วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 04:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2012, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เถรวาท....จึงไม่บันทึกความรู้สึกอันนั้น...ปล่อยให้เป็นเรื่องเฉพาะตัว...หากจะบันทึกก็บันทึกเพียงของพระพุทธเจ้า
ส่วนทางฟากอาจารยาวาท....มีความเห็นว่า...ความรู้สึกที่เกิดเฉพาะตัวสามารถเอามาเผยแพร่ได้...

ซึ่งทั้งหมดนี้...ก็เป็นความคิดความเห็นของบูรพาจารย์ในยุคหลัง...ไม่ใช่เจตนาของพระพุทธองค์เลย
แล้วเราทำไมมายึดเป็นบ้าเป็นหลังกันนัก...ทั้งที่ว่าต้องตรงและที่เอาแต่ตามใจตนนึก...บ้าทั้งหมดนั้นแหละ

เคยคิดบ้างมั้ยว่า...ในสมัยพุทธกาล..หรืออาจจะคล้อยหลังมาเล็กน้อย...ไม่มีเขียนในตำรา..แต่ทำไมคนถึงบรรลุกัน
ได้มากมาย....ระยะหลัง ๆ...แม้มีตำรับตำรา...กลับ...บรรลุกันได้น้อย...

แต่เราเป็นเถราวาท....เรามีหน้าที่รักษาพุทธวจนะ....ให้คงเดิมมากที่สุด....อย่างน้อยคนรุ่นหลังจะได้อ่านอย่างที่เราได้อ่านเป๊ะ ๆ....ส่วนอ่านแล้วคิดยังงัยก็ให้เป็นผลจากการศึกษาภาวนาของผู้นั่น...จะไม่เป็นการเอาเปรียบกันคนรุ่นหลัง ๆ..งัย



ก็คงอย่างที่ท่านกบว่านั้นนะ ผมเลยเอามาโดยไม่ลงความเห็น เพราะมันจะติดในความเห็นตน เกินไป
เพราะอนิจจัง อะไรมันก็ไม่แน่ แถมเห็นอยู่ว่า จิตมันยังเชื่อไม่ได้

และในพุทธวจน ความหมายแต่ละคำมีความหมายตรงกัน ทุกสถานะการณ์ ไม่ขัดกันเลย


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2012, 02:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ขอความกรุณาช่วยอธิบาย ท่อนนี้ให้หน่อยครับ-การบัญญัตินามกาย ต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทศ - นั้นเป็นอย่างไรครับ

:b8:

การบัญญัติ เพื่อการเรียก เรียกขาน
เรียกขาน สภาวะธรรม ที่เกิดขึ้น
สภาวะธรรม มันไม่มีชื่อเรียก แต่ไม่ว่า ชนชาติใดในโลก หรือสัตว์ จะรับรู้ จะรู้สึกได้เหมือนกันหมด อย่างเดียวกันหมด
ครานี้ ในสมัยพุทธกาล จะเรียกสภาวะธรรม ต่างๆนั้นอย่างไร
จึงต้องจำแนกแจกแจงโดยบัญญัติ โดยถ้อยคำ
..
นามกาย ของจิต ก็ต้องมีการอธิบายกันให้ยอมรับรับรู้ไปในทางเดียวกัน
ว่า เวทนา สัญญา สังขาร หรือแม้จิตเอง
ก็ต้องมีอาการ หรือคุณลักษณะพิเศษต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน
การจะบัญญัติ การเรียกขาน ภาษาบาลี มีลักษณะหนึ่งคือ มีการกำหนดเพศ ในไวยากรณ์บาลี เป็นลักษณะจำเพาะของภาษาบาลี
..
ทำความเข้าใจง่ายๆ ว่า
บัญญัติ การเรียกขาน นามกายอันเป็นสภาวะธรรมของจิต ที่เกิดกับจิต เนื่องกับจิตบ้าง ไม่เนื่องกับจิตบ้างแต่จิตเข้าถึงได้น้อมไปได้บ้าง ต้องมีการกำหนดลักษณะต่างๆ จำเพาะเพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน

เช่น เวทนา ...อันเป็นส่วนหนึ่งในนามกาย มีอาการที่เรียกว่า เป็นการเสวยอารมณ์ของจิต
เพศ เป็นเพศกลางๆ มีนิมิตเครื่องปรากฏ เป็นสุข ทุกข์ อทุกขมสุข มีอุเทศคือความปรากฏตามอายตนะต่าง ก็เรียกตามที่ปรากฏตามทวารนั้นๆ เป็นต้น

พออ่านพุทธพจน์
เช่น
"ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว
ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย
ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ
นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ"
V
การบัญญัตินามกาย ต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทศ
ทำให้ เข้าใจได้ว่า สภาวะธรรมอันเกี่ยวกับจิต ขณะนั้น ถูกบัญญัติแล้ว
อาการ เพศ นิมิต อุเทศ = นามกาย
V
เมื่อ (อาการ เพศ นิมิต และอุเทศ)นั้นๆ ไม่มี ก็คือ นามกายนั้นๆ ไม่มี
นั้นๆ หมายถึงสภาวะธรรมเฉพาะที่เกิดขึ้นให้เรียกขานด้วยถ้อยคำที่บัญญัตินั้นๆ
>>> นามกายนั้นๆ ไม่มี ผัสสะเพียงแต่ชื่อ(บัญญัติอีกแล้ว) ในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม
>>> ผัสสะต่างๆ ก็มีชื่อเรียก แต่จะปรากฏไม่ได้หากไม่ มีการปรากฏพร้อมแห่งนามกาย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2012, 02:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เถรวาท....จึงไม่บันทึกความรู้สึกอันนั้น...ปล่อยให้เป็นเรื่องเฉพาะตัว...หากจะบันทึกก็บันทึกเพียงของพระพุทธเจ้า
ส่วนทางฟากอาจารยาวาท....มีความเห็นว่า...ความรู้สึกที่เกิดเฉพาะตัวสามารถเอามาเผยแพร่ได้...

ซึ่งทั้งหมดนี้...ก็เป็นความคิดความเห็นของบูรพาจารย์ในยุคหลัง...ไม่ใช่เจตนาของพระพุทธองค์เลย
แล้วเราทำไมมายึดเป็นบ้าเป็นหลังกันนัก...ทั้งที่ว่าต้องตรงและที่เอาแต่ตามใจตนนึก...บ้าทั้งหมดนั้นแหละ

เคยคิดบ้างมั้ยว่า...ในสมัยพุทธกาล..หรืออาจจะคล้อยหลังมาเล็กน้อย...ไม่มีเขียนในตำรา..แต่ทำไมคนถึงบรรลุกัน
ได้มากมาย....ระยะหลัง ๆ...แม้มีตำรับตำรา...กลับ...บรรลุกันได้น้อย...

แต่เราเป็นเถราวาท....เรามีหน้าที่รักษาพุทธวจนะ....ให้คงเดิมมากที่สุด....อย่างน้อยคนรุ่นหลังจะได้อ่านอย่างที่เราได้อ่านเป๊ะ ๆ....ส่วนอ่านแล้วคิดยังงัยก็ให้เป็นผลจากการศึกษาภาวนาของผู้นั่น...จะไม่เป็นการเอาเปรียบกันคนรุ่นหลัง ๆ..งัย

ก็คงอย่างที่ท่านกบว่านั้นนะ ผมเลยเอามาโดยไม่ลงความเห็น เพราะมันจะติดในความเห็นตน เกินไป
เพราะอนิจจัง อะไรมันก็ไม่แน่ แถมเห็นอยู่ว่า จิตมันยังเชื่อไม่ได้

ก็เพราะเป็นอย่างที่คุณกะลาแกบอก ผมถึงได้สอนคุณไงว่า ........
พระสูตรหรือพุทธมีไว้เทียบเคียง นั้นก็คือต้องรักษาไว้ เมื่อมีปัญหาในการปฏิบ้ติ
จึงจะสามารถเอาพุทธพจน์มาแก้ปัญหาให้เราได้ แบบนี้จึงจะไม่เป็นสัทธรรมปฏิรูป

ลักษณะของสัทธรรมปฏิรูป คือการโพสพระพุทธพจน์สั้นๆ ไม่เอามาทั้งบท
หรือเอามาทั้งบท แต่มีการแก้ไขดัดแปลงพุทธพจน์บทนั้น
และสัทธธรรมปฏิรูปอย่างหนื่องก็คือ.......การอ้างอิงอรรถกถา แทนที่จะอ้างพุทธพจน์

ที่กล่าวมา ผมไม่ได้ว่าคุณฝึกจิตว่าเป็น สัทธรรมปฏิรูปหรอกนะครับ
แต่ที่คุณฝึกจิตทำมาอาจเป็นเพราะไม่รู้ ขาดความเข้าใจไม่มีใครถือสาหรอกครับ :b13:

และผมขอออกตัวเลยครับว่า สำหรับขัอความทุกข้อความ เป็นการแสดงความเห็นส่วนตัว
ไม่ได้มาบังคับให้ใครเชื่อ
การแสดงความเห็นของผมนั้น ยึดหมั้นคำสอนของพระศาสดา ในข้อที่ว่า...
ใช้ปัญญาเลือกเฟ้นธรรมหรือธัมมวิจยะ ผมจึงไม่โพสพุทธพจน์ฟุ่มเฟีอย จะเลือกแต่
พุทธพจน์ที่เกี่ยวข้องกับความเห็นมาโพสเท่านั้น
ฉะนั้นอย่ามาว่าผมเป็นสัทธรรมปฏิรูปนะครับ ผมอาย :b9:
ฝึกจิต เขียน:
และในพุทธวจน ความหมายแต่ละคำมีความหมายตรงกัน ทุกสถานะการณ์
ไม่ขัดกันเลย:b8:


ก่อนพูดเอาความคิดของคนอื่นไปพิจารณาก่อนไม่ดีหรือ ไอ้ที่ผมยกตัวอย่างให้ดูน่ะ
เอาไปคือพิจารณาหรือยัง
เรื่อง"อุเบกขา"ที่คุณพูดเอง รู้ความหมายมันหรือยังว่า มันหลายความหมาย
สู้อุตสาห์ยกตัวอย่างให้ดู ถ้าไม่เข้าใจแทนที่จะเงียบ ยังตะบี้ตะบันเถียงคำเดิมๆ

ฝึกจิตลองไปดูซิไปหาค่าความหมายของ อุเบกขาสองตัวนี้ว่าเหมือนหรือต่างกัน
"อุเบกขาในเวทนา"กับ"อุเบกขาในโพชฌงค์" ไปดูซิว่ามันเหมือนกันอย่างที่ฝึกจิตพูดมั้ย


บอกแล้วบอกอีก อย่าปฏิบัติธรรมด้วยการท่องคำศัพท์ ให้หัดพิจารณาธรรมหาเหตุปัจจัย
ไปตามสภาวะที่เกิดภายในกายใจเราก็ไม่เชื่อ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2012, 02:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
การบัญญัติ เพื่อการเรียก เรียกขาน
เรียกขาน สภาวะธรรม ที่เกิดขึ้น
สภาวะธรรม มันไม่มีชื่อเรียก แต่ไม่ว่า ชนชาติใดในโลก หรือสัตว์ จะรับรู้ จะรู้สึกได้เหมือนกันหมด อย่างเดียวกันหมด
ครานี้ ในสมัยพุทธกาล จะเรียกสภาวะธรรม ต่างๆนั้นอย่างไร
จึงต้องจำแนกแจกแจงโดยบัญญัติ โดยถ้อยคำ

สงสัยคุณ"เช่นนั้น"จะสับสน คำว่า บัญญัติ นะครับ ตั้งสติแล้วก็คิดครับ
มันเป็นเพราะการมีพระไตรปิฎกหรือเปล่า เป็นเพราะต้องเอาพุทธพจน์มาทำให้เป็น
ตัวหนังสือหรือไม่ จากพุทธพจน์จึงกลายมาเป็นบัญญัติ
คำว่า บัญญัติมันเกิดมาพร้อมกับการทำพระไตรปิฎกหรือสังคายนาพระไตรปิฎกนั้นแหล่ะครับ

พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติอะไรเลยครับ คุณต้องแยกแยะให้ดีระหว่างพุทธพจน์กับบัญญัติ
พุทธพจน์เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า
แต่บัญญัติเป็นคำพูดของ สาวกผู้ทำการสังคายนาพระไตรปิฏกครับ


พุทธพจน์เป็นภาษากลางภาษาทิพย์ พระพุทธเจ้าก็พูดไปตามสภาวะธรรมที่เกิด
จะต้องไปใช้บัญญัติอะไรครับ คนฟังก็แค่ฟังไปตามความเป็นจริงตามสภาวะของตน
คุณก็บอกเองว่า ชนชาติใดหรือสัตว์จะรับรู้หรือรู้สึกหมือนกันหมด

ดังนั้นพุทธพจน์จึงเป็นภาษากลางเป็นภาษาทิพย์
เพราะเป็นการสื่อกันด้วย สัมมาทิฐิ(เห็นความเป็นจริในกายใจตน)

ในพุทธกาลเกิดอรหันต์ขึ้นมากมายก็เป็นเพราะ ได้ฟังคำสอนที่เป็นสัมมาทิฐิโดยตรง
ไม่ต้องมานั่งตีความแปลบัญญัติแบบสมัยนี้ เดี๋ยวนี้เปรียญ๙มากมาย แต่อรหันต์นิดเดียว :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2012, 03:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
..
นามกาย ของจิต ก็ต้องมีการอธิบายกันให้ยอมรับรับรู้ไปในทางเดียวกัน
ว่า เวทนา สัญญา สังขาร หรือแม้จิตเอง
ก็ต้องมีอาการ หรือคุณลักษณะพิเศษต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน
การจะบัญญัติ การเรียกขาน ภาษาบาลี มีลักษณะหนึ่งคือ มีการกำหนดเพศ ในไวยากรณ์บาลี เป็นลักษณะจำเพาะของภาษาบาลี
..
ทำความเข้าใจง่ายๆ ว่า
บัญญัติ การเรียกขาน นามกายอันเป็นสภาวะธรรมของจิต ที่เกิดกับจิต เนื่องกับจิตบ้าง ไม่เนื่องกับจิตบ้างแต่จิตเข้าถึงได้น้อมไปได้บ้าง ต้องมีการกำหนดลักษณะต่างๆ จำเพาะเพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน

เช่น เวทนา ...อันเป็นส่วนหนึ่งในนามกาย มีอาการที่เรียกว่า เป็นการเสวยอารมณ์ของจิต
เพศ เป็นเพศกลางๆ มีนิมิตเครื่องปรากฏ เป็นสุข ทุกข์ อทุกขมสุข มีอุเทศคือความปรากฏตามอายตนะต่าง ก็เรียกตามที่ปรากฏตามทวารนั้นๆ เป็นต้น

พออ่านพุทธพจน์
เช่น
"ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว
ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย
ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ
นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ"
V
การบัญญัตินามกาย ต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทศ
ทำให้ เข้าใจได้ว่า สภาวะธรรมอันเกี่ยวกับจิต ขณะนั้น ถูกบัญญัติแล้ว
อาการ เพศ นิมิต อุเทศ = นามกาย
V
เมื่อ (อาการ เพศ นิมิต และอุเทศ)นั้นๆ ไม่มี ก็คือ นามกายนั้นๆ ไม่มี
นั้นๆ หมายถึงสภาวะธรรมเฉพาะที่เกิดขึ้นให้เรียกขานด้วยถ้อยคำที่บัญญัตินั้นๆ
>>> นามกายนั้นๆ ไม่มี ผัสสะเพียงแต่ชื่อ(บัญญัติอีกแล้ว) ในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม
>>> ผัสสะต่างๆ ก็มีชื่อเรียก แต่จะปรากฏไม่ได้หากไม่ มีการปรากฏพร้อมแห่งนามกาย

ลักษณะความเห็นของคุณ มันเป็นการแปลซ้ำแปลซ้อนครับ
ในพระไตรปิฎกเป็นการอธิบายความอันมีที่มาจากพุทธพจน์
แล้วคุณก็มาแปลคำอธิบายความนั้นอีกที ผมว่ามันไม่ได้เรื่องนะครับ
ทำไมไม่ลงลึกเก็บประเด็นเนื้อหาพระไตรปิฏกไปเลยว่า กำลังสื่ออะไร
ไม่ใช่ไปหาว่ากำลังพูดอะไร แบบนี้เมื่อไรจะรู้เรื่อง เดี๋ยวคุณฝึกจิตก็ต้อง
มานั่งแปลคำพูดของคุณอีก

ผมจะบอกให้ครับว่าธรรมบทนี้กำลังสื่ออะไร
คุณลองสังเกตุนะครับว่า มีบัญญัติที่เป็นประเด็นมีอยู่สามครับนั้นก็คือ
*รูปกาย
*อาการ เพศ นิมิตและอุเทศ
*นามกาย
แก่นมันอยู่ตรงที่พระพุทธองค์บอกว่า สามสิ่งนี้ เมื่อมีอย่างหนี่งก็จะต้องมีอีกสองอย่างด้วย
จะมีเพียงอย่างใดอย่างหนี่งไม่ได้ เช่นมีรูปกาย จะต้องมี อาการ เพศ นิมิตและอุเทศจึงจะมีนามกาย
ถ้าขาดนามกาย ก็ขาดอาการเพศ นิมิตและอุเทศ มันก็ขาดรูปกายด้วย

ที่นี้เอามาเทียบกับ ชืวิต(กายใจ)ของเรา ชืวิตประกอบด้วยรูปธรรม นามธรรม
รูปธรรมนั้นหมายถึง กาย ส่วนนามธรรมหมายถีงใจ

ถ้าเราเอาเรื่องหรือประด็นทั้งสองมาเทียบกัน ไอ้รูปกายกับนามกาย มันหมายถึงส่วน รูปธรรม
รูปกายหมายถึง กาย
ส่วนนามกายหมายถึง กายอันเป็นต้นเหตุให้เกิดนาม หรือรูปธรรมทำให้เกิดนามธรรม
กายเป็นต้นเหตุของจิต


แล้วทำไมพระพุทธเจ้าต้องสอนเรื่องนี้ ก็เพราะเพี่อที่จะได้รู้
ต้นเหตุที่ทำให้เกิดจิตหลายภพชาติ ที่แท้มันมาจากการยึดมั่นถือมั่นในกายของภพชาติปัจจุบันนั้น
พระองค์ให้มองตามความเป็นจริงว่า กายที่เห็นอยู่นี้อีกหน่อยก็ต้องแตกสลายไปตามธรรมชาติ
และเรารู้แล้วว่า กายเป็นต้นเหตุทำให้เกิดจิต เมื่อไม่มีกายแล้วจิตย่อมไม่เกิดภพใหม่
มันเป็นการตัดวงจรปฏิจฯ


กายทำให้เกิดจิตอย่างไร ก็อายตนะภายในทั้งหกของเรา หูตา จมูกลิ้น กายและใจ(หทัยวัตถุ)
พวกอายตนะทั้งหกนี่แหล่ะคือกาย เมี่อมหาภูติรูปแปลเปลียนเป็นซากศพแล้ว อายตนะทั้งหก
ย่อมทำหน้าที่ไม่ได้ ไม่เกิดการกระทบจิตย่อมเกิดไม่ได้ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2012, 05:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติอะไรเลยครับ คุณต้องแยกแยะให้ดีระหว่างพุทธพจน์กับบัญญัติ
พุทธพจน์เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า
แต่บัญญัติเป็นคำพูดของ สาวกผู้ทำการสังคายนาพระไตรปิฏกครับ

:b12: :b12: :b12: :b12:
:b17: :b17:
:b28:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 10:41
โพสต์: 114

แนวปฏิบัติ: ลัทธินิยมความจริง
สิ่งที่ชื่นชอบ: เฒ่าทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาษาทิพย์

คนสองคนนั่งอยู่ข้างหลังเรา คนหนึ่งพูดว่า "พรุ่งนี้เอากบมาด้วย"
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า "กบ" หมายถึงอะไร กบ(สัตว์) กบไสไม้ กบเหลาดินสอ ฯลฯ
เมื่อเราไม่รู้ความหมายแล้วเราจะสรุปได้ไหมว่าคนสองคนนี้กำลังพูด ”ภาษาทิพย์”

อย่าว่าแต่ภาษาเลย แม้แต่ปัญหาโลกแตก ”ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่”
ถ้าเราตั้งอยู่บนความจริงและความมีเหตุมีผล เราก็หาคำตอบได้ไม่ยาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2012, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แกงได เขียน:
ภาษาทิพย์
คนสองคนนั่งอยู่ข้างหลังเรา คนหนึ่งพูดว่า "พรุ่งนี้เอากบมาด้วย"
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า "กบ" หมายถึงอะไร กบ(สัตว์) กบไสไม้ กบเหลาดินสอ ฯลฯ
เมื่อเราไม่รู้ความหมายแล้วเราจะสรุปได้ไหมว่าคนสองคนนี้กำลังพูด ”ภาษาทิพย์”

ก็คนมันไม่ได้พูดภาษาทิพย์ แล้วทำไมต้องไปหาว่าเขาพูดภาษาทิพย์หรือ เลอะเทอะจริง
ภาษาทิพย์หรือพุทธพจน์ เป็นภาษาเพื่อวิชชา เป็นคำกล่าวที่ปราศจากการปรุงแต่ง

ภาษาที่ปราศจากการปรุงแต่ง เป็นพูดจากการเห็นสภาพตามความเป็นจริง
พระพุทธเจ้า เรียกสิ่งที่มีชีวิตว่า ........สัตว์โลก สัตว์โลกแบ่งเป็น
บุคคลและเดรัจฉาน
มันไม่มีกบเขียด อี่งอ่างคางคกแบบที่คุณพูดหรอกครับ

แกงได เขียน:
อย่าว่าแต่ภาษาเลย แม้แต่ปัญหาโลกแตก ”ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่”
ถ้าเราตั้งอยู่บนความจริงและความมีเหตุมีผล เราก็หาคำตอบได้ไม่ยาก

ในภาษาธรรม การเกิดเป็นชีวิตเขาเรียก.....จุติและปฏิสนธิ์
ชีวิตเริ่มต้นเมื่อเกิดการปฏิสนธิ์ ถามในสิ่งที่ไม่ใช่พระธรรม มันก็เป็นแบบนี้แหล่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 00:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 10:41
โพสต์: 114

แนวปฏิบัติ: ลัทธินิยมความจริง
สิ่งที่ชื่นชอบ: เฒ่าทะเล
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์ยุคหินไม่เข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฟ้าร้องฟ้าผ่า ก็เข้าใจว่าผีสางเทวดาทำให้เกิดขึ้น ถ้ามีใครที่มันพูดเก่งๆ ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้าง มันก็ตั้งตัวเป็นหมอผีเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างคนกับผี หลอกกินเครื่องเส้นของชาวบ้านสบายไป
ภาษาทิพย์ของคุณก็ทำนองเดียวกัน ไม่เข้าใจความหมายก็อ้างเป็นของทิพย์ของวิเศษ

คุณจะเปิดประเด็นใหม่ทำไม ข้อเขียนผมไม่ใช่ประโยคคำถาม

โฮฮับ เขียน:
สัตว์โลกแบ่งเป็น บุคคลและเดรัจฉาน

พระพุทธเจ้าองค์ไหนละที่แบ่งแบบนี้ ใครที่ต้องการให้คำพูดตัวเองมีน้ำหนักก็มักจะอ้างว่าเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า จนต้องมี กาลามสูตร
การแบ่งสัตว์โลกแบบนี้เป็นการแบ่งแบบ อกุศล แล้วเราจะแยกบุคคลกับเดรัจฉานได้อย่างไรเมื่อบุคคลมีทั้งแบบ ดีกว่าเดรัจฉาน เดรัจฉาน เลวกว่าเดรัจฉาน

โฮฮับ เขียน:
การเกิดเป็นชีวิตเขาเรียก.....จุติและปฏิสนธิ

จุติ ไม่ต้องพูดถึงมีแต่ในนิยายนิทาน
การเกิดไม่ได้มีแต่การปฏิสนธิอย่างเดียว
1.การเกิดแบบอาศัยเพศ มีสองแบบ ปฏิสนธิภายนอก ปฏิสนธิภายใน
2.การเกิดแบบไม่อาศัยเพศ ไม่มีการปฏิสนธิ แต่มันจะเกิดแบบ การแบ่งแยก การแตกหน่อ การหัก การสร้างใหม่และการสร้างสปอร์
การเกิดเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ตัวที่เกิดใหม่ต้องแยกออกจากตัวต้นแบบอย่างเด็ดขาด
คุณลองไปดูใบเกิด วันที่เกิดไม่ใช่วันที่ปฏิสนธิ
เวลาเราจะเจียวไข่ ถ้าตอกไข่แล้วเห็นจุดขาวๆที่ไข่แดงแสดงว่าไข่ได้ปฏิสนธิแล้ว เมื่อเจียวเสร็จแล้วคุณไม่ควรเรียกว่า เป็ดเจียว ไก่เจียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แกงได เขียน:
มนุษย์ยุคหินไม่เข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฟ้าร้องฟ้าผ่า ก็เข้าใจว่าผีสางเทวดาทำให้เกิดขึ้น ถ้ามีใครที่มันพูดเก่งๆ ชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้าง มันก็ตั้งตัวเป็นหมอผีเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างคนกับผี หลอกกินเครื่องเส้นของชาวบ้านสบายไป
ภาษาทิพย์ของคุณก็ทำนองเดียวกัน ไม่เข้าใจความหมายก็อ้างเป็นของทิพย์ของวิเศษ

ประโยคคำพูดของผมนั้นก็คือ....."ดังนั้นพุทธพจน์จึงเป็น ภาษากลางเป็นภาษาทิพย์
เพราะเป็นการสื่อกันด้วย สัมมาทิฐิ(เห็นความเป็นจริงในกายใจตน)"


ความหมายคำพูดของผม ที่เอ่ยถึงพุทธพจน์ไม่ได้ตีความหมายแบบที่คุณว่า
ไม่ได้หมายถึง อิทธิฤทธิ์ เวทมนต์แบบที่คุณกล่าว

ความหมายมันก็บอกและอธิบายในตัวอยู่แล้วว่า....เป็นภาษาที่บุคคลในโลกนี้
สามารถเข้าใจได้ ถ้าบุคคลนั้นมีสัมมาทิฐิ

ความเห็นของคุณก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่ความหมายมันตรงข้ามกัน
ในเรื่องของสัมมาทิฐิครับ
แกงได เขียน:
คุณจะเปิดประเด็นใหม่ทำไม ข้อเขียนผมไม่ใช่ประโยคคำถาม

ก็มันไม่ใช่ประเด็นใหม่ ผมจึงต้องตอบต้องอธิบาย เพราะคุณพาดพิง
เอาคำพูดผมไปวิจารณ์แบบคนไม่รู้ ผิดจากความหมายที่ผมสื่อเอาไว้
แกงได เขียน:
โฮฮับ เขียน:
สัตว์โลกแบ่งเป็น บุคคลและเดรัจฉาน

พระพุทธเจ้าองค์ไหนละที่แบ่งแบบนี้ ใครที่ต้องการให้คำพูดตัวเองมีน้ำหนักก็มักจะอ้างว่าเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า จนต้องมี กาลามสูตร

คุณนี่พูดจาไม่มีหลักมีเกณท์เลย ถามหน่อยคุณเป็นชาวพุทธหรือเปล่า
เราชาวพุทธถ้าจะพูดถึงพระธรรม มันต้องอ้างพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เพราะพระธรรมเป็นคำสอน
ของพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่แบบคุณนี่ครับ กำลังคุยถึงพระธรรม ดันไปอ้างหมอผี อ้างเวทมนต์
การอ้างพระพุทธเจ้าจึงจะเป็นชาวพุทธ ที่มีพระรัตนไตรเป็นที่พึ่ง ส่วนเนื้อหามันจะผิดหรือถูก
มันก็เป็นอีกเรื่อง

ที่ถามว่า พระพุทธเจ้าองค์ไหนที่แบ่ง สัตว์โลกเป็นบุคคลและเดรัจฉาน
มันก็ต้องย้อนถามคุณล่ะครับว่า คุณนับถือศาสนาอะไร คุณศึกษาคำสอนของใคร
ใครเป็นพระศาสดาของคุณครับ และที่คุณเอาเรื่องกาลามสูตรมาอ้าง คุณไม่รู้ตัวหรอกว่า

คุณกำลังเป็นเหมือนชาว กาลามะ ก่อนที่จะได้พบพระพุทธเจ้า
ทำไมผมกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะ ผมบอกว่า การเข้าใจพุทธพจน์ได้ก็ด้วยสัมมาทิฐิ
แต่คุณดันไปคิดแต่เรื่องหมอผี อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาร
แกงได เขียน:
การแบ่งสัตว์โลกแบบนี้เป็นการแบ่งแบบ อกุศล แล้วเราจะแยกบุคคลกับเดรัจฉานได้อย่างไรเมื่อบุคคลมีทั้งแบบ ดีกว่าเดรัจฉาน เดรัจฉาน เลวกว่าเดรัจฉาน

:b13: ถามคุณหน่อยเถอะ คุณไปเอาคำพูดนี้มาจากไหน หรือไปโดนใครเขาด่ามา
พูดสั้นๆเลยว่า....เลอเทอะ
แกงได เขียน:
โฮฮับ เขียน:
การเกิดเป็นชีวิตเขาเรียก.....จุติและปฏิสนธิ

จุติ ไม่ต้องพูดถึงมีแต่ในนิยายนิทาน
การเกิดไม่ได้มีแต่การปฏิสนธิอย่างเดียว
1.การเกิดแบบอาศัยเพศ มีสองแบบ ปฏิสนธิภายนอก ปฏิสนธิภายใน
2.การเกิดแบบไม่อาศัยเพศ ไม่มีการปฏิสนธิ แต่มันจะเกิดแบบ การแบ่งแยก การแตกหน่อ การหัก การสร้างใหม่และการสร้างสปอร์
การเกิดเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ตัวที่เกิดใหม่ต้องแยกออกจากตัวต้นแบบอย่างเด็ดขาด
คุณลองไปดูใบเกิด วันที่เกิดไม่ใช่วันที่ปฏิสนธิ
เวลาเราจะเจียวไข่ ถ้าตอกไข่แล้วเห็นจุดขาวๆที่ไข่แดงแสดงว่าไข่ได้ปฏิสนธิแล้ว เมื่อเจียวเสร็จแล้วคุณไม่ควรเรียกว่า เป็ดเจียว ไก่เจียว

สงสัยจะไม่เข้าใจกับคำว่า โลกียะและโลกุตตระ

ที่ผมพูดมันเป็นลักษณะของโลกุตตระ โลกุตตระมีแค่ รูปธรรมและนามธรรม
ลักษณะการเกิดขึ้นของชีวิต ก็คือการเกิดดับของนามธรรมเรียกว่าจุติ จนมาอยู่ในรูปธรรม
เขาเรียกปฏิสนธิ์

คุณครับ ลักษณะการพูดของคุณดูก็รู้แล้วว่า ไม่รู้ไม่เข้าใจในภาษาธรรมะ
อธิบายคำพูดตอนท้ายของคุณไปก็ยิ่งมากความ แค่อยากทิ้งท้ายคำพูดสั้นๆ
ให้คุณเอาไปคิด อาจจะเข้าใจมากกว่านี้ก็ได้ ............
"คุณว่าในทางพุทธศาสนา การทำแท้งเป็นบาปมั้ย" :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 11:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


แกงได เขียน:
ภาษาทิพย์

คนสองคนนั่งอยู่ข้างหลังเรา คนหนึ่งพูดว่า "พรุ่งนี้เอากบมาด้วย"
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า "กบ" หมายถึงอะไร กบ(สัตว์) กบไสไม้ กบเหลาดินสอ ฯลฯ
เมื่อเราไม่รู้ความหมายแล้วเราจะสรุปได้ไหมว่าคนสองคนนี้กำลังพูด ”ภาษาทิพย์”

อย่าว่าแต่ภาษาเลย แม้แต่ปัญหาโลกแตก ”ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่”
ถ้าเราตั้งอยู่บนความจริงและความมีเหตุมีผล เราก็หาคำตอบได้ไม่ยาก

ไหนบอกให้ฟังหน่อยสิที่บอกว่าถ้าตั้งอยู่ในความจริงจะหาเหตุผลและมีคำตอบได้ไม่ยาก แล้วไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน คุนน้องก็อยากรู้หลักความเป็นจริงของคำตอบนี้ แต่ถ้าตอบไม่ได้เด่วเด็กสาวอิสาณบ้านนาคนนี้จะบอกว่าอะไรเกิดก่อนกัน และเป็นเหตุผลที่ตั้งอยู่ความจริง :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2012, 18:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
แกงได เขียน:
ภาษาทิพย์

คนสองคนนั่งอยู่ข้างหลังเรา คนหนึ่งพูดว่า "พรุ่งนี้เอากบมาด้วย"
เราจะรู้ได้อย่างไรว่า "กบ" หมายถึงอะไร กบ(สัตว์) กบไสไม้ กบเหลาดินสอ ฯลฯ
เมื่อเราไม่รู้ความหมายแล้วเราจะสรุปได้ไหมว่าคนสองคนนี้กำลังพูด ”ภาษาทิพย์”

อย่าว่าแต่ภาษาเลย แม้แต่ปัญหาโลกแตก ”ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่”
ถ้าเราตั้งอยู่บนความจริงและความมีเหตุมีผล เราก็หาคำตอบได้ไม่ยาก

ไหนบอกให้ฟังหน่อยสิที่บอกว่าถ้าตั้งอยู่ในความจริงจะหาเหตุผลและมีคำตอบได้ไม่ยาก แล้วไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน คุนน้องก็อยากรู้หลักความเป็นจริงของคำตอบนี้ แต่ถ้าตอบไม่ได้เด่วเด็กสาวอิสาณบ้านนาคนนี้จะบอกว่าอะไรเกิดก่อนกัน และเป็นเหตุผลที่ตั้งอยู่ความจริง :b13:

มาตอบปัญหาโลกแตกตามหลักความจริงของธรรมชาติ :b9: เมื่อก่อนคุนน้องก็หาเหตุผลมาตอบคำถามไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันไม่ได้หรอก :b6: แต่พอนั่งสมาธิคุนน้องมีความทรงจำที่เป็นสัญญาในอดีตผุดขึ้นมา แล้วก็กำหนดรู้มันด้วยปัญญา คือคุนน้องเป็นเด็กบ้านนาอ่ะนะ คุนตาคุนยายเลี้ยงไก่เยอะ แล้วธรรมชาติของแม่ไก่เวลาออกไข่ จะต้องคอยกกไข่ในรังเพื่อให้อุณหภูมิของไข่อบอุ่นไม่อย่างงั้นไข่พวกนั้นจะไม่สามารถฟักตัวออกมาได้ ซึ่งก็มีไข่บางตัวที่กลายเป็นไข่เน่าไปเพราะแม่ไก่ชอบหนีไปกุ๊กกิ๊กกับพ่อไก่ตัวผู้ ไม่มาสนใจไข่ในรัง สรุปถ้าไม่มีแม่ไก่ ไข่ย่อมไม่สามารถออกมาเป็นไก่ได้ ถ้ามนุษย์ไม่ใช้หลักวิทยาศาสตร์มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธรรมชาติที่มันเป็นอยู่อย่างงั้น เมื่อมีไก่ ย่อมมีไข่ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมีนะจ้ะ :b13:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 58 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร