วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2019, 12:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ในกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาทสมุทยวาร ว่าด้วยการก่อเกิดทุกข์ ที่แสดงมาแล้ว เริ่มต้นด้วยอวิชชา ดังที่จะเขียนให้เห็นง่าย ต่อไปนี้

(อาสวะ)=> <= อวิชชา > สังขาร > วิญญาณ > นามรูป > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา > อุปาทาน > ภพ > ชาติ > ชรามรณะ + โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส = ทุกขสมุทัย

อวิชชาดับ > สังขารดับ > วิญญาณดับ > นามรูปดับ > สฬายตนะดับ > ผัสสะดับ > เวทนาดับ > ตัณหาดับ > อุปาทานดับ > ภพดับ > ชาติดับ > ชรามรณะ + โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสดับ = ทุกขนิโรธ

ปัจจุบันคือเวลานี้แหละที่กำลังกระพริบตาปริบๆๆๆๆอยู่เนี่ยกำลังมีไม่รู้อยู่
สภาพธรรมมีการเกิดดับนับแสนโกฏิขณะตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
จะเริ่มคิดถูกตรงทางตามได้ต้องเริ่มต้นที่ฟังตรงขณะคิดตามตรงคำ
เดี๋ยวนี้ที่ไม่ได้กำลังคิด-ไต่-ตรงตามเสียงทีละ1คำเพื่อคิดตามทีละคำ
แสดงว่าไม่รู้ความจริงตรงสัจจะที่กำลังปรากฏจึงมีปกติสะสมอกุศล
การจะเกิดสัมมาตามคำสอนเกิดจากกำลังฟังและกำลังคิดถูกตาม
เข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏทีละ1ทางที่กายใจกำลังมีจริงๆ
ไม่ได้ทำเหตถปัจจัยแบบไปกระทำขึ้นแต่เกิดแล้วดับทันที
และที่มีตัวตนไปคิดแตกหน่อต่อยอดเองคือมิจฉามรรค
การคิดตามต้องอาศัยผู้อื่นกล่าวแล้วคิดตามเดี๋ยวนี้ค่ะคือไตร่ตรองตามเสียงที่กำลังได้ยิน
กุศลสูงสุดคือการระลึกตามคำสอนตรงสัจจะที่กำลังปรากฏคือสติ+สมาธิ+ปัญญาเจตสิกทีละ1ขณะ
https://youtu.be/WR74ILvqTSs
:b12:
:b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2019, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ข้อที่ควรทำความเข้าใจเป็นพิเศษ คือ คำว่า “นิโรธ” ซึ่งแปลว่า ดับ มิใช่หมายความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแล้ว จึงทำให้มันดับไปหมดไปเท่านั้น
แต่หมายความกว้างขวางรวมไปถึงการที่สิ่งนั้นๆ ไม่เกิดขึ้น ไม่ทำหน้าที่ ไม่ปรากฏขึ้นมา ถูกปิดกั้น ระงับเสีย หรือ ทำให้สงบเย็น ให้หมดพิษสง ก็ได้
ดังนั้น คำว่า ปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร จึงไม่ได้หมายถึงเพียงกระบวนการที่จะดับทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
แต่หมายถึงกระบวนธรรมที่ปิดกั้นทุกข์ กระบวนธรรมที่ไม่มีทุกข์เกิดขึ้น หรือ กระบวนธรรมที่ทำให้ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเลย ก็ได้
และคำว่า อวิชชาดับ ก็มิใช่ หมายถึง ดับความไม่รู้ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่หมายถึง อวิชชาไม่เกิดขึ้น ภาวะปราศจากอวิชชา หรือ ปราศจากความไม่รู้ ได้แก่ มีความรู้ หรือ มีวิชชานั่นเอง

นิโรธ1เดียวที่เป็นนิพพานถึงผลของพระอรหัตตผลแล้ว
จิเจรุ=รู้ทุกข์จึงละสมุทัยจึงถึงมรรค...ส่วนนิคือนิพพานไม่มีการเกิดดับ
และผลต้องเกิดเดี๋ยวนี้มันดับแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องไตร่ตริงตามจึงจะคิดตาม
ผู้ที่ถึงนิพพานจึงรู้สภาวะนิพพานอย่าคิดเองมันเสียเวลา
ทุกอย่างกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยเป็นไปตามกรรม
ไม่รู้ก็คือสะสมอกุศลเจตสิกเพราะขาดการคิดไตร่ตรองตามคำสอนอยู่ค่ะ
มันดับไปแล้วและเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏว่ามีเราเป็นธัมมะทั้งหมดไม่ใช่เราแม้แต่ขณะเดียวค่ะ
https://youtu.be/WHRQPKUr1o8
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มี.ค. 2019, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ข้อที่ควรทำความเข้าใจเป็นพิเศษ คือ คำว่า “นิโรธ” ซึ่งแปลว่า ดับ มิใช่หมายความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแล้ว จึงทำให้มันดับไปหมดไปเท่านั้น
แต่หมายความกว้างขวางรวมไปถึงการที่สิ่งนั้นๆ ไม่เกิดขึ้น ไม่ทำหน้าที่ ไม่ปรากฏขึ้นมา ถูกปิดกั้น ระงับเสีย หรือ ทำให้สงบเย็น ให้หมดพิษสง ก็ได้
ดังนั้น คำว่า ปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร จึงไม่ได้หมายถึงเพียงกระบวนการที่จะดับทุกข์ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
แต่หมายถึงกระบวนธรรมที่ปิดกั้นทุกข์ กระบวนธรรมที่ไม่มีทุกข์เกิดขึ้น หรือ กระบวนธรรมที่ทำให้ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นเลย ก็ได้
และคำว่า อวิชชาดับ ก็มิใช่ หมายถึง ดับความไม่รู้ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่หมายถึง อวิชชาไม่เกิดขึ้น ภาวะปราศจากอวิชชา หรือ ปราศจากความไม่รู้ ได้แก่ มีความรู้ หรือ มีวิชชานั่นเอง

นิโรธ1เดียวที่เป็นนิพพานถึงผลของพระอรหัตตผลแล้ว
จิเจรุ=รู้ทุกข์จึงละสมุทัยจึงถึงมรรค...ส่วนนิคือนิพพานไม่มีการเกิดดับ
และผลต้องเกิดเดี๋ยวนี้มันดับแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำสิ่งที่กำลังเกิดดับ
คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องไตร่ตริงตามจึงจะคิดตาม
ผู้ที่ถึงนิพพานจึงรู้สภาวะนิพพานอย่าคิดเองมันเสียเวลา
ทุกอย่างกำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยเป็นไปตามกรรม
ไม่รู้ก็คือสะสมอกุศลเจตสิกเพราะขาดการคิดไตร่ตรองตามคำสอนอยู่ค่ะ
มันดับไปแล้วและเดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏว่ามีเราเป็นธัมมะทั้งหมดไม่ใช่เราแม้แต่ขณะเดียวค่ะ
https://youtu.be/WHRQPKUr1o8
onion onion onion


ยิ่งชัดขึ้นอีกว่า สำนักแม่สุจินเป็นธรรมปฏิรูปชัด จับแพะชนแกะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร