วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 20:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 00:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:



คุนกรัชกายเจ้าค่ะ ดิฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าเสวนากับคุนเนียะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวคุณเอาเสียเลย ป่วยการที่จะโต้แย้งดิฉันจะบอกคุนเป็นครั้งสุดท้ายนะไปอ่านข้อความที่ดิฉันตอบคุนไปทั้งที่ตัวคุนเองเป็นคนอ้อนวอนให้ดิฉันบอกว่าการเจริญสติปัญญาของดิฉัน ปฏิบัติอย่างไร แล้วที่ตอบดิฉันเกี่ยวกับสุขเวทนาทุกขเวทนาถ้าจะมาตอบแบบชี้โบ๊ชี้เบ๊ก็ไม่ต้องมาตอบหาสาระไม่ได้ คนปฏิบัติใหม่ไม่ได้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แล้วเอาพุทธพจการเจริญสติปัญยามาวางพรืดให้ตัวคุนอ่านหรือผู้ใดอ่านไม่ทราบเจ้าค่ะ(ขนาดตัวคุนเองยังทำไม่ได้) คุนอ่านแล้วดิฉันหวังว่าคุนจะเจริญในสติปัญญามากกว่านี้นะเจ้าค่ะถ้าคุนทำได้จริงจะมาอ้อนวอนขอร้องดิฉันทำไมว่าปฏิบัติอย่างไร ดิฉันบอกแล้วไงว่าให้ไปหัดปฏิบัติบ้างปฏิบัติให้มันได้เท่าดิฉันก่อนแล้วค่อยมาถามดิฉันนะเจ้าค่ะ ขี้เกียจเสวนาด้วยแล้วเจ้าค่ะ


สติ กับ ปัญญา เป็นภาษาบาลี คุณนำมาพูด คุณเข้าใจความหมายของสองคำนั่นว่ายังไง สติ ปัญญา

หรือพูดๆไป สติปัญญาๆๆๆ ไหนลองบอกสิครับ สติ กับ ปัญญา ความหมายตามภาษาของเขาว่ายังไง จะมีการเจริญขึ้นด้วยการทำยังไง

ไม่ใช่พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง :b1: :b12:

กินนมนอนดีฝ่าเสียเวลาจริงๆ

รู้ไหมเจ้าค่ะคุนกรัชกาย คุนหัดละอายและสำนึกกับการกระทำของคุนบ้างนะเจ้าค่ะ ที่ดิฉันสนทนากับคุนเพราะรู้สึกเวทนากับคำพูดที่ว่าก่อนตาย กรัชกายอยากปฏิบัติให้ได้เช่นว่า..นั้นบ้าง ได้โปรดเถิดครับ



ดิฉันเลยสนองเจตนาด้วยจิตอันกุศลแต่จิตของคุนนี่สิยิ่งดิฉันสาวไส้ดิฉันยิ่งเห็นธาตุแท้ในตัวคุณจิตคิดแต่ทางอกุศลกับผู้อื่นจะให้ดิฉันสาวไส้ออกมาวางเรียงให้คนอื่นเห็นความเน่าของคุนมั้ยละเจ้าค่ะดิฉันจะได้สาวออกมาให้หมดแต่ระวังจะไม่มีที่ให้อยู่นะเจ้าค่ะ แต่ดิฉันสาวแค่นี้ก็พอเพราะดิฉันก็ยังมีเมตตาจิตอยู่ถึงแม้ตัวคุณจะคิดอกุศลกับดิฉัน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 03:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:

วนเจ้า เด็กปัญญาหน่อม ผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ เจ้ามันก็แค่เศษสวะ ขึ้ฝุ่นใต้ฝ่าตีนเท่านั้น ยังมีหน้าแสดงความเขลาออกมาอีก ฮ่า ฮ่า ฮ่า
.

จ่าเทวฤทธิ์ครับ จ่าไม่ละอายใจบางหรือ ที่มาด่าผมว่าขี้ฝุ่นใต้ตีน
ใช่ครับ ถ้าเทียบกับจ่าผู้ซึ่งมีอาชีพเป็นทหาร ซึ่งอาชีพนี้เป็นอาชีพที่น่าภูมิใจ

แต่จ่าลองเอาตัวจ่าไปเปรียบกับทหารด้วยกัน ไม่ต้องถึงกับใหญ่โตหรอกครับ
เอาแค่ไอ้เณรตัวเล็กๆที่คอยรักษาความปลอดภัยให้กับ พระสงฆ์ในสามจังหวัดใต้
ผมว่าจ่าก็เปรียบเชื้อแบคทีเรียใต้โอ๊บของพวกทหารเด็กๆเหล่านั้นครับ

เป็นทหารเสียเปล่าครับ แม้กระทั้งหลักธรรมง่ายๆเรื่องอิทธิบาทสี่ยังไม่รู้เรื่อง
ผมแนะนำให้ไปปกป้องพระสงฆ์ที่สามจังหวัดใต้ กลับกล่าวหาเราว่า
เป็นพวกนอกศาสนา ถ้าผมบอกว่า จ่าเทวฯเป็นทหารแต่ไม่ไปอยู่ชายแดนเพื่อปกป้อง
พระสงฆ์และประชาชน ชุดที่จ่าใส่ก็เป็นแค่ชุดที่เลียนแบบทหาร ที่แท้จ่าเทวฯก็เป็นแค่
ยามเฝ้าโกดังสินค้า
อีกอย่างครับ ที่ว่าผมแสดงความเขลา ผมก็อยากแนะนำให้จ่ามองไปข้างบน
และมองลงข้างล่าง
ที่ให้มองลงล่างเพื่อให้ดูเด็กๆทหารที่ถูกเกณท์มาเป็นทหาร
ถึงแม้เขาไม่สมัครใจที่จะเป็นทหารเพราะมีภาระที่ต้องดูแลพ่อแม่ แต่เมื่อ
เป็นแล้วเขาก็ทำหน้าที่นั้นอย่างเต็มที่ ถึงแม้รู้อยู่ก่อนแล้วว่าอาจตายได้เขาก็ไม่เกี่ยง
แต่กลับจ่าเทวฯ เป็นทหารอาชีพสมัครใจและเต็มใจที่จะเป็นทหาร จ่ารู้จักแต่ชื่อ
แค่ยศทหาร แต่จ่าไม่รู้จักหน้าที่ว่าทหารต้องทำอะไรครับ


แล้วที่ผมบอกให้จ่าเทวฯมองขึ้นข้างบน ก็เพื่อให้จ่ารู้สึกตัวว่า
จ่ากำลังกระทำตัวเป็นอึ่งอ่าง จ่าเป็นแค่ทหารชั้นประทวนแต่จ่ากำลังพองลมให้ดูว่า
ข้ายิ่งใหญ่ พุดโธ่เอ้ย! จ่าเทวฯนี่น่าสงสารจริงๆครับ จ่าไม่รู้หรอกหรือว่า.
ไอ้ก้างปลาทูที่จ่ากำลังภูมิใจน่ะ มันยังมีดาวอีกตั้งหลายดวงที่จ่าไม่มี มิหน่ำซ้ำยัง
มงกุฎและช่อชัยพฤกษ์อีกน่ะ


โปรดจำไว้เลยว่า อย่าได้มาด่าประชาชนว่า ขี้ฝุ่นใต้ฝ่าตีน
มันเป็นการแสดงความเขลาของตัวเอง เพื่อวันไหนเพลอไปด่าไอ้เณรเข้า มันต่อยปาก
เอาจะขายขี้หน้านะครับ
:b13:

sriariya เขียน:

ล้วเจ้าจะให้ข้าฯไปเดินตามพระสงฆ์ ที่ปักษ์ใต้ ไปเดินตามทำไม พฤติกรรมการแสดงออกของเจ้า แสดงให้เห็นความเป็นบุคคลนอกศาสนา ไม่ใช่หน้าที่ของข้าฯที่จะต้องไปเดินตามพระสงฆ์.

ที่ผมให้จ่าไปเดินตามพระสงฆ์ที่ปักษ์ใต้ ก็เพื่อคอยระวังภัยให้พระท่าน เพราะมันมี
พวกโจรใต้คอยดักทำร้ายพระสงฆ์อยู่ จ่าเป็นทหารอาชีพมันเป็นหน้าที่ของจ่าอยู่แล้ว
ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กทหารเกณท์ไปทำหน้าที่นั้น เพราะเด็กยังขาดประสบการณ์

เด็กทหารเกณท์ฝึกไว้ยามเมื่อเกิดสงครามในรูปแบบ ไม่ใช่มาทำหน้าที่ในลักษณะ
ของการก่อการร้ายแบบที่ปักษ์ใต้ การก่อการร้ายมันเป็นหน้าที่ของพวกจ่าที่เป็น
ทหารอาชีพ พวกจ่าสมัครใจมาเป็นทหาร จ่าต้องต้องทำหน้าที่ให้สมกับอาชีพ
ให้สมกับเงินเดือนและเกียรติที่ประชาชนเขามอบให้
ไม่ใช่เอาเกียรติ์เอาเงินเดือนแต่เวลาเสี่ยงตาย ให้เด็กที่ขาดประสบการณ์ไปตายแทน
sriariya เขียน:
ข้าฯสอนให้ท่านทั้งหลายที่มีความศรัทธาในพุทธศาสนาแล้ว ใครจะเชื่อจะสัทธา หรือไม่ ก็ตามแต่ความคิด ความเข้าใจของแต่ละบุคคล
เจ้าเด็กปัญญาหน่อม ผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ เจ้าไปทำความเข้าใจในบริบทของภาษาไทยที่ข้าพเจ้าเขียนให้ดีเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ๋า....

มันไม่ใช่เรื่องหรือหน้าที่ของจ่าสิบตรี ที่จะมาสอนเรื่องความศรัทธาในพุทธศาสนา
เครื่องแบบทหารกับจีวรพระ มันแตกต่างกัน เหมือนดำกับขาว เรื่องความศรัทธา
มันต้องให้พระสงฆ์ท่านสอนไม่ใช่ให้ทหารมาสอน
ทหารทำได้รักษาอธิปไตยของชาติและเป็นแบบอย่าง
ในความกล้าหาญและเสียสละเท่านั้น

จ่าเทวฯถ้าจ่าทนไม่ได้อยากจะสอนธรรมก็ได้ แต่อยากแนะนำให้จ่าเอา
ความเป็นอึ่งอ่างของจ่าออกเสียก่อน นั้นก็คือคำลงท้ายที่ว่าจ่าสิบตรีเทวฤทธิ์นั้นน่ะ มันขัดลูกตาชาวบ้าน
แถมผู้พันที่กรมอาจหมั่นไส้จ่าได้ครับ

อีกอย่างครับต้องเลิกเอาคำศัพท์ของครูบาอาจารย์ มาพูดเพ้อเจ้อด้วย
sriariya เขียน:
เจ้าเด็กปัญญาหน่อม ผู้ใช้ชื่อว่า โฮฮับ เจ้าไปทำความเข้าใจในบริบทของภาษาไทยที่ข้าพเจ้าเขียนให้ดีเถอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ๋า....


ไหนขอความเห็นหน่อยครับ กับไอ้คำว่า "บริบท"ของจ่า
อยากรู้ครับ บริบทของกระทู้นี้มันอยู่ตรงไหนครับ ช่วยสาธยายให้ฟังหน่อยครับ
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


din เขียน:
phom phud dai kham diew wa khun kachkay don long bhumi law
khao mai dai fang khun rok

khotos dauy tee phim chennee

ลักษณะการถามของคุณกรัชกายไม่ใช่เป็นการลองภูมิหรอกครับ
แต่แกเจาะจงจะหาเรื่อง ลักษณะตีรวน คุณน้องคิงคองแกก็เหมือน
หญิงสาวกำลังเดินผ่านสะพานข้ามคลอง แต่เผอิญมีจิ๊กโก๋เจ้าถิ่นนั่งอยู่
บนราวสะพาน พอเห็นน้องคิงคองเดินผ่านก็แซว โดยหลงเข้าใจผิดไปว่า
คำพูดที่ตัวเองพูดออกมาเป็นคำพูดที่ใช้จีบผู้หญิง ยิ่งผู้หญิงเข้าคุยด้วยก็ยิ่ง
หลงไปว่า คำพูดตัวเองมีเสน่สามารถว่านล้อมให้ผู้หญิงหลงไหล แต่ที่ไหนได้
ผู้หญิงเขาอยากจะด่าเต็มทน แต่ด้วยความเป็นกุลสตรีต้องรักษามรรยาทครับ :b13:

คุณดินครับการลองภูมิมีได้ครับมันไม่ผิดอะไร มันเป็นวิธีการเทียบเคียง
ผลการปฏิบัติของเรากับคนอื่นครับ
แล้วยังไงถึงจะเรียกการลองภูมิ มันก็ต้องถามผลการปฏิบัติของคู่สนทนาครับ
ได้ผลอย่างไร เราก็แสดงความเห็นร่วมว่ามันแตกต่างกับเราอย่างไร
ไม่ใช่เป็นการถามแบบไม่มีจุดสิ้นสุด
หรือพอเวลาคู่สนทนาเขาถามกลับเพื่อจะ ทราบถึงปัญหาว่าทำไมอะไรทำให้
ผลการปฏิบัติไม่เหมือนกัน อีกฝ่ายก็โยกโย้ตีรวนไปเรื่อยเปื่อย



ก็ต้องแนะนำครับว่า ผู้ที่ชอบลองภูมิในลักษณะนี้มันไม่เกิดประโยชน์
ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหรือบารมีหรอกครับ มันมีแต่ความเสื่อมถอย ผมว่าบารมีที่เคยโพส
บทความของครูบาอาจารย์ที่เคยทำมาแต่เก่าก่อน มันเหมาะสำหรับท่านที่กล่าวถึงแล้วครับ
และมันก็เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมแบบง่ายๆตามหัวกระทู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 04:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
คุณโฮผู้รอบรู้ในเรื่องอภิธรรมช่วยเข้ามาวิจารณ์และชี้แนะแนวทางการเจริญสติและปัญญาให้กับตัวดิฉันและคุนกรัชกายด้วยเถิดเจ้าค่ะเพราะแนวทางของคุนโฮทำให้ดิฉันเป็นผู้มีสติและปัญญามากขึ้นเจ้าค่ะ


ตามความเข้าใจของคุณ nong สติ กับ ปัญญา มีลักษณะอย่างไร


"ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญ)"

ในปุถุชนมีแค่สติ ส่วนปัญญาถ้าเป็นปัญญาโลกุตระ(สัมมาทิฐิ อานาสวะ)
ปุถุชนยังไม่มี

คำพูดที่ว่า การเจริญสติที่ใช้กับปุถุชนนั้น หมายถึงการหมั่นมีสติเพื่อให้เกิดปัญญา(โลกุตระ)
การมีสติที่ต่อเนื่องต่อผัสสะที่เป็นจริงไม่บังคับเขาเรียกว่า สมาธิที่ตั้งมั่น

และการมีสติและสมาธิที่ตั้งหมั่นต่อการงานที่ทำเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ

สรุปสัมปชัญญะก็ยังไม่ใช่ปัญญา มันเป็นเพียงทางเดินไปสู่ปัญญา

ดังนั้นคำพูดที่คุณกรัขกายยกมาที่ว่า...
"ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)"


จะบอกให้ครับสิ่งที่คุณกรัชกายยกมามันไม่ใช่ปัญญาครับ มันเป็นหลักธรรมของอิทธิบาทสี่
หมายความว่า หมั่นมีสัมปชัญญะหรือมีอิทธิบาทสี่ เพื่อความสำเร็จนั้นก็คือ การได้
เห็นไตรลักษณ์และมีสัมมาทิฐิ(ปัญญาที่แท้ครับ) นี่เป็นเรื่องปุถุชน

แล้วจะอธิบายพุทธพจน์ที่ยกมาเพื่อให้คุณกรัชกายเข้าใจในทางที่ถูก
ไม่ใช่นึกจะยกอะไรมาอ้างก็ยกมาทั้งๆที่มันผิดกาลเทศะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:



คุนกรัชกายเจ้าค่ะ ดิฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่าเสวนากับคุนเนียะไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวคุณเอาเสียเลย ป่วยการที่จะโต้แย้งดิฉันจะบอกคุนเป็นครั้งสุดท้ายนะไปอ่านข้อความที่ดิฉันตอบคุนไปทั้งที่ตัวคุนเองเป็นคนอ้อนวอนให้ดิฉันบอกว่าการเจริญสติปัญญาของดิฉัน ปฏิบัติอย่างไร แล้วที่ตอบดิฉันเกี่ยวกับสุขเวทนาทุกขเวทนาถ้าจะมาตอบแบบชี้โบ๊ชี้เบ๊ก็ไม่ต้องมาตอบหาสาระไม่ได้ คนปฏิบัติใหม่ไม่ได้เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แล้วเอาพุทธพจการเจริญสติปัญยามาวางพรืดให้ตัวคุนอ่านหรือผู้ใดอ่านไม่ทราบเจ้าค่ะ(ขนาดตัวคุนเองยังทำไม่ได้) คุนอ่านแล้วดิฉันหวังว่าคุนจะเจริญในสติปัญญามากกว่านี้นะเจ้าค่ะถ้าคุนทำได้จริงจะมาอ้อนวอนขอร้องดิฉันทำไมว่าปฏิบัติอย่างไร ดิฉันบอกแล้วไงว่าให้ไปหัดปฏิบัติบ้างปฏิบัติให้มันได้เท่าดิฉันก่อนแล้วค่อยมาถามดิฉันนะเจ้าค่ะ ขี้เกียจเสวนาด้วยแล้วเจ้าค่ะ


สติ กับ ปัญญา เป็นภาษาบาลี คุณนำมาพูด คุณเข้าใจความหมายของสองคำนั่นว่ายังไง สติ ปัญญา

หรือพูดๆไป สติปัญญาๆๆๆ ไหนลองบอกสิครับ สติ กับ ปัญญา ความหมายตามภาษาของเขาว่ายังไง จะมีการเจริญขึ้นด้วยการทำยังไง

ไม่ใช่พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง :b1: :b12:

กินนมนอนดีฝ่าเสียเวลาจริงๆ

รู้ไหมเจ้าค่ะคุนกรัชกาย คุนหัดละอายและสำนึกกับการกระทำของคุนบ้างนะเจ้าค่ะ ที่ดิฉันสนทนากับคุนเพราะรู้สึกเวทนากับคำพูดที่ว่าก่อนตาย กรัชกายอยากปฏิบัติให้ได้เช่นว่า..นั้นบ้าง ได้โปรดเถิดครับ



ดิฉันเลยสนองเจตนาด้วยจิตอันกุศลแต่จิตของคุนนี่สิยิ่งดิฉันสาวไส้ดิฉันยิ่งเห็นธาตุแท้ในตัวคุณจิตคิดแต่ทางอกุศลกับผู้อื่นจะให้ดิฉันสาวไส้ออกมาวางเรียงให้คนอื่นเห็นความเน่าของคุนมั้ยละเจ้าค่ะดิฉันจะได้สาวออกมาให้หมดแต่ระวังจะไม่มีที่ให้อยู่นะเจ้าค่ะ แต่ดิฉันสาวแค่นี้ก็พอเพราะดิฉันก็ยังมีเมตตาจิตอยู่ถึงแม้ตัวคุณจะคิดอกุศลกับดิฉัน


สาวไส้อีกคนแระ ทำไมนะชอบสาวไส้สะจริง คนหนึ่งก็สาวไส้ สองคนก็สาวไส้ จะสาวเอาไปทำอะไรขอรับไส้น่ะ เออ..พิลึกคน ก็

เห็นคุณ nong รู้นั่นรู้นี่ จึงอยากรู้บ้าง ก็ขอให้คุณ nong เมตตาบอกให้...แต่คุณ nong กลับคิดไปไกล

สุดท้ายหาว่าคิดอกุศลอีก ช่างรู้สะจริง หรือเป็นพระอรหันต์เจโตปริยญาน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 18 มี.ค. 2012, 09:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
nongkong เขียน:
คุณโฮผู้รอบรู้ในเรื่องอภิธรรมช่วยเข้ามาวิจารณ์และชี้แนะแนวทางการเจริญสติและปัญญาให้กับตัวดิฉันและคุนกรัชกายด้วยเถิดเจ้าค่ะเพราะแนวทางของคุนโฮทำให้ดิฉันเป็นผู้มีสติและปัญญามากขึ้นเจ้าค่ะ


ตามความเข้าใจของคุณ nong สติ กับ ปัญญา มีลักษณะอย่างไร


"ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญ)"

ในปุถุชนมีแค่สติ ส่วนปัญญาถ้าเป็นปัญญาโลกุตระ(สัมมาทิฐิ อานาสวะ)
ปุถุชนยังไม่มี

คำพูดที่ว่า การเจริญสติที่ใช้กับปุถุชนนั้น หมายถึงการหมั่นมีสติเพื่อให้เกิดปัญญา(โลกุตระ)
การมีสติที่ต่อเนื่องต่อผัสสะที่เป็นจริงไม่บังคับเขาเรียกว่า สมาธิที่ตั้งมั่น

และการมีสติและสมาธิที่ตั้งหมั่นต่อการงานที่ทำเขาเรียกว่า สัมปชัญญะ

สรุปสัมปชัญญะก็ยังไม่ใช่ปัญญา มันเป็นเพียงทางเดินไปสู่ปัญญา

ดังนั้นคำพูดที่คุณกรัขกายยกมาที่ว่า...
"ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)"


จะบอกให้ครับสิ่งที่คุณกรัชกายยกมามันไม่ใช่ปัญญาครับ มันเป็นหลักธรรมของอิทธิบาทสี่
หมายความว่า หมั่นมีสัมปชัญญะหรือมีอิทธิบาทสี่ เพื่อความสำเร็จนั้นก็คือ การได้
เห็นไตรลักษณ์และมีสัมมาทิฐิ(ปัญญาที่แท้ครับ) นี่เป็นเรื่องปุถุชน

แล้วจะอธิบายพุทธพจน์ที่ยกมาเพื่อให้คุณกรัชกายเข้าใจในทางที่ถูก
ไม่ใช่นึกจะยกอะไรมาอ้างก็ยกมาทั้งๆที่มันผิดกาลเทศะ



ไม่ผิดหรอกกาลน่ะ ถูกกาลเลยแหละ

ปัญญาที่เป็นโลกุตระมันก็พัฒนามาจากปัญญาซึ่งเป็นโลกียปัญญานี่แหละ อริยะบุคคลก็เป็นปุถุชนมาก่อน จะเป็นอริยะตั้งแต่เกิดก็หาไม่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ลงพุทธพจน์บ้าง เห็นว่าเกี่ยวกับวิธีเจริญสติและสัมปชัญญะ (หรือปัญญา)


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น) ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้

ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นสุขขึ้น เธอก็รู้ชัดอย่างนี้ว่า เวทนาทที่เป็นสุขนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แล เวทนานั้นอาศัยปัจจัยจึงเกิดขึ้น มิใช่ไม่อาศัยอะไรเลย อาศัยอะไร ? ก็อาศัยกายนี้เอง ก็กายนี้ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แล้วสุขเวทนาซึ่งเกิดโดยอาศัยกายที่ไม่เที่ยง เป็นของปรุงแต่ง เป็นปฏิจจสมุปบันธรรมอยู่แล้ว จักเป็นของเที่ยงได้แต่ที่ไหน

เธอมองเห็นความเป็นสิ่งไม่เที่ยง ความเสื่อมสิ้นไป ความจางหาย ดับไป ความสลัดออกไปทั้งในกายและในสุขเวทนาอยู่ เมื่อเธอมองเห็น...อย่างนี้ ราคานุสัยที่มีในกายและในสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเวทนาที่เป็นทุกข์ขึ้น เธอก็รู้ชัด...ปฏิฆานุสัยที่มีในกายและในทุกขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้


“เมื่อภิกษุมีสติ มีสัมปชัญญะ...อยู่อย่างนี้ ถ้าเกิดเวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุขขึ้น เธอก็รู้ชัด...อวิชชานุสัยที่มีในกายและในอทุกขมสุขเวทนา ก็จะถูกละเสียได้”

(สํ.สฬ.18/377/261)
พุทธพจน์นั่น ไม่เห็นมีอะไรซุกซ่อน เปิดเผยโล่งแจ้ง


“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น)
ฯลฯ


สติปัฏฐานนี่แหละคือหลักฝึกอบรมคนหรือปุถุชน ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อน เห็นจะจะ อยู่ที่ว่าคนจะเข้าใจหรือไม่เท่านั้น :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่ผิดหรอกกาลน่ะ ถูกกาลเลยแหละ

ปัญญาที่เป็นโลกุตระมันก็พัฒนามาจากปัญญาซึ่งเป็นโลกียปัญญานี่แหละ อริยะบุคคลก็เป็นปุถุชนมาก่อน จะเป็นอริยะตั้งแต่เกิดก็หาไม่ :b1:

พัฒนายังไงครับ ฝึกบวกเลขเร็วหรือ หรือท่องอาขยานได้เยอะ

คนหูหนวกแต่กำเนิดจบด็อกเตอร์กับคนหูดีที่จบแค่ป.หก
ถ้าบอกว่า เสียงสูงเสียงต่ำ โซบราโนหรือบาลิโทน
คุณว่าใครจะรู้ดีกว่ากันครับ

คนตาบอดแต่กำเนิด ได้ศาสดาจารย์ในด้านปรัชญา
กับคนตาดีที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้าบอกว่า ท้องฟ้าสีฟ้า
คนตาบอดหรือคนอ่านหนังสือไม่ออกครับ ที่เข้าใจว่าสีฟ้าเป็นอย่างไร

ปัญญาที่ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับความฉลาดเลยครับ
ความฉลาดมันขึ้นอยู่กับสมองมันเป็นรูปธรรม ปัญญามันเป็นนามธรรม
ไอ้สมองนั้นน่ะ ในทางธรรมแล้ว มันเป็นแค่อายตนะภายในตัวหนึ่งเท่านั้น
โดยรวมแล้ว ถ้าไม่พิการส่วนใด อายตนะภายในก็เหมือนกันครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 15:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น)
ฯลฯ


ผมว่าคุณกำลังสับสนนะครับ สติปัฎฐานสี่ อะไรของคุณครับ กินเดิน นั่งนอน
สติปัฏฐานสี่ ฐานที่ว่าก็คือกายเวทนา จิตและธรรม เขาให้เอาสติมาพิจารณาฐานทั้งสี่
โดยมี สัมมาทิฐิเป็นตัวนำ อันนี้เป็นการเจริญปัญญา


ส่วนไอ้เรื่องกินเดินนั่งนอน เป็นเป็นการฝีกสติ เพื่อให้ทันต่อผัสสะต่างๆ
ตามรู้ผัสสะ อันเกิดจากอายตนะภายในที่แตกต่างกันหรือเกิดต่อเนื่องกัน
แบบนี้เรียกว่าเจริญสติ

ส่วนสัมปชัญญะที่ว่า ก็คือการปฏิบัติที่มีจุดมุ่งหมาย
หรือที่เรียกว่า การงาน โดยอาศัย สติและสมาธิให้อยู่ในการปฏิบัติหรืองานที่ว่า

สรุปก็คือ สัมปชัญญะประกอบด้วย อิทธิบาทสี่โดยมีสติและสมาธิร่วมด้วย

กรัชกาย เขียน:
สติปัฏฐานนี่แหละคือหลักฝึกอบรมคนหรือปุถุชน ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อน เห็นจะจะ อยู่ที่ว่าคนจะเข้าใจหรือไม่เท่านั้น :b9:

ถ้าลองคิดเองเออเองมันก็ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนแบบคุณว่านั้นและครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 15:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายครับ วันหลังเอาพุทธพจน์หรือบทความของใครมาลง
กรุณาทำลิ้งมาด้วยนะครับ
จะได้รู้ว่าของจริงของปลอม สงสัยจริงที่ลิ้งตัวเองใส่จริง แต่ลิ้งที่ต้องใส่ดันไม่ใส่

เอาลิ้งมาดูให้แน่ใจก่อน แล้วจะบอกให้ว่าคุณหลงไปไหนต่อไหนแล้ว
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 16:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
คุณกรัชกายครับ วันหลังเอาพุทธพจน์หรือบทความของใครมาลง
กรุณาทำลิ้งมาด้วยนะครับ
จะได้รู้ว่าของจริงของปลอม สงสัยจริงที่ลิ้งตัวเองใส่จริง แต่ลิ้งที่ต้องใส่ดันไม่ใส่

เอาลิ้งมาดูให้แน่ใจก่อน แล้วจะบอกให้ว่าคุณหลงไปไหนต่อไหนแล้ว


คูณโฮฮับบบเอ้ย ไม่เอาลิงค์มาก็ถามหา ครั้นเอาลิงค์มาก็ว่าโฆษณาแฝง จะเอายังไงแน่

ที่โฮฮับพูดมาทั้งหมดทุก คห. ไม่มีอะไรสักอย่าง เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ แต่เอาบาลีมาแจมแค่นี้เอง :b1: :b32: :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่ผิดหรอกกาลน่ะ ถูกกาลเลยแหละ

ปัญญาที่เป็นโลกุตระมันก็พัฒนามาจากปัญญาซึ่งเป็นโลกียปัญญานี่แหละ อริยะบุคคลก็เป็นปุถุชนมาก่อน จะเป็นอริยะตั้งแต่เกิดก็หาไม่ :b1:

พัฒนายังไงครับ ฝึกบวกเลขเร็วหรือ หรือท่องอาขยานได้เยอะ

คนหูหนวกแต่กำเนิดจบด็อกเตอร์กับคนหูดีที่จบแค่ป.หก
ถ้าบอกว่า เสียงสูงเสียงต่ำ โซบราโนหรือบาลิโทน
คุณว่าใครจะรู้ดีกว่ากันครับ

คนตาบอดแต่กำเนิด ได้ศาสดาจารย์ในด้านปรัชญา
กับคนตาดีที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้าบอกว่า ท้องฟ้าสีฟ้า
คนตาบอดหรือคนอ่านหนังสือไม่ออกครับ ที่เข้าใจว่าสีฟ้าเป็นอย่างไร

ปัญญาที่ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับความฉลาดเลยครับ
ความฉลาดมันขึ้นอยู่กับสมองมันเป็นรูปธรรม ปัญญามันเป็นนามธรรม
ไอ้สมองนั้นน่ะ ในทางธรรมแล้ว มันเป็นแค่อายตนะภายในตัวหนึ่งเท่านั้น
โดยรวมแล้ว ถ้าไม่พิการส่วนใด อายตนะภายในก็เหมือนกันครับ


ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าพเจ้าบอกแล้ว ว่าเจ้าโฮฮับนั้น เขามีความรู้ความเข้าใจเพียงแค่อวดฉลาดเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวเสียดสีนะขอรับ เพราะความไม่มีความรู้ความเข้าใจในภาษาไทย และยังไม่สามารถเปิดพจนานุกรมไทย เพื่อทำความเข้าใจว่าคำไหนมีความหมายว่าอะไร อวดทำเป็นมีความรู้อยู่ในตัว จนตอบแบบแสดงความเขลา คำตอบของเจ้าโฮฮับ นั้น มีไว้สำหรับหลอกหรืออำคนที่ไม่รู้ เพื่อให้หลงเชื่อเท่านั้นขอรับ

ความฉลาด และปัญญา ย่อมเกี่ยวข้อง กับสมอง และอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ปัญญาคือ ความรู้ฯ อันเกิดจากการได้รับการสัมผัสจากอายตนะภายนอกโดยอายตนะภายในแล้วเป็นสัญญาคือความจำไว้ในสมองฯ
ปัญญา และ ความฉลาด คือสิ่งสิ่งเดียวกัน เป็นได้ทั้ง นามธรรม และ รูปธรรม

[b]ถ้าหาก ปัญญา และความฉลาด ไม่ได้ถูกใช้งาน ก็จะถูกเก็บไว้ในสมองในรูปของคลื่นไฟฟ้า ก็จะเป็นเพียงนามธรรม และเก็บตัวอยู่ในรูปธรรม [b]คือเซลล์สมอง
ต่อเมื่อ ปัญญา และความฉลาด ทั้งหลายในตัวบุคคลถูกใช้ออกมาในทางใดทางหนึ่ง ในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หรือในพฤติกรรม การกระทำ ใด พฤติกรรม การกระทำหนึ่ง ก็จะเป็น รูปธรรม หรืออาจจะเป็นในลักษณะของนามธรรม ก็ได้[/b]

ดังนั้น ทั้ง ปัญญา และ ความฉลาด จึงเป็นทั้ง นามธรรม และ รูปธรรม หมุนวนกันไป เพราะ ก่อนที่บุคคลจะเกิดปัญญา หรือ ความรู้ ก็จักต้องได้รับการสัมผัสจากอายตนะภายนอก ซึ่งล้วนเป็น รูปธรรม ทั้งสิ้น แต่ในรูปธรรมนั้น ก็จะมีนามธรรมผสมปนเป[b]อยู่ด้วย[/b] หรือ การได้รับการสัมผัสจากอายตนะภายนอก อาจจะอยู่ในรูปของ นามธรรม แต่ก็จะมี รูปธรรม ผสมผสานอยู่ใน นามธรรม นั้นด้วย เช่นการเรียนการสอนในหลักวิชาการต่างๆ เป็นต้น

ปัญญา คือ ความรู้ ความฉลาด คือ ความรู้ดี ,ปัญญาไว (ไหวพริบดี) ฯ(คัดความและขยายความจากพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน)[/b]สามารถใช้ปัญญา หรือ ความรู้ที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว และกว้างขวาง เขาเรียกว่า ฉลาด

เอ้า เจ้าโฮฮับ อ่านตัวอย่างของ ความรู้ คือ ปัญญา และ ความฉลาด คือ ปัญญาดี ไหวพริบดี แต่ก็ต้องยึดถือหลักการเอาไว้พอสมเหตุ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




q195a5.gif
q195a5.gif [ 18.27 KiB | เปิดดู 2608 ครั้ง ]
คุณ nong หายไปไหน สาวไส้ได้กี่ขดแล้วขอรับ

จริตเหมือนโฮฮับยังกะแกะ :b9: เอ๊ะอะๆ ก็สาวไส้ :b1: นอกจากหน่อไม้แล้วไม่เห็นมีอะไรในกอไผ่ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2012, 22:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


sriariya เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่ผิดหรอกกาลน่ะ ถูกกาลเลยแหละ

ปัญญาที่เป็นโลกุตระมันก็พัฒนามาจากปัญญาซึ่งเป็นโลกียปัญญานี่แหละ อริยะบุคคลก็เป็นปุถุชนมาก่อน จะเป็นอริยะตั้งแต่เกิดก็หาไม่ :b1:

พัฒนายังไงครับ ฝึกบวกเลขเร็วหรือ หรือท่องอาขยานได้เยอะ

คนหูหนวกแต่กำเนิดจบด็อกเตอร์กับคนหูดีที่จบแค่ป.หก
ถ้าบอกว่า เสียงสูงเสียงต่ำ โซบราโนหรือบาลิโทน
คุณว่าใครจะรู้ดีกว่ากันครับ

คนตาบอดแต่กำเนิด ได้ศาสดาจารย์ในด้านปรัชญา
กับคนตาดีที่อ่านหนังสือไม่ออก ถ้าบอกว่า ท้องฟ้าสีฟ้า
คนตาบอดหรือคนอ่านหนังสือไม่ออกครับ ที่เข้าใจว่าสีฟ้าเป็นอย่างไร

ปัญญาที่ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับความฉลาดเลยครับ
ความฉลาดมันขึ้นอยู่กับสมองมันเป็นรูปธรรม ปัญญามันเป็นนามธรรม
ไอ้สมองนั้นน่ะ ในทางธรรมแล้ว มันเป็นแค่อายตนะภายในตัวหนึ่งเท่านั้น
โดยรวมแล้ว ถ้าไม่พิการส่วนใด อายตนะภายในก็เหมือนกันครับ


ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าพเจ้าบอกแล้ว ว่าเจ้าโฮฮับนั้น เขามีความรู้ความเข้าใจเพียงแค่อวดฉลาดเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวเสียดสีนะขอรับ เพราะความไม่มีความรู้ความเข้าใจในภาษาไทย และยังไม่สามารถเปิดพจนานุกรมไทย เพื่อทำความเข้าใจว่าคำไหนมีความหมายว่าอะไร อวดทำเป็นมีความรู้อยู่ในตัว จนตอบแบบแสดงความเขลา คำตอบของเจ้าโฮฮับ นั้น มีไว้สำหรับหลอกหรืออำคนที่ไม่รู้ เพื่อให้หลงเชื่อเท่านั้นขอรับ

ความฉลาด และปัญญา ย่อมเกี่ยวข้อง กับสมอง และอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ปัญญาคือ ความรู้ฯ อันเกิดจากการได้รับการสัมผัสจากอายตนะภายนอกโดยอายตนะภายในแล้วเป็นสัญญาคือความจำไว้ในสมองฯ
ปัญญา และ ความฉลาด คือสิ่งสิ่งเดียวกัน เป็นได้ทั้ง นามธรรม และ รูปธรรม

[b]ถ้าหาก ปัญญา และความฉลาด ไม่ได้ถูกใช้งาน ก็จะถูกเก็บไว้ในสมองในรูปของคลื่นไฟฟ้า ก็จะเป็นเพียงนามธรรม และเก็บตัวอยู่ในรูปธรรม [b]คือเซลล์สมอง
ต่อเมื่อ ปัญญา และความฉลาด ทั้งหลายในตัวบุคคลถูกใช้ออกมาในทางใดทางหนึ่ง ในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หรือในพฤติกรรม การกระทำ ใด พฤติกรรม การกระทำหนึ่ง ก็จะเป็น รูปธรรม หรืออาจจะเป็นในลักษณะของนามธรรม ก็ได้[/b]

ดังนั้น ทั้ง ปัญญา และ ความฉลาด จึงเป็นทั้ง นามธรรม และ รูปธรรม หมุนวนกันไป เพราะ ก่อนที่บุคคลจะเกิดปัญญา หรือ ความรู้ ก็จักต้องได้รับการสัมผัสจากอายตนะภายนอก ซึ่งล้วนเป็น รูปธรรม ทั้งสิ้น แต่ในรูปธรรมนั้น ก็จะมีนามธรรมผสมปนเป[b]อยู่ด้วย[/b] หรือ การได้รับการสัมผัสจากอายตนะภายนอก อาจจะอยู่ในรูปของ นามธรรม แต่ก็จะมี รูปธรรม ผสมผสานอยู่ใน นามธรรม นั้นด้วย เช่นการเรียนการสอนในหลักวิชาการต่างๆ เป็นต้น

ปัญญา คือ ความรู้ ความฉลาด คือ ความรู้ดี ,ปัญญาไว (ไหวพริบดี) ฯ(คัดความและขยายความจากพจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน)[/b]สามารถใช้ปัญญา หรือ ความรู้ที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว และกว้างขวาง เขาเรียกว่า ฉลาด

เอ้า เจ้าโฮฮับ อ่านตัวอย่างของ ความรู้ คือ ปัญญา และ ความฉลาด คือ ปัญญาดี ไหวพริบดี แต่ก็ต้องยึดถือหลักการเอาไว้พอสมเหตุ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ดิฉันเริ่มสับสนแล้ว ปัญญาคือความ รู้ ความฉลาด แต่ในทางธรรมไม่ได้หมายความว่าสมองดีแล้วจะเข้าใจในธรรมนี่เจ้าค่ะเพราะไอ้สมองของเราใช้วิธีคิด แบบตรรกะไม่ใช่หรอ แล้วที่คุนโฮอธิบาย หมายถึงปัญญาในทางธรรมนั่นก็คือ สติปัญญา(จิต) ไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ อย่างกรณีคุณกรัชกายกับดิฉันโต้แย้ง ถ้าพูดถึงความฉลาดคุนกรัชกายน่าจะสมองดีกว่าดิฉัน แต่เวลาโต้แย้งชี้แจงคุนกรัชกายกับไม่สามารถควบคุมสติเผลอพูดคำหยาบ(แสดงความโง่เขลา) เพราะฉะนั้นในทางธรรมสมองมันก็เป็นแค่อายตนะใช่หรือไม่เจ้าค่ะ ดิฉันเข้าใจถูกหรือไม่โปรดชี้แนะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2012, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
คุณกรัชกายครับ วันหลังเอาพุทธพจน์หรือบทความของใครมาลง
กรุณาทำลิ้งมาด้วยนะครับ
จะได้รู้ว่าของจริงของปลอม สงสัยจริงที่ลิ้งตัวเองใส่จริง แต่ลิ้งที่ต้องใส่ดันไม่ใส่

เอาลิ้งมาดูให้แน่ใจก่อน แล้วจะบอกให้ว่าคุณหลงไปไหนต่อไหนแล้ว


คูณโฮฮับบบเอ้ย ไม่เอาลิงค์มาก็ถามหา ครั้นเอาลิงค์มาก็ว่าโฆษณาแฝง จะเอายังไงแน่

ที่โฮฮับพูดมาทั้งหมดทุก คห. ไม่มีอะไรสักอย่าง เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ แต่เอาบาลีมาแจมแค่นี้เอง :b1: :b32: :b9:

โตๆด้วยกันแล้ว เลิกเถอะครับ พูดจายียวนตีรวนออกนอกเรื่อง
ถ้าไม่ให้ลิ้งมาก็ไม่เป็นไรผมไปหามาแล้วครับ ที่แท้มันเป็นความเห็นของคุณกรัขกายเอง
ผมสงสัยอยู่แล้วกับประโยคนี้ รู้แล้วว่าต้องมั่วเอาเอง

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุมีสติ (คือ ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน 4 ) มีสัมปชัญญะ (คือสร้างสัมปชัญญะในการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ เป็นต้น)
ฯลฯ


เข้าไปเสิทหาในกูเกิล พิมพ์ว่าพระไตรปิฎกก็ไม่มี พิมพ์ว่าพุทธพจน์ก็ไม่ได้
เห็นขึ้นมาแบบนี้ครับhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=33863&start=105&view=print

คุณกรัชกายนี่อย่างหนาเลยนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร