วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 01:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 94 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2011, 18:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:

คำว่า ภพ องค์ธรรมคือ เจตนาเจตสิก ซึ่งก็คือกรรมนั่นเอง
บางแห่งพูดว่า กัมมภพ ไปเลย
บางที่ก็พูดว่า ภพในใจ
.......
คนเรา มีการสร้างภพในใจอยู่ตลอดเวลา หลังจากผัสสะ

........
เหล่านี้คือ ภพในใจ

ภพในใจ ของแต่ละคน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แล้วแต่ว่าจะผัสสะเรื่องอะไร

ตัวสภาพจิต หรือภพในใจ อันนี้
หากคนเราตายทันที จะส่งผลให้ไปเกิดเป็นสิ่งนั้นๆ ภพนั้นๆ ตามภพในใจในขณะนั้น
เรียกว่า ชาติ



หากเรายังไม่ตายขณะนั้น...ภพที่เกิดในใจ...จะมีการจัดเก็บใว้บ้างหรือเปล่าหนอ?

เก็บในสัญญาอะไรทำนองนั้นนะ :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2011, 20:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เก็บไปเพื่ออะไรครับ

มันมีออกมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว

เก็บภพในใจที่แล้วๆ เอาไว้ด้วยเหตุผลอะไรครับ

เอาไว้ประมวลผล เพื่อส่งให้ไปเกิดตามภพที่มีจำนวนถี่กว่า หรือไงครับ

ตกกระไดพลอยกระโจน
จิตสุดท้าย ส่งผลให้ไปเกิด

ภพในใจล่าสุด ก่อนตาย จะส่งผลให้ไปเกิด เป็นอะไรอยู่แล้ว

น่าจะไม่ต้องเก็บไว้กระมังครับ

แต่กิเลส นี่เก็บแน่

กิเลสจะถูกเก็บ เอาไว้ในกมลสันดาน

หนาขึ้น หนาขึ้น ..............จึงได้ชื่อว่า ปุถุชน แปลว่า คนหนา

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2011, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ว..กรรมเก่าจะมีความหมายอะไร??

สงสัยต่อ? s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 05:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อาการยึดมั่นใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขาดตกอีกตัวหนึ่งครับ คือ รูป
คือ การยึดมั่นในขันธ์ 5 (รวมนะครับไม่ใช่แยกกัน) ยึดว่านี้คือตัวเรา นี่ของกู นี่หน้าตาเรา นี่หุ่นของเรา นี่คือผิวพรรณของเรา นี่แหละคือการยึดมั่นใน (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ทุกอย่างไม่เที่ยงเกิดจากเหตุและปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้นสุดท้ายแตกสลายหายไป ไม่มีตัวตน

อธิบายมาก็ใช่ครับแต่มันคนละเรื่อง ในกระบวนการของปฏิจจฯท่านเน้น
ให้เห็นถึงเหตุปัจจัยแห่งการเกิดในภพชาติหนึ่งๆ ในวงปฏิจจฯมันครอบคลุมไปด้วย
อวิชาหรือความยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว เรื่องรูปนามชี้ให้เห็นว่า เมื่อมีสังขาร มีวิญญาณ
ย่อมต้องเกิดรูปตามมาอยู่แล้ว ตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา
ดังนั้นการเอาเรื่องการยึดตัวตนรูปนาม มาอธิบายในเรื่องปฏิจจฯ(การเกิด)มันจึงเป็นคนละเรื่อง

พระอริยะบุคคลที่สามารถละเรื่องความยึดมั่นในรูปนามแล้ว รูปนามของท่าน
ก็ยังอยู่ในกระบวนการปฏิจจฯแห่งการเกิด

จะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ที่รูปนามไม่ได้ขึ้นอยู่กับวงปฏิจจฯแห่งการเกิด
พระอรหันต์สามารถดับวงปฏิจจฯได้ทั้งวงแล้ว
ทุกอย่างดับหมด เปลี่ยนเป็นวิชชา รู้แจ้งแทงตลอดแล้วครับ

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เมื่อเรายึดมั่นอย่างนี้ทำให้เราเกิดความพอใจ ไม่พอใจ ในตัวตนของเราทำให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดอุปทาน คือ การยึดมั่นเพื่อตอบสนองตัณหาตนเอง ทำให้เกิดภพตามมา ภพ คือการตัดสินใจ /ตกลงใจ หรือเจตนา ชาติก็ตามมา ชาติ คือ การเกิดของทุกข์

ทำไมในวงปฏิจจฯท่านถึงกำหนดให้รูปนามอยู่ในส่วนเดี่ยวกัน พออธิบายได้ดังนี้
รูปหรือร่างกายปัจจุบัน มีเหตุปัจจัยมาจากวิญญาณหรือนามเก่า(เชื้อกิเสลที่เป็นสันตติ)
เมื่อเกิดเป็นรูปหรือร่างกายแล้ว รูปนี้จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนามใหม่ต่อไป
นามในภพชาติปัจจุบัน จะเกิดขึ้นได้ต้องมีรูปหรือร่างกายเป็นองค์ประกอบ
ในการเกิดนาม

ไอ้เรื่องความพอใจหรือไม่พอใจที่เกี่ยวกับเวทนา จะพูดว่าเพราะไปยึดมั่นพูดแบบนี้
มันไม่ถูกเสียที่เดียว เพราะทุกอย่างมันถูกครอบคลุมด้วยความยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว

ในเมื่อมันมีเหตุปัจจัยแห่งการเกิด มันย่อมมีผลตามมาหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมีรูปนาม ย่อมต้องมีสฬายตนะ แล้วย่อมต้องมีผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะย่อมต้องเกิดเวทนา

การปฏิบัติเพื่อดับกิเสล มันเป็นการไปรู้เวทนาที่เกิดจากผัสสะเป็นครั้งๆ
เขาไม่ได้ไปดับเวทนา สิ่งที่เขาดับคือจิตสังขาร ดับการปรุงแต่ง

การดับวงปฏิจจฯนอกจากพระอรหันต์ไม่มีใครดับได้
กิเลสหรือสังโยชน์10ทุกตัวก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการปฏิจจฯ

ดังนั้นการดับกิเลสของปุถุชนจนถึงอริยะขั้นเสขะ เขาดับการปรุงแต่ง
ของกระบวนการในวงปฏิจจฯ วงปฏิจจฯมีให้รู้ไม่ได้ให้ดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 06:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อืมส์ คุณกบนอกกะลา ..........................ถามได้ดีครับ

ผมเองก็คาดเดาครับ

คิดว่า น่าจะเป็นอย่างนั้นๆ โดยประมวลความรู้เอาจากคำของครูบาอาจารย์ต่างๆ
เช่นหลวงปู่ หลวงพ่อต่างๆ และคัมภีร์ที่น่าเชื่อถือต่างๆ

ตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา

แล้วเสนอเป็นความคิดเห็น ซึ่งอาจจะไม่สมบูรณ์หรืออาจไม่ถูกต้องเลยก็เป็นได้ครับ
เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ

ภพ ในที่นี้คือกัมภพ เจตนา หรือมโนกรรม นั่นเอง

เรามาดูคำอุปมาอุปมัย ของคนสมัยก่อน น่าจะเป็นพระนาคเสน
อุปมาว่า

เหมือนผลมะม่วง ช่วงที่เราปลูก ยังเล็กๆ แล้วก็เติบโต แล้วก็ออกดอก แล้วก็ให้ผล
ถามว่า ผลที่ได้ ก่อนนั้นถูกเก็บเอาไว้ที่ใด ที่ดอกหรือ ที่รากหรือ ที่ต้นหรือ
คือพอถึงเวลา มันก็ให้ผลออกมา


อ้างคำพูด:
ปัญหาที่ ๘ ถามถึงที่อยู่แห่งผลกรรม

“ ข้าแต่พระนาคเสน กรรมดีและกรรมชั่ว ที่บุคคลทำด้วยนามรูปนี้ไปอยู่ที่ไหน ? ”
“ ขอถวายพระพร ติดตามผู้ทำไปเหมือนกับเงาตามตัว ”
“ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้หรือไม่ว่า กรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ? ”
“ ขอถวายพระพร ไม่อาจชี้ได้ ”
“ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ยังไม่มีผล มหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่าผลอยู่ที่ไหน ? ”
“ ไม่อาจชี้ได้ พระผู้เป็นเจ้า ”
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อการสืบต่อยังไม่ขาด ก็ไม่อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้ว่ากรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ”
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
“ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 07:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ไม่อาจชี้ได้....ว่า...อยู่ที่ไหน...

แสดงว่ามี...แต่ไม่อาจจะชี้ว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้ได้

เหมือนกับ..เมล็ดพืช..ที่เราชี้ไม่ได้ว่า..ลำตนถูกเก็บอยู่ตรงไหน...ใบอยู่ตรงไหน..ของเมล็ด

เป็นไปได้มั้ย...ว่า...ที่ ๆ ของมันเล็กกว่านิ้วเราชี้...เล็กเกินกว่าที่เราจะเห็น...เราไม่เคยเห็นมันจึงพ้นจากจินตนาการของเรา...แต่..ความมีของมันนั้น..ยังมีอยู่

พวกที่เชื่อเรื่องจิตไม่ตาย...เรื่องนี้ก็ดูจะง่าย ๆ

เชื่อเรื่องมีเพียงแต่จิตเกิดดับ...เรื่องกรรมเก่าคงต้องฝากใว้กับ..เจ้ากรรมนายเวณ..พระยายม..อากาศ..ฯลฯ...ถึงหาที่ฝากได้แต่ก็ไม่ลงใจ 100%

ใช่มั้ย?

คิดไปเรื่อย...?? s006 s006 s006


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 01 ธ.ค. 2011, 20:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2011, 17:04
โพสต์: 133


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
จูฬกัมมวิภังคสูตร (๑๓๕)

[๕๗๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล สุภมาณพ โตเทยยบุตร
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วได้ทักทายปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค
ครั้นผ่านคำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

[๕๘๐] สุภมาณพ โตเทยยบุตร พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย
ให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ ปรากฏความเลวและความประณีต คือ มนุษย์
ทั้งหลายย่อมปรากฏมีอายุสั้น มีอายุยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย มีผิวพรรณทราม
มีผิวพรรณงาม มีศักดาน้อย มีศักดามาก มีโภคะน้อย มีโภคะมาก เกิดใน
สกุลต่ำ เกิดในสกุลสูง ไร้ปัญญา มีปัญญา ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล
เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ ปรากฏความเลวและความ
ประณีต ฯ


[๕๘๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็น
ของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรม
เป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้ ฯ


ส. ข้าพระองค์ย่อมไม่ทราบเนื้อความโดยพิสดารของอุเทศที่พระโคดมผู้-
*เจริญตรัสโดยย่อ มิได้จำแนกเนื้อความโดยพิสดารนี้ได้ ขอพระโคดมผู้เจริญ
ได้โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ โดยประการที่ข้าพระองค์จะพึงทราบเนื้อความ
แห่งอุเทศนี้โดยพิสดารได้เถิด ฯ

พ. ดูกรมาณพ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าวต่อไป
สุภมาณพ โตเทยยบุตร ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระเจ้าข้า ฯ

[๕๘๒] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรมาณพ บุคคลบางคนใน
โลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคน
เหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์
มีชีวิต เขาตายไป จะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขา
ให้พรั่งพร้อม สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ถ้ามาเป็นมนุษย์ เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุสั้น ดูกรมาณพ
ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้นนี้ คือ เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคน
เหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์
มีชีวิต ฯ

[๕๘๓] ดูกรมาณพ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษ
ก็ตาม ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาตราได้
มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่
เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อม
สมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์
เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุยืน ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อ
มีอายุยืนนี้ คือ ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา
วางศาตราได้ มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลใน
สรรพสัตว์และภูตอยู่ ฯ
...
อ่านต่อ http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 623&Z=7798


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 08:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 15:36
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติเพื่อดับกิเสล มันเป็นการไปรู้เวทนาที่เกิดจากผัสสะเป็นครั้งๆ
เขาไม่ได้ไปดับเวทนา สิ่งที่เขาดับคือจิตสังขาร ดับการปรุงแต่ง

การดับวงปฏิจจฯนอกจากพระอรหันต์ไม่มีใครดับได้
กิเลสหรือสังโยชน์10ทุกตัวก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการปฏิจจฯ

ดังนั้นการดับกิเลสของปุถุชนจนถึงอริยะขั้นเสขะ เขาดับการปรุงแต่ง
ของกระบวนการในวงปฏิจจฯ วงปฏิจจฯมีให้รู้ไม่ได้ให้ดับ


ทำไมไม่ดับที่อวิชชาละครับ เพราะผัสสะไม่ใช่เหตุ มีแต่วิชา ก็คือมรรค8 ที่ใช้ดับอวิชชาคือต้นเหตุ
ตามอริยสัจ4


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 09:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนบ้านเดียวกัน เขียน:
การปฏิบัติเพื่อดับกิเสล มันเป็นการไปรู้เวทนาที่เกิดจากผัสสะเป็นครั้งๆ
เขาไม่ได้ไปดับเวทนา สิ่งที่เขาดับคือจิตสังขาร ดับการปรุงแต่ง

การดับวงปฏิจจฯนอกจากพระอรหันต์ไม่มีใครดับได้
กิเลสหรือสังโยชน์10ทุกตัวก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการปฏิจจฯ

ดังนั้นการดับกิเลสของปุถุชนจนถึงอริยะขั้นเสขะ เขาดับการปรุงแต่ง
ของกระบวนการในวงปฏิจจฯ วงปฏิจจฯมีให้รู้ไม่ได้ให้ดับ


ทำไมไม่ดับที่อวิชชาละครับ เพราะผัสสะไม่ใช่เหตุ มีแต่วิชา ก็คือมรรค8 ที่ใช้ดับอวิชชาคือต้นเหตุ
ตามอริยสัจ4

ก่อนอื่นผมต้องขอโทษที่จะบอกว่า การอธิบายความเรื่องปฏิจจฯของหลายๆท่าน
มันพูดหรืออธิบายด้วยความคลาดเคลื่อน ผิดขั้นผิดตอน ปฏิจจฯสมุบาทจะอธิบาย
จากการอ่าน การจำไม่ได้

ฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอน หรือถ้าอยากรู้จริงๆในแง่ของปริยัติ
ก็ควรทำความเข้าใจกับ อริยสัจจ์สี่เสียก่อน
แต่ไม่เป็นไรครับ จะอธิบายให้เข้าใจเล็กๆครับ

เรามาทำความเข้าใจกับวงปฏิจจสมุบาทกันก่อนครับ
วงปฏิจจฯ เปรียบเสมือนแผนผังวงจรชีวิตของมนุษย์ในชาติหนึ่งๆครับ
วงปฏิจจฯวงหนึ่งเทียบได้กับชาติหนึ่ง

ช่วงรอยต่อระหว่างอดีตชาติกับชาติปัจจุบันก็คือ สังขารกับวิญญาณ
ในวงปฏิจจฯว่ากันตามจริงแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน
มีอย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกอย่างย่อมเกิดตามมา
การดับวงปฏิจจฯดับได้อย่างหนึ่งทุกอย่างก็ดับ เพราะมันไม่มีเหตุเชื่อมต่อ

การที่วงปฏิจจฯมีในส่วนของอวิชาไว้ ก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่า สิ่งที่จิตไปยึดมั่น
ถือมั่นในขบวนการของปฏิจจฯ มันทำให้เกิดเชื้อหรือเหตุปัจจัยส่งต่อไปสู่
ชาติหน้า ท่านว่าเราต้องปฏิบัติจนบรรลุถึงขั้นอรหันต์เพื่อจะได้มาตัดช่วง
รอยต่อภพชาติจะได้ไม่ต้องไปเกิดอีกเพราะสิ้นเชื้อแล้ว

ที่ท่านเอาบัญญัติอวิชามาไว้ตรงรอยต่อระหว่างภพชาติกับสังขาร
ก็เพื่อให้เข้าใจว่า ถ้าเราปฏิบัติจนถึงขั้นอรหันต์นิพพานแล้ว
จะเป็นการตัดภพชาติไม่ให้เกิดสังขารต่อ อันเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด

อันที่จริงคนที่รู้เรื่องปฏิจจฯ ย่อมต้องรู้ว่า วงปฏิจจฯมันไม่ได้มีอะไร
เพียงแต่ มันเป็นผังของอรหันต์การไปนิพพาน มันไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติ

เรื่องการปฏิบัติมันอยู่ในการรู้อริยสัจสี่และปฏิบัติมรรคมีองค์แปด
เพื่อให้ได้วิชชามาตัดวงจรปฏิจจฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนบ้านเดียวกัน เขียน:
ทำไมไม่ดับที่อวิชชาละครับ เพราะผัสสะไม่ใช่เหตุ มีแต่วิชา ก็คือมรรค8 ที่ใช้ดับอวิชชาคือต้นเหตุ
ตามอริยสัจ4

ที่คุณแสดงความเห็นแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าคุณกำลังสับสน
ซึ่งก็เหมือนกับหลายๆคนในกระทู้ มันเป็นเพราะคุณไปเอาเรื่อง
อริยสัจจ์สี่มาอธิบายความผสมปนเปกับเรื่องปฏิจจ์ฯ เปรียบก็เหมือน
คนอยู่ชั้นประถมแต่มาคุยเรื่องมหาวิทยาลัย(ขอโทษที่เปรียบเทียบ)

จะบอกให้ครับเอาแค่ปุถุชน คุยเรื่องมรรคมีองค์แปดยังคุยในแบบ
ไปไหนมาสามวาสองศอกเลยครับ

จะอธิบายให้เข้าใจครับว่า ที่เรียกว่า อวิชาที่แปลว่าไม่รู้
อันที่จริงมันไม่มีอยู่ ในปุถุชนจนถึงอนาคามี อันที่จริง เป็นภพชาติแล้วก็
ไปเป็นสังขารเลย แต่ที่มีอวิชาไว้เพื่อจะบอกให้รู้ว่า ให้บุคคลไปปฏิบัติให้เกิดวิชชา
เพื่อมาตัดการเวียนว่ายตายเกิด ก็ตรงที่ท่านเอาบัญญัติว่าอวิชาไว้นั้นแหล่ะครับ


และมรรคมีองค์แปด ไม่ได้ไว้ดับอวิชา แต่มีไว้เป็นแนวทางปฏิบัติของอริยะ
เพื่อให้เกิดวิชชา และมันไม่ได้อาศัยมรรคอย่างเดียว จะต้องมีองค์ธรรมสามัคคี
37ประการ ที่เรียกว่าโพธิปักขิยธรรมครับ

คุณบ้านเดียวกันครับ เชื่อผมอย่าพึ่งมาสนใจกับเรื่องปฏิจจสมุบาท
เพราะมันจะทำให้คุณเสียเวลาไปเปล่าๆ แนะนำครับไปทำความเข้าใจเรื่อง
อริยสัจจสี่ ว่ามีความหมายอะไร แล้วก็ปฏิบัติในเรื่องสติ สมาธิเสียก่อนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2011, 11:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 15:36
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณที่ชี้แนะครับคุณ โฮฮับ
ข้อสงสัยผมที่เกิดขึ้นเพราะผมชอบอ่านหนังสือท่านพุทธทาส เรื่องปฏิจจสมุปบาท และยังไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าจะคุยกับท่านได้อย่างไรเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบ้ติครับ ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2011, 13:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2011, 15:47
โพสต์: 539


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
อาการยึดมั่นใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขาดตกอีกตัวหนึ่งครับ คือ รูป
คือ การยึดมั่นในขันธ์ 5 (รวมนะครับไม่ใช่แยกกัน) ยึดว่านี้คือตัวเรา นี่ของกู นี่หน้าตาเรา นี่หุ่นของเรา นี่คือผิวพรรณของเรา นี่แหละคือการยึดมั่นใน (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ทุกอย่างไม่เที่ยงเกิดจากเหตุและปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้นสุดท้ายแตกสลายหายไป ไม่มีตัวตน

อธิบายมาก็ใช่ครับแต่มันคนละเรื่อง ในกระบวนการของปฏิจจฯท่านเน้น
ให้เห็นถึงเหตุปัจจัยแห่งการเกิดในภพชาติหนึ่งๆ ในวงปฏิจจฯมันครอบคลุมไปด้วย
อวิชาหรือความยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว เรื่องรูปนามชี้ให้เห็นว่า เมื่อมีสังขาร มีวิญญาณ
ย่อมต้องเกิดรูปตามมาอยู่แล้ว ตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา
ดังนั้นการเอาเรื่องการยึดตัวตนรูปนาม มาอธิบายในเรื่องปฏิจจฯ(การเกิด)มันจึงเป็นคนละเรื่อง

พระอริยะบุคคลที่สามารถละเรื่องความยึดมั่นในรูปนามแล้ว รูปนามของท่าน
ก็ยังอยู่ในกระบวนการปฏิจจฯแห่งการเกิด

จะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น ที่รูปนามไม่ได้ขึ้นอยู่กับวงปฏิจจฯแห่งการเกิด
พระอรหันต์สามารถดับวงปฏิจจฯได้ทั้งวงแล้ว
ทุกอย่างดับหมด เปลี่ยนเป็นวิชชา รู้แจ้งแทงตลอดแล้วครับ

ไม่เที่ยง เกิดดับ เขียน:
เมื่อเรายึดมั่นอย่างนี้ทำให้เราเกิดความพอใจ ไม่พอใจ ในตัวตนของเราทำให้เกิดตัณหา ตัณหาทำให้เกิดอุปทาน คือ การยึดมั่นเพื่อตอบสนองตัณหาตนเอง ทำให้เกิดภพตามมา ภพ คือการตัดสินใจ /ตกลงใจ หรือเจตนา ชาติก็ตามมา ชาติ คือ การเกิดของทุกข์

ทำไมในวงปฏิจจฯท่านถึงกำหนดให้รูปนามอยู่ในส่วนเดี่ยวกัน พออธิบายได้ดังนี้
รูปหรือร่างกายปัจจุบัน มีเหตุปัจจัยมาจากวิญญาณหรือนามเก่า(เชื้อกิเสลที่เป็นสันตติ)
เมื่อเกิดเป็นรูปหรือร่างกายแล้ว รูปนี้จะเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนามใหม่ต่อไป
นามในภพชาติปัจจุบัน จะเกิดขึ้นได้ต้องมีรูปหรือร่างกายเป็นองค์ประกอบ

ในการเกิดนาม

ไอ้เรื่องความพอใจหรือไม่พอใจที่เกี่ยวกับเวทนา จะพูดว่าเพราะไปยึดมั่นพูดแบบนี้
มันไม่ถูกเสียที่เดียว เพราะทุกอย่างมันถูกครอบคลุมด้วยความยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว

ในเมื่อมันมีเหตุปัจจัยแห่งการเกิด มันย่อมมีผลตามมาหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมีรูปนาม ย่อมต้องมีสฬายตนะ แล้วย่อมต้องมีผัสสะ เมื่อเกิดผัสสะย่อมต้องเกิดเวทนา

การปฏิบัติเพื่อดับกิเสล มันเป็นการไปรู้เวทนาที่เกิดจากผัสสะเป็นครั้งๆ
เขาไม่ได้ไปดับเวทนา สิ่งที่เขาดับคือจิตสังขาร ดับการปรุงแต่ง

การดับวงปฏิจจฯนอกจากพระอรหันต์ไม่มีใครดับได้
กิเลสหรือสังโยชน์10ทุกตัวก็ขึ้นอยู่กับกระบวนการปฏิจจฯ

ดังนั้นการดับกิเลสของปุถุชนจนถึงอริยะขั้นเสขะ เขาดับการปรุงแต่ง
ของกระบวนการในวงปฏิจจฯ วงปฏิจจฯมีให้รู้ไม่ได้ให้ดับ


ใช่ครับ น่าจะไม่ใช่ดับที่เวทนาครับ แต่เป็นการดับที่สังขารก่อนถึงเวทนา เพราะเมื่อถึงเวทนา ตัณหา และ อุปทานตามมาทันที
เราจะหยุดไม่ให้เกิดเวทนาได้อย่างไรก็เอาความจริงดับความเชื่อ ความจริงที่ว่า คือ ไม่เที่ยง เกิดดับ
เราจะเห็นอย่างนี้ได้ก็ต้องฝึกจากขันธ์5 และสิ่งกระทบอินทรีย์ 6 ทำให้เกิดปัญญา นำมาดับการปรุงแต่ง
ก่อนถึงเวทนา ส่วนกฏปฏิจจสมุปบาทก็มีกฎอิทัปปจจยตาอธิบายอยู่ในทุกขั้นตอน


นาม ( เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ก็คือนามใหม่
รูป (ดิน น้ำ ลม ไฟ)
นาม + รูป ก็กลายเป็นขันธ์ 5 หรือ มนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์ย่อมมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เมื่อมีสพายตนะย่อมมีผัสสะ เมื่อมีผัสสะย่อมเกิดกระบวนการของ จิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2011, 14:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 15:36
โพสต์: 7


 ข้อมูลส่วนตัว


เรามาทำความเข้าใจกับวงปฏิจจสมุบาทกันก่อนครับ
วงปฏิจจฯ เปรียบเสมือนแผนผังวงจรชีวิตของมนุษย์ในชาติหนึ่งๆครับ
วงปฏิจจฯวงหนึ่งเทียบได้กับชาติหนึ่ง

ช่วงรอยต่อระหว่างอดีตชาติกับชาติปัจจุบันก็คือ สังขารกับวิญญาณ
ในวงปฏิจจฯว่ากันตามจริงแล้ว
ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน
มีอย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกอย่างย่อมเกิดตามมา
การดับวงปฏิจจฯดับได้อย่างหนึ่งทุกอย่างก็ดับ เพราะมันไม่มีเหตุเชื่อมต่อ

การที่วงปฏิจจฯมีในส่วนของอวิชาไว้ ก็เพื่อจะบอกให้รู้ว่า สิ่งที่จิตไปยึดมั่น
ถือมั่นในขบวนการของปฏิจจฯ มันทำให้เกิดเชื้อหรือเหตุปัจจัยส่งต่อไปสู่
ชาติหน้า ท่านว่าเราต้องปฏิบัติจนบรรลุถึงขั้นอรหันต์เพื่อจะได้มาตัดช่วง
รอยต่อภพชาติจะได้ไม่ต้องไปเกิดอีกเพราะสิ้นเชื้อแล้ว

ที่ท่านเอาบัญญัติอวิชามาไว้ตรงรอยต่อระหว่างภพชาติกับสังขาร
ก็เพื่อให้เข้าใจว่า ถ้าเราปฏิบัติจนถึงขั้นอรหันต์นิพพานแล้ว
จะเป็นการตัดภพชาติไม่ให้เกิดสังขารต่อ อันเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด

อันที่จริงคนที่รู้เรื่องปฏิจจฯ ย่อมต้องรู้ว่า วงปฏิจจฯมันไม่ได้มีอะไร
เพียงแต่ มันเป็นผังของอรหันต์การไปนิพพาน มันไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติ

เรื่องการปฏิบัติมันอยู่ในการรู้อริยสัจสี่และปฏิบัติมรรคมีองค์แปด
เพื่อให้ได้วิชชามาตัดวงจรปฏิจจฯ


การอธิบายวงจรปฏิจจสุปบาทแบบคร่อมภพคร่อมชาติ ท่านพุทธทาสท่านกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ผิด
ถ้าไม่มีอวิชชาเป็นเรือนแล้วก็ไม่เกิดทุกข์ วงจรปฏิจจสมุปบาทจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีอวิชชาเป็นเรือนตามที่ผมได้อ่านมาจากหนังสือของท่านเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท ผิดประการใดขออภัยด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนบ้านเดียวกัน เขียน:
การอธิบายวงจรปฏิจจสุปบาทแบบคร่อมภพคร่อมชาติ ท่านพุทธทาสท่านกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ผิด
ถ้าไม่มีอวิชชาเป็นเรือนแล้วก็ไม่เกิดทุกข์ วงจรปฏิจจสมุปบาทจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีอวิชชาเป็นเรือนตามที่ผมได้อ่านมาจากหนังสือของท่านเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท ผิดประการใดขออภัยด้วยครับ

แนะนำครับ ที่หน้าที่หลัง ถ้ารู้สึกไม่เห็นด้วยกับความเห็นใคร
กรุณาอย่าเอาชื่อครูบาอาอาจารย์มาเกี่ยวข้องนะครับ เพราะมันจะไปกระทบ
จิตใจคนอื่นเขาครับ เอาแค่บอกว่า เคยศึกษาเคยปฏิบัติมาก็พอครับ

แล้วอีกอย่างครับ อย่าได้แสดงความเห็นในลักษณะที่เป็นคำพูดลอยๆ
แล้วอ้างชื่อครูบาอาจารย์หรืออ้างพระไตรปิฎก คุณแน่ใจแค่ไหนว่าเข้าใจ
คำสอนของท่านเหล่านั้นดีพอ หรือตีความในสิ่งที่ท่านกล่าวท่านสอนถูกต้อง
พระไตรปิฎกก็เช่นกันครับ

ที่ถูกควรลิ้งที่มาของบทความคำสอนนั้นด้วยครับ
จะได้ช่วยกันตีความ จะได้รู้ว่าผิดถูกตรงไหน
แต่อย่างไรก็พิจารณาชื่อของครูบาอาจารย์ให้มากๆ
ว่าจะไปกระทบท่านหรือเปล่าครับ

พูดให้ฟังสั้นๆครับ เพราะได้เคยบอกไว้แล้วว่า
ถ้ายังไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจจ์สี่ และยังไม่ปฏิบัติเรื่องสติ
ให้เกิดปัญญา ก็จะยังไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้

เอาแค่สมมุติบัญญัติครับว่า ......
อวิชาแปลว่า ความไม่รู้
ความไม่รู้หมายถึงความไม่มี

ความไม่รู้ไม่ได้หมายถึงความโง่หรือความฉลาด
การจะบอกว่าผู้ใดโง่หรือฉลาดได้ บุคคลจะต้องได้รับการอบรมสั่งสอนเสียก่อน
เราจึงจะบอกได้ผู้ใดโง่หรือฉลาด

บุคคลสองคน คนหนึ่งรู้ อีกคนไม่รู้ไม่ได้หมายถึงว่า คนที่รู้ฉลาดกว่าคนที่ไม่รู้
จะรู้ได้อย่างไรว่า บุคคลทั้งสองใครฉลาดใครโง่ ต้องให้เขาได้เรียนในสิ่งที่เหมือนกัน
แล้วดูว่าใครนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่ากัน

เปรียบกับพระอรหันต์ในศาสนาพุทธ ท่านย่อมต้องมีวิชชาในศาสนาพุทธ
แต่ถ้าเอาไปเปรียบกับศาสนาอื่น ท่านย่อมต้องมี อวิชาในศาสนาอื่น
ท่านนบีมุฮะหมัดย่อมต้องมีวิชชาในศาสนาอิสลาม แต่มี อวิชาในศาสนาพุทธ

อวิชชาแท้จริงแล้ว มันคือความไม่มีอยู่ อวิชามันต้องมีองค์ประกอบ
ที่สำคัญ คือ ความศรัทธา ถ้าเราศรัทธาในสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว
เรายังไม่รู้เรื่องราวในสิ่งที่เราศรัทธา แบบนี้จึงจะเรียกว่าอวิชาครับ


.. ถ้าคุณเรียนแพทย์คุณย่อมต้องมีวิชชาที่เกี่ยวกับแพทย์ แต่มีอวิชาในเรื่องเกษตร
สรุปก็คือ อวิชชาคือสิ่งที่เรายังไม่รู้หรือสนใจที่จะรู้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนบ้านเดียวกัน เขียน:
.....
อันที่จริงคนที่รู้เรื่องปฏิจจฯ ย่อมต้องรู้ว่า วงปฏิจจฯมันไม่ได้มีอะไร
เพียงแต่ มันเป็นผังของอรหันต์การไปนิพพาน มันไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติ
....
เรื่องการปฏิบัติมันอยู่ในการรู้อริยสัจสี่และปฏิบัติมรรคมีองค์แปด
เพื่อให้ได้วิชชามาตัดวงจรปฏิจจฯ
.....


สมุทัย..นี้...อยู่ในอริยะสัจ 4 มั้ย?? :b12: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 94 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร