วันเวลาปัจจุบัน 17 ส.ค. 2025, 08:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.พ. 2012, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
asoka ชี้แจง
(2 พลาด นี่แหละทำให้ยุ่งยากและสับสน ตอนคุณเจริญสติปัฏฐานคุณไม่ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงบอกหรือว่า กาเยกายา....เวทนาสุเวทนา......จิตเตจิตา......ธัมมเมสุธัมมา นุปัสสีวิหารติ อาตาปีสัมปฌาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อภิชฌาโทมนัสสัง คุณเอาสติไประลึกรู้สัมมาปัญาอย่างไไหนลองอธิบายให้ดูซิว่าสติปัฏฐาน 4 ตามแนวของโฮฮับนั้นเป็นอย่างไร ไ/ม่เหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือ รู้สึกว่าโฮฮับจะทำตัวเก่งกว่าพระพุทธบิดาแล้วนะ เพราะบัญญัติสติปัฏฐาน 4 แนวใหม่ขึ้นมา):

ผมว่าเป็นคุณนั้นแหล่ะที่ทำตัวเก่งกว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติไปตามลำดับ ตามขั้นตอนแต่ตัวเองไม่สนใจ

คุณเป็นแค่เด็กวัด อยากขึ้นธรรมมาสน์ เจ้าอาวาสบอกขึ้นไม่ได้
ต้องบวชพระหรือไม่ก็บวชเณรเป็นอย่างน้อย คุณก็ดื้อด้านจะขึ้นให้ได้
พอเจ้าอาวาสไม่อยู่ก็แอบปีนขึ้นไป ขึ้นไปแล้วแทนที่จะเทศน์ให้ญาติโยมฟัง
กลับไปท่องอาขยาน เรื่องเด็กเอ๋ยเด็กดี :b13:

อีกอย่างครับคุณโสกะ คุณจะเอาบาลีมาใส่ไว้ในความเห็นทำไมครับ
ดูแล้วเหมือนหัวล้านพกหวี ตาบอดใส่แว่นกันแดดครับ :b13:


เรื่องสติปัสฐานสี่ไว้ว่างๆจะเข้ามาเทศน์ให้ฟัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 07:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
asoka ชี้แจง
(2 พลาด นี่แหละทำให้ยุ่งยากและสับสน ตอนคุณเจริญสติปัฏฐานคุณไม่ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงบอกหรือว่า กาเยกายา....เวทนาสุเวทนา......จิตเตจิตา......ธัมมเมสุธัมมา นุปัสสีวิหารติ อาตาปีสัมปฌาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อภิชฌาโทมนัสสัง คุณเอาสติไประลึกรู้สัมมาปัญาอย่างไไหนลองอธิบายให้ดูซิว่าสติปัฏฐาน 4 ตามแนวของโฮฮับนั้นเป็นอย่างไร ไ/ม่เหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือ รู้สึกว่าโฮฮับจะทำตัวเก่งกว่าพระพุทธบิดาแล้วนะ เพราะบัญญัติสติปัฏฐาน 4 แนวใหม่ขึ้นมา):

ผมว่าเป็นคุณนั้นแหล่ะที่ทำตัวเก่งกว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติไปตามลำดับ ตามขั้นตอนแต่ตัวเองไม่สนใจ

คุณเป็นแค่เด็กวัด อยากขึ้นธรรมมาสน์ เจ้าอาวาสบอกขึ้นไม่ได้
ต้องบวชพระหรือไม่ก็บวชเณรเป็นอย่างน้อย คุณก็ดื้อด้านจะขึ้นให้ได้
พอเจ้าอาวาสไม่อยู่ก็แอบปีนขึ้นไป ขึ้นไปแล้วแทนที่จะเทศน์ให้ญาติโยมฟัง
กลับไปท่องอาขยาน เรื่องเด็กเอ๋ยเด็กดี :b13:

อีกอย่างครับคุณโสกะ คุณจะเอาบาลีมาใส่ไว้ในความเห็นทำไมครับ
ดูแล้วเหมือนหัวล้านพกหวี ตาบอดใส่แว่นกันแดดครับ :b13:


เรื่องสติปัสฐานสี่ไว้ว่างๆจะเข้ามาเทศน์ให้ฟัง

:b11:
นิมนต์มาเทศน์เร็วๆนะครับ ขอให้เป็นเทศน์จากปฏิบัติ การณ์จริง ไม่ใ ช่ลอกตำรามา เท ศ น์ น ะครั บ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 12:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
โฮฮับ เขียน:
asoka เขียน:
asoka ชี้แจง
(2 พลาด นี่แหละทำให้ยุ่งยากและสับสน ตอนคุณเจริญสติปัฏฐานคุณไม่ได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงบอกหรือว่า กาเยกายา....เวทนาสุเวทนา......จิตเตจิตา......ธัมมเมสุธัมมา นุปัสสีวิหารติ อาตาปีสัมปฌาโน สติมา วิเนยยะ โลเก อภิชฌาโทมนัสสัง คุณเอาสติไประลึกรู้สัมมาปัญาอย่างไไหนลองอธิบายให้ดูซิว่าสติปัฏฐาน 4 ตามแนวของโฮฮับนั้นเป็นอย่างไร ไ/ม่เหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือ รู้สึกว่าโฮฮับจะทำตัวเก่งกว่าพระพุทธบิดาแล้วนะ เพราะบัญญัติสติปัฏฐาน 4 แนวใหม่ขึ้นมา):

ผมว่าเป็นคุณนั้นแหล่ะที่ทำตัวเก่งกว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปฏิบัติไปตามลำดับ ตามขั้นตอนแต่ตัวเองไม่สนใจ

คุณเป็นแค่เด็กวัด อยากขึ้นธรรมมาสน์ เจ้าอาวาสบอกขึ้นไม่ได้
ต้องบวชพระหรือไม่ก็บวชเณรเป็นอย่างน้อย คุณก็ดื้อด้านจะขึ้นให้ได้
พอเจ้าอาวาสไม่อยู่ก็แอบปีนขึ้นไป ขึ้นไปแล้วแทนที่จะเทศน์ให้ญาติโยมฟัง
กลับไปท่องอาขยาน เรื่องเด็กเอ๋ยเด็กดี :b13:

อีกอย่างครับคุณโสกะ คุณจะเอาบาลีมาใส่ไว้ในความเห็นทำไมครับ
ดูแล้วเหมือนหัวล้านพกหวี ตาบอดใส่แว่นกันแดดครับ :b13:


เรื่องสติปัสฐานสี่ไว้ว่างๆจะเข้ามาเทศน์ให้ฟัง

:b11:
นิมนต์มาเทศน์เร็วๆนะครับ ขอให้เป็นเทศน์จากปฏิบัติ การณ์จริง ไม่ใ ช่ลอกตำรามา เท ศ น์ น ะครั บ
:b8:

ถ้าจะเอาเรื่องจากเหตุการณ์จริงก็ได้ โสกะมีเรื่องทุกข์อะไรไหนลองเล่ามา
เดี๋ยวเราจะสอนสติปัสฐานแก้ทุกข์ให้

เล่ามาเลยไม่ต้องอาย

อายครูบ่รู้วิชา อายเมียบ่ได้บุตร :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2012, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
สตินั้นเป็นผลของจิตที่ถูกอบรมด้วยปัญญา
สติ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ
1.สติธรรมดา หรือสติตามธรรมชาติ คือสติที่ถูกอบรมด้วยปัญญาตามธรรมชาติ เช่น การรู้ร้อน รู้หนาว รู้เจ็บรู้ปวด รู้สบาย รู้สุข รู้ทุกข์ ตัวอย่างเช่นเด็กทารกที่ไม่เคยรู้เรื่องความร้อนของไฟเมื่อเขาถูกไฟไหม้มือครั้งแรกที่สุดในชีวิต ปัญญาจะเกิดขึ้นมารู้จักความร้อนของไฟ หลังจากนั้น ความร้อนของไฟจะเป็นสัญญา ที่ถูกจดจำไว้ แล้วสติ จึงจะเกิดขึ้นมารู้ทัน ระลึกได้ ไม่ลืม ที่จะคุ้มครองตัวเองให้ระวังความร้อนจากไฟ ไม่ให้ถูกไฟไหม้มือหรือส่วนอื่นๆของร่างกายอีก

2.สัมมาสติ คือสติที่ถูกอบรมด้วยสัมมาปัญญาอันเป็นสุตตมยปัญญาก่อนโดยน้ำธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้รู้เรื่อง อริยสัจ 4 ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และวิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์

....ปัญญาสัมมาทิฐิ จะอบรมสติธรรมดาให้เป็นสัมมาสติ เบื้องแรกจะเป็นสัมมาปัญญาและสัมมาสติโดยทฤษฎีด้วย สุตตมยปัญญาเสียก่อน หลังจากนั้น จินตมยปัญญาจะมาอบรมปัญญาและสติให้เป็นสัมมายิ่งๆขึ้นไปด้วยเหตุและผล เมื่อถึงที่สุดได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อทดสอบและพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า สัมมาทิฐิและสัมมาสติที่สมบูรณ์เต็มร้อยจึงจะเกิดขึ้น รวมความว่า ปัญญาและสติ จะถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับแห่งธรรมเป็นสัมมามากขึ้นเรื่อยๆ จาก 5...10..15....20....25...50...75..จนถึงเป็นสัมมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในที่สุด

.....ดังนั้นการที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยกเอาปัญญามรรค สัมมาทิฐิและสัมมาสังกัปปะ มาเป็นมรรค 2 ข้่อแรกก่อนจึงมีนัยยะและอรรถสำคัญซ่อนอยู่เพราะ เมื่อมรรคข้อที่ 1 เป็นสัมมา มรรคข้อที่ 1 นั้นแหละจะไปเป็นผู้อบรมมรรคที่เหลืออีก 7 ข้อ ให้เป็นสัมมาตามกันไปหมด

สรุปความของกระทู้นี้จึงเป็นการมาบอกกล่าวว่า "ขอให้เห็นและให้ความสำคัญในการเจริญปัญญาให้เป็นสัมมาปัญญานำหน้าก่อน แล้วศีล สติ สมาธิ จึงจะเป็นสัมมาตาม แล้วนำไปสู่ มรรค ผล นิพพาน ที่ถูกต้อง เรียบง่ายและเป็นไปตามธรรมในที่สุด


ต้องขออภัยต่อเจ้าของกระทู้ อย่าหาว่าข้าพเจ้าขัดคอหรืออย่าหาว่าข้าพเจ้าก้าวร้าวกับคุณเลยนะขอรับ สิ่งที่คุณเขียนมาเล่ามานั้น เป็นความไม่มีความเข้าใจในหลักสรีระร่างกายของมนุษย์(ในที่นี้ไม่กล่าวในแง่หลักศาสนา) และตัวเจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้คิดพิจารณาในข้อความพระไตรปิฎกให้เป็นไปตามหลักความจริง หลงผิด เห็นเขาจัดลำดับมาอย่างไรก็จัดลำดับไปอย่างนั้น
ในทางที่เป็นจริงแล้ว การจะกระทำการใดใดก็ตามแต่ สมาธิ หรือสัมมาสมาธิต้องมาก่อน เพราะสมาธิ หรือสัมมาสมาธิ เป็นต้นต่อแห่งพฤติกรรมต่างๆ จะเรียกว่าเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผล เพราะหากมี จิตที่ตั้งมั่นชอบแล้ว นั่นหมายถึง การมีดำริชอบ ,ระลึกชอบ, อันย่อมก่อให้เกิด ความเห็นชอบ, เกิดความเพียรชอบ,เกิดการทำการชอบ, เลี้ยงชีพชอบ และ เจรจาชอบ เกี่ยวข้องสัมพันธ์หมุนวนกันไปเป็นวัฎจักร โดยเริ่ม ณ. ความมีจิตที่ตั้งมั่นชอบ หรือ สัมมาสมาธิ เป็นอันดับแรก ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะมีหรือปฏิบัติ มรรค ๘ ในข้อใดก็ตาม ก็ย่อมเริ่มที่ สัมมาสมาธิเป็นอันดับแรก ขอให้ท่านทั้งหลายคิดพิจารณา และสังเกตตัวเองให้ดีขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.พ. 2012, 08:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1:
ขอบพระคุณท่านsriariya ที่กรุณาชี้แนะ
อาจจะเป็นการมองจากจุดกำเนิดที่แตกต่างกัน ผมมองว่า คน ถ้าไม่ได้ศึกษาไม่ได้เรียนรู้เรื่องสมาธิและวิธีปฏิบัติสมาธิที่ถูกต้องมาก่อน
จู่ๆจะมาทำหรือเกิดสมาธิที่ถูกต้องขึ้นมาเองได้ย่อมไม่ใช่เหตุผล จึงได้กล่าวว่า
ปัญญาเห็นถึกต้องมาก่อนจึงจะเกิดสมาธิถูกต้องตามมาได้

สำหรับคุณโฮฮับ ไม่ต้องมีคำถามอะไรมากหรือใหม่เลย ผมเพียงแต่อยากจะฟังความเห็นจากประสบการ์จิงของคุณว่า
ลมหายใจที่เข้าออกตามธรรมชาติกับลมหายใจที่เข้าออกภายใต้การกำกับของคำบริกรรม มีความรู้สึกหรือสภาวะที่แตกต่างกันอย่างไร

การเจริญสติปัฏฐาน 4 ของคุณนั้นคุณทำอย่างไร กับกรณีต่อไปนี้
1.หูได้ยินเสียง
2.ความยินดีในเสียงเกิดขึ้น
3.ใจอยากได้ยินเสียงนั้นซ้ำอีก
4.ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น
ลองแสดงวิธีปฏิบัติกับเหตการณ์ดังที่ยกมาให้ฟังดูนะครับ
:b1: ต ต ฉ ต ศ เ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 04:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
สำหรับคุณโฮฮับ ไม่ต้องมีคำถามอะไรมากหรือใหม่เลย ผมเพียงแต่อยากจะฟังความเห็นจากประสบการ์จิงของคุณว่า
ลมหายใจที่เข้าออกตามธรรมชาติกับลมหายใจที่เข้าออกภายใต้การกำกับของคำบริกรรม มีความรู้สึกหรือสภาวะที่แตกต่างกันอย่างไร

การเจริญสติปัฏฐาน 4 ของคุณนั้นคุณทำอย่างไร กับกรณีต่อไปนี้
1.หูได้ยินเสียง
2.ความยินดีในเสียงเกิดขึ้น
3.ใจอยากได้ยินเสียงนั้นซ้ำอีก
4.ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น
ลองแสดงวิธีปฏิบัติกับเหตการณ์ดังที่ยกมาให้ฟังดูนะครับ

ทำความเข้าใจก่อนครับ ก่อนที่จะตอบและอธิบายเรื่องสติปัสฐานสี่
ไอ้กรณีที่คุณยกมานั้นน่ะ


มันเป็นเรื่องของปุถุชน เขาไม่ใช้สติปัสฐานสี่
เขาแค่ใช่สติไปดับความคิดปรุงแต่งหรือที่คุณเรียกว่า ความฟุ้งซ่าน


ในความเป็นสติปัสฐานสี่ เขาใช้ในลักษณะของการเกิดทุกข์
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รู้ทุกข์แล้ว จึงใช้สติปัสฐานสี่ไปหาเหตุแห่งทุกข์
เพื่อดับเหตุ แต่การดับเหตุได้นั้น จะต้องเป็นผู้ได้เห็นสภาวะไตรลักษณ์และ
เป็นผู้ทำสภาวะนั้นเป็นสัมมาทิฐิแล้ว เพราะการทำวิปัสนาและสมถะจะต้อง
อยู่ในกรอบแห่งไตรลักษณ์และสัมมาทิฐิครับ


เกริ่นนำแค่นี้ก่อนแล้วจะค่อยๆอธิบายไปที่ละขั้น :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
การเจริญสติปัฏฐาน 4 ของคุณนั้นคุณทำอย่างไร กับกรณีต่อไปนี้
1.หูได้ยินเสียง
2.ความยินดีในเสียงเกิดขึ้น
3.ใจอยากได้ยินเสียงนั้นซ้ำอีก
4.ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น
ลองแสดงวิธีปฏิบัติกับเหตการณ์ดังที่ยกมาให้ฟังดูนะครับ

เอาตัวอย่างที่คุณยกมา ในกรณีที่จะทำสติปัสฐานสี่ อย่าลืมนะที่ผม
เคยบอกไว้ว่า ผู้ที่จะทำสติปัสฐานสี่ได้บุคคลนั้นต้องมีสัมมาทิฐิ(อนาสวะเสียก่อน)
เพราะต้องใช้สภาวะไตรลักษณ์และสัมมาทิฐิเป็นตัวนำ

เริ่มแรกในการทำสติปัสฐานสี่ บุคคลนั้นจะต้องรู้ตัวว่า
ใจกำลังฟุ้งซ่านและกำลังเป็นทุกข์ ขั้นตอนการปฏิบัติก็คือ เริ่มด้วยการทำ
ธรรมมานุปัสนาฯ ด้วยการรู้ว่าทุกข์เกิดจากความฟุ้งซ่านหรือนิวรณ์ห้า เมื่อรู้
ทุกข์แล้ว ก็เป็นขั้นตอนหาเหตุแห่งทุกข์ นั้นก็คือพิจารณา ธาตุสี่ ขันธ์ห้า อายตนะ12
นั้นก็คือ การทำกายานุปัสนาฯ เวทนานุปัสนาและจิตตานุปัสนา


ไล่มาตั้งแต่พิจารณากาย ในหลักของขันห้า กายหรือรูปเป็นเพียงธาตุสี่
เมื่อพิจารณาดังนี้จิตก็จะไม่ยึดกายเป็นตัวเป็นตน

ขั้นต่อไปก็คือการพิจารณาอายตนะ12 นี่เป็นการพิจารณาหาเหตุปัจจัย
ของรูปและนาม นามเกิดจากรูปเกิดจากผัสสะ

ดังนั้นการพิจารณาเวทนาต่อมาจึงรู้เวทนาว่า เป็นเพียงสิ่งที่เกิดจาก
ผัสสะที่มีการกระทบกันของอายตนะภายในและนอก แท้จริงก็เกิดจาก
กายนั้นเอง เมื่อเราไม่ยึดกายหรือรูปแต่แรก เวทนาหรือนามที่มีเหตุปัจจัยมาจากกาย
เราก็จะไม่ยึดด้วย

เรื่องจิตก็เช่นกัน เมื่อตัณหา กิเลสต่างๆขึ้นที่จิต ก็รู้และหาเหตุปัจจัย
ที่แท้ก็เกิดจากการปรุงแต่งของเวทนา เมื่อไม่ยึดเวทนา จิตหรือตัณหา
ก็ไม่ยึดด้วย

เมื่อวิปัสนาสติปัสฐานครบสี่แล้ว การจบก็ต้องมาจบที่ธรรมมาวิปัสนาอีกครั้ง
ด้วยการโยนิโสฯ หลักของสมถกรรมฐานเพื่อดับนิวรน์หรือทุกข์ในปัจจุบันนั้น

อย่าลืมนะครับว่า วิปัสนาคือการตามหาเหตุปัจจัยแห่งการเกิด
มันเป็นการไม่ให้ยึดสิ่งที่เกิด แต่ทุกข์มันยังอยู่ เราจึงต้องอาศัยสมถกรรมฐาน
มาดับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2012, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:
การเจริญสติปัฏฐาน 4 ของคุณนั้นคุณทำอย่างไร กับกรณีต่อไปนี้
1.หูได้ยินเสียง
2.ความยินดีในเสียงเกิดขึ้น
3.ใจอยากได้ยินเสียงนั้นซ้ำอีก
4.ความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น
ลองแสดงวิธีปฏิบัติกับเหตการณ์ดังที่ยกมาให้ฟังดูนะครับ


สรุปสั้นๆให้ฟังอีกครั้ง เมื่อเรามีสัมมาทิฐิแล้ว
1.หูที่ได้ยินเสียง ก็พิจารณาว่า เสียงมันเกิดจากหู
หูก็คือรูปที่เราละแล้วด้วยสัมมาทิฐิ เสียงที่ได้ยินมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่ยึด
ด้วยความเป็นไตรลักษณ์ในตัวของมันเอง

2.ความยินดีในเสียง เราต้องรู้ว่ามันเกิดตามเหตุปัจจัยที่หลีกไม่ได้
มีเหตุให้เกิดก็ต้องเกิด แต่ความยินดีนี้มันเกิดจากสิ่งที่เราไม่ยึด
เมื่อเหตุปัจจัยมันหยุด ความยินดีก็ดับตามไปด้วย

3.ใจที่อยากก็เช่นกันเกิดตามเหตุปัจจัย เมื่อมีความยินดีเป็นเหตุ
ความอยากก็ตามมา อันนี้ก็เช่นกัน แค่รู้ว่ามันเกิดดับตามเหตุปัจจัย

4.สุดท้ายเมื่อมีความฟุ้งซ่าน ก็ให้รู้ตามหลักอริยสัจจ์สี่ก็คือรู้ทุกข์
เมื่อรู้แล้ว ก็ถึงขบวนการดับทุกข์ ด้วยการใช้สัมมาทิฐินำหน้า
และลงมือทำสมาธิในขั้นของสมถ อาจจะเป็นการท่องพุทโธ สวดมนต์
เพ่งกสินต่างฯลฯ

ที่สำคัญการทำสมถกรรมฐาน ถ้าผู้ที่ปฏิบัติยังไม่เคยเห็นไตรลักษณ์
หรือมีสัมมาทิฐิ การทำนั้นไม่เรียกการดับทุกข์ มันเป็นเพียงการกดข่มไว้ชั่วคราว


คุณโสกะครับการอธิบายความอาจจะมีการสับสนบ้าง
เอาอย่างนี้ครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนหรือไม่เห็นด้วยตรงไหน ก็ปุฉามา
จะวิสัชนาเป็นเรื่องๆให้เห็นง่ายๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 53 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร