วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2014, 14:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b44:
ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัยให้รู้ ให้เห็น เป็นเอง โดยมิได้บอก กล่าว สั่งกำหนด เช่น เสียงที่มากระทบหู รูปที่มากระทบตา กลิ่นที่มากระทบจมูก รสที่มากระทบลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบกาย อารมณ์ที่มากระทบใจ ตัณหา โลภ โกรธ หลง ยินดี ยินร้ายที่ปรากฏขึ้นในจิต
.......
อันผู้มีความเห็นถูกต้องเท่านั้นจึงจะเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนเอง
:b12: :b38:
:b37:


เมื่อผัสสะเกิด...ทางตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ......จนเกิด...โลภ...โกรธ....อโศกะไปเห็นโลภ...โกรธ..จากผัสสะนั้นๆ.ได้ด้วยอะไร?....ด้วยสัญญาหรือ?...ด้วยสังขารหรือ?....หรือด้วยวิญญาณ?

หรือ...เห็นด้วยอย่างอื่น

เมื่อเห็น..ความโลภ...ความโกรธ....อโศกะเห้นมั้ยว่า....มันเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร?...ทำไมมันถึงเกิด?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2014, 22:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b44:
ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัยให้รู้ ให้เห็น เป็นเอง โดยมิได้บอก กล่าว สั่งกำหนด เช่น เสียงที่มากระทบหู รูปที่มากระทบตา กลิ่นที่มากระทบจมูก รสที่มากระทบลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบกาย อารมณ์ที่มากระทบใจ ตัณหา โลภ โกรธ หลง ยินดี ยินร้ายที่ปรากฏขึ้นในจิต
.......
อันผู้มีความเห็นถูกต้องเท่านั้นจึงจะเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนเอง
:b12: :b38:
:b37:


เมื่อผัสสะเกิด...ทางตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ......จนเกิด...โลภ...โกรธ....อโศกะไปเห็นโลภ...โกรธ..จากผัสสะนั้นๆ.ได้ด้วยอะไร?....ด้วยสัญญาหรือ?...ด้วยสังขารหรือ?....หรือด้วยวิญญาณ?

หรือ...เห็นด้วยอย่างอื่น

เมื่อเห็น..ความโลภ...ความโกรธ....อโศกะเห้นมั้ยว่า....มันเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร?...ทำไมมันถึงเกิด?

smiley
เห็นด้วยสติและปัญญา โดยมีสัญญาเป็นปัจจัยร่วม

ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นมา ......เพื่อ
แต่เกิดขึ้นมา ...เพราะ...ตัณหาทั้ง 3

เหตุที่มันเกิดก็เพราะ ละความยินดียินร้ายไม่ได้
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b44:
ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัยให้รู้ ให้เห็น เป็นเอง โดยมิได้บอก กล่าว สั่งกำหนด เช่น เสียงที่มากระทบหู รูปที่มากระทบตา กลิ่นที่มากระทบจมูก รสที่มากระทบลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบกาย อารมณ์ที่มากระทบใจ ตัณหา โลภ โกรธ หลง ยินดี ยินร้ายที่ปรากฏขึ้นในจิต
.......
อันผู้มีความเห็นถูกต้องเท่านั้นจึงจะเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนเอง
:b12: :b38:
:b37:


เมื่อผัสสะเกิด...ทางตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ......จนเกิด...โลภ...โกรธ....อโศกะไปเห็นโลภ...โกรธ..จากผัสสะนั้นๆ.ได้ด้วยอะไร?....ด้วยสัญญาหรือ?...ด้วยสังขารหรือ?....หรือด้วยวิญญาณ?

หรือ...เห็นด้วยอย่างอื่น

เมื่อเห็น..ความโลภ...ความโกรธ....อโศกะเห้นมั้ยว่า....มันเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร?...ทำไมมันถึงเกิด?

smiley
เห็นด้วยสติและปัญญา โดยมีสัญญาเป็นปัจจัยร่วม

ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นมา ......เพื่อ
แต่เกิดขึ้นมา ...เพราะ...ตัณหาทั้ง 3

เหตุที่มันเกิดก็เพราะ ละความยินดียินร้ายไม่ได้
:b44:


เอิ้นทำนองนี้เขาเรียกนักเทศน์นักพูดนักปาฐกถา ไม่มีอะไร :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 08:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b44:
ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัยให้รู้ ให้เห็น เป็นเอง โดยมิได้บอก กล่าว สั่งกำหนด เช่น เสียงที่มากระทบหู รูปที่มากระทบตา กลิ่นที่มากระทบจมูก รสที่มากระทบลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบกาย อารมณ์ที่มากระทบใจ ตัณหา โลภ โกรธ หลง ยินดี ยินร้ายที่ปรากฏขึ้นในจิต
.......
อันผู้มีความเห็นถูกต้องเท่านั้นจึงจะเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนเอง
:b12: :b38:
:b37:


เมื่อผัสสะเกิด...ทางตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ......จนเกิด...โลภ...โกรธ....อโศกะไปเห็นโลภ...โกรธ..จากผัสสะนั้นๆ.ได้ด้วยอะไร?....ด้วยสัญญาหรือ?...ด้วยสังขารหรือ?....หรือด้วยวิญญาณ?

หรือ...เห็นด้วยอย่างอื่น

เมื่อเห็น..ความโลภ...ความโกรธ....อโศกะเห้นมั้ยว่า....มันเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร?...ทำไมมันถึงเกิด?

smiley
เห็นด้วยสติและปัญญา โดยมีสัญญาเป็นปัจจัยร่วม

ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นมา ......เพื่อ
แต่เกิดขึ้นมา ...เพราะ...ตัณหาทั้ง 3

เหตุที่มันเกิดก็เพราะ ละความยินดียินร้ายไม่ได้
:b44:


เอิ้นทำนองนี้เขาเรียกนักเทศน์นักพูดนักปาฐกถา ไม่มีอะไร :b32:

:b12:
กว่าจะได้คำว่า "นัก" นี้มาก็ไม่ใช่ของง่ายนะกรัชกาย

ถ้าไม่มีผลงานและเรตติ้งระดับพันระดับหมื่นหรือแสนสังคมไม่เชื่อถือ ศรัทธา ยอมรับ ไม่ได้เป็น นักหรอกนะ ถ้าฝืนเป็นเองก็เป็น นัก ปลิอม

อย่างกรัชกายนี้ถือว่าเป็น นัก...ได้ คือนักวิชาการพุทธศาสนา แต่จะจริงหรือปลอมนั้นเจ้าตัวต้องรู้ตัวเอาเอง
:b32:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน

นักดีแต่พูดมักจะหลบเลี่ยงไม่ตอบปัญหาหรือยกปัญหาไปพึ่งผู้อื่นตอบให้อย่างที่ใครบางคนกำลังเป็นอยู่
:b13: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b44:
ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัยให้รู้ ให้เห็น เป็นเอง โดยมิได้บอก กล่าว สั่งกำหนด เช่น เสียงที่มากระทบหู รูปที่มากระทบตา กลิ่นที่มากระทบจมูก รสที่มากระทบลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบกาย อารมณ์ที่มากระทบใจ ตัณหา โลภ โกรธ หลง ยินดี ยินร้ายที่ปรากฏขึ้นในจิต
.......
อันผู้มีความเห็นถูกต้องเท่านั้นจึงจะเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนเอง
:b12: :b38:
:b37:


เมื่อผัสสะเกิด...ทางตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ......จนเกิด...โลภ...โกรธ....อโศกะไปเห็นโลภ...โกรธ..จากผัสสะนั้นๆ.ได้ด้วยอะไร?....ด้วยสัญญาหรือ?...ด้วยสังขารหรือ?....หรือด้วยวิญญาณ?

หรือ...เห็นด้วยอย่างอื่น

เมื่อเห็น..ความโลภ...ความโกรธ....อโศกะเห้นมั้ยว่า....มันเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร?...ทำไมมันถึงเกิด?

smiley
เห็นด้วยสติและปัญญา โดยมีสัญญาเป็นปัจจัยร่วม

ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นมา ......เพื่อ
แต่เกิดขึ้นมา ...เพราะ...ตัณหาทั้ง 3

เหตุที่มันเกิดก็เพราะ ละความยินดียินร้ายไม่ได้
:b44:


เอิ้นทำนองนี้เขาเรียกนักเทศน์นักพูดนักปาฐกถา ไม่มีอะไร :b32:

:b12:
กว่าจะได้คำว่า "นัก" นี้มาก็ไม่ใช่ของง่ายนะกรัชกาย

ถ้าไม่มีผลงานและเรตติ้งระดับพันระดับหมื่นหรือแสนสังคมไม่เชื่อถือ ศรัทธา ยอมรับ ไม่ได้เป็น นักหรอกนะ ถ้าฝืนเป็นเองก็เป็น นัก ปลิอม

อย่างกรัชกายนี้ถือว่าเป็น นัก...ได้ คือนักวิชาการพุทธศาสนา แต่จะจริงหรือปลอมนั้นเจ้าตัวต้องรู้ตัวเอาเอง
:b32:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน

นักดีแต่พูดมักจะหลบเลี่ยงไม่ตอบปัญหาหรือยกปัญหาไปพึ่งผู้อื่นตอบให้อย่างที่ใครบางคนกำลังเป็นอยู่


อ้างคำพูด:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน


สังเกตแล้ว ว่าไม่มีอะไร ก็อย่างที่บอกไงธรรมะไล่จับปอบ :b1:

หากนักปฏิบัติของแท้ ไม่ลอกไม่ดำ สังคมยกย่อง นี่แก้ปัญหาให้เขาที ว่าไป

อ้างคำพูด:
คือเริ่มฝึกนั่งสมาธิได้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ได้ค่ะคือไม่ได้นั่งเพื่อให้บรรลุหรือว่าอะไรนะคะคืออยากให้จิตสงบ เท่านั้นแต่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ก็เริ่มได้ยินเสียงเหมือนพระสวดดังที่ข้างหู ตลอดเวลาตอนแรกนึกว่าหูอื้อแต่มันไม่ใช่ค่ะกระทั่งตอนนี้ก็ยังได้ยินอยู่ คืออยากขอคำแนะนำค่ะว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปและเสียงที่ได้ยินอยู่นี่ มันดีหรือไม่ดีคะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 09:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
เห็นด้วยสติและปัญญา โดยมีสัญญาเป็นปัจจัยร่วม

ร่างกายเราประกอบด้วยขันธ์5......แล้ว..สติปัญญา..อยู่ตรงไหน..ของเรา..

ข้ามคำถามนี้ก่อนก็ได้..

asoka เขียน:

ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นมา ......เพื่อ
แต่เกิดขึ้นมา ...เพราะ...ตัณหาทั้ง 3

เหตุที่มันเกิดก็เพราะ ละความยินดียินร้ายไม่ได้
:b44:


โลภ..เพราะอยากได้สิ่งนั้นมา.....โกรธ..ที่ไม่ได้สิ่งนั้นมา....หลงว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีบ้าง..ไม่ดีกับเราบ้าง...อย่างนี้ไม่เรียกว่า....โลภ..โกรธ....หลง....เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร......หรือครับ..อโศกะ

แล้วความยินดี...ยินร้าย...เกิดได้อย่างไร??

ที่ถามนี้.....ก็เพื่อหาต้นเหตุ.....เพราะทุกคนต่างก็ทราบตรงกันอยู่แล้วว่า...ต้องดับที่ต้นเหตุ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 09:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b44:
ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัยให้รู้ ให้เห็น เป็นเอง โดยมิได้บอก กล่าว สั่งกำหนด เช่น เสียงที่มากระทบหู รูปที่มากระทบตา กลิ่นที่มากระทบจมูก รสที่มากระทบลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบกาย อารมณ์ที่มากระทบใจ ตัณหา โลภ โกรธ หลง ยินดี ยินร้ายที่ปรากฏขึ้นในจิต
.......
อันผู้มีความเห็นถูกต้องเท่านั้นจึงจะเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนเอง
:b12: :b38:
:b37:


เมื่อผัสสะเกิด...ทางตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ......จนเกิด...โลภ...โกรธ....อโศกะไปเห็นโลภ...โกรธ..จากผัสสะนั้นๆ.ได้ด้วยอะไร?....ด้วยสัญญาหรือ?...ด้วยสังขารหรือ?....หรือด้วยวิญญาณ?

หรือ...เห็นด้วยอย่างอื่น

เมื่อเห็น..ความโลภ...ความโกรธ....อโศกะเห้นมั้ยว่า....มันเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร?...ทำไมมันถึงเกิด?

smiley
เห็นด้วยสติและปัญญา โดยมีสัญญาเป็นปัจจัยร่วม

ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นมา ......เพื่อ
แต่เกิดขึ้นมา ...เพราะ...ตัณหาทั้ง 3

เหตุที่มันเกิดก็เพราะ ละความยินดียินร้ายไม่ได้
:b44:


เอิ้นทำนองนี้เขาเรียกนักเทศน์นักพูดนักปาฐกถา ไม่มีอะไร :b32:

:b12:
กว่าจะได้คำว่า "นัก" นี้มาก็ไม่ใช่ของง่ายนะกรัชกาย

ถ้าไม่มีผลงานและเรตติ้งระดับพันระดับหมื่นหรือแสนสังคมไม่เชื่อถือ ศรัทธา ยอมรับ ไม่ได้เป็น นักหรอกนะ ถ้าฝืนเป็นเองก็เป็น นัก ปลิอม

อย่างกรัชกายนี้ถือว่าเป็น นัก...ได้ คือนักวิชาการพุทธศาสนา แต่จะจริงหรือปลอมนั้นเจ้าตัวต้องรู้ตัวเอาเอง
:b32:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน

นักดีแต่พูดมักจะหลบเลี่ยงไม่ตอบปัญหาหรือยกปัญหาไปพึ่งผู้อื่นตอบให้อย่างที่ใครบางคนกำลังเป็นอยู่


อ้างคำพูด:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน


สังเกตแล้ว ว่าไม่มีอะไร ก็อย่างที่บอกไงธรรมะไล่จับปอบ :b1:

หากนักปฏิบัติของแท้ ไม่ลอกไม่ดำ สังคมยกย่อง นี่แก้ปัญหาให้เขาที ว่าไป

อ้างคำพูด:
คือเริ่มฝึกนั่งสมาธิได้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ได้ค่ะคือไม่ได้นั่งเพื่อให้บรรลุหรือว่าอะไรนะคะคืออยากให้จิตสงบ เท่านั้นแต่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ก็เริ่มได้ยินเสียงเหมือนพระสวดดังที่ข้างหู ตลอดเวลาตอนแรกนึกว่าหูอื้อแต่มันไม่ใช่ค่ะกระทั่งตอนนี้ก็ยังได้ยินอยู่ คืออยากขอคำแนะนำค่ะว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปและเสียงที่ได้ยินอยู่นี่ มันดีหรือไม่ดีคะ

:b12:
อย่างนี้เขาเรียกว่า"หูแว่ว" หรือจิตหลอกเป็นกับผู้ได้สมาธิเบื้องต้น อาจารย์ก็สอนไม่เก่งปล่อยให้ศิษย์ปรุงต่อเป็นเรื่องเป็นราวลุกลาม

ทางแก้ต้องย้ำให้ศิษย์มีสติ รู้ตัว กลับมาหากรรมฐาน และใช้ปัญญาพิจารณาแก้อาการฟุ้งไปกับอาการหูแว่ว
จะ ได้ยินหนอ หรือนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป หรือพุทโธ หรืออนัตตาใส่จนมันหาย แล้วแต่ว่าใช้การภาวนาแบบใดมา

หูแว่ว ก็เป็นนิวรณ์ขวางกั้นการถึงธรรม
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 09:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b44:
ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัยให้รู้ ให้เห็น เป็นเอง โดยมิได้บอก กล่าว สั่งกำหนด เช่น เสียงที่มากระทบหู รูปที่มากระทบตา กลิ่นที่มากระทบจมูก รสที่มากระทบลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบกาย อารมณ์ที่มากระทบใจ ตัณหา โลภ โกรธ หลง ยินดี ยินร้ายที่ปรากฏขึ้นในจิต
.......
อันผู้มีความเห็นถูกต้องเท่านั้นจึงจะเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนเอง
:b12: :b38:
:b37:


เมื่อผัสสะเกิด...ทางตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ......จนเกิด...โลภ...โกรธ....อโศกะไปเห็นโลภ...โกรธ..จากผัสสะนั้นๆ.ได้ด้วยอะไร?....ด้วยสัญญาหรือ?...ด้วยสังขารหรือ?....หรือด้วยวิญญาณ?

หรือ...เห็นด้วยอย่างอื่น

เมื่อเห็น..ความโลภ...ความโกรธ....อโศกะเห้นมั้ยว่า....มันเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร?...ทำไมมันถึงเกิด?

smiley
เห็นด้วยสติและปัญญา โดยมีสัญญาเป็นปัจจัยร่วม

ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นมา ......เพื่อ
แต่เกิดขึ้นมา ...เพราะ...ตัณหาทั้ง 3

เหตุที่มันเกิดก็เพราะ ละความยินดียินร้ายไม่ได้
:b44:


เอิ้นทำนองนี้เขาเรียกนักเทศน์นักพูดนักปาฐกถา ไม่มีอะไร :b32:

:b12:
กว่าจะได้คำว่า "นัก" นี้มาก็ไม่ใช่ของง่ายนะกรัชกาย

ถ้าไม่มีผลงานและเรตติ้งระดับพันระดับหมื่นหรือแสนสังคมไม่เชื่อถือ ศรัทธา ยอมรับ ไม่ได้เป็น นักหรอกนะ ถ้าฝืนเป็นเองก็เป็น นัก ปลิอม

อย่างกรัชกายนี้ถือว่าเป็น นัก...ได้ คือนักวิชาการพุทธศาสนา แต่จะจริงหรือปลอมนั้นเจ้าตัวต้องรู้ตัวเอาเอง
:b32:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน

นักดีแต่พูดมักจะหลบเลี่ยงไม่ตอบปัญหาหรือยกปัญหาไปพึ่งผู้อื่นตอบให้อย่างที่ใครบางคนกำลังเป็นอยู่


อ้างคำพูด:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน


สังเกตแล้ว ว่าไม่มีอะไร ก็อย่างที่บอกไงธรรมะไล่จับปอบ :b1:

หากนักปฏิบัติของแท้ ไม่ลอกไม่ดำ สังคมยกย่อง นี่แก้ปัญหาให้เขาที ว่าไป

อ้างคำพูด:
คือเริ่มฝึกนั่งสมาธิได้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ได้ค่ะคือไม่ได้นั่งเพื่อให้บรรลุหรือว่าอะไรนะคะคืออยากให้จิตสงบ เท่านั้นแต่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ก็เริ่มได้ยินเสียงเหมือนพระสวดดังที่ข้างหู ตลอดเวลาตอนแรกนึกว่าหูอื้อแต่มันไม่ใช่ค่ะกระทั่งตอนนี้ก็ยังได้ยินอยู่ คืออยากขอคำแนะนำค่ะว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปและเสียงที่ได้ยินอยู่นี่ มันดีหรือไม่ดีคะ

:b12:
อย่างนี้เขาเรียกว่า"หูแว่ว" หรือจิตหลอกเป็นกับผู้ได้สมาธิเบื้องต้น อาจารย์ก็สอนไม่เก่งปล่อยให้ศิษย์ปรุงต่อเป็นเรื่องเป็นราวลุกลาม

ทางแก้ต้องย้ำให้ศิษย์มีสติ รู้ตัว กลับมาหากรรมฐาน และใช้ปัญญาพิจารณาแก้อาการฟุ้งไปกับอาการหูแว่ว
จะ ได้ยินหนอ หรือนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป หรือพุทโธ หรืออนัตตาใส่จนมันหาย แล้วแต่ว่าใช้การภาวนาแบบใดมา

หูแว่ว ก็เป็นนิวรณ์ขวางกั้นการถึงธรรม


อ้างคำพูด:
ย้ำให้ศิษย์มีสติ รู้ตัว กลับมาหากรรมฐาน และใช้ปัญญาพิจารณาแก้อาการฟุ้งไปกับอาการหูแว่ว
จะ ได้ยินหนอ หรือนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป หรือพุทโธ หรืออนัตตาใส่จนมันหาย แล้วแต่ว่าใช้การภาวนาแบบใดมา


อโศกยังขาดการลงตัวภาคปฏิบัติ ถึงพูดคลุมไปหมด กรัชกายว่าว่า ทำไมไม่ยกมาทั้งสามปิฎกเลยล่ะ นี่แหละอโศก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 10:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b44:
ธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ ธรรมดา คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งเหตุและปัจจัยให้รู้ ให้เห็น เป็นเอง โดยมิได้บอก กล่าว สั่งกำหนด เช่น เสียงที่มากระทบหู รูปที่มากระทบตา กลิ่นที่มากระทบจมูก รสที่มากระทบลิ้น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ที่มากระทบกาย อารมณ์ที่มากระทบใจ ตัณหา โลภ โกรธ หลง ยินดี ยินร้ายที่ปรากฏขึ้นในจิต
.......
อันผู้มีความเห็นถูกต้องเท่านั้นจึงจะเห็นได้ รู้ได้ด้วยตนเอง
:b12: :b38:
:b37:


เมื่อผัสสะเกิด...ทางตา..หู..จมูก..ลิ้น..กาย..ใจ......จนเกิด...โลภ...โกรธ....อโศกะไปเห็นโลภ...โกรธ..จากผัสสะนั้นๆ.ได้ด้วยอะไร?....ด้วยสัญญาหรือ?...ด้วยสังขารหรือ?....หรือด้วยวิญญาณ?

หรือ...เห็นด้วยอย่างอื่น

เมื่อเห็น..ความโลภ...ความโกรธ....อโศกะเห้นมั้ยว่า....มันเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร?...ทำไมมันถึงเกิด?

smiley
เห็นด้วยสติและปัญญา โดยมีสัญญาเป็นปัจจัยร่วม

ความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้เกิดขึ้นมา ......เพื่อ
แต่เกิดขึ้นมา ...เพราะ...ตัณหาทั้ง 3

เหตุที่มันเกิดก็เพราะ ละความยินดียินร้ายไม่ได้
:b44:


เอิ้นทำนองนี้เขาเรียกนักเทศน์นักพูดนักปาฐกถา ไม่มีอะไร :b32:

:b12:
กว่าจะได้คำว่า "นัก" นี้มาก็ไม่ใช่ของง่ายนะกรัชกาย

ถ้าไม่มีผลงานและเรตติ้งระดับพันระดับหมื่นหรือแสนสังคมไม่เชื่อถือ ศรัทธา ยอมรับ ไม่ได้เป็น นักหรอกนะ ถ้าฝืนเป็นเองก็เป็น นัก ปลิอม

อย่างกรัชกายนี้ถือว่าเป็น นัก...ได้ คือนักวิชาการพุทธศาสนา แต่จะจริงหรือปลอมนั้นเจ้าตัวต้องรู้ตัวเอาเอง
:b32:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน

นักดีแต่พูดมักจะหลบเลี่ยงไม่ตอบปัญหาหรือยกปัญหาไปพึ่งผู้อื่นตอบให้อย่างที่ใครบางคนกำลังเป็นอยู่


อ้างคำพูด:
อนึ่งถ้าเป็นแค่นักเทศน์ นักพูด นักปาฐกถา คงตอบปัญหาภาคปฏิบัติจริงๆไม่ได้อย่างลึกซึ้งหรอก สังเกตดูเอาเองกันก็แล้วกัน


สังเกตแล้ว ว่าไม่มีอะไร ก็อย่างที่บอกไงธรรมะไล่จับปอบ :b1:

หากนักปฏิบัติของแท้ ไม่ลอกไม่ดำ สังคมยกย่อง นี่แก้ปัญหาให้เขาที ว่าไป

อ้างคำพูด:
คือเริ่มฝึกนั่งสมาธิได้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ได้ค่ะคือไม่ได้นั่งเพื่อให้บรรลุหรือว่าอะไรนะคะคืออยากให้จิตสงบ เท่านั้นแต่ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ก็เริ่มได้ยินเสียงเหมือนพระสวดดังที่ข้างหู ตลอดเวลาตอนแรกนึกว่าหูอื้อแต่มันไม่ใช่ค่ะกระทั่งตอนนี้ก็ยังได้ยินอยู่ คืออยากขอคำแนะนำค่ะว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปและเสียงที่ได้ยินอยู่นี่ มันดีหรือไม่ดีคะ

:b12:
อย่างนี้เขาเรียกว่า"หูแว่ว" หรือจิตหลอกเป็นกับผู้ได้สมาธิเบื้องต้น อาจารย์ก็สอนไม่เก่งปล่อยให้ศิษย์ปรุงต่อเป็นเรื่องเป็นราวลุกลาม

ทางแก้ต้องย้ำให้ศิษย์มีสติ รู้ตัว กลับมาหากรรมฐาน และใช้ปัญญาพิจารณาแก้อาการฟุ้งไปกับอาการหูแว่ว
จะ ได้ยินหนอ หรือนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป หรือพุทโธ หรืออนัตตาใส่จนมันหาย แล้วแต่ว่าใช้การภาวนาแบบใดมา

หูแว่ว ก็เป็นนิวรณ์ขวางกั้นการถึงธรรม


อ้างคำพูด:
ย้ำให้ศิษย์มีสติ รู้ตัว กลับมาหากรรมฐาน และใช้ปัญญาพิจารณาแก้อาการฟุ้งไปกับอาการหูแว่ว
จะ ได้ยินหนอ หรือนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป หรือพุทโธ หรืออนัตตาใส่จนมันหาย แล้วแต่ว่าใช้การภาวนาแบบใดมา


อโศกยังขาดการลงตัวภาคปฏิบัติ ถึงพูดคลุมไปหมด กรัชกายว่าว่า ทำไมไม่ยกมาทั้งสามปิฎกเลยล่ะ นี่แหละอโศก

s004
บอกขนาดนี้ยังไม่เข้าใจ ปัญหามันอยู่ที่กรัชกายไม่รู้เรื่องการปฏิบัติ
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ย้ำให้ศิษย์มีสติ รู้ตัว กลับมาหากรรมฐาน และใช้ปัญญาพิจารณาแก้อาการฟุ้งไปกับอาการหูแว่ว
จะ ได้ยินหนอ หรือนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป หรือพุทโธ หรืออนัตตาใส่จนมันหาย แล้วแต่ว่าใช้การภาวนาแบบใดมา



อ้างคำพูด:
บอกขนาดนี้ยังไม่เข้าใจ ปัญหามันอยู่ที่กรัชกายไม่รู้เรื่องการปฏิบัติ


เข้าใจหมดนั่นแหละ ดูนะจะเอาที่อโศกพูดมาเรียงกันให้ดู

อ้างคำพูด:
มีสติ รู้ตัว กลับมาหากรรมฐาน


อ้างคำพูด:
ใช้ปัญญาพิจารณาแก้อาการฟุ้งไปกับอาการหูแว่ว
จะ ได้ยินหนอ


(หูแว่วเป็นสภาวะของมัน ไม่ใช่ฟุ้งซ่าน)

อ้างคำพูด:
หรือนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไป


อ้างคำพูด:
หรือพุทโธ


อ้างคำพูด:
หรืออนัตตาใส่จนมันหาย


อ้างคำพูด:
ว่าใช้การภาวนาแบบใดมา


เป็นไงเกลี้ยงเลย อนัตตงอนัตตามาหมด :b32:

ไม่ว่าจะปฏิบัติแบบใดมา วิธีแก้ (พูดตามที่เข้าใจกัน) มีทางเดียว คือซึ่งแต่ละขณะๆ ที่ภาวนาอยู่นั่น รู้สึกยังไง เป็นยังไง กำหนดรู้ตามนั้น ตามที่เห็น ตามที่เป็น ตามที่รู้สึก ตามที่ได้ยิน ... แต่ละขณะๆ นั่นแหละรู้ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันอารมณ์ ปัจจุบันขณะ (เลือกเอาชอบใช้คำไหนก็ คิกๆๆ)

เช่นนั้นไปถึง ขั้น 10 แล้ว อโศกยังไม่ได้สักขั้น คิกๆๆ :b32:

อ้างคำพูด:
อานาปานสติสมาธิภาวนา 9-10
จิตตานุปัสสนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 15:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
55555555
อโศกะตอบให้ตามข้อมูลที่ผู้ถามให้มาซึ่งมีรายละเอียดอยู่แค่นั้นจึงตอบคลุมไปให้หลายทางเลือก

ส่วนกรัชกายกระโดดไปข้อ 9 -10 ของอานาปานสติแล้ว เก่งกว่าอโศกะเยอะเลย ชนะแล้ว ยกให้ วันหน้าก็ไม่จำเป็นต้องมาถามอโศกะอีกนะ กรัชกายไปทำมาหากินสอนคนได้แล้ว
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2014, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1375241010-1370203825-o.gif
1375241010-1370203825-o.gif [ 497.16 KiB | เปิดดู 2317 ครั้ง ]
asoka เขียน:
:b12:
55555555
อโศกะตอบให้ตามข้อมูลที่ผู้ถามให้มาซึ่งมีรายละเอียดอยู่แค่นั้นจึงตอบคลุมไปให้หลายทางเลือก

ส่วนกรัชกายกระโดดไปข้อ 9 -10 ของอานาปานสติแล้ว เก่งกว่าอโศกะเยอะเลย ชนะแล้ว ยกให้ วันหน้าก็ไม่จำเป็นต้องมาถามอโศกะอีกนะ กรัชกายไปทำมาหากินสอนคนได้แล้ว
:b11:


เวนกำ อโศก คิกๆๆ พูดไว้ไม่มีผิดว่าอโศกนี่เข้าใจอะไรยาก ถึงยากกกมากกๆ สมองแยกแยะอะไรไม่ออกเอาจริงๆ :b32: ไม่น่าเชื่อ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2014, 19:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
เคล็ดปฏิบัติสมาธิ..

..นั่งสมาธิพึงพากันตั้งสติให้แน่วแน่อยู่ภายใน พยายามควบคุมจิตอย่าให้มันหลงคิดนึกไปในอารมณ์ที่มันเคยคิด เคยนึก เคยเกาะ เคยข้องมาแต่ก่อน ให้กำหนดลงเอาปัจจุบันนี้เป็นที่ตั้งเลยทีเดียว ชีวิตนี้จะอยู่เฉพาะลมหายใจเข้า หายใจออก อยู่ที่ปัจจุบันๆ นี้เท่านั้น ให้กำหนดจำกัดลงเลย เพราะว่าที่ล่วงมาแล้ว มันก็ล่วงมาแล้วนะชีวิต แล้วอนาคตก็ยังไม่ได้ไปถึง มันก็ยังไปไม่ถึง ไม่ต้องไปคำนึงหามัน การงานอะไรที่ทำล่วงมาแล้ว ผิดหรือถูกมันก็ได้ล่วงมาแล้ว ไม่ต้องไปคำนึงหามัน

เวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของจิตใจ ขอให้เตือนตนอย่างนี้ เวลานี้เป็นเวลาพักผ่อนของจิตใจในขณะนี้ เบื้องต้นนี้ก็อยากคิด อยากรู้นั้น รู้นี้ เห็นนั่น เห็นนี้ ก่อนคือพยายามตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้า หายใจออก อธิษฐานจิตถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกของตนแล้ว ก็พยายามประกอบจิตนี้ให้หยุดคิด หยุดนึก ให้กำหนดรู้เฉพาะแต่ลมหายใจเข้า หายใจออกเท่านี้ก่อน เพราะเวลานี้ให้เข้าใจว่าเราพักผ่อนจิตใจ

คำว่าพักผ่อน คือหยุดคิด หยุดนึกในการงานต่างๆ เลย วางจิตลงให้สบาย สบาย ไม่ต้องกังวลข้างหน้า ข้างหลังอะไรเลย กำหนดรู้อยู่แต่ปัจจุบันนี้เท่านั้น เอาปัจจุบันนี้เป็นหลักเลย ชีวิตนี้ก็ให้กำหนดว่ามีอยู่แค่ปัจจุบันๆ นี้ เท่านั้นแหละ

ในเบื้องต้นเราก็รู้ไม่ได้ว่าจะไปถึงไหน เบื้องหลังมันก็ล่วงมาแล้ว ดังนั้น เราต้องกำหนดรู้เฉพาะปัจจุบันเท่านั้นเอง คือการทำสมาธินี่ สำคัญอยู่ที่สตินั้นแหละ ขอให้ได้พากันจำเอาไว้ให้ดี สติแปลว่าความระลึกได้ คือระลึกเข้าไปในจิตเลยทีเดียว ระลึกให้หยั่งเข้าไปให้มันถึงจิต อย่าให้มันระลึกเฉไปทางอื่น จิตนี้ที่มันตั้งมั่นอยู่ไม่ได้ก็เพราะมันขาดสติ สติไม่ได้เข้าไปควบคุมอยู่ใกล้ชิด สตินั้น จะระลึกออกไปทางอื่นห่างออกไปจากจิต เมื่อจิตนี้ปราศจากสติแล้วมันก็ว้าเหว่ เร่ร่อนหาอารมณ์อย่างอื่น คิดส่ายไปตามความชอบใจ มันเป็นอย่างนั้น แต่จิตนี้น่ะ ถ้าสติเป็นเครื่องสอนอยู่แล้ว ไม่ไปไหนเลย ไม่ไปไหนแล้ว ที่มันอยากคิดอะไรมาแต่ก่อนนั้น สติห้ามไว้ทันแล้วก็หยุด

ขอให้สติมันเข้มแข็งเสียอย่างเดียว หายใจเข้าก็กำหนดรู้ หายใจออกก็กำหนดรู้อยู่ในปัจจุบันนั้นเลยอย่างนั้น ไม่ได้รู้สิ่งอื่นๆ ใดทั้งหมด ถ้าหากใครสามารถที่จะเพ่งเข้าไปภายในให้เกิดแสงสว่างเหมือนอย่างเราฉายไฟเข้าไปในถ้ำมืดๆ อย่างนี้ แสงไฟฉายนั้นมันจะเป็นลำ สว่างเข้าไปภายในจะมีอะไรอยู่ในนั้นก็มองเห็นได้เลย อันนี้ก็เหมือนกันแหละ ถ้าเราสามารถที่จะกำหนดตั้งสติแล้วเพ่งตามลมหายใจเข้าออก เข้าไปภายในให้มันสว่างเข้าไปถึงจิตใจ และก็มองเห็นอัตภาพร่างกาย อวัยวะน้อยใหญ่ภายในร่างกายได้ยิ่งดีเลย ถ้าทำได้อย่างนี้ ตามลมหายใจเข้าออกไปภายในให้มันสว่างเข้าไปถึงจิตใจและก็มองเห็น

ถ้าหากว่าไม่สามารถจะทำได้อย่างนี้ ก็ตั้งสติเพ่งเข้าไปหาความรู้อย่างเดียวเท่านั้น รู้อยู่ตรงไหน สติก็ให้หยั่งเข้าไปถึงนั่น ก็ใช้ได้เหมือนกัน เมื่อจิตมันสงบ มันคลายจากอารมณ์ต่างๆ ออกไปแล้ว มันปลอดโปร่ง ถึงแม้ว่าจะไม่สว่างไสวเต็มที่ แต่มันก็มีเงาแห่งความสว่างปรากฏอยู่ในจิตนั้นเองแหละ จิตไม่เศร้าหมอง หมายความว่าอย่างนั้นแหละเบิกบาน ถ้าหากมันคลายอารมณ์ต่างๆ ออกไปแล้วนะ ลักษณะอาการของจิตนี้จะเบิกบานผ่องแผ้ว ไม่มีกังวลใดๆ อิ่มอยู่ภายใน ไม่ปรารถนาอยากจะคิดไปไหนมาไหนแล้ว ทีนี้ถ้าจิตมันคลายอารมณ์เก่าออกไปได้ ก็ต้องอาศัยสตินั่นแหละเข้าไปควบคุมจิตไม่ให้คิดไปในอารมณ์ต่างๆ

อันเมื่อจิตนี้ไม่มีโอกาสจะได้คิดไปในอารมณ์ต่างๆ แล้วมันก็คลายทิ้งไปหมด อารมณ์ที่เราเก็บเอาไว้มันเป็นอย่างนั้นเพราะว่ามันไม่มีที่ต่อ มันก็คลายออกไปเท่านั้นเอง ดังนั้นอย่าไปเข้าใจวิธีอื่นเลย พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออกนี่ เพ่งกำหนดรู้แต่ลมหายใจเข้าออกนี่แหละ ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆ มันจะค่อยเบาไปๆ หมดไปโดยลำดับ เพราะว่าจิตเราไม่ส่งเสริมมันแล้วนี่ จิตเรามาจ้องอยู่เฉพาะแต่ลมนี้ จิตนี้ไม่ส่งเสริมความคิดเสียแล้ว ทีนี้จะคิดดีคิดชั่วอย่างไรไม่เอา ในขณะนี้ปล่อยทิ้งไม่ใช่เวลาคิด เวลานี้ เวลาสงบ เวลาเพ่ง เวลากำหนดรู้ ไม่ใช่เวลาคิด ให้มีสติเตือนจิตอย่างนี้เสมอไป

จิตนี้เมื่อถูกสติเตือนเข้าบ่อยๆ มันก็รู้ตัว รู้ตัวแล้วมันก็คลาย มันก็ปล่อยวางอารมณ์ ไม่ส่งเสริม ไม่คิดไม่ปรุงไปอีก มันสำคัญ เรื่องสมาธินี่สำคัญมากทีเดียว เรื่องปัญหานั้นมันเกิดจากสมาธิ ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถจะทำสมาธิให้บังเกิดได้ ปัญญามันก็เกิดไม่ได้ ปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสมาธินี้เป็นปัญญาที่รู้แจ้งในธาตุสี่ ขันธ์ห้า ในนาม ในรูป ไม่ปรารถนารู้อย่างอื่น

ในการปฏิบัติสมาธิแรกๆ อย่าไปสงสัยคลางแคลงใจว่า เอ๊ะ !! ทำไมเราจึงปฏิบัติไปไม่ได้ ทำไมใจจึงไม่สงบ ? กำหนดลมหายใจก็กำหนดแล้ว มันก็ยังไม่สงบอย่างนี้ อย่าไปสงสัย ให้นึกว่าเราทำยังไม่พอก็แล้วกันแหละ เราทำยังไม่มากพอ คือว่าเรายังกำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกนี้ ยังไม่พอ เราจะต้องทำอีก..

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ..
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 06:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
กระทู้เรื่องปัจจุบันอารมณ์ที่คุณรสมนยกมาแบ่งปันนี้มีคุณยิ่งนักถ้าหากจะพากันมาศึกษา ซักไซ้ ไล่เรียงกัน ให้มันละเอียดถี่ถ้วน
onion onion onion
:b27: :b27: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
กระทู้เรื่องปัจจุบันอารมณ์ที่คุณรสมนยกมาแบ่งปันนี้มีคุณยิ่งนักถ้าหากจะพากันมาศึกษา ซักไซ้ ไล่เรียงกัน ให้มันละเอียดถี่ถ้วน[/color]



ศึกษาความหมายคำว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่ viewtopic.php?f=1&t=48244

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร