วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 02:42  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2013, 22:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5016


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
bool เขียน:
กลับมามองที่ตนเองเมื่อไหร่ ก็แก้ไขสิ่งไม่ดีได้ โดยไม่ยาก
:b20: :b4:
ถูกต้องครับ แต่ส่วนใหญ่มักเห็นแต่คนอื่นแหละ ที่บกพร่อง ควรแก้ไข
ส่วนตัวเองดีที่ซู๊ดดด ..


:b32:


เป๊ปซี่...ดีที่ซู๊ดดดดดด

:b28: :b28: :b28:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เป๊ปซี่...ดีที่ซู๊ดดดดดด

:b28: :b28: :b28:

สมัยก่อนโน้นนน ..

Pepsi Cola เขาจะมี Slogan ว่า "Pepsi ดีที่สุด" จึงมีคำถามยอดฮิต
ว่า "อะไรเอ่ย ดีที่สุด" ถ้าตอบว่า "พ่อแม่ ดีที่สุด" ก็ผิด ..


รูปภาพ

ดูรูปดิ .. เก่าขนาด .. คนที่จำเรื่องนี้ได้ เก่าพอ ๆ กันแหละ .. อิอิ

:b9: :b32:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 06:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติสมถะ หรือ วิปัสสนา นั้นงานบางอย่างก็เป็นได้ทั้งสมถะ และ วิปัสสนา
แต่การปฏิบัติในขณะนั้นอยู่ในบัลลังก์ใดต้องทราบด้วยว่า ขณะนั้นตนเดินงานสมถะอยู่ หรือเดินงาน
วิปัสสนาอยู่ หากแยกแยะไม่ออกว่าขณะนั้นคืองานใด ก็ผิดทั้งบัลลังก์ค่ะ
เพราะงานบางอย่างเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา หากทำสมถะอยู่และเข้าใจว่ากำลังเดินงานวิปัสสนา
เป็นความเข้าใจที่ผิด งานนั้นก็เสียเปล่าค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
การปฏิบัติสมถะ หรือ วิปัสสนา นั้นงานบางอย่างก็เป็นได้ทั้งสมถะ และ วิปัสสนา
แต่การปฏิบัติในขณะนั้นอยู่ในบัลลังก์ใดต้องทราบด้วยว่า ขณะนั้นตนเดินงานสมถะอยู่ หรือเดินงาน
วิปัสสนาอยู่ หากแยกแยะไม่ออกว่าขณะนั้นคืองานใด ก็ผิดทั้งบัลลังก์ค่ะ
เพราะงานบางอย่างเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา หากทำสมถะอยู่และเข้าใจว่ากำลังเดินงานวิปัสสนา
เป็นความเข้าใจที่ผิด งานนั้นก็เสียเปล่าค่ะ


เช่นนี้ใช่หรือเปล่า ขณะทำกสิณเพ่งน้ำอยู่ เพื่อทำฌาน
แต่เราก็ไปนึกถึง สีของน้ำ และอาการไหล และเกาะกุมของน้ำ
อย่างนี้ก็จะเป็นการเจริญวิปัสสนาไป ใช่หรือเปล่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 09:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
วิริยะ เขียน:
SOAMUSA เขียน:

งานสมถะ กับงานวิปัสสนา เป็นคนละงานกัน
หากจะกล่าวก็ต้องกล่าวให้ชัดเจน

พอจะอธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย
เพื่อเป็นธรรมทานได้หรือเปล่าครับ ..

การปฏิบัติสมถะ หรือ วิปัสสนา นั้นงานบางอย่างก็เป็นได้ทั้งสมถะ และ วิปัสสนา
แต่การปฏิบัติในขณะนั้นอยู่ในบัลลังก์ใดต้องทราบด้วยว่า ขณะนั้นตนเดินงานสมถะอยู่ หรือเดินงาน
วิปัสสนาอยู่ หากแยกแยะไม่ออกว่าขณะนั้นคืองานใด ก็ผิดทั้งบัลลังก์ค่ะ
เพราะงานบางอย่างเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา หากทำสมถะอยู่และเข้าใจว่ากำลังเดินงานวิปัสสนา
เป็นความเข้าใจที่ผิด งานนั้นก็เสียเปล่าค่ะ

ขอบคุณนะครับ ที่ให้คำตอบ ..แม้จะนานสักหน่อย .. :b13:


.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 16:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




GEDC1772_resize.JPG
GEDC1772_resize.JPG [ 69.79 KiB | เปิดดู 3646 ครั้ง ]
:b16: :b16:
การแก้กิเลสทำไมจึงยาก ?
s006 s006

ตอบว่า ...ที่มันยากก็เพราะ...กิเลสไม่ใช่เหตุ.......มันไม่ใช่ที่ๆจะควรแก้

การแก้กิเลส ตัณหา เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการแก้ที่ ...ผล...ด้วยซ้ำไป
ทั้งนี้เนื่องจากว่า กิเลส ตัณหา ไม่ใช่่ ต้นเหตุ ไม่ใช่ ราก โคน เหง้า และกิเลส ตัณหา มีจำนวนมากเกินไปที่เราคนเดียวจะสู้ได้

ลองตรองดูคำของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่ท่านกล่าวไว้ว่า "กิเลส 1,500 ตัณหา 108 ถ้าเทียบเป็นจำนวนคนที่เป็นศัตรูของเรา...ท่านสู้กับคนตั้ง 1,500 คน หรือ 108 คน ท่านจะสู้ไหวไหม ขืนไปฮึดสู้ พวกมันแค่มอบให้คนละฝ่าเท้า เราก็มีหวังจมดินตายเป็นแน่


ถ้าเราจะพากันมาสังเกต พิจารณาให้ดีอีกสักนิด เราจะได้ค้นพบว่า ต้นเหตุที่ทำให้เกิด กิเลส ตัณหาขึ้นมาคืออะไร? แล้วเราก็แก้ตรงต้นเหตุหรือที่มาของกิเลส ตัณหา นั้นจึงจะถูกต้อง

ทุกท่านเคยได้ยินเรื่องราวอย่างนี้บ้างไหมว่า

สักกายทิฏฐิ หรือ อัตตา ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เป็นกู เป็นเรา นั่นเป็น พ่อของตัณหา เป็นปู่ของกิเลส...ส่วนแม่ของตัณหาหรือย่าของกิเลส ก็คือ วิจิกิจฉา ความลังเล สงสัย รู้ไม่จริง หรือไม่รู้

กิเลส สองตัวพ่อแม่นี้แต่งงานกัน ผสมพันธ์กันแล้ว จึงได้ลูกออกมา 108 พ่อ แม่ ลูก รวม 108 ตัวนี่ผสมพันธ์กันมั่ว จึงได้หลานออกมา อีก 1,500 ตัว

คนฉลาดมีสติปัญญาดี เขาจะไม่สู้กิเลส ตัณหา....แต่เขาจะสู้ที่อัตตา ตัว พ่อ หรือวิจิกิจฉา ตัว แม่ของมัน ซึ่งมีเพียง 2 หรือ ตัวต่อตัวเท่านั้นเอง จึงจะไม่เป็นการยาก

งานสำคัญของชาวพุทธ ไม่ใช่สู้กับกิเลส ตัณหา

งานสำคัญของชาวพุทธคือ ต้องสู้ที่ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นพ่อของตัณหา เป็นปู้เป็นตาของกิเลสทั้งปวง ทั้งปวง....ถ้าพ่อของมันตาย แม่คือวิจิกิจฉาก็จะตายตาม ลูก หลาน ของมันก็จะพากันตาายตามยกทั้งรัง

ลองพิจารณากันดูนะครับ ถ้าสู้ถูกที่ สู้ตรงต้นเหตุ งานที่คิดว่ายาก จะกลายเป็นของง่ายทันที

:b11: :b37: :b38:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 18:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มีเหตุผล...มีเหตุผล
:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



"กิเลส" มีสาม "โลภะ โทสะ โมหะ" เป็นรากเง้าของ "ตัณหา"
เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ พระองค์ตรัสไว้ถูกต้องดีแล้ว ..

"มรรคแปด" ทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อความดับทุกข์ เป็นทางสายกลาง
ที่ควรดำเนินตาม .. เป็นธรรมที่ควรนำไปประพฤติ ปฏิบัติ ..

"สังโยชน์" ธรรมที่ผูกมัดสัตว์ หรือเครื่องร้อยรัดสัตว์ไว้ให้เกิดตายกับวัฏฏะสงสาร
ขึ้นต้นด้วย สักกายทิฏฐิ .. ลงท้ายอวิชชา เป็นธรรมที่ควรละ ..

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2013, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มรรค 8 ปฏิบัติเพื่อละ สังโยชน์ 10...

สังโยชน์ทั้ง 10 มี...ก็เพราะ...มีเรา..มีของเรา...คือ.สักกายทิฐิ..ตัวเดียว

ในปัญหาของปุณณกะมาณพ...ถามพระพุทธเจ้า....ย่อได้ว่า
..ที่คนทั้งหลาย...บูชายันต์...มีอะไรเป็นเหตุ...?
..เพราะมีชรา....จึงปรารถณาสิ่งใด ๆ .....นั้นเป็นเหตุ...

คือ..เราไม่ต้องการตาย..นั้นเอง....จึงทำทุกอย่าง....จนแม้จะต้องตาย..ก็ขอเกิดใหม่ในสิ่งที่คิดว่า..ดีขึ้น
มีทรัพย์มากขึ้น...มีรูปสวยขึ้น..มีร่างกายแข็งแรงไม่มีโรค...จึงพากันทำบุญ...นี้งัย

ไม่มีร่างกายซะ....คือ..ไม่เกิด....ก็จะไม่ตาย....นี้แหละที่อวิชชาคิดไม่ได้..คิดแต่จะปรับปรุงร่ายกายยังงัย...จะได้ไม่ตาย
ชาตินี้คิดไม่ได้....ยังขอเกิดมาคิดแก้ตัวใหม่อีก....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 07:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



โลภะ ละได้ด้วย ทาน
โทสะ ละได้ด้วย ศีล
โมหะ อวิชชา ละได้ด้วย สมาธิและปัญญา

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 08:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
SOAMUSA เขียน:
การปฏิบัติสมถะ หรือ วิปัสสนา นั้นงานบางอย่างก็เป็นได้ทั้งสมถะ และ วิปัสสนา
แต่การปฏิบัติในขณะนั้นอยู่ในบัลลังก์ใดต้องทราบด้วยว่า ขณะนั้นตนเดินงานสมถะอยู่ หรือเดินงาน
วิปัสสนาอยู่ หากแยกแยะไม่ออกว่าขณะนั้นคืองานใด ก็ผิดทั้งบัลลังก์ค่ะ
เพราะงานบางอย่างเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา หากทำสมถะอยู่และเข้าใจว่ากำลังเดินงานวิปัสสนา
เป็นความเข้าใจที่ผิด งานนั้นก็เสียเปล่าค่ะ


เช่นนี้ใช่หรือเปล่า ขณะทำกสิณเพ่งน้ำอยู่ เพื่อทำฌาน
แต่เราก็ไปนึกถึง สีของน้ำ และอาการไหล และเกาะกุมของน้ำ
อย่างนี้ก็จะเป็นการเจริญวิปัสสนาไป ใช่หรือเปล่า


ถ้ามีสติไปตามรู้ความนึกคิดขณะนั้นก็พลิกเข้าสู่งานวิปัสสนาแล้วค่ะ และถ้ารู้ตัวว่าขณะนั้นเดินงาน
วิปัสสนาอยู่ก็เกิดกุศล แต่งานตรงหน้าคือการเพ่งอาโปกสิณ ไม่ได้ดูสภาวะไหลเกาะกุมของน้ำ ก็จะ
ต้องกลับมาทำฌานตามงานเดิมที่ตั้งไว้ต่อไปและหาวิธีป้องกันอุปสรรคทางใจในระหว่างทำการเพ่งเอา
เองค่ะ ไม่อย่างนั้นอุคคหนิมิตไม่ปรากฏแน่ๆ ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
SOAMUSA เขียน:
วิริยะ เขียน:
SOAMUSA เขียน:

งานสมถะ กับงานวิปัสสนา เป็นคนละงานกัน
หากจะกล่าวก็ต้องกล่าวให้ชัดเจน

พอจะอธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย
เพื่อเป็นธรรมทานได้หรือเปล่าครับ ..

การปฏิบัติสมถะ หรือ วิปัสสนา นั้นงานบางอย่างก็เป็นได้ทั้งสมถะ และ วิปัสสนา
แต่การปฏิบัติในขณะนั้นอยู่ในบัลลังก์ใดต้องทราบด้วยว่า ขณะนั้นตนเดินงานสมถะอยู่ หรือเดินงาน
วิปัสสนาอยู่ หากแยกแยะไม่ออกว่าขณะนั้นคืองานใด ก็ผิดทั้งบัลลังก์ค่ะ
เพราะงานบางอย่างเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา หากทำสมถะอยู่และเข้าใจว่ากำลังเดินงานวิปัสสนา
เป็นความเข้าใจที่ผิด งานนั้นก็เสียเปล่าค่ะ

ขอบคุณนะครับ ที่ให้คำตอบ ..แม้จะนานสักหน่อย .. :b13:



ขอโทษด้วยค่ะ ที่คุยกันแล้วหายไปไม่คุยกันต่อ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 09:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ขอโทษด้วยค่ะ ที่คุยกันแล้วหายไปไม่คุยกันต่อ

ไม่เป็นไรครับ บางเรื่องก็ต้องใช้เวลา ..

:b1: :b12:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2013, 06:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


วิริยะ เขียน:
SOAMUSA เขียน:
ขอโทษด้วยค่ะ ที่คุยกันแล้วหายไปไม่คุยกันต่อ

ไม่เป็นไรครับ บางเรื่องก็ต้องใช้เวลา ..

:b1: :b12:


ดิฉันจะทำกระทู้แปะไว้ที่ห้องพระอภิธรรม เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง
สมถกับวิปัสสนา เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้ปฏิบัติทุกท่านค่ะ
เวลาปฏิบัติจริงๆ มันจะพลิกไปพลิกมาระหว่างสมถกับวิปัสสนา จะได้รู้ว่าขณะนั้นงานอะไรค่ะ
และวิปัสสนานั้นในญาณที่1 และ 2 ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าวิปัสสนาแท้ เป็นเพียงการตามดูรูปนาม
วิปัสสนาแท้ๆ อยู่ ญาณที่3-ญาณที่12 คือ สัมมสนญาณ-อนุโลมญาณ

ขอเชิญเพื่อนๆ ตามไปอ่านที่ห้องพระอภิธรรมได้ค่ะ จะพิมพ์ให้เสร็จเรียบร้อยในวันนี้ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 60 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron