วันเวลาปัจจุบัน 26 มิ.ย. 2025, 10:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 103 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 11:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอัต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:
อยู่กับตนเองไม่ได้เหรอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้. ยึดติดนี่. วางซะจะสบาย เพราะนิพพานไม่มีนะสิ่งนั้น

ขึ้นกับปัญญาสะสมความเห็นแก่ตัวมามากย่อมไม่ช่วยงานสังคม
พึ่งพระอริยสงฆ์ภายในตนอันดับแรก กับอริยสงฆ์บุคคลที่ภูมิธรรมสูงกว่านะ
สะสมปัญญามาต่างกัน รู้ผิวเผินก็อ้างแต่ตำราภูมิธรรมในตนไม่เกิดบอกไปก็ไม่เข้าใจอะไร
:b8:
:b16: :b16:

สมมุติชีวิตเดินมาถึงวาระสุดท้าย. ก็ต้องอาศัยตนและธรรม. ใครล่ะจะช่วยเราได้. ฉะนั้นวันนี้ใครจะช่วยเราได้เช่นกัน เราจึงค้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้แล้ว. และการมีไตรสรณคมน์ก็ไม่ใช่ว่าไปตามหาอรหันต์แล้วเข้าไปอยู่ใกล้ๆนะฮะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใหม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอันต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:
อยู่กับตนเองไม่ได้เหรอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้. ยึดติดนี่. วางซะจะสบาย เพราะนิพพานไม่มีนะสิ่งนั้น

ขึ้นกับปัญญาสะสมความเห็นแก่ตัวมามากย่อมไม่ช่วยงานสังคม
พึ่งพระอริยสงฆ์ภายในตนอันดับแรก กับอริยสงฆ์บุคคลที่ภูมิธรรมสูงกว่านะ
สะสมปัญญามาต่างกัน รู้ผิวเผินก็อ้างแต่ตำราภูมิธรรมในตนไม่เกิดบอกไปก็ไม่เข้าใจอะไร
:b8:
:b16: :b16:

สมมุติชีวิตเดินมาถึงวาระสุดท้าย. ก็ต้องอาศัยตนและธรรม. ใครล่ะจะช่วยเราได้. ฉะนั้นวันนี้ใครจะช่วยเราได้เช่นกัน เราจึงค้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้แล้ว. และการมีไตรสรณคมน์ก็ไม่ใช่ว่าไปตามหาอรหันต์แล้วเข้าไปอยู่ใกล้ๆนะฮะ

ทำไมต้องสมมุติล่ะ ในเมื่อทุกอย่างเป็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ทุกขณะในชีวิตประจำวันของกุศลจิตที่พ้นเดือดร้อนจิตถึงปิดอบายภูมิจ้า
บอกไปก็ไม่รู้ สภาพธัมมะเกิด_ดับเป็นธรรมดาที่รู้แจ้งแล้วว่าไม่มีตัวตนอ่ะนะ
:b17: :b17:
:b12:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 22 ส.ค. 2015, 12:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญารู้ทุกข์แล้วทำการดับทุกข์
ไม่ใช่ให้ไปสร้างทุกข์เพิ่มจากการจดจำคำของพระองค์
เพราะคำที่พระองค์แสดงเป็นชื่อของสมมติบัญญัติทั้งหมด
ที่พระองค์เข้าไปรู้ด้วยจิตของพระองค์เองโดยไม่มีใครสอน
พุทธพจน์มีไว้ให้เทียบเคียงกับผลการปฏิบัติของตนเองนะจ๊ะ
ไม่ใช่เอามาไว้เพื่อบรรยายอวดอ้างกับคนอื่นว่าตนมีความรู้แล้ว
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 15:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใหม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอันต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:
อยู่กับตนเองไม่ได้เหรอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้. ยึดติดนี่. วางซะจะสบาย เพราะนิพพานไม่มีนะสิ่งนั้น

ขึ้นกับปัญญาสะสมความเห็นแก่ตัวมามากย่อมไม่ช่วยงานสังคม
พึ่งพระอริยสงฆ์ภายในตนอันดับแรก กับอริยสงฆ์บุคคลที่ภูมิธรรมสูงกว่านะ
สะสมปัญญามาต่างกัน รู้ผิวเผินก็อ้างแต่ตำราภูมิธรรมในตนไม่เกิดบอกไปก็ไม่เข้าใจอะไร
:b8:
:b16: :b16:

สมมุติชีวิตเดินมาถึงวาระสุดท้าย. ก็ต้องอาศัยตนและธรรม. ใครล่ะจะช่วยเราได้. ฉะนั้นวันนี้ใครจะช่วยเราได้เช่นกัน เราจึงค้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้แล้ว. และการมีไตรสรณคมน์ก็ไม่ใช่ว่าไปตามหาอรหันต์แล้วเข้าไปอยู่ใกล้ๆนะฮะ

ทำไมต้องสมมุติล่ะ ในเมื่อทุกอย่างเป็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ทุกขณะในชีวิตประจำวันของกุศลจิตที่พ้นเดือดร้อนจิตถึงปิดอบายภูมิจ้า
บอกไปก็ไม่รู้ สภาพธัมมะเกิด_ดับเป็นธรรมดาที่รู้แจ้งแล้วว่าไม่มีตัวตนอ่ะนะ
:b17: :b17:
:b12:
รู้แจ้งเหรอ ขำจังเที่ยวบอกว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่รู้ขำสุดๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญารู้ทุกข์แล้วทำการดับทุกข์
ไม่ใช่ให้ไปสร้างทุกข์เพิ่มจากการจดจำคำของพระองค์
เพราะคำที่พระองค์แสดงเป็นชื่อของสมมติบัญญัติทั้งหมด
ที่พระองค์เข้าไปรู้ด้วยจิตของพระองค์เองโดยไม่มีใครสอน
พุทธพจน์มีไว้ให้เทียบเคียงกับผลการปฏิบัติของตนเองนะจ๊ะ
ไม่ใช่เอามาไว้เพื่อบรรยายอวดอ้างกับคนอื่นว่าตนมีความรู้แล้ว
:b32: :b32:

ผมว่าคุณน๊าสร้างทุกข์

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 16:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใหม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอันต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:
อยู่กับตนเองไม่ได้เหรอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้. ยึดติดนี่. วางซะจะสบาย เพราะนิพพานไม่มีนะสิ่งนั้น

ขึ้นกับปัญญาสะสมความเห็นแก่ตัวมามากย่อมไม่ช่วยงานสังคม
พึ่งพระอริยสงฆ์ภายในตนอันดับแรก กับอริยสงฆ์บุคคลที่ภูมิธรรมสูงกว่านะ
สะสมปัญญามาต่างกัน รู้ผิวเผินก็อ้างแต่ตำราภูมิธรรมในตนไม่เกิดบอกไปก็ไม่เข้าใจอะไร
:b8:
:b16: :b16:

สมมุติชีวิตเดินมาถึงวาระสุดท้าย. ก็ต้องอาศัยตนและธรรม. ใครล่ะจะช่วยเราได้. ฉะนั้นวันนี้ใครจะช่วยเราได้เช่นกัน เราจึงค้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้แล้ว. และการมีไตรสรณคมน์ก็ไม่ใช่ว่าไปตามหาอรหันต์แล้วเข้าไปอยู่ใกล้ๆนะฮะ

ทำไมต้องสมมุติล่ะ ในเมื่อทุกอย่างเป็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ทุกขณะในชีวิตประจำวันของกุศลจิตที่พ้นเดือดร้อนจิตถึงปิดอบายภูมิจ้า
บอกไปก็ไม่รู้ สภาพธัมมะเกิด_ดับเป็นธรรมดาที่รู้แจ้งแล้วว่าไม่มีตัวตนอ่ะนะ
:b17: :b17:
:b12:
รู้แจ้งเหรอ ขำจังเที่ยวบอกว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่รู้ขำสุดๆ

ถ้าถึง นามเกิดรูปดับ นามเกิดรูปดับ เขียนกลับกันก็ได้ รูปดับนามเกิด รูปดับนามเกิด
เค้าเห็นตอนนั่งสมาธิแล้วจิตรู้สภาวะที่กายหายไปเหลือจิตรู้รูป_นาม เกิด_ดับน๊า
ไม่ได้เห็นจากตาเนื้อนะแต่ที่ทู่อ่านเนี่ยอ่านตำราจากภูมิธรรมที่เค้ารู้อ่ะนะ
เอาเถอะปัญญาต่างกันตรงไหน ทู่คงรู้แล้ว นั่งให้จิตถึงสิจะปิดอบายภูมิ
:b4:
Rosarin เขียน:
tongue
...เช้านี้ฟังเทศนาธรรมครูบาอาจารย์เมื่อเวลา9นาฬิกาทางวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนวัดป่าบ้านตาด...
...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบข้อสงสัยธัมมะ มีผู้ถามท่านว่าจะรู้สภาวะที่รูป-นามเกิด-ดับได้อย่างไร...
...ท่านว่า...การทำสมาธิจนจิตไปสู่สภาวะที่รู้ว่ากายหายไปหมด เรียกว่า นามเกิด-รูปดับ นามเกิด-รูปดับ...
...ท่านรู้อย่างนี้...ของท่านอื่นว่าอย่างไร...
:b12:
...ที่ข้าพเจ้าเคยรู้ก็ตรงกับที่หลวงพ่อพุธตอบค่ะ...ตรงนี้แหละจำไม่ลืมเป็นอจลศรัทธาของข้าพเจ้า...
...เป็นอย่างงี้จิตรวมสงบรู้ว่ากายหายไปเหลือแต่ว่างๆ...พยายามสูดลมหายใจก็ไม่รู้อาการของกาย...
...ความรู้สึกตอนนั้นคือกายก็มี ใจก็คิดไม่หายใจก็ไม่ตาย โปร่งโล่งเบา รู้ว่ากายกับจิตคนละอันกันนะ...
:b16: :b16:
:b20:

จิตไม่ได้ย้อนกลับไปเป็นจิตดวงเดิมที่ไม่มีปัญญาเข้าใจความเกิด-ดับแล้ว...เหอเหอเหอ
:b32: :b32:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50596


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 22 ส.ค. 2015, 17:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญารู้ทุกข์แล้วทำการดับทุกข์
ไม่ใช่ให้ไปสร้างทุกข์เพิ่มจากการจดจำคำของพระองค์
เพราะคำที่พระองค์แสดงเป็นชื่อของสมมติบัญญัติทั้งหมด
ที่พระองค์เข้าไปรู้ด้วยจิตของพระองค์เองโดยไม่มีใครสอน
พุทธพจน์มีไว้ให้เทียบเคียงกับผลการปฏิบัติของตนเองนะจ๊ะ
ไม่ใช่เอามาไว้เพื่อบรรยายอวดอ้างกับคนอื่นว่าตนมีความรู้แล้ว
:b32: :b32:

ผมว่าคุณน๊าสร้างทุกข์

wink
ก็แล้วแต่กรรมของเวไนยสัตว์
เป็นไปตามปัญญาแต่ละบุคคลเข้าถึงจิตตนเอง
การเห็นธรรมคือการเห็นธรรมชาติของจิตตามการพัฒนาจิต
ไม่ใช่พัฒนาทิฏฐิมานะจากการศึกษาแล้วจดจำบัญญัติของศาสดา
จิตตัวเองทำไปไม่ถึงไหนไม่รู้ต้องให้คนอื่นมาเตือนสติก็ยังไม่ตื่น มืดสนิท
:b29: :b29:
huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใหม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอันต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:
อยู่กับตนเองไม่ได้เหรอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้. ยึดติดนี่. วางซะจะสบาย เพราะนิพพานไม่มีนะสิ่งนั้น

ขึ้นกับปัญญาสะสมความเห็นแก่ตัวมามากย่อมไม่ช่วยงานสังคม
พึ่งพระอริยสงฆ์ภายในตนอันดับแรก กับอริยสงฆ์บุคคลที่ภูมิธรรมสูงกว่านะ
สะสมปัญญามาต่างกัน รู้ผิวเผินก็อ้างแต่ตำราภูมิธรรมในตนไม่เกิดบอกไปก็ไม่เข้าใจอะไร
:b8:
:b16: :b16:

สมมุติชีวิตเดินมาถึงวาระสุดท้าย. ก็ต้องอาศัยตนและธรรม. ใครล่ะจะช่วยเราได้. ฉะนั้นวันนี้ใครจะช่วยเราได้เช่นกัน เราจึงค้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้แล้ว. และการมีไตรสรณคมน์ก็ไม่ใช่ว่าไปตามหาอรหันต์แล้วเข้าไปอยู่ใกล้ๆนะฮะ

ทำไมต้องสมมุติล่ะ ในเมื่อทุกอย่างเป็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ทุกขณะในชีวิตประจำวันของกุศลจิตที่พ้นเดือดร้อนจิตถึงปิดอบายภูมิจ้า
บอกไปก็ไม่รู้ สภาพธัมมะเกิด_ดับเป็นธรรมดาที่รู้แจ้งแล้วว่าไม่มีตัวตนอ่ะนะ
:b17: :b17:
:b12:
รู้แจ้งเหรอ ขำจังเที่ยวบอกว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่รู้ขำสุดๆ

ถ้าถึง นามเกิดรูปดับ นามเกิดรูปดับ เขียนกลับกันก็ได้ รูปดับนามเกิด รูปดับนามเกิด
เค้าเห็นตอนนั่งสมาธิแล้วจิตรู้สภาวะที่กายหายไปเหลือจิตรู้รูป_นาม เกิด_ดับน๊า
ไม่ได้เห็นจากตาเนื้อนะแต่ที่ทู่อ่านเนี่ยอ่านตำราจากภูมิธรรมที่เค้ารู้อ่ะนะ
เอาเถอะปัญญาต่างกันตรงไหน ทู่คงรู้แล้ว นั่งให้จิตถึงสิจะปิดอบายภูมิ
:b4:
Rosarin เขียน:
tongue
...เช้านี้ฟังเทศนาธรรมครูบาอาจารย์เมื่อเวลา9นาฬิกาทางวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนวัดป่าบ้านตาด...
...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบข้อสงสัยธัมมะ มีผู้ถามท่านว่าจะรู้สภาวะที่รูป-นามเกิด-ดับได้อย่างไร...
...ท่านว่า...การทำสมาธิจนจิตไปสู่สภาวะที่รู้ว่ากายหายไปหมด เรียกว่า นามเกิด-รูปดับ นามเกิด-รูปดับ...
...ท่านรู้อย่างนี้...ของท่านอื่นว่าอย่างไร...
:b12:
...ที่ข้าพเจ้าเคยรู้ก็ตรงกับที่หลวงพ่อพุธตอบค่ะ...ตรงนี้แหละจำไม่ลืมเป็นอจลศรัทธาของข้าพเจ้า...
...เป็นอย่างงี้จิตรวมสงบรู้ว่ากายหายไปเหลือแต่ว่างๆ...พยายามสูดลมหายใจก็ไม่รู้อาการของกาย...
...ความรู้สึกตอนนั้นคือกายก็มี ใจก็คิดไม่หายใจก็ไม่ตาย โปร่งโล่งเบา รู้ว่ากายกับจิตคนละอันกันนะ...
:b16: :b16:
:b20:

จิตไม่ได้ย้อนกลับไปเป็นจิตดวงเดิมที่ไม่มีปัญญาเข้าใจความเกิด-ดับแล้ว...เหอเหอเหอ
:b32: :b32:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50596
อริยะเข้าต้องมีความรู้นอกจากเกิดดับดับเกิดแล้วยังต้องรู้ว่าวิญญานจะวนไปอยู่4ธรรมธาตุน๊าจ๊ะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญารู้ทุกข์แล้วทำการดับทุกข์
ไม่ใช่ให้ไปสร้างทุกข์เพิ่มจากการจดจำคำของพระองค์
เพราะคำที่พระองค์แสดงเป็นชื่อของสมมติบัญญัติทั้งหมด
ที่พระองค์เข้าไปรู้ด้วยจิตของพระองค์เองโดยไม่มีใครสอน
พุทธพจน์มีไว้ให้เทียบเคียงกับผลการปฏิบัติของตนเองนะจ๊ะ
ไม่ใช่เอามาไว้เพื่อบรรยายอวดอ้างกับคนอื่นว่าตนมีความรู้แล้ว
:b32: :b32:

ผมว่าคุณน๊าสร้างทุกข์

wink
ก็แล้วแต่กรรมของเวไนยสัตว์
เป็นไปตามปัญญาแต่ละบุคคลเข้าถึงจิตตนเอง
การเห็นธรรมคือการเห็นธรรมชาติของจิตตามการพัฒนาจิต
ไม่ใช่พัฒนาทิฏฐิมานะจากการศึกษาแล้วจดจำบัญญัติของศาสดา
จิตตัวเองทำไปไม่ถึงไหนไม่รู้ต้องให้คนอื่นมาเตือนสติก็ยังไม่ตื่น มืดสนิท
:b29: :b29:
huh
ใครมืดกว่ากันน๊า. ผมมี1ตน2ธรรม. คุณล่ะมีกี่อย่างน่าจะมากกว่า2มั่งนะที่เห็นอยู่

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 22:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b23: :b23: :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


พระศาสดากล่าวว่าพิจารณาธรรมทั้งหลายเป็น ธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 ก็มีเท่านี้ คำว่าสัพเพธรรมาอนัตตาทจึงย้อนกลับมาคือ เป็นธาตุ ขันธ์ อายตนะ. ฉะนั้นแล้วอนัตตาจึงไม่มีอะไรเกินไปกว่า ธาตุ ขันธ์อายตนะซึ่งมีสามัญลักษณะ. เมื่อเข้าใจเข้าถึงความเป็นอนัตตาแท้จริง จะมีอะไรให้ยึด

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b23: :b23: :b23:

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
พระศาสดากล่าวว่าพิจารณาธรรมทั้งหลายเป็น ธาตุ4 ขันธ์5 อายตนะ6 ก็มีเท่านี้ คำว่าสัพเพธรรมาอนัตตาทจึงย้อนกลับมาคือ เป็นธาตุ ขันธ์ อายตนะ. ฉะนั้นแล้วอนัตตาจึงไม่มีอะไรเกินไปกว่า ธาตุ ขันธ์อายตนะซึ่งมีสามัญลักษณะ. เมื่อเข้าใจเข้าถึงความเป็นอนัตตาแท้จริง จะมีอะไรให้ยึด

Kiss
ความรู้พระศาสดาไม่ใช่ของตัวนะทู่ เป็นพระทัยที่สงบจากอกุศลของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าน๊า
:b3:
ทู่น่ะเหรอแค่ใช้จิตแผ่เมตตายังไม่เป็นเลย แสดงว่าการพัฒนาจิตล้มเหลว นักปฏิบัติต้องใช้ปัญญาเป็น
Rosarin เขียน:
Kiss
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เกิดเหตุระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์...

มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก...ครับ

มาร่วมส่งบุญส่งกำลังใจแก่ผู้ประสบเหตุ..กันนะครับ

:b8: :b8: :b8:

ขอลบรูป..นะครับ

http://www.khaosod.co.th/view_newsonlin ... 1439814171

OK
ได้ทุกอย่างทั้งอุทิศบุญทั้งส่งวิญญาณทั้งรักษาผู้บาดเจ็บ
พลังจิตรักษาโรคเคยทำบ้างไหมทู่สวดโพชฌังคปริตไง
:b16:
:b39: :b39:
อุทิศบุญเขาทำกันยังไง. ส่งวิญญานเขาทำกันยังไงเหรอครับ

:b12:
เขาใช้ปัญญา+จิตใจที่มีเมตตาธรรม+บุญกุศลที่สะสม+บารมีที่สั่งสม+คำสั่งสอนครูบาอาจารย์
ก็ถ้าไม่ไปวัด ไม่สวดมนต์ ไม่ท่องคาถาก็นะ ปัญญามันไม่เกิด จิตก็ไม่รู้วิธีแก้ไขช่วยเหลือไง หุหุ หึหึ
:b1: :b16:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50709

:b32:
ส่วนไอน่ะเหรอทู่จ๋า ไม่ว่าจะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน สติสัมปชัญญะไม่หลงตาย มีแต่จิตที่เกิดปัญญาจ้ะ
:b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
พระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ปัญญารู้ทุกข์แล้วทำการดับทุกข์
ไม่ใช่ให้ไปสร้างทุกข์เพิ่มจากการจดจำคำของพระองค์
เพราะคำที่พระองค์แสดงเป็นชื่อของสมมติบัญญัติทั้งหมด
ที่พระองค์เข้าไปรู้ด้วยจิตของพระองค์เองโดยไม่มีใครสอน
พุทธพจน์มีไว้ให้เทียบเคียงกับผลการปฏิบัติของตนเองนะจ๊ะ
ไม่ใช่เอามาไว้เพื่อบรรยายอวดอ้างกับคนอื่นว่าตนมีความรู้แล้ว
:b32: :b32:

ผมว่าคุณน๊าสร้างทุกข์

wink
ก็แล้วแต่กรรมของเวไนยสัตว์
เป็นไปตามปัญญาแต่ละบุคคลเข้าถึงจิตตนเอง
การเห็นธรรมคือการเห็นธรรมชาติของจิตตามการพัฒนาจิต
ไม่ใช่พัฒนาทิฏฐิมานะจากการศึกษาแล้วจดจำบัญญัติของศาสดา
จิตตัวเองทำไปไม่ถึงไหนไม่รู้ต้องให้คนอื่นมาเตือนสติก็ยังไม่ตื่น มืดสนิท
:b29: :b29:
huh
ใครมืดกว่ากันน๊า. ผมมี1ตน2ธรรม. คุณล่ะมีกี่อย่างน่าจะมากกว่า2มั่งนะที่เห็นอยู่

:b12:
รักษาใจไม่ให้ตกไปสู้ที่ชั่วก็พอเพราะอย่างอื่นธรรมรักษาเค้าแล้วนะตัวเอง
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
ทุกวันนี้ทุกข์มันมาไวยิ่งกว่าจรดซะอีก ถ้าเราไม่รู้จักจัดการขบวนความคิดให้อยู่บนสัมมาทิฎฐิ ความยึดดีนั้นแหล่ะจะแว้งกับมาสร้างความทุกข์ให้แก่เราอย่างไม่รู้จบ. ถ้าเราเข้าใจและเข้าถึงเราจะนิ่งเราจะไม่วิ่งหาอะไรนอกเหนือขอบเขตภายใจกายใจเรานี่เอง ความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงหน้า บุญที่แท้จริงอยู่ที่กายใจเรานี่เอง พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฎฐานคือบุญที่แท้จริง เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี

wink
พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสติปัฏฐานคือบุญที่แท้จริง
:b12:
ตอนไหนรู้ไหมตอนจิตรวมสงบแล้วกายหายหมดน๊าไม่ใช่คิดเอา
:b16:
ดั่งคำพระพุทธองค์ท่านกล่าวว่าความสุขยิ่งกว่าสงบไม่มี
:b8:
พระธรรมของจริง ความสุขเป็นอกุศลจิต ความสงบเป็นกุศลจิต
:b32:
แต่ประโยคข้างล่างน่ะเป็นอกุศลจิตนะทู่จ๋า
:b6: เราสามารถสร้างความสุขยิ่งนิ่งเท่าไรเราจะเห็นความสุขมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสงบผลของมันเป็นจิตที่ไม่มีกิเลสเบาสบายโล่งใจที่สุดในโลกจ้ะ
:b4: :b4:
onion onion onion
สงบจริงต้องไม่วิ่งหาอรหันต์น๊า แบบกายหายไปนั้นมันชั่วคราว


ผู้รู้ที่ทำสมาธิได้ผลของความสงบในจิต
กลายเป็นจิตดวงใหม่ที่หมดลังเลสงสัยว่า
กายกะจิตต่างอันต่างอยู่เป็นยังไงจ้ะ
ถึงจะสามารถระลึกเป็นไปในสติปัฏฐานสี่
ที่หมดกิเลสเบื้องต้นที่รู้ความจริงที่ไม่มีตัวตน
เกิดกุศลจิตที่สติรู้อารมณ์วิปัสนาภาวนาแท้จริง
ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก่อนก็มีแต่อกุศลจิตที่เป็นวิปัสสนึกน๊า
:b17:
ยังบ้าหลงสังขารอยู่นะทู่น๊า
:b32: :b32:

แบบไหนล่ะล่ะที่ว่าบ้าหลงสังขารอยู่ แบบตามหาอรหันต์หรือท่องคาถาเงินลล้านล่ะ

คบบัณฑิตคบกัลยาณมิตรก็ไปหาท่าน
มีแต่จิตที่เป็นกุศลในทาน ศีล ภาวนา
สภาพธ้มมะที่ปรากฏทางอายตนะ6
ที่มีแต่สิริมงคลรู้สมมุติไม่ยึดตัวตน
มีแต่คุณธรรมที่ดีงามปรากฎแก่จิต
สภาพธรรมที่จิตเห็นเป็นมงคลสูงสุดไง
เห็นในกุศลจิตของสมณผู้สงบจากอกุศลแล้ว
:b39:
:b16: :b12:
อยู่กับตนเองไม่ได้เหรอจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้. ยึดติดนี่. วางซะจะสบาย เพราะนิพพานไม่มีนะสิ่งนั้น

ขึ้นกับปัญญาสะสมความเห็นแก่ตัวมามากย่อมไม่ช่วยงานสังคม
พึ่งพระอริยสงฆ์ภายในตนอันดับแรก กับอริยสงฆ์บุคคลที่ภูมิธรรมสูงกว่านะ
สะสมปัญญามาต่างกัน รู้ผิวเผินก็อ้างแต่ตำราภูมิธรรมในตนไม่เกิดบอกไปก็ไม่เข้าใจอะไร
:b8:
:b16: :b16:

สมมุติชีวิตเดินมาถึงวาระสุดท้าย. ก็ต้องอาศัยตนและธรรม. ใครล่ะจะช่วยเราได้. ฉะนั้นวันนี้ใครจะช่วยเราได้เช่นกัน เราจึงค้องมีตนมีธรรมเป็นที่พึ่งได้แล้ว. และการมีไตรสรณคมน์ก็ไม่ใช่ว่าไปตามหาอรหันต์แล้วเข้าไปอยู่ใกล้ๆนะฮะ

ทำไมต้องสมมุติล่ะ ในเมื่อทุกอย่างเป็นความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ
ทุกขณะในชีวิตประจำวันของกุศลจิตที่พ้นเดือดร้อนจิตถึงปิดอบายภูมิจ้า
บอกไปก็ไม่รู้ สภาพธัมมะเกิด_ดับเป็นธรรมดาที่รู้แจ้งแล้วว่าไม่มีตัวตนอ่ะนะ
:b17: :b17:
:b12:
รู้แจ้งเหรอ ขำจังเที่ยวบอกว่าคนนั้นเป็นอรหันต์ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่รู้ขำสุดๆ

Kiss
ทุกขณะในชีวิตประจำวันมีแต่มืดกับแจ้งน๊า ทำอะไรมั่งล่ะวันหนึ่งๆน่ะ เค้าทำใจสงบแค่นั้นนะ
:b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 103 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร