วันเวลาปัจจุบัน 11 ส.ค. 2025, 10:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
อืม..น่าคิดเหมือนกันเจ้าค่ะ ดิฉันคงต้องฝึกสติให้เป็นสมาธิมากกว่านี้ก่อนอย่างที่ท่านโฮบอกจะได้เข้าใจว่าการจำหรือสัญญาขันธ์ ที่แท้มันเป็นแค่สติเราไประลึกเอาสัญญามา[color=#FF0000]แต่ดิฉันยังไม่เข้าใจว่ามานแตกต่างกันตรงไหนระหว่าง สติไประลึกการเกรงกลัวต่อบาปไม่ทัน กับ สติไประลึกเอาสัญญา สรุปความหมายในทางธรรมก็เหมือนกันไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ เพียงแต่อธิบายไปคนละอย่างก็เหมือนกับเราออกเดินทางคนละจุดแต่เป้าหมายก็เหมือนกัน สุดท้ายก็มาถึงจุดเดียวกันเช่นเดิมไม่ใช่หรอเจ้าค่ะ

สติระลึกทันต่อส่วนไหน ณ. ขณะจิตนั้นก็จะเกิดประโยชน์ ขึ้นมา
หากสติระลึกเอาส่วนที่เป็น เครื่องปฏิปักษ์ ต่อกิเลส ก็จะกั้นกระแสแห่งกิเลสได้
แต่หากไประลึกเอาส่วนที่เป็นกิเลส ก็ไม่เป็นจิตที่เป็นกุศล ประกอบด้วยโมหะเต็มกำลัง

ซึ่งทางอภิธรรม ไม่จัดเอาจิตที่ระลึกส่วนกิเลส ว่าเป็นสติ
แต่ทางพระสูตร จัดว่าเป็นมิจฉาสติ

หวังว่าพอทำความเข้าใจได้นะครับ

ก็นี่ไงถึงได้ชวนคุญเรื่องปฏิจสมุบาท ขันธ์ห้า แค่อยากรู้ว่าที่ด่าผมว่าไม่รู้เรื่อง
ตัวเองจะรู้มั้ย สรุปมั่วได้มั่วดีครับ

กิเลสคืออะไรก็ยังไม่รู้ เจตสิกที่เกิดจากการปรุงแต่งของกิเลสคืออะไรก็ไม่รู้
อยากรู้มั้ยจะอธิบายให้ฟังว่าอะไรคือกิเลส
ในกระบวนการปฏิจสมุบาท อะไรคือการปรุงแต่งของขันธ์ห้า
:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิจสมุปปบาท ของโฮฮับ
คงไม่ต้องคุยหรอกครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39497
อ่านจากนี่ก็พอ เห็นความไม่รู้เรื่องของโฮฮับ แล้วครับ :b12:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2012, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เช่นนั้น เขียน:
ปฏิจสมุปปบาท ของโฮฮับ
คงไม่ต้องคุยหรอกครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39497
อ่านจากนี่ก็พอ เห็นความไม่รู้เรื่องของโฮฮับ แล้วครับ :b12:


ปฏิจสมุปปบาท เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างกว้างและลึกนะครับ ยากแก่การเข้าใจพอสมควร
แต่โดยหลักๆของเรื่องปฏิจสมุปปบาท จะกล่าวถึงเรื่องกระบวนธรรมของการเกิดขึ้นและดับไป
แห่งทุกข์ครับ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 04:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
คุณ NongKong
จิตนั้น สั่งสมทั้งบารมี และอาสวะ คือหมายความว่าเก็บ สะสม ทำความเคยชิน ด้วยสัญญา ด้วยเวทนา ด้วยการปรุงคิดคิดปรุง ที่เป็นการปรุงแต่งส่วนที่เก็บสั่งสมนั้น

สะสมบารมีและอาสวะอะไรครับ ปุถุชนเกิดมาพร้อมกับกิเลสที่เรียกว่า
สังโยชสิบ มันอยู่ในวงปฎิจจฯนั้นแหล่ะครับ
การปรุงที่ว่าไม่ได้หมายถึงการปรุงแต่งที่เก็บสะสมอะไรซะหน่อย

การปรุงแต่งที่ว่าก็คือกระบวนการขันธ์ ไปปรุงแต่งตัณหาในกระบวนการปฏิจสมุบาท
ทั้งกระบวนปฏิจฯและกระบวนการขันธ์ห้า เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถใช้กระบวนการ
ขันธ์ห้า มาปรุงแต่งกิเลสหรือตัญหาให้เป็นกุศลหรืออกุศลได้

เช่นนั้น เขียน:
สติระลึกทันต่อส่วนไหน ณ. ขณะจิตนั้นก็จะเกิดประโยชน์ ขึ้นมา
หากสติระลึกเอาส่วนที่เป็น เครื่องปฏิปักษ์ ต่อกิเลส ก็จะกั้นกระแสแห่งกิเลสได้
แต่หากไประลึกเอาส่วนที่เป็นกิเลส ก็ไม่เป็นจิตที่เป็นกุศล ประกอบด้วยโมหะเต็มกำลัง

สติจะไประลึกทันส่วนไหนอะไรครับ ถ้าว่ากันในเรื่องกระบวนการขันธ์ห้า
สติก็เป็นตัวสุดท้ายของกระบวนการขันธ์ห้านั้นแหล่ะครับ สติเป็นเจตสิกสังขารขันธ์ครับ

ในกระบวนการขันธ์ห้า เกิดผัสสะ เวทนา สัญญา มันจึงเกิดสติได้
และสติเป็นเครื่องมือไม่ให้เราไปยึดตัวตัณหาในปฏิจฯ จนเกิดอุปปาทานขันธ์ขึ้น
เช่นนั้น เขียน:
ซึ่งทางอภิธรรม ไม่จัดเอาจิตที่ระลึกส่วนกิเลส ว่าเป็นสติ
แต่ทางพระสูตร จัดว่าเป็นมิจฉาสติ

หวังว่าพอทำความเข้าใจได้นะครับ

ไม่ต้องหวังหรอกครับ เพราะไม่มีคนเข้าใจที่คุณพูดหรอกครับ
เทียนที่คุณจุดไว้มันหมดเล่มแล้วยังฟังไม่รู้เรื่องเลยครับ
เอาอะไรมาจ้อก็ไม่รู้

ที่บอกว่า พระสูตรมีคำว่ามิจฉาสติเนี่ย สงสัยไม่รู้เหตุผลมั้งเลยพูดสั้นเป็นหางเต่าแบบนี้

ทำเป็นมาแยกพระสูตรพระอภิธรรม ที่แท้ก็ไม่เข้าใจความหมาย
ทั้งพระสูตรและพระอภิธรรมเป็นพระไตรปิฎกเหมือนกัน เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าเหมือน
ทำไมต้องมาแยกด้วยบัญญัติ ผมจะอธิบายให้ฟัง

สติเป็นไปอาการของจิตที่เป็นฝ่ายกุศล ในพระอภิธรรมกล่าวไว้
แต่สติที่เป็นกุศลเพียงอย่างเดียว เพราะสติที่เกิดเกิดที่ละดวงมีคุณสมบัติตายตัว

แต่ในพระสูตรท่านเอาสติไปประกอบกับธรรมอื่นจึงมี มิจฉาสติขึ้น
มิจฉาสติไม่ได้หมายความว่า เป็นสติที่ไม่ดี สติเป็นได้แต่กุศล
ที่เข้าใช้คำว่ามิจฉาสติ ก็เพื่องแยกให้รู้ว่า สัมมาสติ(โลกุตระ)เป็นอย่างไร
มิจฉาสติ(โลกียะ)เป็นอย่างไร อย่าลืมครับมิจฉาสติเป็นสติที่เป็นกุศลแต่เป็นทางโลกครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 04:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ปฏิจสมุปปบาท ของโฮฮับ
คงไม่ต้องคุยหรอกครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39497
อ่านจากนี่ก็พอ เห็นความไม่รู้เรื่องของโฮฮับ แล้วครับ :b12:

แล้วไงต่อล่ะ :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ปฏิจสมุปปบาท ของโฮฮับ
คงไม่ต้องคุยหรอกครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39497
อ่านจากนี่ก็พอ เห็นความไม่รู้เรื่องของโฮฮับ แล้วครับ :b12:

แล้วไงต่อล่ะ :b9:

ก็ไม่ต้อง "ต่อ"

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธคุณ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ปฏิจสมุปปบาท ของโฮฮับ
คงไม่ต้องคุยหรอกครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39497
อ่านจากนี่ก็พอ เห็นความไม่รู้เรื่องของโฮฮับ แล้วครับ :b12:


ปฏิจสมุปปบาท เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างกว้างและลึกนะครับ ยากแก่การเข้าใจพอสมควร
แต่โดยหลักๆของเรื่องปฏิจสมุปปบาท จะกล่าวถึงเรื่องกระบวนธรรมของการเกิดขึ้นและดับไป
แห่งทุกข์ครับ

เห็นด้วยครับเป็นเรื่องลึก และกว้างขวาง
กระบวนธรรมการเกิดขึ้น และดับไป ซึ่งพระองค์แสดง
หลักธรรม ไว้ว่า
ธรรมฐิติ
ธรรมนิยาม
อิทัปัจจยตา
ไว้สามประการแล้บัญญัติ ว่า ปฏิจสมุปปบาท
สมัยก่อนคงเป็นที่เข้าใจง่าย แต่สมัยนี้คงต้องพึ่งอรรถกถาทำความเข้าใจบ้าง
ว่า ธรรมธาตุนั้น คือธรรมฐิติ ธรรมนิยาม อิทัปปัจยตา ทำความเข้าใจได้อย่างไร
ก็แนะนำ อรรถกาท้ายบท ทำความศึกษาพิจารณา เพื่อให้เกิดปัญญา

อรรกถา เขียน:
บทว่า ฐิตาว สา ธาตุ ได้แก่ สภาวะแห่งปัจจัยนั้นตั้งอยู่แล้ว คือในกาลบางคราว ชาติจะไม่เป็นปัจจัยแก่ชรามรณะ ก็หามิได้. พระองค์ตรัสปัจจัยนั้นแล ด้วยบททั้งสองแม้เหล่านี้ คือ ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา เพราะธรรมที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นย่อมตั้งอยู่เพราะปัจจัย เพราะเหตุนั้น ปัจจัยนั้นเอง ท่านเรียกว่า ธมฺมฏฺฐิตตา. ปัจจัยย่อมกำหนดธรรม เพราะเหตุนั้น จึงเรียกว่า ธมฺมนิยามตา.
บทว่า อิทปฺปจฺจยตา ได้แก่ ปัจจัยแห่งชราและมรณะเป็นต้นเหล่านี้ ชื่อว่า อิทัปปัจจัย. อิทัปปัจจัยนั้นแล ชื่อว่า อิทัปปัจจยตา.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 03:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พุทธคุณ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ปฏิจสมุปปบาท ของโฮฮับ
คงไม่ต้องคุยหรอกครับ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=39497
อ่านจากนี่ก็พอ เห็นความไม่รู้เรื่องของโฮฮับ แล้วครับ :b12:


ปฏิจสมุปปบาท เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาค่อนข้างกว้างและลึกนะครับ ยากแก่การเข้าใจพอสมควร
แต่โดยหลักๆของเรื่องปฏิจสมุปปบาท จะกล่าวถึงเรื่องกระบวนธรรมของการเกิดขึ้นและดับไป
แห่งทุกข์ครับ

เห็นด้วยครับเป็นเรื่องลึก และกว้างขวาง
กระบวนธรรมการเกิดขึ้น และดับไป ซึ่งพระองค์แสดง
หลักธรรม ไว้ว่า
ธรรมฐิติ
ธรรมนิยาม
อิทัปัจจยตา
ไว้สามประการแล้บัญญัติ ว่า ปฏิจสมุปปบาท
สมัยก่อนคงเป็นที่เข้าใจง่าย แต่สมัยนี้คงต้องพึ่งอรรถกถาทำความเข้าใจบ้าง
ว่า ธรรมธาตุนั้น คือธรรมฐิติ ธรรมนิยาม อิทัปปัจยตา ทำความเข้าใจได้อย่างไร
ก็แนะนำ อรรถกาท้ายบท ทำความศึกษาพิจารณา เพื่อให้เกิดปัญญา

คุณเช่นนั้นนี่ชอบเป็นตัวตลกนะครับ ทำไมทำมัย เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง
ทีคนอื่นเอาไตรลักษณ์มาอธิบายความ ธรรมนิยาม คุณเช่นนั้นบอกว่าไม่มี ไม่ได้ ไม่เอา
ฉันไม่รู้ ฉันไม่สน ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
:b13:

แล้วที่กับตัวเองที่กำลังแสดงความเห็นอยู่นี้ มันอะไรกันครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเช่นนั้นอายเป็นมั้ยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2012, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
คุณเช่นนั้นนี่ชอบเป็นตัวตลกนะครับ ทำไมทำมัย เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง
ทีคนอื่นเอาไตรลักษณ์มาอธิบายความ ธรรมนิยาม คุณเช่นนั้นบอกว่าไม่มี ไม่ได้ ไม่เอา
ฉันไม่รู้ ฉันไม่สน ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

แล้วที่กับตัวเองที่กำลังแสดงความเห็นอยู่นี้ มันอะไรกันครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเช่นนั้นอายเป็นมั้ยครับ

โฮฮับ
อย่าพยายามบิดเบือนแม้แต่การอธิบาย บาลี หรือพุทธพจน์ของ อรรถาจารย์
อรรถาจารย์ อธิบายโดยอรรถโดยธรรม ไม่ได้บัญญัติศัพท์ใหม่ ในการอธิบาย
โฮฮับไปอ่านให้ดีี

ถึงแม้โฮฮับจะท้วงว่า คำว่า "ไตรลักษณ์" ไม่ใช่คำบัญญัติในพุทธกาลก็ตาม
ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่พุทธพจน์อยู่ดี
ซึ่ง
พระพุทธองค์ ก็ไม่ทรงแสดงธรรม ว่า
สัมมมาทิฏฐิ เป็นไฉน
สัมมาทิฏฐิ คือ การรู้ในอนิจจัง การรู้ในทุกขัง การรู้ในอนัตตา


จริงหรือไม่จริง โฮฮับ
V
เพราะการรู้ใน อนิจจัง การรู้ในทุกขัง การรู้ในอนัตตา ก็ไม่ใช่การรู้อันเป็นอริยสัจจ์ จริงหรือไม่โฮฮับ.

โฮฮับ อย่าเอา ไตรลักษณ์ มาบังปฏิจจสมุปบาท อีกต่อไปเลย
ความพยายามของโฮฮับ ล้วนเป็นหมัน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 02:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์ ก็ไม่ทรงแสดงธรรม ว่า
สัมมมาทิฏฐิ เป็นไฉน
สัมมาทิฏฐิ คือ การรู้ในอนิจจัง การรู้ในทุกขัง การรู้ในอนัตตา


จริงหรือไม่จริง โฮฮับ

อันนี้ผมงงครับคุณจะสื่ออะไร เอาง่ายๆดีกว่า คุณเข้าใจบท"ธรรมนิยาม"
ที่ผมยกมาให้คุณดู คุณมีความเห็นอย่างไรดีกว่า คนอื่นจะได้ชี้ให้ดูว่า
คุณไม่ฉลาดตรงไหน

คนเราบางทีก็ดูตัวเองไม่ออก ต่อให้ส่องกระจกก็ตามที
เพราะในกระจก ข้างซ้ายเป็นขวา ขวาเป็นซ้าย


ขอโทษที่ต้องพูดแรงๆ มันเป็นเพราะคุณพูดจาไม่ค่อยมีเหตุผลครับ
บางเรื่องที่คุณไม่รู้ไม่เข้าใจ คุณก็สรุปของคุณเองว่า มันไม่มี มันไม่ใช่
ถ้าคนอื่นรู้มากกว่า คุณก็จะสรุปเอาเองว่า คนนั้นบิดเบื้อนพุทธพจน์
คุณไม่รู้หรอกว่า คำนี้มันรุนแรงมากสำหรับผู้ที่ศรัทธาพระรัตนไตร

เป็นเพราะคุณไม่เข้าใจธรรมนิยาม แล้วคุณก็บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอก
แล้วคุณก็แต่งประโยคขึ้นมาถามชาวบ้าน " สัมมาทิฐิเป็นไฉน"
พุดโธ่! เถียงอะไรเป็นเด็กข้างๆคูๆ


เอาอย่างนี้เพื่อให้การสนทนามีเหตุผล คุณควรให้ความเห็น
กับสิ่งที่ผมอ้างว่าผิดถูกอย่างไร ไม่ใช่บอกพระพุทธเจ้าไม่ได้พูดไม่ได้ตรัส

สิ่งแรกก็คือ แสดงความเห็นอธิบายความถึง"ธรรมนิยาม"ที่ผมอ้าง
ให้เหมือนกับผมแสดงความเห็นกับธรรมที่คุณยกมา อย่างเช่น"ธรรมที่เป็นอุปการะ"
การค้านมันไม่ผิดหรอกครับ แต่มันต้องมีเหตุผลให้กับผู้ที่คุณค้าน
ไม่ใช่บอกว่า"ไม่มี ไม่ใช่" แบบนี้มันไม่ฉลาดครับ

เช่นนั้น เขียน:
เพราะการรู้ใน อนิจจัง การรู้ในทุกขัง การรู้ในอนัตตา ก็ไม่ใช่การรู้อันเป็นอริยสัจจ์ จริงหรือไม่โฮฮับ.

มันเป็นเพราะคุณไม่รู้แต่พยายามทำตัวเป็นศูนย์กลางจักวาล
คุณไม่รู้ แล้วเที่ยวไปบอกในสิ่งที่คนอื่นเขารู้มากกว่าผิด
ผมไม่อยากว่าคำนี้กับใครเลยครับ แต่อยากส่งเคราะห์ คุณเช่นนั้น อัตตาสูงจริงๆครับ

เที่ยวโวยวายว่า รู้อนิจจัง รู้ทุกขัง รู้อนัตตาไม่ใช่รู้อริยสัจจ์
นี่แหล่ะจุดเริ่มต้นแห่งอริยสัจจ์โดยแท้ล่ะ
คุณเช่นนั้นถ้าคุณปฏิบัติธรรมชนิดเอาบัญญัติตรงตัวเลยผมบอกได้เลย งมโข่งครับ
เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ อย่าเอา ไตรลักษณ์ มาบังปฏิจจสมุปบาท อีกต่อไปเลย
ความพยายามของโฮฮับ ล้วนเป็นหมัน

พูดจาไม่มีเหตุผล ชวนคุยเรื่องปฏิจสมุบาทก็ไม่คุย
แต่ปากก็ยังไม่ยอมหยุดกล่าวหาชาวบ้าน แบบนี้เมื่อไรจะฉลาด
พูดเองแต่งเอง ว่าเขาเอานู้นมาบังนี้พูดซะเสีย เละเทะจริงๆครับ

ตัวเองไปเข้าใจอะไรมาผิดๆแล้วก็จะบังคับให้ชาวบ้านเหมือนตน
พอคนอื่นไม่เอาด้วย ก็กล่าวหาเขาต่างๆนาๆ โบราณจริงๆครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2012, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
ขอโทษที่ต้องพูดแรงๆ มันเป็นเพราะคุณพูดจาไม่ค่อยมีเหตุผลครับ
บางเรื่องที่คุณไม่รู้ไม่เข้าใจ คุณก็สรุปของคุณเองว่า มันไม่มี มันไม่ใช่
ถ้าคนอื่นรู้มากกว่า คุณก็จะสรุปเอาเองว่า คนนั้นบิดเบื้อนพุทธพจน์
คุณไม่รู้หรอกว่า คำนี้มันรุนแรงมากสำหรับผู้ที่ศรัทธาพระรัตนไตร


โฮฮับ เข้าใจถูกแล้วครับ
รุนแรงมากสำหรับผู้ที่ศรัทธาในพระรัตนไตร

โฮฮับ แสดงสิ่งที่พระพุทธองค์ ไม่ได้สอน

จริง หรือ ไม่จริง

พระพุทธองค์ ก็ไม่ทรงแสดงธรรม ว่า
สัมมมาทิฏฐิ เป็นไฉน
สัมมาทิฏฐิ คือ การรู้ในอนิจจัง การรู้ในทุกขัง การรู้ในอนัตตา
เพราะการรู้ใน อนิจจัง การรู้ในทุกขัง การรู้ในอนัตตา ก็ไม่ใช่การรู้อันเป็นอริยสัจจ์

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 02:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
โฮฮับ เขียน:
ขอโทษที่ต้องพูดแรงๆ มันเป็นเพราะคุณพูดจาไม่ค่อยมีเหตุผลครับ
บางเรื่องที่คุณไม่รู้ไม่เข้าใจ คุณก็สรุปของคุณเองว่า มันไม่มี มันไม่ใช่
ถ้าคนอื่นรู้มากกว่า คุณก็จะสรุปเอาเองว่า คนนั้นบิดเบื้อนพุทธพจน์
คุณไม่รู้หรอกว่า คำนี้มันรุนแรงมากสำหรับผู้ที่ศรัทธาพระรัตนไตร


โฮฮับ เข้าใจถูกแล้วครับ
รุนแรงมากสำหรับผู้ที่ศรัทธาในพระรัตนไตร
โฮฮับ แสดงสิ่งที่พระพุทธองค์ ไม่ได้สอน
จริง หรือ ไม่จริง [/color]

ใหม่ๆตอนที่ยังไม่ได้คุยกับผมคุณก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ดีนะครับ
แต่หลังจากที่ได้สนทนากับผมแล้ว ทำไมทำตัวเป็นเด็กไปได้

ที่คุยกับคุณผมต้องการคุยธรรมไม่ได้ให้คุณมา
เล่นสำนวนโบราณฟังแล้วชวนเวียนหัว

เช่นนั้น เขียน:
พระพุทธองค์ ก็ไม่ทรงแสดงธรรม ว่า
สัมมมาทิฏฐิ เป็นไฉน
สัมมาทิฏฐิ คือ การรู้ในอนิจจัง การรู้ในทุกขัง การรู้ในอนัตตา
เพราะการรู้ใน อนิจจัง การรู้ในทุกขัง การรู้ในอนัตตา ก็ไม่ใช่การรู้อันเป็นอริยสัจจ์

เอาอย่างนี้คุณว่า "ธรรมนิยาม"ที่ผมยกมาอ้าง คุณไปหามาว่า
ไม่ได้เป็นพุทธพจน์ ไม่ใช่บอกว่าพระพุทธองค์ไม่ได้สอน

และอีกสิ่งคุณต้องบอกว่า"ธรรมนิยาม"ที่ผมอ้าง ไม่ได้เป็นที่มาของสัมมาทิฐิ
คุณก็ต้องไปหาว่า ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงกล่าว"ธรรมนิยาม"
ไม่ใช่บอกแต่เพียงว่าไม่ใช่ ในธรรมนิยามก็กล่าวถึงลักษณะของสัมมาทิฐิและเหตุแห่งสัมมาทิฐิ
เป็นเพราะตัวคุณไม่เข้าใจ แต่ด้วยมีเด็กๆที่พึ่งหัดการปฏิบัติยกย่องคุณเป็นผู้ทรงภูมิ
คุณเลยยอมไม่ได้ อาการเถียงแบบไม่มีเหตุผลจึงเกิดขึ้น หัวล้างข้างแตกเพราะเอาศีรษะ
ไปชนข้างฝาแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว
โฮฮับ เขียน:
๓. อนิจจสูตรที่ ๑
ว่าด้วยความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ ๕
[๙๑] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น
เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา. นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา. เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เวทนาไม่เที่ยง ... สัญญาไม่เที่ยง ... สังขารไม่เที่ยง ... วิญญาณ
ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา
เธอทั้งหลาย พึงเห็นสิ่งนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา.
นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความจริงอย่างนี้ จิตย่อม
คลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น.

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0

คุณเช่นนั้นครับ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ อธิบายธรรมที่ผมเอามาอ้างครับว่า
มันไม่ใช่ธรรมของพระพุทะเจ้าอย่างไรหรือมันไม่ใช่สิ่งที่คุณกล่าวถึงอย่างไร
เชิญเลยครับ ถ้าอธิบายไม่ได้ก็เลิกพูดซะทีว่า "ไม่ใช่ ไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2012, 10:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
คุณเช่นนั้นครับ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ อธิบายธรรมที่ผมเอามาอ้างครับว่า
มันไม่ใช่ธรรมของพระพุทะเจ้าอย่างไรหรือมันไม่ใช่สิ่งที่คุณกล่าวถึงอย่างไร
เชิญเลยครับ ถ้าอธิบายไม่ได้ก็เลิกพูดซะทีว่า "ไม่ใช่ ไม่มี"


สิ่งใดพระพุทธองค์ไม่บัญญัติไว้ ไม่แสดงไว้ ไม่เปิดเผยไว้ ไม่จำแนกไว้ คือ

"ไม่ใช่" "ไม่มี"

อย่าบิดเบือนคำสอนพระศาสดา ต่อไปเลย โฮฮับ ความพยายามโฮฮับเป็นหมันไม่สำเร็จประโยชน์หรอกครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2012, 20:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


Onion_L
(อ้างอิงจากคำพูดของโฮฮับ)
สติเป็นไปอาการของจิตที่เป็นฝ่ายกุศล ในพระอภิธรรมกล่าวไว้
แต่สติที่เป็นกุศลเพียงอย่างเดียว เพราะสติที่เกิดเกิดที่ละดวงมีคุณสมบัติตายตัว

แต่ในพระสูตรท่านเอาสติไปประกอบกับธรรมอื่นจึงมี มิจฉาสติขึ้น
มิจฉาสติไม่ได้หมายความว่า เป็นสติที่ไม่ดี สติเป็นได้แต่กุศล
ที่เข้าใช้คำว่ามิจฉาสติ ก็เพื่องแยกให้รู้ว่า สัมมาสติ(โลกุตระ)เป็นอย่างไร
มิจฉาสติ(โลกียะ)เป็นอย่างไร อย่าลืมครับมิจฉาสติเป็นสติที่เป็นกุศลแต่เป็นทางโลกครับ

:b12:
ถ้าเป็นอย่างที่ว่าข้างบนนี้ พวกโจรขโมยที่มีสติรู้ตัวว่าตำรวจมา แล้วพากันหลบไปชั่วคราวจนตำรวจผ่านไปแล้วจึงทำการปล้นขโมยต่อ สติอย่างนี้ก็เป็นกุศลด้วยหรือเปล่าครับ

อีกพวกหนึ่งนักล่าสัตว์ได้ยินเสียงแกรกกรากเกิดสติรู้ว่าสัตว์ที่จะล่ามาถึงแล้วเตรียมยิง ก็น่าจะเป็นกุศลด้วยนะครับ

"ปลาใหญ่ ตายน้ำตื้น"

:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2012, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Onion_L
(อ้างอิงจากคำพูดของโฮฮับ)
สติเป็นไปอาการของจิตที่เป็นฝ่ายกุศล ในพระอภิธรรมกล่าวไว้
แต่สติที่เป็นกุศลเพียงอย่างเดียว เพราะสติที่เกิดเกิดที่ละดวงมีคุณสมบัติตายตัว

แต่ในพระสูตรท่านเอาสติไปประกอบกับธรรมอื่นจึงมี มิจฉาสติขึ้น
มิจฉาสติไม่ได้หมายความว่า เป็นสติที่ไม่ดี สติเป็นได้แต่กุศล
ที่เข้าใช้คำว่ามิจฉาสติ ก็เพื่องแยกให้รู้ว่า สัมมาสติ(โลกุตระ)เป็นอย่างไร
มิจฉาสติ(โลกียะ)เป็นอย่างไร อย่าลืมครับมิจฉาสติเป็นสติที่เป็นกุศลแต่เป็นทางโลกครับ

:b12:
ถ้าเป็นอย่างที่ว่าข้างบนนี้ พวกโจรขโมยที่มีสติรู้ตัวว่าตำรวจมา แล้วพากันหลบไปชั่วคราวจนตำรวจผ่านไปแล้วจึงทำการปล้นขโมยต่อ สติอย่างนี้ก็เป็นกุศลด้วยหรือเปล่าครับ

พวกโจรรู้ว่าตำรวจมาเลยพากันหลบ เขาเรียกสติที่ไหนกันล่ะ ปัดโธ่!
โจรมันเห็นตำรวจ เกิดสัญญา และการปรุงแต่ง จนเป็นความกลัว
ความกลัวมันเป็นนิวรณ์ ในกลุ่ม อกุศลเจตสิก
asoka เขียน:
Onion_L
อีกพวกหนึ่งนักล่าสัตว์ได้ยินเสียงแกรกกรากเกิดสติรู้ว่าสัตว์ที่จะล่ามาถึงแล้วเตรียมยิง ก็น่าจะเป็นกุศลด้วยนะครับ

"ปลาใหญ่ ตายน้ำตื้น"

คำพูดนี้ก็ไปกันใหญ่ ได้ยินเสียงมันเกิดสติตรงไหน ได้ยินเสียงมันเป็นผัสสะ
และเกิดความลังเลสงสัยเสียงที่ได้ยิน เขาไม่แน่ใจต่อเสียงนั้นครับ
เขาถึงยังไม่ยิง ความลังเลสงสัยไม่ใช่สตินะจะบอกให้ :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร