึ้น (ไม่งั้นก็อัลไซเมอร์ใช่ไหมครับ จำอะไรไม่ได้เนี่ย)
ไม่เอามันมาต่อกันเป็นสายแล้วหลงไปคิดว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน
ไม่ไปยัดเยียดความเป็นเจ้าของกับมัน หรือไปถือว่ามันเป็นของเราครับ

ปล. แต่สุดแล้ว เราก็ต้องปลงว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา และไม่มีเราในขันธ์ 5 ครับ


แก้ไขล่าสุดโดย Yodyood เมื่อ 30 ก.ย. 2010, 21:16, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 11:59
โพสต์: 105

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุทธจิตโต เขียน:
เจริญพร.. เพราะไม่เกิดการกระทำใดๆซ้อนจิตซ้อนใจเลยจึงเกิดเป็นสภาพว่างที่บริสุทธิ์ แม้ในเชิงกล่าวอาตมากล่าวว่าทิ้งแต่ในทางปฏิบัติจริงแล้วไม่มีการเข้าไปคอยทิ้งหรือเจริญแต่อย่างใดแต่คือการปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดเองและเป็นเอง แต่ว่าทุกสิ่งอยู่ในอนิจจังซึ่งยึดไม่ติดจับกันไม่อยู่มันทิ้งตัวมันเองตลอดเวลาอาตมาจึงกล่าวว่าทิ้งเพื่อให้เป็นที่ง่ายต่อการเข้าใจ เพราะปล่อยวางจนไม่เหลือความเป็นตัวเป็นตนจึงไม่มี ในตอนอยู่ระหว่างสภาวะขัดเกลานั้นไม่มีการตั้งหมายอะไรทั้งสิ้นเป็นการปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นตามที่มันเป็นทั้งสิ้น แต่ขั้นตอนที่แยกได้คือขั้นหลังจากจิตปล่อยวางจนไม่หลงติดในความเป็นจิตเสียแล้วจึงสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ข้างในได้อย่างชัดเจน เสมือนบุคคลที่อยู่บนพื้นดินไม่สามารถมองสภาพรอบข้างได้กว้างขวางเท่าคนที่มองอยู่ในมุมสูงฉันท์ใดบุคคลที่ไม่ยึดติดในความเป็นจิตเองย่อมมองเห็นจิตได้อย่างกว้างขวางกว่าฉันนั้นความเป็นตัวตนจึงค่อยๆลดลง ถูกอย่างที่โยมกล่าวว่า เมื่อปล่อยตัวรู้จึงพลาดจากการปรุงแต่ง แต่ถ้าไม่ทิ้งรู้
เมื่อวิญญาณ์ขันธ์รับรู้มา โยมเข้าไปซ้อนรู้นั้น เวทนาใหม่เกิด(พอใจ ไม่พอใจ) สัญญาจำได้หมายรู้เกิด สังขารใหม่ปรุงต่อไปก็เกิด กิเลสตัณหาอุปทาน ที่มีอยู่ก็จะขึ้นมาทำงาน
แต่เมื่อโยมไม่ซ้อนรู้
วิญญาณขันธ์รับรู้เข้ามา ไม่มีตัวเจตนาไปซ้อน เวทนาใหม่ไม่เกิด สัญญาใหม่ไม่เกิด นึกคิดปรุงแต่งใหม่ไม่เกิด กิเลสตัณหาอุปทานในปัจจุบันจิตไม่เกิด หากจะมีก็เหลือแต่เชื้อตัณหาอุปทานที่เคยตอกย้ำไว้ เมื่อไม่มีการตอกย้ำเพิ่มย่อยคลายลงเอง ตัวตนอันเกิดจากตัณหาอุปทานก็คลายลง
ขันธ์5นั้นมีทั้งส่วนที่เป็นเหตุ และส่วนที่เป็นผล ขันธ์ 5 ในส่วนที่เป็นเหตุจะทำงานผ่านวิญญาณขันธ์ของส่วนเหตุ แต่เมื่อขันธ์5 ในส่วนที่เป็นเหตุทำงานแต่ไม่มีขันธ์5ในส่วนที่เป็นผลเสียแล้วอันเนื่องจากการปล่อยวางไม่ซ้อนสภาวะธรรมให้ทุกอย่างดำเนินไปตามที่มันเป็นเสียแล้ว ความเห็นความหมาย นึกคิดปรุงแต่งอันเป็นเหตุเกิดตัวตนย่อมไม่มี
สรุปคือการทำงานขันธ์5ส่วนเหตุยังคงมีอยู่ทุกอย่างแต่ไม่มีตัวขันธ์ 5 ที่เป็นตัวเจตนากรรมอันเป็นเหตุสร้างตัวสร้าง ขึ้นมาทำงาน

หมายเหตุ### สุดท้ายนี้อาตมาขอจบการตอบกระทู้แต่เพียงเท่านี้ เพราะแรกหมายว่าจะแนะนำวิธีการปฏิบัติอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ แต่นานเข้ามีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วย เพื่อเป็นการป้องกันกรรมที่จะเกิดแก่ทุกฝ่าย อาตมาจึงขอยุติการตอบกระทู้นี้แต่เพียงเท่านี้
ในความเห็นของอาตมา สัจธรรมมีอยู่อย่างเดียวหมายถึงความไม่ยึดติด ความปราศจากตัวตนสิ่งปรุงแต่งใดๆ แต่วิธีการเข้าถึงความไม่ยึดติดนั้นมีหลายทางจึงไม่ควรกล่าวหาวิธีใดผิดหรือถูกก่อนจะได้ศึกษาจนรู้ถ่องแท้
สุดท้ายนี้ หากสิ่งที่อาตมาเขียนไว้ ได้ทำให้โยมพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ถูกบ้าง ผิดบ้าง จะด้วยเจตนาอย่างไรก็ตาม อาตมาขออโหสิกรรมแก่บรรดาโยมที่อ่านด้วยเถิด ส่วนกรรมใดอันเกิดจากโยมที่เข้ามาอ่านทุกท่านอาตมายกโทษ อโหสิกรรมให้ สาธุๆๆ เจริญพร…



กราบนมัสการ ขอขมาพระคุณเจ้าครับ
หากมีส่วนใดก้าวล้ำล่วงเกินประการใด โยมกราบขอยกโทษด้วยครับ...


โยมเข้าใจว่าทั้งหลายทั้งปวง ที่แลกเปลี่ยนสนทนากันนี้นั้น
ในความเป็นสัจจะแล้ว ล้วนสักแต่ว่าเป็นสังขารธรรมทั้งสิ้น
หามีส่วนใดเป็นสัตว์บุคคลตัวตนแต่อย่างใด

ความเห็นด้วยหรือไม่เห็นล้วนสักแต่ว่าสังขารทั้งสิ้น
อันมีเหตุมาจากผัสสะทั้งสิ้น
หากการซ้อนรู้ตามที่พระคุณเจ้าแนะนำ เกิดขึ้นทันกับผัสสะ
สังขารธรรมที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็จะไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

แต่อย่างใดก็ตาม ไม่ว่าความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะเกิดหรือไม่เกิด
ตามความเห็นของโยมนั้น โยมเห็นว่ายังไม่ใช่สาระสำคัญที่จะเป็นเหตุ
ให้พระคุณเจ้าหยุดเมตตาโปรดสัตว์ ด้วยสังขารธรรมที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่อย่างใด

ในเมื่อยังมีบางส่วนที่เห็นด้วยกับธรรมที่พระคุณเจ้าแสดง
โอกาสที่บางส่วนที่เห็นด้วยนี้ จะเจริญก้าวหน้า ได้รับผลอันเลิศยิ่งๆขึ้นไป ก็จะเป็นไปได้มิใช่หรือครับ
หากเอาบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย มาปิดกั้นปิดบังโอกาสส่วนที่เห็นด้วยนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งครับ...


การแสดงธรรมนั้น โยมเห็นว่า
เรื่องของความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ไม่ใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด
แต่ความเป็นสัจจะของสิ่งที่แสดงนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดมากกว่าครับ

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งครับ
หากพระคุณเจ้าจะงดแสดงธรรมทานต่อไป
โยมขอกราบขอนุญาตขอพระคุณเจ้าได้โปรดแสดงธรรมต่อไปเถิด ครับ

การซักถามธรรม เป็นเรื่องปกติธรรมดาครับ
นับตั้งแต่สมัยพุทธกาล การซักถามธรรมดูจะมีมากกว่าการแสดงธรรมโดยไม่เปิดโอกาสให้มีการซักถาม

โยมเห็นด้วยกับบทสรุปของพระคุณเจ้าที่กล่าวสรุปว่า
สรุปคือการทำงานขันธ์5ส่วนเหตุยังคงมีอยู่ทุกอย่าง
แต่ไม่มีตัวขันธ์ 5 ที่เป็นตัวเจตนากรรมอันเป็นเหตุสร้างตัวสร้าง ขึ้นมาทำงาน


ที่โยมเห็นด้วยนั้น ก็คือเมื่อไม่มีการสร้าง ก็จะไม่มีการเสื่อม
การเสื่อม การเปลี่ยนแปลง การแปรปรวน การดับสลายใดๆ ล้วนเกิดจากเหตุที่มีการสร้างนั้นเอง

ความว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นี้ก็เหมือนกัน
ปัญหาอยู่ตรงที่ ความว่างที่ว่านี้ เป็นว่างที่เกิดจากการสร้างขึ้นมาหรือไม่
ถ้าเป็นความว่างที่เกิดจากการสร้างขึ้นมา ความว่างที่ว่านี้ ก็จะหนีความเสื่อมไปไม่พ้นอยู่ดี

แต่หากว่าความว่าง เป็นความว่างที่ไม่ได้เกิดจากการสร้างขึ้นมา
ความว่างนี้ ก็จะไม่มีวันเสื่อมแต่ประการใด ครับ.


ว่าง ที่เป็นว่างที่เกิดจากการสร้างขึ้นมา ย่อมมีการเสื่อมดับสลาย
ว่าง ที่เป็นว่างที่ปราศจากการสร้าง ย่อมพ้นจากคำว่าเสื่อมดับสลาย


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 13:15
โพสต์: 34

แนวปฏิบัติ: สมาถะ วิปัสสนาญาน ลมหายใจมิมีสิ้นสุด มิมีประมาณ
งานอดิเรก: ธรรมะเกิดที่ใจ ไปให้ถึงธรรม จึ่งมีธรรมประจำใจ บ้านเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรมะ ทุกแนว "รอยเท้าสัตว์ย่อมรวมลงในเท้าช้าง"ฉันใด ก็ฉันนั้น
ชื่อเล่น: out
อายุ: 47
ที่อยู่: จังหวัดแพร่

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุ สาธุ ค่ะท่านอนัตตญาณ

อ้างคำพูด:
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งครับ
หากพระคุณเจ้าจะงดแสดงธรรมทานต่อไป
โยมขอกราบขอนุญาตขอพระคุณเจ้าได้โปรดแสดงธรรมต่อไปเถิด ครับ

การซักถามธรรม เป็นเรื่องปกติธรรมดาครับ
นับตั้งแต่สมัยพุทธกาล การซักถามธรรมดูจะมีมากกว่าการแสดงธรรมโดยไม่เปิดโอกาสให้มีการซักถาม

โยมเห็นด้วยกับบทสรุปของพระคุณเจ้าที่กล่าวสรุปว่า
สรุปคือการทำงานขันธ์5ส่วนเหตุยังคงมีอยู่ทุกอย่าง
แต่ไม่มีตัวขันธ์ 5 ที่เป็นตัวเจตนากรรมอันเป็นเหตุสร้างตัวสร้าง ขึ้นมาทำงาน

ที่โยมเห็นด้วยนั้น ก็คือเมื่อไม่มีการสร้าง ก็จะไม่มีการเสื่อม
การเสื่อม การเปลี่ยนแปลง การแปรปรวน การดับสลายใดๆ ล้วนเกิดจากเหตุที่มีการสร้างนั้นเอง

ความว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นี้ก็เหมือนกัน
ปัญหาอยู่ตรงที่ ความว่างที่ว่านี้ เป็นว่างที่เกิดจากการสร้างขึ้นมาหรือไม่
ถ้าเป็นความว่างที่เกิดจากการสร้างขึ้นมา ความว่างที่ว่านี้ ก็จะหนีความเสื่อมไปไม่พ้นอยู่ดี

แต่หากว่าความว่าง เป็นความว่างที่ไม่ได้เกิดจากการสร้างขึ้นมา
ความว่างนี้ ก็จะไม่มีวันเสื่อมแต่ประการใด ครับ.


ว่าง ที่เป็นว่างที่เกิดจากการสร้างขึ้นมา ย่อมมีการเสื่อมดับสลาย
ว่าง ที่เป็นว่างที่ปราศจากการสร้าง ย่อมพ้นจากคำว่าเสื่อมดับสลาย


เฝ้าติดตามดู เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ " รอยเท้าสัตว์ย่อมรวมลงในรอยเท้าช้างฉันใด ก็ฉันนั้น นั่นเอง"
จิตหากมิมีเจตสิกก็คือจิตบริสุทธิ์ เป็นการรู้เท่าทันปรุงแต่ง จึ่งมิปรุงแต่ง นั่นเอง คห.ส่วนตัว สักว่ารู้ สักว่าดู ตามความเป็นจริง ในกาย เวทนา จิต ธรรม ตามพระอริยสัจ นั่นเอง
จึ่งเกิดอัตโนมัติ บริสุทธิ์ ผ่องใส ประภัสสร สงบ เย็น เบากายและเบาใจ เป็นจุดเริ่มต้นวิปัสสนาที่แท้จริง

ถูกผิดประการขอกราบอนุโมนาและขออภัยพระคุณเจ้าเป็นอย่างสุงยิ่งค่ะ

:b41: :b41: :b41: :b48:

:b41: :b41:


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2010, 16:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


จิตหากมิมีเจตสิกก็คือจิตบริสุทธิ์

ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ ก็พึงมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูป
เป็นที่ตั้ง เข้าไปเสพเสวยความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
ฯลฯ
วิญญาณที่เข้าถึงสังขาร เมื่อตั้งอยู่ ก็พึงมีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง
เข้าไปเสพเสวยความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
ภิกษุทั้งหลาย เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘เราจักบัญญัติการมา
การไป การจุติ การอุบัติ หรือความเจริญงอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ เว้นจากรูป
เวทนา สัญญา สังขาร’



เจตสิก ก็คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์


๗. จิตตสหภูทุกะ
[๑๕๓๗] สภาวธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต เป็นไฉน
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ กายวิญญัติ และวจีวิญญัติ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่าเกิดพร้อมกับจิต
[๑๕๓๘] สภาวธรรมที่ไม่เกิดพร้อมกับจิต เป็นไฉน
จิต รูปที่เหลือ และนิพพาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าไม่เกิดพร้อมกับจิต

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 12:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญพร...อาตมารับนิมนต์ที่โยมนิมนต์ให้แสงธรรมต่อ
อาตมาเห็นด้วยกับสิ่งที่โยมกล่าว ในเรื่องของความคิดเห็นเป็นเรื่องของทิฏฐิ มิใช่สัจธรรม แต่กับบุคคลผู้มีความเห็นแย้งออกไปและจิตคิดขัดแย้งก็สามารถทำให้เกิดกรรมกระทบในทางลบสะท้อนกลับไปที่ตัวบุคคลนั้นได้เช่นกัน และเพื่อเป็นการป้องกันกรรมในส่วนนั้นในบุคคลอีกหลายฝ่าย อาตมาจึงขอแสดงธรรมต่อใน apicha.chaochawanil@signgmail.com ซึ่งเป็นอีเมล์แอดเดรสของโยมมารดา ซึ่งท่านอนุเคราะห์ให้ใช้อีเมลล์ของท่านได้ ขอเจริญพร..


โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 14:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2010, 09:20
โพสต์: 16


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอแก้ไขเวปไซด์อีเมลล์เป็น apicha.chaochawanil@gmail.com ขอเจริญพร...


โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 14:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

:b16: ขอบคุณค่ะ...

ท่านอนัตตา...เป็นนิมิตหมายอันดีในการแลกเปลี่ยนทัศนะทางธรรมค่ะ...

:b8: กราบขอบพระคุณพระคุณเจ้าด้วยนะคะ...

อิ อิ แบบว่าถ้าเอกอนเปิ่น ๆ อย่าถือสาเอกอนนะคะ...
เอกอนไม่ค่อยได้เข้าไปสนทนากับพระ...
ภาษาที่ใช้ในการสนทนากับพระจึงไม่ถนัดเลย... :b9:
ถ้าเอกอนใช้ภาษาผิด...พระคุณเจ้าตักเตือนด้วยนะคะ...

ท่านอนัตตา... กระทุ้งเอกอนบ้างนะ...

:b15:

:b8:


โพสต์ เมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร