วันเวลาปัจจุบัน 08 ส.ค. 2025, 04:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 06:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
รูปขันธ์ เป็นข้อหนึ่งในขันธ์5 มีเหตุปัจจัยเพราะกรรมและอาหารครับ



กรัชกายจะสรุปยังงี้ดีกว่า คุณ student วิจารณ์นะครับ

รูปขันธ์ ก็คือร่างกายที่มองเห็นแลเห็นทั้งหมดนี่แหละ ถูกไหมครับ

อีกสี่ขันธ์ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ถูกไหมครับ

รวมกัน จึงเป็นชีวิต (คน) หนึ่งๆนี้ ถูกไหมครับ :b1:


จะบอกว่ามองเห็นและเห็นก็ถูกครับ แต่ความเห็นผมนั้นรูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


อ้างคำพูด:
รูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป 4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


คุณเห็นยังงั้น ท่านจำแนกออกเป็นธาตุต่าง่ๆแล้วครับ ท่านจำแนกแล้วขอรับ :b1:

ยังงี้ครับ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ผสมกันเป็นหนึ่ง (เรียกรูปตัวเดียว แต่เมื่อจำแนกก็เป็น 4 นั้นได้)

แต่ถ้าคิดอย่า่งคุณคิด มันเลย ๕ ขันธ์แล้วครับผม :b1: เป็นเท่าไรขันธ์ล่ะทีนี้ ลองจัดดูสิครับเอ้า :b1:

ถามอีกนะครับ แล้วที่เห็นโด่ๆ อยู่นี่อยู่นั่น เรียกอะไร ที่ ยืน นั่ง นอน เดินส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา ไม่เรียกรูป แล้วเรียกอะไรครับผม



นำหลักให้ดูหน่อย (ทั้งที่ต้องการการสนทนากันตามความเข้าใจของแต่ละคนๆมากกว่า แต่หลักก็สำคัญ) ดูครับ

1. รูป ตามแนวอภิธรรมแบ่งรูปเป็น 28 คือ


1) มหาภูตรูป 4 (เรียกง่ายๆว่า ธาตุ 4) คือ ปฐวีธาตุ (สภาพที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่) อาโปธาตุ (สภาพที่ดึงดูดซาบซึม) เตโชธาตุ (สภาพที่แผ่ความร้อน) วาโยธาตุ (สภาพที่สั่นไหว)

2) อุปาทายรูป (รูปอาศัย หรือรูปที่สืบเนื่องมาจากมหาภูตรูป ) 24 (เป็นตัวอย่างในเห็นที่ท่านจำแนกแจกกระจายออกไปตามจำนวน นับได้ 28)


ไอ้รูป๒๘......มันเป็นรูปขันธ์ มันเกิดจากจิตที่เป็นอวิชาหลงเข้าไปยึดตัวรูปธรรม
แล้วเกิดการปรุงแต่งเป็นอุปาทายรูป

โดยความเป็นจริงแล้ว(วิชชา) รูปธรรมมีเพียงธาตุสี่(มหาภูติรูปสี่)

ครูบาอาจารย์ท่านหยิบยก จิตที่เป็นอวิชา(ปุถุชน)มาสอน เพื่อให้รู้ว่า
ความปรุงแต่งของจิตที่มีต่อรูปธรรมมีอะไรบ้าง.......เมื่อรู้แล้วให้ละหรือดับมันเสีย

กรัชกายไม่รู้เรื่อง แยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นวิชชา อะไรเป็นอวิชา
พูดมาด้วยความมั่ว เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ
ปล่อยให้สมองสติสัมปชัญญะ รกทึบไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
รูปขันธ์ เป็นข้อหนึ่งในขันธ์5 มีเหตุปัจจัยเพราะกรรมและอาหารครับ



กรัชกายจะสรุปยังงี้ดีกว่า คุณ student วิจารณ์นะครับ

รูปขันธ์ ก็คือร่างกายที่มองเห็นแลเห็นทั้งหมดนี่แหละ ถูกไหมครับ

อีกสี่ขันธ์ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ถูกไหมครับ

รวมกัน จึงเป็นชีวิต (คน) หนึ่งๆนี้ ถูกไหมครับ :b1:


จะบอกว่ามองเห็นและเห็นก็ถูกครับ แต่ความเห็นผมนั้นรูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


อ้างคำพูด:
รูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป 4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


คุณเห็นยังงั้น ท่านจำแนกออกเป็นธาตุต่าง่ๆแล้วครับ ท่านจำแนกแล้วขอรับ :b1:

ยังงี้ครับ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ผสมกันเป็นหนึ่ง (เรียกรูปตัวเดียว แต่เมื่อจำแนกก็เป็น 4 นั้นได้)

แต่ถ้าคิดอย่า่งคุณคิด มันเลย ๕ ขันธ์แล้วครับผม :b1: เป็นเท่าไรขันธ์ล่ะทีนี้ ลองจัดดูสิครับเอ้า :b1:

ถามอีกนะครับ แล้วที่เห็นโด่ๆ อยู่นี่อยู่นั่น เรียกอะไร ที่ ยืน นั่ง นอน เดินส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา ไม่เรียกรูป แล้วเรียกอะไรครับผม


กรัชกายนี่มันเอาความเป็นกิเลสมาถามชาวบ้าน แบบนี้เมื่อไรจะรู้เรื่อง
คนหนึ่งพูดเรื่องที่เป็นอวิชา แต่คนหนึ่งพูดวิชชา :b32:


เพราะอวิชชาน่าซี่ถึงไม่รู้เรื่อง คิกๆ ถามหน่อยนะ เป็นวิชชาตรงไหนชี้ลงไปชัดๆสิขอรับกระผม :b1:

ทางศาสนาเขาจัดไว้แล้ว ว่าชีวิตเมื่อจำแนกโดยความเป็นขันธ์ หมายถึงว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา มันเป็นเพียงขันธ์ ขันธ์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เข้าใจไหมมั้ย :b1:

แต่โฮฮับ ก็อย่างที่ยกตัวอย่างก่อนหน้าว่าเหมือนลูกมือช่างเครื่องยนต์ฝึกหัด ถอดแล้วจัดเข้าที่เขาไม่ได้ จึงเห็นว่าเกะกะ จึงเอาหินเจียเจียของเขาออก คิกๆ จึงเละเป็นเต้าหู้ตกตึก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
รูปขันธ์ เป็นข้อหนึ่งในขันธ์5 มีเหตุปัจจัยเพราะกรรมและอาหารครับ



กรัชกายจะสรุปยังงี้ดีกว่า คุณ student วิจารณ์นะครับ

รูปขันธ์ ก็คือร่างกายที่มองเห็นแลเห็นทั้งหมดนี่แหละ ถูกไหมครับ

อีกสี่ขันธ์ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ถูกไหมครับ

รวมกัน จึงเป็นชีวิต (คน) หนึ่งๆนี้ ถูกไหมครับ :b1:


จะบอกว่ามองเห็นและเห็นก็ถูกครับ แต่ความเห็นผมนั้นรูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


อ้างคำพูด:
รูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป 4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


คุณเห็นยังงั้น ท่านจำแนกออกเป็นธาตุต่าง่ๆแล้วครับ ท่านจำแนกแล้วขอรับ :b1:

ยังงี้ครับ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ผสมกันเป็นหนึ่ง (เรียกรูปตัวเดียว แต่เมื่อจำแนกก็เป็น 4 นั้นได้)

แต่ถ้าคิดอย่า่งคุณคิด มันเลย ๕ ขันธ์แล้วครับผม :b1: เป็นเท่าไรขันธ์ล่ะทีนี้ ลองจัดดูสิครับเอ้า :b1:

ถามอีกนะครับ แล้วที่เห็นโด่ๆ อยู่นี่อยู่นั่น เรียกอะไร ที่ ยืน นั่ง นอน เดินส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา ไม่เรียกรูป แล้วเรียกอะไรครับผม



นำหลักให้ดูหน่อย (ทั้งที่ต้องการการสนทนากันตามความเข้าใจของแต่ละคนๆมากกว่า แต่หลักก็สำคัญ) ดูครับ

1. รูป ตามแนวอภิธรรมแบ่งรูปเป็น 28 คือ


1) มหาภูตรูป 4 (เรียกง่ายๆว่า ธาตุ 4) คือ ปฐวีธาตุ (สภาพที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่) อาโปธาตุ (สภาพที่ดึงดูดซาบซึม) เตโชธาตุ (สภาพที่แผ่ความร้อน) วาโยธาตุ (สภาพที่สั่นไหว)

2) อุปาทายรูป (รูปอาศัย หรือรูปที่สืบเนื่องมาจากมหาภูตรูป ) 24 (เป็นตัวอย่างในเห็นที่ท่านจำแนกแจกกระจายออกไปตามจำนวน นับได้ 28)


ไอ้รูป๒๘......มันเป็นรูปขันธ์ มันเกิดจากจิตที่เป็นอวิชาหลงเข้าไปยึดตัวรูปธรรม
แล้วเกิดการปรุงแต่งเป็นอุปาทายรูป

โดยความเป็นจริงแล้ว(วิชชา) รูปธรรมมีเพียงธาตุสี่(มหาภูติรูปสี่)

ครูบาอาจารย์ท่านหยิบยก จิตที่เป็นอวิชา(ปุถุชน)มาสอน เพื่อให้รู้ว่า
ความปรุงแต่งของจิตที่มีต่อรูปธรรมมีอะไรบ้าง.......เมื่อรู้แล้วให้ละหรือดับมันเสีย

กรัชกายไม่รู้เรื่อง แยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นวิชชา อะไรเป็นอวิชา
พูดมาด้วยความมั่ว เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ
ปล่อยให้สมองสติสัมปชัญญะ รกทึบไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
:b32:



อ้างคำพูด:
ไอ้รูป ๒๘......มันเป็นรูปขันธ์ มันเกิดจากจิตที่เป็นอวิชาหลงเข้าไปยึดตัวรูปธรรม
แล้วเกิดการปรุงแต่งเป็นอุปาทายรูป



ไปกันใหญ่ ออกมหาสมุทรเลยทีนี้ คิดเองเออเอง นี่แหละอวิชชาตัวพ่อเลย :b9:

เดิมมันก็มีแค่ชีวิตเนี่ยๆเห็นๆเนี่ยแหละ ทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตขึ้นมา (ในที่หมายเอาคนหรือมนุษย์) แล้วคนก็คิดว่า ชีวิตเนี่ยเป็นเรา เป็นของเรา เป็นเขาเป็นสัตว์บุคคล (อุปาทาน)

หลังจากพระพุทธเจ้ารู้เห๊จเห็นสัจธรรมความจริงแล้ว จึงปฏิเสธ (พูดโดยนัยปรมัตถธรรม) ว่า ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์บุคคล มันเป็นสภาวธรรม ก็จึงจำแนกแจงแจงชีวิตนี้ออกโดยความขันธ์ (กอง) ทั้งหมดได้ ๕ กอง ๕ ขันธ์ แล้วก็ย้อนถามว่า ไหนล่ะ เรา ไหนล่ะของเรา ฯลฯ พอเข้าใจไหมเนี่ยะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 08:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นำตัวอย่างที่พูดข้างบน ^ มาให้ดูหน่อย

พุทธพจน์แสดงไตรลักษณ์ในกรณีขันธ์ ๕ มีตัวอย่างที่เด่น ดังนี้

"ภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอนัตตา หากรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอัตตา (ตัวตน) แล้วไซร้ มันก็จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า "ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย" แต่เพราะเหตุที่รูป ฯลฯ วิญญาณ เป็นอนัตตา ฉะนั้น รูป ฯลฯ วิญญาณ จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และใครๆ ไม่อาจไ้ด้ตามความปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า "ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย"


"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมีความเห็นเป็นไฉน"


"รูปเทียง หรือไม่เที่ยง (ตรัสทีละอย่าง จนถึง วิญญาณ)

"ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข"

"เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเฝ้าเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา"

"ไม่ควรเห็นอย่าง่นั้น พระเจ้าข้า"

"ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ทั้งภายในและภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ ทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง (สัมมาปัญญา) ตามที่มันเป็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวของเรา"


พอเข้าใจมั้ยโฮฮับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
รูปขันธ์ เป็นข้อหนึ่งในขันธ์5 มีเหตุปัจจัยเพราะกรรมและอาหารครับ



กรัชกายจะสรุปยังงี้ดีกว่า คุณ student วิจารณ์นะครับ

รูปขันธ์ ก็คือร่างกายที่มองเห็นแลเห็นทั้งหมดนี่แหละ ถูกไหมครับ

อีกสี่ขันธ์ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ถูกไหมครับ

รวมกัน จึงเป็นชีวิต (คน) หนึ่งๆนี้ ถูกไหมครับ :b1:


จะบอกว่ามองเห็นและเห็นก็ถูกครับ แต่ความเห็นผมนั้นรูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


อ้างคำพูด:
รูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป 4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


คุณเห็นยังงั้น ท่านจำแนกออกเป็นธาตุต่าง่ๆแล้วครับ ท่านจำแนกแล้วขอรับ :b1:

ยังงี้ครับ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ผสมกันเป็นหนึ่ง (เรียกรูปตัวเดียว แต่เมื่อจำแนกก็เป็น 4 นั้นได้)

แต่ถ้าคิดอย่า่งคุณคิด มันเลย ๕ ขันธ์แล้วครับผม :b1: เป็นเท่าไรขันธ์ล่ะทีนี้ ลองจัดดูสิครับเอ้า :b1:

ถามอีกนะครับ แล้วที่เห็นโด่ๆ อยู่นี่อยู่นั่น เรียกอะไร ที่ ยืน นั่ง นอน เดินส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา ไม่เรียกรูป แล้วเรียกอะไรครับผม


กรัชกายนี่มันเอาความเป็นกิเลสมาถามชาวบ้าน แบบนี้เมื่อไรจะรู้เรื่อง
คนหนึ่งพูดเรื่องที่เป็นอวิชา แต่คนหนึ่งพูดวิชชา :b32:


เพราะอวิชชาน่าซี่ถึงไม่รู้เรื่อง คิกๆ ถามหน่อยนะ เป็นวิชชาตรงไหนชี้ลงไปชัดๆสิขอรับกระผม :b1:



วิชชาหมายความรู้ และในความรู้นั้นก็คือการรู้ว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ควรไปข้องเกี่ยว

ขันธ์ห้าเป็นสิ่งเกิดจากความไม่รู้แล้วไปข้องเกี่ยว......
ซึ่งพอจะสรุปสั้นๆก็คือ วิชชาคือการ...รู้ถูกและรู้ผิด เมื่อเป็นอย่างนี้จึงสามารถปฏิบัติได้ถูก

ไอ้ที่กรัชกายเอาโพสที่ว่าด้วยรูป๒๘ มันเป็นเรื่องของรูปขันธ์....เป็นความรู้เช่นกัน
แต่เป็นการรู้ในสิ่งที่จะต้องละเลิก

กรัชกายเอามาโพสในลักษณะยึดติดและ ให้ชาวบ้านหลงเข้าใจไปว่า รูปขันธ์เป็นเรื่องปกติ
ไม่ต้องไปสนใจ......มันผิดเข้าใจมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
รูปขันธ์ เป็นข้อหนึ่งในขันธ์5 มีเหตุปัจจัยเพราะกรรมและอาหารครับ



กรัชกายจะสรุปยังงี้ดีกว่า คุณ student วิจารณ์นะครับ

รูปขันธ์ ก็คือร่างกายที่มองเห็นแลเห็นทั้งหมดนี่แหละ ถูกไหมครับ

อีกสี่ขันธ์ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ถูกไหมครับ

รวมกัน จึงเป็นชีวิต (คน) หนึ่งๆนี้ ถูกไหมครับ :b1:


จะบอกว่ามองเห็นและเห็นก็ถูกครับ แต่ความเห็นผมนั้นรูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


อ้างคำพูด:
รูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป 4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


คุณเห็นยังงั้น ท่านจำแนกออกเป็นธาตุต่าง่ๆแล้วครับ ท่านจำแนกแล้วขอรับ :b1:

ยังงี้ครับ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ผสมกันเป็นหนึ่ง (เรียกรูปตัวเดียว แต่เมื่อจำแนกก็เป็น 4 นั้นได้)

แต่ถ้าคิดอย่า่งคุณคิด มันเลย ๕ ขันธ์แล้วครับผม :b1: เป็นเท่าไรขันธ์ล่ะทีนี้ ลองจัดดูสิครับเอ้า :b1:

ถามอีกนะครับ แล้วที่เห็นโด่ๆ อยู่นี่อยู่นั่น เรียกอะไร ที่ ยืน นั่ง นอน เดินส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา ไม่เรียกรูป แล้วเรียกอะไรครับผม


กรัชกายนี่มันเอาความเป็นกิเลสมาถามชาวบ้าน แบบนี้เมื่อไรจะรู้เรื่อง
คนหนึ่งพูดเรื่องที่เป็นอวิชา แต่คนหนึ่งพูดวิชชา :b32:


เพราะอวิชชาน่าซี่ถึงไม่รู้เรื่อง คิกๆ ถามหน่อยนะ เป็นวิชชาตรงไหนชี้ลงไปชัดๆสิขอรับกระผม :b1:



วิชชาหมายความรู้ และในความรู้นั้นก็คือการรู้ว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่ไม่ควรไปข้องเกี่ยว

ขันธ์ห้าเป็นสิ่งเกิดจากความไม่รู้แล้วไปข้องเกี่ยว......
ซึ่งพอจะสรุปสั้นๆก็คือ วิชชาคือการ...รู้ถูกและรู้ผิด เมื่อเป็นอย่างนี้จึงสามารถปฏิบัติได้ถูก

ไอ้ที่กรัชกายเอาโพสที่ว่าด้วยรูป๒๘ มันเป็นเรื่องของรูปขันธ์....เป็นความรู้เช่นกัน
แต่เป็นการรู้ในสิ่งที่จะต้องละเลิก

กรัชกายเอามาโพสในลักษณะยึดติดและ ให้ชาวบ้านหลงเข้าใจไปว่า รูปขันธ์เป็นเรื่องปกติ
ไม่ต้องไปสนใจ......มันผิดเข้าใจมั้ย


อ้างคำพูด:
ไม่ต้องไปสนใจ......มันผิดเข้าใจมั้ย


นั่นๆว่าเขาไปนั่น คิกๆ

ถ้าเริ่มต้นเข้าใจผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เสียแล้วเนี่ยนะ ต่อไปผิดหมด จะดำริตริตรึก ก็เป็นมิจฉาสังกัปปะ ฯลฯ ผิดตลอดสาย อุปมาเหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิด

โฮฮับ ยังไม่รู้เลยชีวิตมันคืออะไร ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้ว

แล้วที่พูดถึงชีวิตที่จำแนกโดยความขันธ์ มีรูปขันธ์ เห็นๆแท้ๆ ยังเข้าใจผิดเลย นี่คือติดกระดุมเม็ดแรกผิด :b1:

ถึงได้พูดไงว่า เข้าใจเห็นธรรมเป็นเหมือนผิ-ปอบ เที่ยวไล่จับความคิด (จับจินตนาการว่าเป็นนั่นเป็นี่)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 20 ม.ค. 2014, 09:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ทางศาสนาเขาจัดไว้แล้ว ว่าชีวิตเมื่อจำแนกโดยความเป็นขันธ์ หมายถึงว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา มันเป็นเพียงขันธ์ ขันธ์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เข้าใจไหมมั้ย :b1:


ศาสนาที่ว่ามันศาสนาไหน มันไปมั่วเอง ...มันต้องบอกว่า ชีวิตของปุถุชนจึงจะเป็นขันธ์
ไม่ใช่มั่วเหวี้ยงแหแบบนี้ นี้มันพวก อวิชาทั้งดุ้น :b32:

quote="กรัชกาย"]
แต่โฮฮับ ก็อย่างที่ยกตัวอย่างก่อนหน้าว่าเหมือนลูกมือช่างเครื่องยนต์ฝึกหัด ถอดแล้วจัดเข้าที่เขาไม่ได้ จึงเห็นว่าเกะกะ จึงเอาหินเจียเจียของเขาออก คิกๆ จึงเละเป็นเต้าหู้ตกตึก[/quote]

ยกตัวอย่างได้สิ้นคิดจริงๆ ทางธรรมท่านให้หาเหตุ หาสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์
ไม่ใช่มานั่งกอดทุกข์ ไม่ยอมหาว่าอะไรถึงเป็นเช่นนี้

เล่นคิดเองเออเอง จะยกตัวอย่างเรื่องรถมันต้องเอาเป็นแบบว่ารถมันเสีย
แล้วให้ช่างซ่อมเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้รถเสีย มันไม่ใช่มารื้อรถดีๆ....ไร้สาระจริงๆ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
รูปขันธ์ เป็นข้อหนึ่งในขันธ์5 มีเหตุปัจจัยเพราะกรรมและอาหารครับ



กรัชกายจะสรุปยังงี้ดีกว่า คุณ student วิจารณ์นะครับ

รูปขันธ์ ก็คือร่างกายที่มองเห็นแลเห็นทั้งหมดนี่แหละ ถูกไหมครับ

อีกสี่ขันธ์ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ถูกไหมครับ

รวมกัน จึงเป็นชีวิต (คน) หนึ่งๆนี้ ถูกไหมครับ :b1:


จะบอกว่ามองเห็นและเห็นก็ถูกครับ แต่ความเห็นผมนั้นรูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


อ้างคำพูด:
รูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป 4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


คุณเห็นยังงั้น ท่านจำแนกออกเป็นธาตุต่าง่ๆแล้วครับ ท่านจำแนกแล้วขอรับ :b1:

ยังงี้ครับ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ผสมกันเป็นหนึ่ง (เรียกรูปตัวเดียว แต่เมื่อจำแนกก็เป็น 4 นั้นได้)

แต่ถ้าคิดอย่า่งคุณคิด มันเลย ๕ ขันธ์แล้วครับผม :b1: เป็นเท่าไรขันธ์ล่ะทีนี้ ลองจัดดูสิครับเอ้า :b1:

ถามอีกนะครับ แล้วที่เห็นโด่ๆ อยู่นี่อยู่นั่น เรียกอะไร ที่ ยืน นั่ง นอน เดินส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา ไม่เรียกรูป แล้วเรียกอะไรครับผม



นำหลักให้ดูหน่อย (ทั้งที่ต้องการการสนทนากันตามความเข้าใจของแต่ละคนๆมากกว่า แต่หลักก็สำคัญ) ดูครับ

1. รูป ตามแนวอภิธรรมแบ่งรูปเป็น 28 คือ


1) มหาภูตรูป 4 (เรียกง่ายๆว่า ธาตุ 4) คือ ปฐวีธาตุ (สภาพที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่) อาโปธาตุ (สภาพที่ดึงดูดซาบซึม) เตโชธาตุ (สภาพที่แผ่ความร้อน) วาโยธาตุ (สภาพที่สั่นไหว)

2) อุปาทายรูป (รูปอาศัย หรือรูปที่สืบเนื่องมาจากมหาภูตรูป ) 24 (เป็นตัวอย่างในเห็นที่ท่านจำแนกแจกกระจายออกไปตามจำนวน นับได้ 28)


ไอ้รูป๒๘......มันเป็นรูปขันธ์ มันเกิดจากจิตที่เป็นอวิชาหลงเข้าไปยึดตัวรูปธรรม
แล้วเกิดการปรุงแต่งเป็นอุปาทายรูป

โดยความเป็นจริงแล้ว(วิชชา) รูปธรรมมีเพียงธาตุสี่(มหาภูติรูปสี่)

ครูบาอาจารย์ท่านหยิบยก จิตที่เป็นอวิชา(ปุถุชน)มาสอน เพื่อให้รู้ว่า
ความปรุงแต่งของจิตที่มีต่อรูปธรรมมีอะไรบ้าง.......เมื่อรู้แล้วให้ละหรือดับมันเสีย

กรัชกายไม่รู้เรื่อง แยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นวิชชา อะไรเป็นอวิชา
พูดมาด้วยความมั่ว เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ
ปล่อยให้สมองสติสัมปชัญญะ รกทึบไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
:b32:



อ้างคำพูด:
ไอ้รูป ๒๘......มันเป็นรูปขันธ์ มันเกิดจากจิตที่เป็นอวิชาหลงเข้าไปยึดตัวรูปธรรม
แล้วเกิดการปรุงแต่งเป็นอุปาทายรูป



ไปกันใหญ่ ออกมหาสมุทรเลยทีนี้ คิดเองเออเอง นี่แหละอวิชชาตัวพ่อเลย :b9:

เดิมมันก็มีแค่ชีวิตเนี่ยๆเห็นๆเนี่ยแหละ ทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตขึ้นมา (ในที่หมายเอาคนหรือมนุษย์) แล้วคนก็คิดว่า ชีวิตเนี่ยเป็นเรา เป็นของเรา เป็นเขาเป็นสัตว์บุคคล (อุปาทาน)

หลังจากพระพุทธเจ้ารู้เห๊จเห็นสัจธรรมความจริงแล้ว จึงปฏิเสธ (พูดโดยนัยปรมัตถธรรม) ว่า ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์บุคคล มันเป็นสภาวธรรม ก็จึงจำแนกแจงแจงชีวิตนี้ออกโดยความขันธ์ (กอง) ทั้งหมดได้ ๕ กอง ๕ ขันธ์ แล้วก็ย้อนถามว่า ไหนล่ะ เรา ไหนล่ะของเรา ฯลฯ พอเข้าใจไหมเนี่ยะ :b32:


ที่แยกชีวิตออกเป็นกองเป็นขันธ์ก็เพื่อจะละหรือดับมัน...เข้าใจมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ทางศาสนาเขาจัดไว้แล้ว ว่าชีวิตเมื่อจำแนกโดยความเป็นขันธ์ หมายถึงว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา มันเป็นเพียงขันธ์ ขันธ์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เข้าใจไหมมั้ย :b1:


ศาสนาที่ว่ามันศาสนาไหน มันไปมั่วเอง ...มันต้องบอกว่า ชีวิตของปุถุชนจึงจะเป็นขันธ์
ไม่ใช่มั่วเหวี้ยงแหแบบนี้ นี้มันพวก อวิชาทั้งดุ้น :b32:

quote="กรัชกาย"]
แต่โฮฮับ ก็อย่างที่ยกตัวอย่างก่อนหน้าว่าเหมือนลูกมือช่างเครื่องยนต์ฝึกหัด ถอดแล้วจัดเข้าที่เขาไม่ได้ จึงเห็นว่าเกะกะ จึงเอาหินเจียเจียของเขาออก คิกๆ จึงเละเป็นเต้าหู้ตกตึก


ยกตัวอย่างได้สิ้นคิดจริงๆ ทางธรรมท่านให้หาเหตุ หาสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์
ไม่ใช่มานั่งกอดทุกข์ ไม่ยอมหาว่าอะไรถึงเป็นเช่นนี้

เล่นคิดเองเออเอง จะยกตัวอย่างเรื่องรถมันต้องเอาเป็นแบบว่ารถมันเสีย
แล้วให้ช่างซ่อมเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้รถเสีย มันไม่ใช่มารื้อรถดีๆ....ไร้สาระจริงๆ :b32:[/quote]

หลักธรรมเขาดีถูกต้องหมดทุกอย่าง เปรียบเหมือนรถดีๆ แต่โฮฮับรื้อของเขาจนเสียหมด นี่มันเป็นยังงี้นะขอรับกระผม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
กรัชกาย เขียน:
student เขียน:
รูปขันธ์ เป็นข้อหนึ่งในขันธ์5 มีเหตุปัจจัยเพราะกรรมและอาหารครับ



กรัชกายจะสรุปยังงี้ดีกว่า คุณ student วิจารณ์นะครับ

รูปขันธ์ ก็คือร่างกายที่มองเห็นแลเห็นทั้งหมดนี่แหละ ถูกไหมครับ

อีกสี่ขันธ์ ได้แก่ ความรู้สึกนึกคิด ถูกไหมครับ

รวมกัน จึงเป็นชีวิต (คน) หนึ่งๆนี้ ถูกไหมครับ :b1:


จะบอกว่ามองเห็นและเห็นก็ถูกครับ แต่ความเห็นผมนั้นรูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


อ้างคำพูด:
รูปขันธ์ต้องเอามหาภูติรูป 4 ตั้งครับ คือดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ใช่เอาร่างกายตั้ง แล้วเรียกรูป


คุณเห็นยังงั้น ท่านจำแนกออกเป็นธาตุต่าง่ๆแล้วครับ ท่านจำแนกแล้วขอรับ :b1:

ยังงี้ครับ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ผสมกันเป็นหนึ่ง (เรียกรูปตัวเดียว แต่เมื่อจำแนกก็เป็น 4 นั้นได้)

แต่ถ้าคิดอย่า่งคุณคิด มันเลย ๕ ขันธ์แล้วครับผม :b1: เป็นเท่าไรขันธ์ล่ะทีนี้ ลองจัดดูสิครับเอ้า :b1:

ถามอีกนะครับ แล้วที่เห็นโด่ๆ อยู่นี่อยู่นั่น เรียกอะไร ที่ ยืน นั่ง นอน เดินส่ายไปส่ายมา แกว่งไปแกว่งมา ไม่เรียกรูป แล้วเรียกอะไรครับผม



นำหลักให้ดูหน่อย (ทั้งที่ต้องการการสนทนากันตามความเข้าใจของแต่ละคนๆมากกว่า แต่หลักก็สำคัญ) ดูครับ

1. รูป ตามแนวอภิธรรมแบ่งรูปเป็น 28 คือ


1) มหาภูตรูป 4 (เรียกง่ายๆว่า ธาตุ 4) คือ ปฐวีธาตุ (สภาพที่แผ่ไปหรือกินเนื้อที่) อาโปธาตุ (สภาพที่ดึงดูดซาบซึม) เตโชธาตุ (สภาพที่แผ่ความร้อน) วาโยธาตุ (สภาพที่สั่นไหว)

2) อุปาทายรูป (รูปอาศัย หรือรูปที่สืบเนื่องมาจากมหาภูตรูป ) 24 (เป็นตัวอย่างในเห็นที่ท่านจำแนกแจกกระจายออกไปตามจำนวน นับได้ 28)


ไอ้รูป๒๘......มันเป็นรูปขันธ์ มันเกิดจากจิตที่เป็นอวิชาหลงเข้าไปยึดตัวรูปธรรม
แล้วเกิดการปรุงแต่งเป็นอุปาทายรูป

โดยความเป็นจริงแล้ว(วิชชา) รูปธรรมมีเพียงธาตุสี่(มหาภูติรูปสี่)

ครูบาอาจารย์ท่านหยิบยก จิตที่เป็นอวิชา(ปุถุชน)มาสอน เพื่อให้รู้ว่า
ความปรุงแต่งของจิตที่มีต่อรูปธรรมมีอะไรบ้าง.......เมื่อรู้แล้วให้ละหรือดับมันเสีย

กรัชกายไม่รู้เรื่อง แยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นวิชชา อะไรเป็นอวิชา
พูดมาด้วยความมั่ว เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะ
ปล่อยให้สมองสติสัมปชัญญะ รกทึบไปด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
:b32:



อ้างคำพูด:
ไอ้รูป ๒๘......มันเป็นรูปขันธ์ มันเกิดจากจิตที่เป็นอวิชาหลงเข้าไปยึดตัวรูปธรรม
แล้วเกิดการปรุงแต่งเป็นอุปาทายรูป



ไปกันใหญ่ ออกมหาสมุทรเลยทีนี้ คิดเองเออเอง นี่แหละอวิชชาตัวพ่อเลย :b9:

เดิมมันก็มีแค่ชีวิตเนี่ยๆเห็นๆเนี่ยแหละ ทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่โลกนี้มีสิ่งมีชีวิตขึ้นมา (ในที่หมายเอาคนหรือมนุษย์) แล้วคนก็คิดว่า ชีวิตเนี่ยเป็นเรา เป็นของเรา เป็นเขาเป็นสัตว์บุคคล (อุปาทาน)

หลังจากพระพุทธเจ้ารู้เห๊จเห็นสัจธรรมความจริงแล้ว จึงปฏิเสธ (พูดโดยนัยปรมัตถธรรม) ว่า ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์บุคคล มันเป็นสภาวธรรม ก็จึงจำแนกแจงแจงชีวิตนี้ออกโดยความขันธ์ (กอง) ทั้งหมดได้ ๕ กอง ๕ ขันธ์ แล้วก็ย้อนถามว่า ไหนล่ะ เรา ไหนล่ะของเรา ฯลฯ พอเข้าใจไหมเนี่ยะ :b32:


ที่แยกชีวิตออกเป็นกองเป็นขันธ์ก็เพื่อจะละหรือดับมัน...เข้าใจมั้ย


เห็นไหมล่ะ อ่านพุทธพจน์ที่ยกมาไม่เข้าใจ นี่ก็คือ อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ฯลฯ หมุนวนไปจนตลอดชีวิตตนเอง :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดดังๆอีกว่า ถ้าไม่เข้าใจพุทธธรรม ไม่มีทางเข้าใจชีวิตนี้ เพราะชีวิตคือพุทธธรรม นี่พูดโดยไม่จำแนกให้รุงรัง :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แน่ะๆ มีคนค้านว่าไม่จริง ถ้างั้นก็ทั้งหมดนั่นชีวิตมั้ย :b1:





ถ้าว่า ไม่่ใช่ชีวิตก็แล้วไป ถ้าเป็นชีวิตแล้ว เขาเป็นอะไร เพราะเหตุใด :b1:

ว่าไง โฮฮัย เจ้าพ่อวิชชา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1375241010-1370203825-o.gif
1375241010-1370203825-o.gif [ 497.16 KiB | เปิดดู 2340 ครั้ง ]
แน่ะๆๆ ยังมีแย้งกันอีก คิกๆๆ ไม่เชื่อๆ ว่างั้น ที่ฉันได้ยินได้ฟ้งมาไม่ใช่ยังงี้ เอ้า...ถ้ายังงั้นเอาอีก ดูเองตามลิงค์นี้ :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=GOgSMyrDErQ


ใครมีวิชชา บอกสิเขาเป็นอะไร เกิดจากอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นำตัวอย่างที่พูดข้างบน ^ มาให้ดูหน่อย

พุทธพจน์แสดงไตรลักษณ์ในกรณีขันธ์ ๕ มีตัวอย่างที่เด่น ดังนี้

"ภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอนัตตา หากรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอัตตา (ตัวตน) แล้วไซร้ มันก็จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า "ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย" แต่เพราะเหตุที่รูป ฯลฯ วิญญาณ เป็นอนัตตา ฉะนั้น รูป ฯลฯ วิญญาณ จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และใครๆ ไม่อาจไ้ด้ตามความปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า "ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย"


"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมีความเห็นเป็นไฉน"


"รูปเทียง หรือไม่เที่ยง (ตรัสทีละอย่าง จนถึง วิญญาณ)

"ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข"

"เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเฝ้าเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา"

"ไม่ควรเห็นอย่าง่นั้น พระเจ้าข้า"

"ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ทั้งภายในและภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ ทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง (สัมมาปัญญา) ตามที่มันเป็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวของเรา"


พอเข้าใจมั้ยโฮฮับ :b1:


รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

แล้วกรัชกายสาระแนเข้าไปยึดรูปธรรมจากมหาภูติรูปสี่ ปรุงแต่งจนเป็นรูปขันธ์๒๘ ทำไม

อ่านพระธรรมไม่เป็นก็ไม่ต้องยกมาอ้าง มันอายเขา
กลับไปอ่านหนังสือพุทธศาสตร์ ม.๑ อย่างเดิมน่ะดีแล้ว :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2014, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
นำตัวอย่างที่พูดข้างบน ^ มาให้ดูหน่อย

พุทธพจน์แสดงไตรลักษณ์ในกรณีขันธ์ ๕ มีตัวอย่างที่เด่น ดังนี้

"ภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอนัตตา หากรูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอัตตา (ตัวตน) แล้วไซร้ มันก็จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า "ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย" แต่เพราะเหตุที่รูป ฯลฯ วิญญาณ เป็นอนัตตา ฉะนั้น รูป ฯลฯ วิญญาณ จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และใครๆ ไม่อาจไ้ด้ตามความปรารถนา ในรูป ฯลฯ ในวิญญาณว่า "ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสัญญา...ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย"


"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมีความเห็นเป็นไฉน"


"รูปเทียง หรือไม่เที่ยง (ตรัสทีละอย่าง จนถึง วิญญาณ)

"ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข"

"เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะเฝ้าเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา"

"ไม่ควรเห็นอย่าง่นั้น พระเจ้าข้า"

"ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ทั้งภายในและภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่ไกลและที่ใกล้ ทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลาย พึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง (สัมมาปัญญา) ตามที่มันเป็นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ตัวของเรา"


พอเข้าใจมั้ยโฮฮับ :b1:


รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

แล้วกรัชกายสาระแนเข้าไปยึดรูปธรรมจากมหาภูติรูปสี่ ปรุงแต่งจนเป็นรูปขันธ์๒๘ ทำไม

อ่านพระธรรมไม่เป็นก็ไม่ต้องยกมาอ้าง มันอายเขา
กลับไปอ่านหนังสือพุทธศาสตร์ ม.๑ อย่างเดิมน่ะดีแล้ว :b32:



โฮฮับ :b32: ยังไม่เข้าใจความหมายระหว่าง ยึด กับ ความรู้เลย ถึงไ้ด้เที่ยวคุยว่า ละได้ ละอย่างนั้นละอย่างนี้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่น นี่ โน่น โน๊นนนนน :b1: อย่างโฮฮับเข้าลักษณะนิครนถ์ เรียกว่า ละไม่รู้เรื่องรู้ราว คิกๆๆ เขาเรียกว่า ยึดในความละ (ยึดในความไม่ยึด) ไม่รู้จะพอเข้าใจมั้ย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 102 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร