วันเวลาปัจจุบัน 23 ก.ค. 2025, 05:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 72 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 04:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อธิบายอีกที ก็คือ วิบากจิต มีหลายชนิด
เช่น
ทวิปัญจวิญญาณจิต
ปฏิสนธิจิต
จุติจิต
ภวังคจิต ................................... ถูกระบุว่า คือ จิตเดิมแท้ประภัสสร
สัมปฎิฉันนะจิต
สันตีรณะจิต
ตทาลัมพนะจิต

ข้อที่ต้องสังเกตุ คือ ภวังคจิต เป็นหนึ่งในนั้น[/

ต้องขอโทษที่จะบอกว่า คุณยังไม่มีปัญญามองปรมัตถ์ธรรมครับ
ก็กำลังหลงบัญญัติครับ สิ่งที่คุณอ้างมันเป็นการมองกลับตาลปัตร
นั้นคือการเอาผลไปเป็นเหตุ

ผลคืออะไร เหตุคืออะไร .......มันต้องรู้เหตุก่อน การรู้ผลมันถึงจะถูกต้อง
อย่างความเห็นของคุณโกวิท คุณพูดทั้งๆที่ไม่รู้ว่า เหตุที่มาของคำพูดคืออะไร
เหตุในเรื่องนี้ก็คือ.....บุคคลครับ ลองกลับไปดูว่า บุคคลใดมีจิตแบบที่คุณว่า
govit2552 เขียน:
ภวังคจิต ................. ถูกระบุว่า คือ จิตเดิมแท้ประภัสสร

เรื่องภวังคจิตนี่ก็เหมือนกัน เป็นเพราะบัญญัติแท้ๆ ทำให้หลงตีความไปต่างๆ
แม้แต่ครูบาอาจารย์ผู้บัญญัติคำศัพท์ ยังไม่แน่ใจ ถีงกับต้องอ้าง อรรถกถา

พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้ชี้ชัดว่า ภวังคจิต คือ จิตเดิมแท้
เห็นมาอ้างกันหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพานไปตั้งนานแล้ว

ถ้าเรามาพิจารณากันให้ดี ภวังคจิตเป็นจิตที่เกิดตั้งแต่ ปฏิสนธิจิต จนถึงจุติ
แบบนี้มันจะเป็นจิตเดิมแท้ได้อย่างไร จิตเดิมว่ากันด้วยเหตุผล
มันต้องเป็นจิตที่ก่อนการเกิดปฏิสนธิ หรือวิญญาณจิต ไม่ใช่ภวังคจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
[๒๕๗] ในปัจจยาการเหล่านั้น สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

เป็นไฉน ?

ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร กายสังขาร

วจีสังขาร จิตตสังขาร



ในสังขารเหล่านั้น ปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน ?

กุศลเจตนา เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร ที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จ-

ด้วยศีล ที่สำเร็จด้วยภาวนา นี้เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร

ในสังขารเหล่านั้น อปุญญาภิสังขาร เป็นไฉน ?

อกุศลเจตนาเป็นกามาวจร นี้เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร

ในสังขารเหล่านั้น อาเนญชาภิสังขาร เป็นไฉน ?

กุศลเจตนาเป็นอรูปาวจร นี้เรียกว่า อาเนญชาภิสังขาร

ในสังขารเหล่านั้น กายสังขาร เป็นไฉน ?

กายสัญเจตนา เป็นกายสังขาร วจีสัญเจตนา เป็นวจีสังขาร มโน-

สัญเจตนา เป็นจิตตสังขาร

เหล่านี้เรียกว่า สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย.


เมื่อไม่มีกุศลจิต และอกุศลจิต ซะแล้ว วงจรปฏิจจสมุปบาท ก็ขาดลง

ไม่มีสังขารในปฏิจจสมุปบาท ก็ไม่เกิดวิญญาณในภพหน้า
สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด ในวัฏฏสงสาร กันซะที

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 04:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อกล่าวถึง กุศล หรือ อกุศล นั่นหมายถึงผู้ยังมีกิเลส มีอวิชชา อันเป็นธรรม

ที่ทำให้วัฏฏะเป็นไป สืบต่อไป คือ ทำให้มีการเกิดในภพภูมิต่าง ๆ อยู่ร่ำไป

แต่พระอรหันต์ ท่านดับอวิชชา อันเป็นตอของวัฏฏะได้แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้

เกิด กุศล กับ อกุศล เลย ดังนั้นผู้ที่เป็นพระอรหันต์ จึงมีจิตเพียง ๒ ชาิติ คือ วิบาก

กับ กริยา แม้พระอรหันต์จะมีการกระทำที่เป็นความดีประการต่าง ๆ ขณะนั้น มีโสภณ-

ธรรมซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีก็เกิดขึ้นเป็นไป ก็เป็นชาติกิริยา ไม่ส่งผลคือวิบากอีกต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 05:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
เหตุปัจจัยมาจากการกระทำที่มีเจตนาผลย่อมต้องเป็น....วิบาก
ถ้าเหตุปัจจัยมาจากการกระทำที่ไม่มีเจตนาผลย่อมต้องเป็น ....กิริยา


พระอรหันต์ ไม่สร้างกรรมใหม่ ก็ถูกแล้ว
ในขณะที่ ปุถุชน สร้างกรรมใหม่ อยู่ตลอดเวลา

เห็นด้วยกับประโยคท่านโฮฮับ สองบรรทัดนี้

ขอ ขยายความเพิ่มเติม

ปุถุชน รับวิบาก ด้วยวิบากจิต แล้วมีการสร้างกรรมใหม่ เพื่อให้เกิดวิบากในอนาคต ด้วยกุศลจิต และอกุศลจิต

พระอรหันต์ รับวิบาก ด้วยวิบากจิต แล้วไม่มีการสร้างกรรมใหม่ ก็เลยไม่เกิดวิบากในอนาคต เพราะพระอรหันต์ไม่มีกุศลจิต และอกุศลจิต ซะแล้ว

ที่คุณโกวิทพูดมาในลักษณะนี้ เป็นเพราะไม่แยกรูปแยกนามออกจากกัน
ในภพชาติปัจจุบัน ถ้าพูดในเรื่องกฎแห่งกรรม
ทุกคนเกิดมาเหมือนกัน นั้นคือมีรูปหรือร่างกายเป็นวิบาก(ไม่ใช่จิต)
จิตเป็นผลมาจากกิเลสที่ผ่านทางรูปหรือทวารทั้งหกเข้ามา มันจึงเป็นวิบากจิต
กิเลสทำให้จิตไปยึดรูป ทำให้เกิดวิบากจิตขึ้น

ส่วนพระอรหันต์ แม้ในชาตินี้ท่านจะยังมีรูป แต่จิตท่านปราศจากกิเลส
จิตจีงไม่ยึดรูป สิ่งที่ผ่านมาทางทวารทั้งหก เป็นเพียงเหตุปัจจัย
เป็นเช่นนี้รูปในปัจจุบันจืงไม่ใช่วิบากอีกต่อไป จิตที่เกิดก็เป็นเพียงกิริยาจิต
เพราะไม่มีเจตนาในรูปปัจจุบัน

รูปจะวิบากได้เพราะจิต จิตจะวิบากได้เพราะกิเลสตัณหา
กิเลสตัณหาจะทำให้เกิดวิบากได้ ต้องอาศัยรูปหรือทวารทั้งหก
ถ้ากิเลสตัณหาหมดไป ทั้งรูปและจิตก็ไม่มีวิบาก

govit2552 เขียน:
กุศลจิต นี่แหละทำให้เกิดวิบาก ในอนาคต
อกุศลจิต นี่แหละทำให้เกิดวิบาก ในอนาคต

คนที่จะไม่มีกุศลจิต หรืออกุศลจิต โดยสิ้นเชิง ก็มีหนทางเดียว คือ บรรลุอรหัตผล

และหลังจากบรรลุอรหัตผล แล้ว ก็ยังจะต้องรับวิบาก ที่ได้เคยสร้างมาแล้วในอดีต ต่อไป ผ่านทางวิบากจิต ไปจนกว่าจะดับขันธ์นิพพาน

วงรอบจิต ของพระอรหันต์ ในกรณีนี้คือ วิบากจิต กิริยาจิต วิบากจิต แล้วกิริยาจิต สลับกันไปอย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน .......... จนกว่าจะดับขันธ์นิพพาน
เจริญ ในธรรม

กฎแห่งกรรมที่เกิดกับพระอรหันต์ มันเกิดและมีผลที่รูป ไม่ไม่เกี่ยวกับจิต
วิบากจิต มันเกิดจากจิตไปยึดรูปไว้มันเหตุมาจากกิเลส จิตของพระอรหันต์
ปราศจากกิเลสแล้ว กรรมเก่าในอดีตเป็นเพียงสิ่งที่มากระทบกับรูป พระอรหันต์รู้แล้ว
ไม่ยึดไม่มีเจตนากับสิ่งที่มากระทบ แบบนี้จิตก็ไม่เป็นวิบาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 05:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


govit2552 เขียน:
อ้างคำพูด:
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อกล่าวถึง กุศล หรือ อกุศล นั่นหมายถึงผู้ยังมีกิเลส มีอวิชชา อันเป็นธรรม

ที่ทำให้วัฏฏะเป็นไป สืบต่อไป คือ ทำให้มีการเกิดในภพภูมิต่าง ๆ อยู่ร่ำไป

แต่พระอรหันต์ ท่านดับอวิชชา อันเป็นตอของวัฏฏะได้แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้

เกิด กุศล กับ อกุศล เลย ดังนั้นผู้ที่เป็นพระอรหันต์ จึงมีจิตเพียง ๒ ชาิติ คือ วิบาก

กับ กริยา แม้พระอรหันต์จะมีการกระทำที่เป็นความดีประการต่าง ๆ ขณะนั้น มีโสภณ-

ธรรมซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีก็เกิดขึ้นเป็นไป ก็เป็นชาติกิริยา ไม่ส่งผลคือวิบากอีกต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่านครับ...

คุณโกวิทครับ ด้วยความปรารถดีครับ การจะอ้างอิงเพื่อมาสนับสนุนความเห็น
ด้วยมรรยาทอันกอบด้วยกุศลจิต ควรอ้างอิงแต่พุทธพจน์หรือพระไตรปิฎกนะครับ
ไม่ใช่นึกจะอ้างใครก็อ้าง อ้างแม้กระทั้งความเห็นในเว็บบอร์ด
การไม่รู้มันไม่ผิดและก็ไม่โง่หรอกครับ แต่การอ้างอิงโดยไม่ดูสถานะของคนที่ตัวอ้าง
ผมว่าคุณโกวิทกำลังดูถูกตัวเองนะครับ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
นามขันธ์ที่วูบวาบๆ เกิดดับๆ เกิดขึ้นบริเวณศรีษะ ระหว่างคิ้วและดวงตา ส่วนตัวกำลังกำหนดรู้อยู่
จะว่าเป็นอารมณ์ก็ไม่ใช่ เรียกเป็นจิตอะไรครับ

แต่ก่อนก็ไม่เคยสงสัย พึ่งมาเห็นเด่นชัดขึ้นได้ไม่นานมานี้

ผมว่ามันเป็นนิมิต ที่เรียกว่า อุคคหนิมิต นิมิตนี้จะเกิดหลังจาก
การบริกรรม ที่เรียกว่าบริกรรมนิมิต
ถ้าเพ่งอุคคหนิมิต ต่อไปอีก จนลงลึกอีกจะเกิดปฏิภาคนิมิต

ที่เล่ามาเป็นเพียงทฤษฎี จะบอกจากประสบการณ์ให้ฟังครับ
ถ้าเรานั่งบริกรรมจนเป็นลักษณะแบบคุณนักศึกษา และถ้าเพ่งสิ่งที่เกิดขี้นต่อไปอีก
จนจิตตกภวังค์ มันจะเกิดวิปัสนูกิเลสขี้นครับ มันอาจจะเป็น รูป เสียงหรือนาม

เท่าที่ผมเคยผ่านมา มันเป็นนามครับ ว่ากันตามจริงผมโดนวิปัสสนูเล่นงานครับ
หมายความว่าโดนความคิดเป็นนิมิตหลอกเอาครับ นิมิตที่ว่ามีลักษณะเป็นอรูป
เป็นความว่างๆไม่มีสิ่งใดเลย หลงเพลินคิดว่าเป็นนิพพาน จะออกก็ออกไม่ได้
เป็นอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้สึกตัว ตอนหลังพึ่งมารู้ว่ามันเป็นกิเลสมาหลอกเรา เลยเลิกครับ

เตือนเลยครับ ถ้ายังไม่มีสัมมาทิฐิ อย่ามานั่งกรรมฐานเพื่อนิพพานเลยครับ
ดีไม่ดีเดียวสติแตก เป็นบ้าไปซะก่อน
เอาแค่บริกรรมให้เกิดอุคคหนิมิต เพื่อให้จิตพักผ่อนก็พอ

อาจฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เป็นเพราะผมเลิกทำมานานแล้วครับ
เลยอธิบายไม่เต็มร้อย :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
กฎแห่งกรรมที่เกิดกับพระอรหันต์ มันเกิดและมีผลที่รูป ไม่ไม่เกี่ยวกับจิต
วิบากจิต มันเกิดจากจิตไปยึดรูปไว้มันเหตุมาจากกิเลส จิตของพระอรหันต์
ปราศจากกิเลสแล้ว กรรมเก่าในอดีตเป็นเพียงสิ่งที่มากระทบกับรูป พระอรหันต์รู้แล้ว
ไม่ยึดไม่มีเจตนากับสิ่งที่มากระทบ แบบนี้จิตก็ไม่เป็นวิบาก


สรุป ความเห็นของท่านโฮฮับ คือ

พระอรหันต์ ไม่มี วิบากจิต

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 11:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 19:57
โพสต์: 1014

โฮมเพจ: http://www.vitwong.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
อ้างคำพูด:
student เขียน:
นามขันธ์ที่วูบวาบๆ เกิดดับๆ เกิดขึ้นบริเวณศรีษะ ระหว่างคิ้วและดวงตา ส่วนตัวกำลังกำหนดรู้อยู่
จะว่าเป็นอารมณ์ก็ไม่ใช่ เรียกเป็นจิตอะไรครับ


แต่ก่อนก็ไม่เคยสงสัย พึ่งมาเห็นเด่นชัดขึ้นได้ไม่นานมานี้

ผมว่ามันเป็นนิมิต ที่เรียกว่า อุคคหนิมิต นิมิตนี้จะเกิดหลังจาก
การบริกรรม ที่เรียกว่าบริกรรมนิมิต
ถ้าเพ่งอุคคหนิมิต ต่อไปอีก จนลงลึกอีกจะเกิดปฏิภาคนิมิต


นึกแล้วเชียว ว่าท่านโฮ ต้องตอบได้

.....................................................
ยังงมงาย...
เมื่อเห็นว่าพระไตรปิฏก มีส่วนถูก มีส่วนจริงแค่ 20 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เท่านั้น

เลิกงมงาย..
เมื่อเห็นว่า พระไตรปิฏก มีส่วนถูก ส่วนจริง เกินกว่า 80 ถึง กว่า 90 เปอร์เซนต์

http://www.youtube.com/user/govit2554#g/u


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 14:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ ยังไม่เลิกครับ ต้องไปต่อ กำลังสงสัยและพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป

แต่ สังเกตุว่าเกิดขึ้นทั้งวันครับ แม้ขณะทำงานอยู่ เพราะใจจะจดจ่ออยู่กับ รูปขันธ์ พอ จดจ่ออยู่ที่รูปขันธ์ ก็ปรากฎนามขันธ์เด่นชัดขึ้น แต่พอนั่งสมาธิ ผมจะจดจ่อที่บริเวณหน้าอก หายใจเข้าออกมากกว่า ไม่ค่อยจดจ่อที่ตา ตอนนั่งสมาธิปีแรก ชอบจดจ่อให้ดวงตาให้เพ่ง แต่เลิกทำมานานแล้ว ตอนนี้กำลังสนใจเรื่อง วิญญาณขันธ์อยู่ ด้วยการรู้ทันวิญญาณขันธ์ว่าจะไปจับอยู่ที่อะไร ตอนนี้มีประสบการณ์ใหม่ คือเห็นเหมือนว่า วิญญาณขันธ์มีความอ่อนแรง และขยันสลับกันไป

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2012, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ ยังไม่เลิกครับ ต้องไปต่อ กำลังสงสัยและพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป

แต่ สังเกตุว่าเกิดขึ้นทั้งวันครับ แม้ขณะทำงานอยู่ เพราะใจจะจดจ่ออยู่กับ รูปขันธ์ พอ จดจ่ออยู่ที่รูปขันธ์ ก็ปรากฎนามขันธ์เด่นชัดขึ้น แต่พอนั่งสมาธิ ผมจะจดจ่อที่บริเวณหน้าอก หายใจเข้าออกมากกว่า ไม่ค่อยจดจ่อที่ตา ตอนนั่งสมาธิปีแรก ชอบจดจ่อให้ดวงตาให้เพ่ง แต่เลิกทำมานานแล้ว ตอนนี้กำลังสนใจเรื่อง วิญญาณขันธ์อยู่ ด้วยการรู้ทันวิญญาณขันธ์ว่าจะไปจับอยู่ที่อะไร ตอนนี้มีประสบการณ์ใหม่ คือเห็นเหมือนว่า วิญญาณขันธ์มีความอ่อนแรง และขยันสลับกันไป


เวทนา

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ ยังไม่เลิกครับ ต้องไปต่อ กำลังสงสัยและพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป

แต่ สังเกตุว่าเกิดขึ้นทั้งวันครับ แม้ขณะทำงานอยู่ เพราะใจจะจดจ่ออยู่กับ รูปขันธ์ พอ จดจ่ออยู่ที่รูปขันธ์ ก็ปรากฎนามขันธ์เด่นชัดขึ้น แต่พอนั่งสมาธิ ผมจะจดจ่อที่บริเวณหน้าอก หายใจเข้าออกมากกว่า ไม่ค่อยจดจ่อที่ตา ตอนนั่งสมาธิปีแรก ชอบจดจ่อให้ดวงตาให้เพ่ง แต่เลิกทำมานานแล้ว ตอนนี้กำลังสนใจเรื่อง วิญญาณขันธ์อยู่ ด้วยการรู้ทันวิญญาณขันธ์ว่าจะไปจับอยู่ที่อะไร ตอนนี้มีประสบการณ์ใหม่ คือเห็นเหมือนว่า วิญญาณขันธ์มีความอ่อนแรง และขยันสลับกันไป


เคยพิจารณาแบบนี้ไหมครับ

อะไรอ่อนแรง อะไรขยันกันแน่ครับ วิญญาณขันธ์ หรือสติเรา

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2012, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


คนธรรมดาๆ เขียน:
student เขียน:
ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ ยังไม่เลิกครับ ต้องไปต่อ กำลังสงสัยและพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป

แต่ สังเกตุว่าเกิดขึ้นทั้งวันครับ แม้ขณะทำงานอยู่ เพราะใจจะจดจ่ออยู่กับ รูปขันธ์ พอ จดจ่ออยู่ที่รูปขันธ์ ก็ปรากฎนามขันธ์เด่นชัดขึ้น แต่พอนั่งสมาธิ ผมจะจดจ่อที่บริเวณหน้าอก หายใจเข้าออกมากกว่า ไม่ค่อยจดจ่อที่ตา ตอนนั่งสมาธิปีแรก ชอบจดจ่อให้ดวงตาให้เพ่ง แต่เลิกทำมานานแล้ว ตอนนี้กำลังสนใจเรื่อง วิญญาณขันธ์อยู่ ด้วยการรู้ทันวิญญาณขันธ์ว่าจะไปจับอยู่ที่อะไร ตอนนี้มีประสบการณ์ใหม่ คือเห็นเหมือนว่า วิญญาณขันธ์มีความอ่อนแรง และขยันสลับกันไป


เคยพิจารณาแบบนี้ไหมครับ

อะไรอ่อนแรง อะไรขยันกันแน่ครับ วิญญาณขันธ์ หรือสติเรา


คิดว่าเป็นวิญญาณขันธ์ครับ เพราะหากเรามีสติเข้าไปกำหนดรู้แล้วเราเห็นธรรมที่อยู่ตรงหน้าแปรสภาพ(ความจริงธรรมก็ เปลี่ยนสภาพอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว) ความแปรสภาพไปจึงแน่ใจว่า นามขันธ์ไม่เที่ยง วิญญาณขันธ์ก็ไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง (เช่น พอเราเอาสติไปอยู่ที่แขนเพราะเรารู้สึกว่าปวดแขน เรากลับไม่เห็นทุกข์ที่ขา ทั้งๆที่ขาก็ปวดเหมือนกัน)

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 72 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร