วันเวลาปัจจุบัน 02 ส.ค. 2025, 23:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เมื่อพูดถึงบทเดิน เดินจงกรมแล้ว เอาตัวอย่างประกอบสะหน่อย เด๋วจะคิดว่ากรัชกายตัวปลอม

อ้างคำพูด:
เดินจงกรมเห็นเท้าไม่ใช่ตัวเอง

เดินจงกรมซักพัก แว้บนึงก้มไปมองที่เท้า เห็นว่าเท้าที่เดินอยู่ไม่ใช่ตัวเรา ความรู้สึกเหมือนเรามองศพคนอื่น แต่ว่าพอเห็นเช่นนั้นความกลัวผุดขึ้น จิตมันก็เลยถอยออกมาจากความรู้สึกนั้น

ที่เห็นเช่นนี้ ปฏิบัติถูกต้องไหมครับ?
ถ้าผิด/ถูก ควรทำอย่างไรต่อไป?


นี่ทำถูก ไม่ผิดอะไรเลย แต่อย่างที่ว่าแล้วว่า เมื่อภาวนามัยจนจิตเริ่มเชื่องความฟุ้งซ่านลดลงแล้ว ก็ถึงตอนนี้แหละ ให้กำหนดต่อไปอีก ไปอีก

นี่สติยังไม่ชัด คือ มีลักษณะเบลอๆ เหมือนคนเห็นตอไม้ตอนกลางคืนเป็นผี ฉะนั้น เดี๋ยวได้วิ่งกันป่าราบ สติมันต้องชัด แต่เป็นธรรมดาของผู้ฝึกใหม่ๆนะ เมื่อเห็นยังงั้นแล้ว ให้กำหนดเห็นหนอๆๆ สะ อิอิ วิธีนี้แหละทำสติสัมปชัญญะค่อยๆชัดขึ้่นตามลำดับ แค่นี้เอ ง โฟกัสที่ความรู้สึก ไม่ใช่ไปจ้องที่หนอ

เห็นไหมพอรู้สึกกลัวเท่านั้น จิตมันหลุดจากความรู้สึกนั้นเลย นี่แหละจิตมันเกิด แล้วมันดับ


โอ๊ยๆๆ เดินจงกรม ฟุ้งซ่านไปแระหล่ะค่ะ ไปเห็นแต่บัญญัติ เห็นเท้า

ไปฟุ้งซ่านอีก ว่าเท้าไม่ใช่เท้าตัวเอง เป็นเท้าศพ

เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม เรยไม่รู้ว่า มีแต่จิต เจต สิก รูป ที่ดำเนินไป




นั่นเขาเรียกว่า รู้ตามแบบ ตามตำราเด๊เรย จิต เจตสิก รูป คิกๆๆๆ แบบคุณโรสเซดเรย

ดูเดินจงกรมแล้วง่วงมั่ง


อ้างคำพูด:
ทำอย่างไรกับความง่วง

มีปัญหากับความง่วงมาก ปกติไม่ชอบนอนเลย วันนึงนอน 5 ชม. แต่มักโดนนิวรณ์ตัวนี้ ขณะปฏิบัติ เช่นเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา และไม่สามารถผ่านไปได้ ทำให้การภาวนาไม่ดีขึ้น ซึ่งเป็นมานานแล้วค่ะ

ลองทำตามวิธิที่พระพุทธเจ้าสอนก็ไม่รอด..กรุณา แนะนำด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าระหว่างวันมันไปเผลอตอนไหน หรือควร ระวังอะไรในการภาวนาในชีวิตประจำวันค่ะ



คนๆคนเดียวกัน

อ้างคำพูด:
ลองแก้หลายวิธีไม่หาย เดินจงกรมจะง่วง แต่พอหันมาทำอย่างอื่น อย่างเข้าเว้ป...ตอนนี้ มันหายทันที เป็นอารมณ์ที่แพ้มานานแล้ว ทำอย่างไรดี



วิธีปรับอินทรีย์ ถ้าง่วงท่านให้เดินระยะต่ำๆ (ระยะที่ 1) เดินเร็วๆหน่อย ตัดหนอออก ซ้าย ขวา ๆๆๆๆๆๆ หรือ วิ่งเลย ซ้าย ซ้าย ขวา ซ้าย อย่างกับฝึกทหารใหม่เลย คิกๆๆ นี่วิธีปลุกจิตที่ซึมเซาให้ตื่น เพิ่มเวลาเดินให้มากกว่านั่ง เช่น นั่ง 1 ชม. เดิน ชั่วโมงครึ่ง นี่ๆ อิอิ

ไม่ใช่ง่วงแล้วนอนเลย จิตมันต้องฝึก ไม่ใช่ปล่อยไปตามเรื่อง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกสวย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
หนูลุงกรัชกายคะ หนูไม่ได้เรียนพระปริยัติ ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ไม่ได้ปฎิบัติเป็นชิ้นเป็นอัน
หนูเรยไม่รู้ เข้าใจผิดๆๆ ร้องแต่หนอๆๆ ทั้งๆที่เดินอยู่ กลับไม่รู้ว่าเดิน

พี่เมจะสอนหนูลุงกรัชกายให้นะคะ

ว่า เดินจงกรมน่ะ
เดินเงียบๆนะคะ อย่าเดินเสียงดัง อย่าเที่ยวตะโกนหนอๆๆ

ควรจะกำหนดรู้ยังไง ไม่ใช่ร้องหนอๆๆ
เดินในโลก ก็ร้องโลกหนอๆๆ เดินในรูปโลก ก็ร้องรูปโลกหนอๆๆ
ติดแหง๊กอยู่ในอรูปโลกก็ร้องหนักเรย อรูปโลกหนอๆๆๆ

ม่ายใช่ๆๆ หรอกค่ะ

ง่ายๆๆเรยนะคะ ว่ากำหนดรู้ยังไง ระหว่างก้าวเดิน

ขนะที่จะก้าวเดินนะ ให้รู้ว่า แต่ละก้าวซ้าย ขวา ซ้าย...
นี่เดินตามอริยะมรรคหรือเปล่า หรือเดินไปไหน
เดินไปนรก ไปสวรรค์ ไปรูปพรหม หรือ อรูปพรหม
หรือจะเดินไปหนอๆๆๆๆ แต่ไม่รู้เดินไปไหน


ขนะที่ก้าวเดินนะคะ สิ่งที่กระทบ ที่เกิด ในขณะเฉพาะหน้า
รู้ว่า เสื่อมสลายลงได้หรือเปล่า เวทนาลักษณะ ไปเสวยอารมณ์ป่าว

ขนะที่ก้าวเดินนะคะ อยู่ในไตรลักษณะ และ สามัญลักษณะหรือเปล่า

ขนะที่ก้าวเดินนะคะ ละความหมายรู้ไปตลอด หรือเปล่า


เดินแบบนี้นะหนู จะได้ปริญญา คือ

ญาตปริญญา
ตีรณปริญญา
และปหานปริญญา

นะคะๆๆ



อ้างคำพูด:
พี่เมจะสอนหนูลุงกรัชกายให้นะคะ

ว่า เดินจงกรมน่ะ
เดินเงียบๆนะคะ อย่าเดินเสียงดัง อย่าเที่ยวตะโกนหนอๆๆ

ควรจะกำหนดรู้ยังไง ไม่ใช่ร้องหนอๆๆ
เดินในโลก ก็ร้องโลกหนอๆๆ เดินในรูปโลก ก็ร้องรูปโลกหนอๆๆ
ติดแหง๊กอยู่ในอรูปโลกก็ร้องหนักเรย อรูปโลกหนอๆๆๆ

ม่ายใช่ๆๆ หรอกค่ะ



บอกไม่จำว่าอย่ายึดติดหนอ ติดพุทโธ ธัมมโม ติดสังโฆ ม่ายอาวไม่ใช่

และแล้วก็ไม่ได้บอกให้กะโกนโวกเวก หนอเจ้าข้าเอ้ยๆๆๆ ม่ายช่ายๆ ไม่ใช่เลย ให้นึกว่าในใจพร้อมไปกับการก้าวไป คิกๆๆๆ

ไม่ให้ติดหนอ แต่ให้โฟกัสที่สิ่งที่กำลังกระทำ สมมติกำลังเดินใช่ปะ การเดินนั่นแหละคือสิ่งที่กำลังทำ ก้าวเท้าซ้ายออกไป ว่าในใจ ซ้าย ย่าง หนอ ก้าวเท้าขวาไป ขวา ย่าง หนอ (หนอถึงพื้น) อิอิ เดินไปซี่ 30 นาที 40 นาที ก็ว่าไปตามระยะที่เดิน อ้อ ไม่ต้องตะโกนบอกใครนะ ว่าในใจ :b32: เดินไปซื้อโอเลี้ยงหน้าปากซอยก็ปฏิบัติได้ทำได้ :b13: :b13: นี่บทเดิน

บททำงานอย่างอื่น เช่น ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ ถูตัว ซักผ้า รีดผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างถ้วยล้างจาน เขียนหนังสือ อ่านหนังสือ จิปาถะ ปฏิบัติได้ทำได้หมด

ทำบนโลกมนุษย์ ซึ่งกิน ถ่าย อิอิ นอน กันอยู่บนผืนปฐพีนี้แหละ ไม่ต้องเหาะไปยังดาวอังคาร (ไม่ใช่ไปขายยาง) พรหมโลก เป็นต้นอะไรเลย เข้าใจไหมขอรับ :b13:


ลุงกรัชกายมั่วอีกแล้วหล่ะค่ะ

ทำส่งเดชไป
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้ศึกษาพระปริยัติ เรยปฎิบัตมั่ว ส่งเดชไป
จำเป็นต้องแยกสภาวะให้ได้

เพราะไม่รู้ว่า อันไหนเป็นสภาวะ ไม่สามารถแยกสภาวะ 72
โดย นาม โดย รูปได้ ค่ะ



อ้างคำพูด:
จำเป็นต้องแยกสภาวะให้ได้


นั่นแน่ๆๆ จะนั่งแยกสภาวะเอง คิกๆๆ

จะแยกให้ดูตามตำรานะ รูป ก็ได้แก่ ร่างกายซึ่งเห็นๆนี่แหละ นี่รูปธรรม นามคือความรู้สึกนึกคิด นี่นามธรรม นี่แยกให้แล้ว อิอิ

ก็บอกแล้วนั่นเขาเรียนเอาไว้สอบ แต่ภาคปฏิบัติต้องรู้เห็นจากความรู้สึกภายใน ดูตัวอย่างข้างล่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูตัวอย่าง ความรู้ก่อนปฏิบัติ กับ หลังปฏิบัติแล้ว (ตัดๆมา)


ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศ เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า

"มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจ ก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปีติอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลย แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่

http://larndham.org/index.php?/topic/27 ... ntry393770


มองออกไหมขอรับ่โผม :b13: ทั้งความสุขก่อนหน้า ก้บ ความสุขที่เกิดจากจิตซึ่งมีสมาธิ เขาก็รู้ว่ามันต่างกัน ทั้งความคิดเรื่องลมหายใจเข้า-ออก ก่อนหน้ากับขณะปฏิบัติ ก็รู้สึกว่าต่างกัน เรื่องกิเลสอะไรต่างเขาเห็นรู้เห็นจากภายใน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอร์ดเป็นอารัย คลิกกิ๊กเดียวขึ้น 2 คคห.เลย
บางครั้งกดส่งข้อความขึ้นแล้ว แต่ข้อความที่ขึ้นไปแล้วยังมีค้างอยู่ กดส่งอีกที ตัวแดงบอกว่า คุณไม่สามารถโพสต์ในระยะเวลารวดเร็วได้ (ประมาณนี้)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้ดูตัวอย่าง รู้จากตำรา จากคำบอกเล่า กับ รู้จากการปฏิบัติ คือ รู้เห็นเองจากภายใน ดู

รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรมนี่ได้ยินเขาสอนหมด เสียดายจำไม่ได้ ตอนฝึกก็ทำไม่เป็น

ตอนดิฉันเดินจงกรม ช่วงนาทีที่เห็นเป็นกายมันเดินเอง ร้องให้เลย ตอนนั้นรู้สึกว่า แม้ร่างกายมันยังไม่ใช่ของเราจะมีอะไรเป็นของเราบ้างหนอ


สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม เขาก็บอกก็สอน แต่ตอนทำเขาไม่รู้ว่าเป็นสติปัฏฐานไหม

ถึงตอนเดินจงกรม เดินไปๆจิตมันอยู่กับงาน คือ การเดิน ซ้าย ขวาๆๆไป ก็จึงเห็นการทำงานของรูปของนามตามที่มันเป็นของมัน ร้องอ๋อเลย ว่าร่างกายซึ่งเคยยึดถือว่าของเรา เป็นเห็นว่า ไม่ใช่ของเรา การเห็นอย่างนี้แหละทำให้ถอนอัตตานุทิฏฐิได้ :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ให้พี่เมโลกสวย สังเกตระหว่างความรู้จากหนังสือ กับ การบอกเล่า 90 มา เช่น สติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม เรื่องร่างกายนี่เขาก็รู้ดี เพราะเป็นนักศึกษาแพทย์ วิปัสสะนง วิปัสสนา ขันธ์ 5 ก็รู้ว่าไม่ให้ยึดติดมัน เกิดดับเขาก็รู้นะ :b12:
แต่พอมาประสบกับของแท้ของจริงมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาทำเอาเกือบรากแตกรากแตน ที่รู้ๆมาศึกษามา ช่วยอะไรเขาไม่ได้เลย สังเกตดู


นั่งสมาธิแล้วมีอาการหมุนเหวี่ยงจะอ้วก

ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

วันแรกๆก็ไม่เป็นอะไร พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาที เริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจนเวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น

เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก

จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

จนลาสิกขามา ก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม

คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย

ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีก ซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว
เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรม พิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนาทำให้เราเข้าใจว่า ทุกอย่างมีเกิดดับของมันเป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด

แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ

หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุด บ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน

มองออกไหมฮะ

รูปภาพ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2018, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:
ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 05:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้างบนได้พูดถึงปริยัติไว้



ปริยัติ ๓ อย่าง คือ อลคัททูปมาปริยัติ ๑ นิสสรณัตถปริยัติ ๑ ภัณฑาคาริยปริยัติ ๑


ในปริยัติ ๓ อย่างนั้น

@ ปริยัติใด อันบุคคลเรียนไม่ดี.

คือ เรียนเพราะเหตุมีการโต้แย้ง เป็นต้น, ปริยัตินี้ ชื่อว่า ปริยัติเปรียบด้วยงูพิษ.ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษ ผู้มีความต้องการด้วยงูพิษ เที่ยวเสาะแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษนั้นที่ขนดหรือที่หาง งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขาที่มือหรือแขน หรือที่อวัยวะน้อยใหญ่แห่งใดแห่งหนึ่ง เขาพึงถึงความตายหรือความทุกข์ปางตาย ซึ่งมีการกัดนั้นเป็นเหตุ.

ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ.?

ภิกษุทั้งหลาย !เพราะงูพิษเขาจับไม่ดี แม้ฉันใด

ภิกษุทั้งหลาย ! โมฆบุรุษบางพวก ในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะคาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ อัพภูตธัมมะ เวทัลละ
พวกเขา ครั้นเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่พิจารณาแห่งธรรมเหล่านั้น ด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้น ย่อมไม่ควรต่อการเพ่งพินิจแก่พวกเขา.
ผู้ไม่พิจารณาอรรถด้วยปัญญา พวกเขาเรียนธรรม มีการโต้แย้งเป็นอานิสงส์ และ มีหลักการบ่นเพ้อว่าอย่างนี้ เป็นอานิสงส์ และ ย่อมไม่ได้รับประโยชน์แห่งธรรม ที่พวกกุลบุตรต้องประสงค์เล่าเรียน.
ธรรมเหล่านั้น ที่เขาเรียนไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน แก่โมฆบุรุษเหล่านั้น.

ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้น เพราะธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษเหล่านั้น เรียนไม่ดี.

@ อนึ่ง ปริยัติ อันบุคคลเรียนดีแล้ว.
คือ จำนงอยู่ ซึ่งความบริบูรณ์แห่งคุณ มีสีลขันธ์ เป็นต้นนั่นแล เรียนแล้ว.ไม่เรียนเพราะเหตุมีความโต้แย้ง เป็นต้น,
ปริยัตินี้ ชื่อว่า ปริยัติมีประโยชน์ที่จะออกจากวัฏฏะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายตรัสไว้ว่า
ธรรมเหล่านั้น อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน แก่กุลบุตรเหล่านั้น.

ข้อนั้นเพราะอะไรเป็นเหตุ ?

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนั้น เพราะธรรมทั้งหลาย อันกุลบุตรเหล่านั้นเรียนดีแล้ว ดังนี้.

@ ส่วนพระขีณาสพ ผู้มีขันธ์อันกำหนดรู้แล้ว มีกิเลสอันละแล้วมีมรรคอันอบรมแล้ว มีธรรมอันไม่กำเริบแทงตลอดแล้ว มีนิโรธอันกระทำให้แจ้งแล้ว
ย่อมเรียนซึ่งปริยัติใด เพื่อต้องการแก่อันดำรงซึ่งประเพณี เพื่อต้องการแก่อันตามรักษาซึ่งวงศ์
ปริยัตินี้ ชื่อว่า ปริยัติของท่าน "ผู้ประดุจขุนคลัง"

ข้อความบางตอนจากพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ 52

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โลกสวย เขียน:
เฮ้อ หนูคุณลุงกรัชกาย อธิบายมั่วไปหมด
เพราะไม่ได้เรียนพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนปริยัติให้ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอน

รู้มาผิด เดาไปผิดๆ ปฎิบัติไปผิดๆ อีกแระหล่ะค่ะ

การไปจดจำเอาภาพเท้า ภาพศพ ของสัณฐานร่างกาย น่ะ มันเป็นสันฐานบัญญัติ ไม่ใข่ปรมัตถสภาวะค่ะ

ถ้าจะปฎิบัติ ให้เป็นสติปัฎฐาน ตรงตามที่พระพุทธองค์สอน

ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้ ระลึกไปที่ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในส่วนของร่างกาย
ในขณะที่กระทบ ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหว

โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก

และอีกอย่าง ความคิดต่างๆ ทุกความคิด ที่ออกมาปนมั่ว จะไปซื้อโอเลี้ยง หรือหนอๆๆ
ก็รีบถอยออกมา

อยู่แต่ ที่ความรู้สึกตัว


สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ






อ้างคำพูด:
สติ และสัมปชัญญะต้องควบคู่ไป ในตลอดเวลา
ไม่ใช่แค่เดิน 30นาที 40 นาที แล้วว่าแจ๋ว

เพราะวันนึงมี ตั้ง 1440 นาที

ทำได้แค่นี้ สอบตกยกชั้นเรยจ๊ะหนูๆ
เวลาลงเรียนไม่พอนะจ๊ะ


พูดกับพี่เมโลกสวย กับ คุณโรสนอกจากเมื่อยมือแล้ว ยังเมื่อยสมองอีกต่างหาก คิดต่อยอดเองไม่เป็น ต้องบอกให้ทุกเม็ด

ที่ว่า เดิน 30 หรือ 40 นาที นั้น เป็นหนังตัวอย่าง วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ใครจะเดิน จะนั่ง สักกี่ชั่วโมง ก็ไม่มีใครว่า วันหนึ่งทำสัก 10 กว่าชั่วโมงขึ้นไปยิ่งดี
เดินจงกรม กับ นั่งกำหนดอารมณ์ใช้เวลาให้ใกล้เคียงกัน เช่น จงกรม ซ้าย ย่างหนอ ขวา ย่าง หนอ 1 ชม. ก็นั่งพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุท - โธ เป็นต้น 1 ชม.


อ้างคำพูด:
โดยไม่ต้องไปมีภาพการกระทบ ว่า กระทบตรงไหนของร่างกาย มือ เท้า แขน ขา หรือมั่วไปจนศพ

ให้เป็นสัมปชัญญะ คือความรู้สึก ล้วนๆๆๆๆ

ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

ให้ รู้ตรง เข้าไปใน สิ่งที่เกิดเฉพาะหน้าเวลานั้น ให้รู้ โดยไม่มีเท้า หรือ สัณฐานบัญญัติเข้าไป
ไปปนกะความรู้สึก


มาอีกแระ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง บอกให้วางตำราไว้หน้าประตู บอกไม่เชื่อ คิกๆๆ

:b32:

ยังคิดไม่ได้อีกหรือ
สิ่งที่กำลังมีขณะนี้
มีอะไรคะ1คำตรงๆ
ที่รู้จริง1ความรู้สึกชัด
น่านแหละดับตัวคุณทั้งตัวแล้ว
ไม่ทันก็ไม่รู้ไงจะไปรู้อะไรปัจจุบันคืออะไรคะ



อ้อ นึกออกแระ ทีละคำๆ ของคุณโรส ก็คือ รู้ว่า เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ทีละ 1 คำตามนั้น
ตัวอย่าง เช่น เรากำลังเดินๆไป เหยียบก้นบุหรี่ โอ๊ย "ร้อน" รู้ว่า "ร้อน"
เดินอยู่กลางแดด แดดร้อน รู้สึกร้อนๆ รู้ว่า “ร้อน” เดินเข้าร่มรู้สึกว่ามันเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เข้าหน้าหนาว ลมเหนือพัดมากระทบผิวกาย รู้สึกเย็นๆ รู้ว่า “เย็น”
เหยียบพื้นบ้านรู้สึกแข็งๆ รู้ว่า “แข็ง”
เดินเหยียบโคลนตม รู้สึกอ่อนๆนิ่มๆ รู้ว่า “อ่อน” รู้ว่า “นิ่ม”

คนสองคนกำลังขึงเชือกกันอยู่ เชือกยังไม่ตึง ก็บอกว่า ดึงอีกๆ ยังหย่อนอยู่ รู้ว่า "หย่อน" ดึงอีกๆ พอๆ พอแล้ว ตึงแล้ว รู้ว่า "ตึง" เป็นต้นดังนี้ แบบนี้นะขอรับ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง รู้ธัมมะทีละ 1 คำ

นึกได้อีกหน่อย ศิษย์สำนักอภิธรรมเดียวกับแม่แห่งบ้านธัมมะ ซึ่ง ไปตั้งสำนักวิปัสสนาอยู่ เวลาจงกรม ก็แนะนำกันและกัน เดินไปๆๆ ขณะเดินไป ให้ดูความรู้สึกที่เท้า ซึ่งกระทบกับพื้น ว่ามันแข็ง หรือ มันเย็น หรือมันอ่อนๆ สังเกตดู ก้าวไปที ก็ยืนดูความรู้สึกแบบว่า เพื่ออะไร ? เพื่อหาธัมมะ คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ ตามหนังสืออภิธรรมว่าไว้

:b32:
ลองทบทวนประโยคนี้เอาให้ชัดเจนตรงขณะก่อนดับครบ6ทางเพราะ
หลังกะพริบตามันเกิดดับเกิน6ทางไปแล้วคำว่ารู้ทันปัจจุบันขณะคืออะไร
และต้องรู้ตรงสัจจะที่กายใจตนกำลังมีปัญญาเท่านั้นที่รู้เท่าเอาทันเดี๋ยวนี้เอง
กำลังมีสภาพธรรมเกิดดับนับตัวธัมมะไม่ถ้วนและหมายเหตุตามรู้ได้แต่สิ่งที่เกิดแล้วเท่านั้น
:b12:
:b32: :b32:


ตอบคำถามก่อนดิ ที่ยกตัวอย่าง เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทีละ 1 คำ นั่นใช่ไหมธัมมะแห่งบ้านธัมมะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาที่ลงก่อนหน้าทั้งหมด มาวางไว้ใกล้ๆ กับ ข้อความต่อไปด้านล่าง

สติปัฏฐานในฐานะสัมมาสติ


สติปัฏฐาน (สติ+ปัฏฐาน) แปลว่า ที่ตั้งของสติบ้าง การที่สติเข้าไปตั้งอยู่ คือมีสติกำกับอยู่บ้าง ฯลฯ ว่าโดยหลักการก็ คือ การใช้สติ หรือวิธีปฏิบัติเพื่อใช้สติให้บังเกิดผลดีที่สุด ดังความแห่งพุทธพจน์ในมหาสติปัฏฐานสูตรว่า

"ภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เป็นมรรคาเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อข้ามพ้นโสกะ และปริเทวะ เพื่อความอัสดงแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุโลกุตรมรรค เพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งนิพพาน นี้คือสติปัฏฐาน ๔" (ที.ม.10/273/245 ฯลฯ)



การเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เป็นวิธีปฏิบัติธรรมที่นิยมกันมาก และยกย่องนับถือกันอย่างสูง ถือว่ามีพร้อมทั้งสมถะและวิปัสสนาในตัว ผู้ปฏิบัติอาจเจริญสมถะจนได้ฌาน อย่างที่จะกล่าวถึงในเรื่องสัมมาสมาธิอันเป็นองค์มรรคข้อที่ ๘ ก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานไปจนถึงที่สุดก็ได้ หรือจะอาศัยสมาธิเพียงขั้นต้นๆ เท่าที่จำเป็นมาประกอบ เจริญวิปัสสนาเป็นตัวนำตามแนวสติปัฏฐานนี้ ไปจนถึงที่สุดก็ได้



วิปัสสนาเป็นหลักปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ที่ได้ยินได้ฟังกันมาก พร้อมกับที่มีความเข้าใจไขว้เขวอยู่มากเช่นเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจตามสมควร

จากการศึกษาคร่าวๆ ในเรื่องสติปัฏฐานต่อไปนี้ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในความหมายของวิปัสสนาดีขึ้น ทั้งในแง่สาระสำคัญ ขอบเขตความกว้างขวาง และความยืดหยุ่นในการปฏิบัติ ตลอดจนโอกาสที่จะฝึกฝนปฏิบัติ โดยสัมพันธ์กับการดำเนินชีวิตของคนทั่วไป ว่าเป็นไปได้ และมีประโยชน์เพียงใด เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2018, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


สติปัฏฐาน ๔ มีใจความโดยสังเขป คือ

1. กายานุปัสสนา การพิจารณากาย หรือตามดูรู้ทันกาย

1. 1 อานาปานสติ คือไปในที่สงัด นั่งขัดสมาธิ ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก โดยอาการต่างๆ

1.2 กำหนดอิริยาบถ คือ เมื่อ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือร่างกายอยู่ในอาการอย่างไร ๆ ก็รู้ชัดในอาการ ที่เป็นอยู่นั้นๆ

1.3 สัมปชัญญะ คือ สร้างสัมปชัญญะในการกระทำทุกอย่าง และความเคลื่อนไหวทุกอย่าง เช่น การก้าวเดิน การเหลียวมอง การเหยียดมือ นุ่งห่มผ้า กิน ดื่ม เคี้ยว ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ การตื่น การหลับ การพูด การนิ่ง เป็นต้น

1.4 ปฏิกูลมนสิการ คือ พิจารณาร่างกายของตนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ซึ่งมีส่วนประกอบที่ไม่สะอาด ต่างๆ มากมายมารวมๆ อยู่ด้วยกัน

1.5 ธาตุมนสิการ คือ พิจารณากายของตน โดยให้เห็นแยกประเภทเป็นธาตุ 4 แต่ละอย่างๆ

1.6 นวสีวถิกา คือ มองเห็นศพที่อยู่ในสภาพต่างๆ กัน โดยระยะเวลา 9 ระยะ ตั้งแต่ตาย ใหม่ๆ ไปจนถึงกระดูกผุ แล้วในแต่ละกรณีนั้น ให้ย้อนมานึกถึงร่างกายของตน ว่าก็จะต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน


2. เวทนานุปัสสนา การตามดูรู้ทันเวทนา คือ เมื่อเกิดรู้สึกสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉยๆ ก็ดี ทั้งที่เป็นชนิดสามิส และนิรามิส ก็รู้ชัดตามที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้นๆ


3. จิตตานุปัสสนา การตามดูรู้ทันจิต คือ จิตของตนในขณะนั้นๆ เป็นอย่างไร เช่น มีราคะ ไม่มีราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ ฟุ้งซ่าน เป็นสมาธิ หลุดพ้น ยังไม่หลุดพ้น ฯลฯ ก็รู้ชัดตามที่มันเป็นอยู่ ในขณะนั้นๆ


4. ธัมมานุปัสสนา การตามดูรู้ทันธรรม คือ

4.1 นิวรณ์ คือ รู้ชัดในขณะนั้นๆ ว่า นิวรณ์ 5 แต่ละอย่างๆ มีอยู่ในใจตนหรือไม่ ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เกิดขึ้นแล้ว ละเสียได้อย่างไร ที่ละได้แล้วไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปอย่างไร รู้ชัดตามที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้นๆ

4.2 ขันธ์ คือ กำหนดรู้ว่าขันธ์ 5 แต่ละอย่าง คือ อะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างไร

4.3 อายตนะ คือ รู้ชัดในอายตนะภายใน ภายนอกแต่ละอย่างๆ รู้ชัดในสัญโญชน์ที่เกิดขึ้น เพราะอาศัยอายตนะนั้นๆ รู้ชัดว่า สัญโญชน์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เกิดขึ้นแล้ว ละเสียได้อย่างไร ที่ละได้แล้ว ไม่เกิดขึ้นได้อีกต่อไปอย่างไร

4.4 โพชฌงค์ คือ รู้ชัดในขณะนั้นๆ ว่า โพชฌงค์ 7 แต่ละอย่างๆ มีอยู่ในใจตนหรือไม่ ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เกิดขึ้นแล้วเจริญเต็มบริบูรณ์ได้อย่างไร

4.5 อริยสัจ คือ รู้ชัดอริยสัจ 4 แต่ละอย่างๆ ตามความเป็นจริง ว่าคืออะไร เป็นอย่างไร


ในตอนท้ายของทุกข้อที่กล่าวนี้ มีข้อความอย่างเดียวกันว่า

“ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายใน (= ของตนเอง) อยู่บ้าง ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอก (=ของคนอื่น) อยู่บ้าง พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในภายนอก อยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกาย อยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือ ความเสื่อมสิ้นไปในกาย อยู่บ้าง พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น และความเสื่อมสิ้นไปในกาย อยู่บ้าง

“ก็แล เธอมีสติดำรงต่อหน้าว่า “มีกายอยู่” เพียงแค่เพื่อความรู้ เพียงแค่เพื่อความระลึก แลเธอเป็นอยู่อย่างไม่อิงอาศัย ไม่ถือมั่นสิ่งใดๆในโลก” *


ที่อ้างอิง *

* คำว่า “กาย” เปลี่ยนเป็น เวทนา จิต และธรรม ตามแต่กรณี

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร