วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 06:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:

หากปรารถณาเพื่อบรรลุธรรม...ต้องตัด....

แต่การมีปีติกับความดีนั้น....เป็นสิ่งทำได้....หากแต่ความปรารถณาให้มีอีก...ให้มีมาก ๆขึ้นไปอีก...นั้นต้องตัด....

มันสุขใจอย่างบอกไม่ถูกนะ.....ยามที่เราบอกความจริงแห่งชีวิตนี้....แล้วเขาก็เข้าใจ

แต่ความสุขใจด้วยวิธีการนี้....ก็ยังไม่ใช่สุขที่เราต้องการ....ไม่ใช่หรือ?

ดังนั้น....จึงควรตัด...หรือควรต่อ....ดีละ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 06:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:

หากปรารถณาเพื่อบรรลุธรรม...ต้องตัด....

แต่การมีปีติกับความดีนั้น....เป็นสิ่งทำได้....หากแต่ความปรารถณาให้มีอีก...ให้มีมาก ๆขึ้นไปอีก...นั้นต้องตัด....

มันสุขใจอย่างบอกไม่ถูกนะ.....ยามที่เราบอกความจริงแห่งชีวิตนี้....แล้วเขาก็เข้าใจ

แต่ความสุขใจด้วยวิธีการนี้....ก็ยังไม่ใช่สุขที่เราต้องการ....ไม่ใช่หรือ?

ดังนั้น....จึงควรตัด...หรือควรต่อ....ดีละ?



อันนี้จริงที่สุด ครับท่านกบ :b35: :b35: :b35:
และเราต่อดีภายนอก แต่ภายในตัดดี ได้มั้ยท่านกบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b32: :b32:

หากปรารถณาเพื่อบรรลุธรรม...ต้องตัด....

แต่การมีปีติกับความดีนั้น....เป็นสิ่งทำได้....หากแต่ความปรารถณาให้มีอีก...ให้มีมาก ๆขึ้นไปอีก...นั้นต้องตัด....

มันสุขใจอย่างบอกไม่ถูกนะ.....ยามที่เราบอกความจริงแห่งชีวิตนี้....แล้วเขาก็เข้าใจ

แต่ความสุขใจด้วยวิธีการนี้....ก็ยังไม่ใช่สุขที่เราต้องการ....ไม่ใช่หรือ?

ดังนั้น....จึงควรตัด...หรือควรต่อ....ดีละ?
ผมว่าไม่มีใครตัดอะไรได้หรอกครับถ้าตัดได้จริง เราคงตัดกันไปหมดแล้ว ใครๆก็อยากตัดกันทั้งนั้นกิเลสนะ แต่ที่ตัดไม่ได้เพราะความรู้ที่เรามีมันขาดพลัง พลังนี้คืออะไร พลังนี้คือขณะที่ประจักษ์ไตรลักษณะทรงตัวอยู่นาน กิเลสมันกลัวตัวนี้มากที่สุด สังเกตุมั้ยเรารู้ในสิ่งเดียวกัน แต่ตัดได้ไม่เท่ากัน ความดีให้พัฒนานะครับไม่ใช่ตัดความดี แต่ความชั่วนี้ให้ละอิๆๆ :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 08:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ครูบาอาจารย์...ท่านว่า....ตัดตรงไหนก็ขาดทั้งวงได้เหมือนกัน...

:b12:
ตามอ่านกระทู้นี้ครบ 3 หน้าแล้ว สนุกดี.....มีสาระ และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนบางคนหรือหลายคนไปสู่ความเป็นผู้มีสัมมาวาจา ขออนุโมทนา

:b27:
ความเห็นตามคำอธิบายกระทู้ของคุณ bigtoo นั่นใช่แล้วตามหลักทฤษฎีที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนสั่งสืบกันมา......คุณได้สัญญามาถูกแล้วครับ
cool cool
แต่ที่คุณกบบอกว่า
ครูบาอาจารย์...ท่านว่า....ตัดตรงไหนก็ขาดทั้งวงได้เหมือนกัน.

อันนี้ก็ถูกอยู่ แต่ ไม่สามารถทำได้ทุกๆคน......การตัดปฏิจจสมุปบาทได้ทุกข้อต่อนั้นเป็น พุทธวิสัยและอรรคสาวก มหาสาวก วิสัย หาใช่ปกติสาวกวิสัยอย่างเราๆท่านๆทั้งหลายไม่ ความข้อนี้คุณกบต้องไปหาศึกษารายละเอียดดูดีๆอีกที มิฉะนั้นจะเป็นการสร้างความเห็นผิดให้เกิดกับผู้ใหม่ทั้งหลาย

ปกติสาวกทั้งหลายนั้น ท่านแนะนำให้สังเกต พิจารณา ตรงช่วงต่อของเวทนากับตัณหา เพราะมันจะไปสัมพันธ์กับการเจริญสติปัฏฐาน 4 โดยตรง คือไปหาวิธีละ อภิชฌาและโทมนัสสัง ซึ่งจะเป็นการทำให้เข้าถึง อุเบกขา ตัดปัจจัยที่จะทำให้เกิด ตัณหา ได้

ตรงนี้ก็ยังมีหลายสำนักแผลงไป เน้นให้สนใจเจริญสติ ตัดช่วงต่อระหว่าง ผัสสะ กับเวทนา ซึ่งจะเป็นการไปเสริม สมถภาวนา โดยไม่รู้ตัว ทำให้ปัญญาหมดโอกาสที่จะค้นพบสมุทัย....แต่ทางนี้ก็ออกได้ คือก็ต้องออกโดย "เจโตวิมุติ" ซึ่งเป็นทางที่ค่อนข้างยากสำหรับคนในยุคปัจจุบัน

:b38:



กระผมว่า ท่านอย่าใช่คำว่าเราๆท่านๆเลย หากท่านจะยึดตามความเห็นท่านก็ ขอให้เป็นวิสัยท่านเพียงผู้เดียวเถิด เดียวท่านอื่นจะเข้าใจว่า ปัญญานั้น คือการเข้าไปหา สมุทัย เสีย มันจะยุ่งสำหรับผู้นั้นไป

เพราะพระพุทธองค์ แจงไว้แล้วว่า สมุทัยให้ละ หากละได้บ้างไม่ได้บ้าง จนเกิดทุกข์ แล้ว ก็รู้ และการรู้นั้น ก็รู้ว่า อะไรทำให้ทุกข์ ทุกข์แล้วเป็นเช่นไร และอื่นๆ ตามปัญญา จนเห็นไตรลักษณ์ นั้นแหละ
และการละท่านก็บอกไว้ ตั้งแต่ ละที่ หูตาจมูกลิ้นกายใจ ได้เลย

เพราะการลดกำลัง จนกระทั่ง กำจัด อาสวะ ได้นั้น มันมีหลายวิธี ต้องใช้ควบคู่กันไป

:b8:

cool
asoka.....
จะละสมุทัยได้ ต้องค้นหาให้พบก่อนนะครับ
onion
อ้างคำพูด:
กบร้อง.....คุณอโสกะ....อ่านแบบไหนนะ....

ใครบอกให้ไปตัดทุกข้อ..กัน

เอาใหม่..

ท่านว่า...ตัดตรงไหน...(สายปฏิจจะ)ก็ขาด ทั้งวง...ได้เหมือนกัน
:b10:
"ทุกข้อต่อ" cool

อ่านแล้วสังเกตให้ดีๆนะคุณกบ.......ทุกข้อต่อ.....คำนี้กับ....ทุกข้อ.....ความหมายต่างกันมากเลยนะครับ การตีความจากข้อธรรมะก็เช่นกันพึงมีความละเอียดละออถี่ถ้วนให้มากๆนะครับ มิฉะนั้นอาจเลี้ยวผิดหลงทางไปเลยก็เป็นได้
Onion_L
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 09:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
นี่แหละครับ คนที่มีทิฎฐิมานะ แค่เขานำเสนอลิ้งก็ไม่เข้าไปดู คิดว่าตัวเองเก๋ง ผมบอกเลยว่าคนท่องตำรามาก็แค่นั้นเอง คนที่ไม่มีทิฎฐินะเขาถ่อมตนยอมจะเช้าไปดูความแตกต่าง ของแต่ละอาจารย์เพื่อความไม่ประมาท

คุณนี่แปลกคนนะครับ คิดเอาแต่ได้เข้าข้างตัวเอง มิหน่ำดูถูกคนอื่น
คุณมาแนะนำให้ทำโน้นนี่ ให้เข้าไปเว็บที่คุณแนะนำ แต่ผมไม่ไปเพราะ
ในความคิดส่วนตัวผมเห็นสถานที่นั้นเป็นที่อโคจร ผมก็ไม่ไปแล้วก็บอกคุณไปอย่างนั้น

แต่คุณนี่ซิพอคนอื่นเขาไม่ทำตามคุณ คุณก็เกิดอาการไม่พอใจ
มาว่ากล่าวผมหาว่า มีทิฐิอวดเก่ง คุณลองตรองดูให้ดีครับว่า
อาการไม่พอใจเนื่องจากคนอื่นไม่ทำตามเขาเรียกมิจฉาทิฐิ
มีมานะเต็มอัตตาหรือเปล่าครับ :b13:


อีกอย่างนะครับ กรุณาสติสัมปชัญญะในการสนทนาหน่อย
ผมกำลังคุยเรื่องผลการปฏิบัติกับคุณ แต่ดันเอาลิ้งการปฏิบัติของคนอื่นมาให้ผมดู
ถามซ้ำครับสติสตังค์อยู่กับเนื้อกับตัวหรือเปล่า ตัวเองบรรลุมันต้องบอกว่า
ตัวเองทำอย่างไร กลับให้ไปดูคนอื่นทำ :b9:
bigtoo เขียน:
เขาคุยกันในระดับสากลกันแล้วครับ ระดับด็อกเตอร์เขายังยอมรับเลยได้รับจากพระสังฆราชพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นสำนักในเมืองไทย เข้าตรวจสอบคำสอนหมดแล้วครัวว่ามีประโยชน์ ไม่ใช่ระดับเด็กโรงงานมาเรียนธรรมะ คอยตำนิเขา ตำราล้วนๆ อธิบายง่ายๆยังไม่เข้าใจ คนอื่นเขาเข้าใจกันหมดแล้วครับ

แฮ่ะๆๆ คุณจำได้มั้ยผมไปแสดงความเห็นในกระทู้ของคุณเรื่องที่คุณถามว่า
"จะรู้ได้ผลการปฏิบัติตัวเองว่าไปถึงไหน" แล้วผมตอบคุณไปว่า"นั้นแหล่ะกิเลส"

ความเห็นนี้ก็เหมือนกัน คุณกำลังเอากิเลสตัวเองมาอวดชาวบ้าน

และอีกเรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ผมเข้าใจคุณดีครับว่าเป็นอย่างไร
ตอนผมเริ่มปฏิบัติใหม่ๆก็เป็นแบบคุณนี่แหล่ะ ผมถึงรู้ว่าคุณกำลังหลง
พระพุทธเจ้าสอนว่า ผิดรู้ได้แต่รู้แล้วต้องละ ไม่ใช่รู้แล้วยึด
รู้แล้วเพื่มอัตตาตัวเองแบ่งเขา แบ่งเรา "เอ็งมันแค่เด็กโรงงาน"
เอาเหอะไม่มีใครถือสาหรอก แค่ตลกๆ แต่ก็อยากบอกครับ
คำพูดที่คุณใช้มันก็แค่ เด็กชนบทที่ชอบเรียนแบบคำพูดคนกรุง
เพื่อเพิ่มวิทยฐานะให้ตัวเองครับ :b9:
bigtoo เขียน:

และเรื่องสัมมาทิฎฐินะครับพื้นฐานคุณยังไม่ได้เลย แค่อ่านเรื่องทำบุญให้เทานก็ขนลุกขึ้นมาเลย คิดได้อย่างไรว่าเป็นกิเลส คนเขาทำบุญเพราะเขามีปัญญารู้สึกดีชั่วบุญบาบมีจริงนี่หรือสัมมาทิฎฐิ แล้วท่านจะไปรู้อะไร กับการเกิดดับที่แท้จริง อยากมากก็แค่ดูรถมันวิ่งไปวิ่งมาว่ามันเกิดดับ

ก็เคยบอกแล้วไงว่าเข้าใจคุณดีและอาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ศีลห้า ศีล227ทำมา
ปฏิบัติมาแล้วทั้งนั้น ขนาดว่าแค่ศีลไม่ฆ่าสัตว์ถึงกับกินเจก็ทำมาแล้ว
แต่ทำอย่างเดียวแต่ใจมันยึดติดอยู่ มันหายทุกข์มั้ยล่ะ ตอนนี้มองย้อนไปดู
ใจตัวเองเมื่อก่อนว่าคิดแบบนั้นมันดัดจริต มันมีมานะ มันก็เหมือนที่คุณกำลังเป็นอยู่นี่แหล่ะ

ศีลมีได้ความดีทำได้แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่งั้นมันจะไปปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขารอกุศล

bigtoo เขียน:

แล้วก็ยังตำหนิเว็บเขาอีก เขาใจกว้างสาธารณะเปิดโอกาสให้คนได้แพร่ความรู้กัน (คิดลบตลอด)เขารู้

ผมไปตำหนิเว็บเขาหรือครับ สู้อุตสาห์ไม่เอ่ยชื่อเว็บ ที่นี่เขามีกฎห้ามโจมตีเว็บหรือสำนักอื่นครับ
ที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม และที่พูดก็ตามเหตุปัจจัยที่มีต้นเหตุ มาจากคุณ

อันเกิดจากการจนปัญญาเลยอ้างชาวบ้านเขา ถ้ามันผิดหรือเกิดความเสียหาย
ก็ต้องโทษคุณเพราะเป็นตัวต้นเหตุ
bigtoo เขียน:

กันทั้งนั้นแหละครับทุกขฺเกิดจากการปรุงแต่งนะ นั้นมันทางใจ ทางกายนะเอาไม้ฝาดขาดูซิจะทุกข์ไม (แม้แต่ความเกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์ เจ็บไขไม่สบายก็เป็นทุกข์นี่ไงความทุกข์สงสัยไม่เคยไปสวดมนต์ที่วัดเลยมั้ง รู้มั้งพระพุทธเจ้าเขาเห็นสิ่งนี้เป็นทุกข์ท่านถึงแสวงหาความพ้นทุกข์

เที่ยวชี้หน้าชาวบ้านว่าพูดตามตำรา ผมว่าคุณควรดูตัวเองมั้งนะครับ
ที่พูดมาข้างบนก็รู้แล้วว่าไม่ได้คิดพิจารณาก่อน ก็อปเขามาทั้งดุ้น

ถามหน่อย ถ้าเกิด แก่เจ็บ ตายหนเดียวมันจะทุกข์มั้ย
ทุกข์ในความหมายของพระพุทธเจ้าคือ การเกิดแก่ เจ็บตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คุณบิกทู่คนที่ท่องตามตำรา มันเป็นพวกไม่รู้จักขยายความ
เห็นมาอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่พินิจพิจารณาว่าหมายถึงอะไร
สกิดนิดเดียวเอง รู้สึกยัง !คนอื่นเขาก็มีหัวใจ :b19: :b17: :b17:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 10:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ตอบแบบสั้นๆครับเอกคตา เป็นสภาพรูปนามแยกกัน คิดอะไรไม่ออกไม่รับรู้สิ่งกระทบภายนอก มีอุเบกขาอย่างเดียว แส่วงไสว รู้อย่างเดียว(ฌาน4)

พูโถ่! พูดเป็นนกแก้วไปได้ สภาพรูปนามแยกจากกัน
ที่พูดมานี่รู้เลยไปฟังมาแล้วก็เข้าใจไปว่า จิตกับร่างกายแยกจากกันแหง่ๆ
แถมบอกว่าคิดอะไรไม่ออก มันไม่ใช่คิดอะไรไม่ออก
แต่ขณะนั้นจิตถูกบังคับให้อยู่ในอายตนะตัวใดตัวหนึ่ง
จิตก็เลยไม่ได้เกิดการปรุงแต่ง แต่เป็นสภาวะที่เรียกว่าสติ

แล้วรูปที่ว่า เขาหมายอายตนะภายใน ไม่ได้หมายถึงรูปกายแต่เพียงอย่างเดียว
กายเป็นอายตนะหนึ่งในหกของอายตนะภายใน

การที่จิตเป็นเอกคตา ก็เพราะมีเหตุปัจจัยมาจากอายตนะภายในที่เรียกว่าใจ
กับกระทบธัมมารมณ์อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดสภาวะว่างขึ้น เพราะไม่ได้มีการเปลี่ยน
แปลงของผัสสะอายตนะตัวอื่น

อุเบกขามีความหมายว่าปล่อยวาง หมายความว่า รู้แล้วไม่ยึด
ในที่นี้มันก็คือผัสสะที่ได้รับ นั้นก็คือผัสสะที่เกิดจากธัมมารมณ์
แล้วการไปรับรู้ธัมมารมณ์ตัวเดียวอย่างต่อเนื่อง มันเป็นการปล่อยวางตรงไหน
มันยึดชนิดไม่ยอมปล่อยล่ะไม่ว่า

ไอ้แสงสว่างที่เห็นนะไม่ต้องทำมาตื่นเต้นครับ
นักปฏิบัติที่แท้จริงเขารู้ดีครับว่า มันเป็นวิปัสสนูกิเลส เป็นอธิโมก เข้าใจมั้ย

จะบอกให้จะได้ไม่หลง ไอ้สภาวะที่คุณว่าเป็นเอคตาน่ะ แท้จริงแล้ว
มันต้องอาศัย ร่างกายของเราเป็นเหตุปัจจัย เพราะเราจะรับรู้ได้ต้องอาศัย
อายตนะภายในในร่างกายเรา เนี่ยมาบอกว่า รูปนามแยกออกจากกัน
หลงแล้วก็ยังไม่รู้ตัว คนที่รูปนามแยกจากกันมันก็คนที่ตายแล้วเท่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 10:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
นี่แหละครับ คนที่มีทิฎฐิมานะ แค่เขานำเสนอลิ้งก็ไม่เข้าไปดู คิดว่าตัวเองเก๋ง ผมบอกเลยว่าคนท่องตำรามาก็แค่นั้นเอง คนที่ไม่มีทิฎฐินะเขาถ่อมตนยอมจะเช้าไปดูความแตกต่าง ของแต่ละอาจารย์เพื่อความไม่ประมาท

คุณนี่แปลกคนนะครับ คิดเอาแต่ได้เข้าข้างตัวเอง มิหน่ำดูถูกคนอื่น
คุณมาแนะนำให้ทำโน้นนี่ ให้เข้าไปเว็บที่คุณแนะนำ แต่ผมไม่ไปเพราะ
ในความคิดส่วนตัวผมเห็นสถานที่นั้นเป็นที่อโคจร ผมก็ไม่ไปแล้วก็บอกคุณไปอย่างนั้น

แต่คุณนี่ซิพอคนอื่นเขาไม่ทำตามคุณ คุณก็เกิดอาการไม่พอใจ
มาว่ากล่าวผมหาว่า มีทิฐิอวดเก่ง คุณลองตรองดูให้ดีครับว่า
อาการไม่พอใจเนื่องจากคนอื่นไม่ทำตามเขาเรียกมิจฉาทิฐิ
มีมานะเต็มอัตตาหรือเปล่าครับ :b13:


อีกอย่างนะครับ กรุณาสติสัมปชัญญะในการสนทนาหน่อย
ผมกำลังคุยเรื่องผลการปฏิบัติกับคุณ แต่ดันเอาลิ้งการปฏิบัติของคนอื่นมาให้ผมดู
ถามซ้ำครับสติสตังค์อยู่กับเนื้อกับตัวหรือเปล่า ตัวเองบรรลุมันต้องบอกว่า
ตัวเองทำอย่างไร กลับให้ไปดูคนอื่นทำ :b9:
bigtoo เขียน:
เขาคุยกันในระดับสากลกันแล้วครับ ระดับด็อกเตอร์เขายังยอมรับเลยได้รับจากพระสังฆราชพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นสำนักในเมืองไทย เข้าตรวจสอบคำสอนหมดแล้วครัวว่ามีประโยชน์ ไม่ใช่ระดับเด็กโรงงานมาเรียนธรรมะ คอยตำนิเขา ตำราล้วนๆ อธิบายง่ายๆยังไม่เข้าใจ คนอื่นเขาเข้าใจกันหมดแล้วครับ

แฮ่ะๆๆ คุณจำได้มั้ยผมไปแสดงความเห็นในกระทู้ของคุณเรื่องที่คุณถามว่า
"จะรู้ได้ผลการปฏิบัติตัวเองว่าไปถึงไหน" แล้วผมตอบคุณไปว่า"นั้นแหล่ะกิเลส"

ความเห็นนี้ก็เหมือนกัน คุณกำลังเอากิเลสตัวเองมาอวดชาวบ้าน

และอีกเรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ผมเข้าใจคุณดีครับว่าเป็นอย่างไร
ตอนผมเริ่มปฏิบัติใหม่ๆก็เป็นแบบคุณนี่แหล่ะ ผมถึงรู้ว่าคุณกำลังหลง
พระพุทธเจ้าสอนว่า ผิดรู้ได้แต่รู้แล้วต้องละ ไม่ใช่รู้แล้วยึด
รู้แล้วเพื่มอัตตาตัวเองแบ่งเขา แบ่งเรา "เอ็งมันแค่เด็กโรงงาน"
เอาเหอะไม่มีใครถือสาหรอก แค่ตลกๆ แต่ก็อยากบอกครับ
คำพูดที่คุณใช้มันก็แค่ เด็กชนบทที่ชอบเรียนแบบคำพูดคนกรุง
เพื่อเพิ่มวิทยฐานะให้ตัวเองครับ :b9:
bigtoo เขียน:

และเรื่องสัมมาทิฎฐินะครับพื้นฐานคุณยังไม่ได้เลย แค่อ่านเรื่องทำบุญให้เทานก็ขนลุกขึ้นมาเลย คิดได้อย่างไรว่าเป็นกิเลส คนเขาทำบุญเพราะเขามีปัญญารู้สึกดีชั่วบุญบาบมีจริงนี่หรือสัมมาทิฎฐิ แล้วท่านจะไปรู้อะไร กับการเกิดดับที่แท้จริง อยากมากก็แค่ดูรถมันวิ่งไปวิ่งมาว่ามันเกิดดับ

ก็เคยบอกแล้วไงว่าเข้าใจคุณดีและอาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ศีลห้า ศีล227ทำมา
ปฏิบัติมาแล้วทั้งนั้น ขนาดว่าแค่ศีลไม่ฆ่าสัตว์ถึงกับกินเจก็ทำมาแล้ว
แต่ทำอย่างเดียวแต่ใจมันยึดติดอยู่ มันหายทุกข์มั้ยล่ะ ตอนนี้มองย้อนไปดู
ใจตัวเองเมื่อก่อนว่าคิดแบบนั้นมันดัดจริต มันมีมานะ มันก็เหมือนที่คุณกำลังเป็นอยู่นี่แหล่ะ

ศีลมีได้ความดีทำได้แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่งั้นมันจะไปปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขารอกุศล

bigtoo เขียน:

แล้วก็ยังตำหนิเว็บเขาอีก เขาใจกว้างสาธารณะเปิดโอกาสให้คนได้แพร่ความรู้กัน (คิดลบตลอด)เขารู้

ผมไปตำหนิเว็บเขาหรือครับ สู้อุตสาห์ไม่เอ่ยชื่อเว็บ ที่นี่เขามีกฎห้ามโจมตีเว็บหรือสำนักอื่นครับ
ที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม และที่พูดก็ตามเหตุปัจจัยที่มีต้นเหตุ มาจากคุณ

อันเกิดจากการจนปัญญาเลยอ้างชาวบ้านเขา ถ้ามันผิดหรือเกิดความเสียหาย
ก็ต้องโทษคุณเพราะเป็นตัวต้นเหตุ
bigtoo เขียน:

กันทั้งนั้นแหละครับทุกขฺเกิดจากการปรุงแต่งนะ นั้นมันทางใจ ทางกายนะเอาไม้ฝาดขาดูซิจะทุกข์ไม (แม้แต่ความเกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์ เจ็บไขไม่สบายก็เป็นทุกข์นี่ไงความทุกข์สงสัยไม่เคยไปสวดมนต์ที่วัดเลยมั้ง รู้มั้งพระพุทธเจ้าเขาเห็นสิ่งนี้เป็นทุกข์ท่านถึงแสวงหาความพ้นทุกข์

เที่ยวชี้หน้าชาวบ้านว่าพูดตามตำรา ผมว่าคุณควรดูตัวเองมั้งนะครับ
ที่พูดมาข้างบนก็รู้แล้วว่าไม่ได้คิดพิจารณาก่อน ก็อปเขามาทั้งดุ้น

ถามหน่อย ถ้าเกิด แก่เจ็บ ตายหนเดียวมันจะทุกข์มั้ย
ทุกข์ในความหมายของพระพุทธเจ้าคือ การเกิดแก่ เจ็บตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คุณบิกทู่คนที่ท่องตามตำรา มันเป็นพวกไม่รู้จักขยายความ
เห็นมาอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่พินิจพิจารณาว่าหมายถึงอะไร
สกิดนิดเดียวเอง รู้สึกยัง !คนอื่นเขาก็มีหัวใจ :b19: :b17: :b17:

คุณกำลังสะกิดอะไรผมครับ ผมว่าข้อความข้างบนผมเป็นคนสะกิดล่ะไม่ว่า
เพียงแต่คุณกำลังฟุ้งกำลังหลงธรรมอยู่ เลยคิดว่าตัวเองดีเลิศกว่าใครเขาไงครับ

พูโธ่! มันก็แค่รู้นิดรู้หน่อยก็หลงคิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว
เอาแค่สภาวะง่ายๆยังหลงเลย เอกคตาเป็นไง อุเบกขายิ่งแล้วใหญ่

เรื่องกระบวนการขันธ์ห้า ดันบอกมาได้เป็นแค่พื้นฐาน มิน่าถึงบอกว่าตัวเองวางอุเบกขาได้
ย้อนถามเรื่องธัมมาวิปัสสนา พิจารณาอายตนะ12 ขันธ์ห้า ก็เงียบเป็นเป่าสาก ไม่เห็นแย้ง
กลับมาเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ผมว่าไม่มีใครตัดอะไรได้หรอกครับถ้าตัดได้จริง เราคงตัดกันไปหมดแล้ว ใครๆก็อยากตัดกันทั้งนั้นกิเลสนะ แต่ที่ตัดไม่ได้เพราะความรู้ที่เรามีมันขาดพลัง พลังนี้คืออะไร พลังนี้คือขณะที่ประจักษ์ไตรลักษณะทรงตัวอยู่นาน กิเลสมันกลัวตัวนี้มากที่สุด สังเกตุมั้ยเรารู้ในสิ่งเดียวกัน แต่ตัดได้ไม่เท่ากัน ความดีให้พัฒนานะครับไม่ใช่ตัดความดี แต่ความชั่วนี้ให้ละอิๆๆ :b4: :b4:

นี่ก็เพ้อเจ้ออีกแล้วครับ พูดมาได้ว่าพลังให้ไตรลักษณ์ทรงตัวอยู่นาน
ตัวไตรลักษณ์เป็นสภาวะที่ทำให้รู้ถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
แต่ดันบอกว่า ให้ไตรลักษณ์ทรงตัวอยู่นาน พูดง่ายๆก็คือไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้
เขาเรียกไตรลักษณ์ :b9:

ใครบอกว่ากิเลสกลัวไตรลักษณ์ กิเลสมันกลัวโพธิปักขิยธรรมต่างหาก
เพราะเราปฏิบัติในเรื่องโพธิปักฯขาดๆเกินๆ ทำให้อริยมรรคมีองค์แปด
ไม่รวม เป็นสมาธิ มันจึงยังดับกิเลสได้ไม่หมด เข้าใจมั้ย :b32:

ตั้งกระทู้ที่เกี่ยวกับปฏิจสมุบาท แต่มาพูดเรื่องทำดีละชั่ว แบบนี้เรียก
ไม่เจียมบอดี้ตั้งกระทู้เกินตัวครับ

ถ้าจะพูดเรื่องทำดีละชั่ว นี่เลยครับ ทาน ศีล ภาวนา
ทำบุญทำทานสวดมนต์ตั้งจิตอธิฐานให้ได้ไปสวรรค์ :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 12:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ผมว่าไม่มีใครตัดอะไรได้หรอกครับถ้าตัดได้จริง เราคงตัดกันไปหมดแล้ว ใครๆก็อยากตัดกันทั้งนั้นกิเลสนะ แต่ที่ตัดไม่ได้เพราะความรู้ที่เรามีมันขาดพลัง พลังนี้คืออะไร พลังนี้คือขณะที่ประจักษ์ไตรลักษณะทรงตัวอยู่นาน กิเลสมันกลัวตัวนี้มากที่สุด สังเกตุมั้ยเรารู้ในสิ่งเดียวกัน แต่ตัดได้ไม่เท่ากัน ความดีให้พัฒนานะครับไม่ใช่ตัดความดี แต่ความชั่วนี้ให้ละอิๆๆ :b4: :b4:

นี่ก็เพ้อเจ้ออีกแล้วครับ พูดมาได้ว่าพลังให้ไตรลักษณ์ทรงตัวอยู่นาน
ตัวไตรลักษณ์เป็นสภาวะที่ทำให้รู้ถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป
แต่ดันบอกว่า ให้ไตรลักษณ์ทรงตัวอยู่นาน พูดง่ายๆก็คือไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้
เขาเรียกไตรลักษณ์ :b9:

ใครบอกว่ากิเลสกลัวไตรลักษณ์ กิเลสมันกลัวโพธิปักขิยธรรมต่างหาก
เพราะเราปฏิบัติในเรื่องโพธิปักฯขาดๆเกินๆ ทำให้อริยมรรคมีองค์แปด
ไม่รวม เป็นสมาธิ มันจึงยังดับกิเลสได้ไม่หมด เข้าใจมั้ย :b32:

ตั้งกระทู้ที่เกี่ยวกับปฏิจสมุบาท แต่มาพูดเรื่องทำดีละชั่ว แบบนี้เรียก
ไม่เจียมบอดี้ตั้งกระทู้เกินตัวครับ

ถ้าจะพูดเรื่องทำดีละชั่ว นี่เลยครับ ทาน ศีล ภาวนา
ทำบุญทำทานสวดมนต์ตั้งจิตอธิฐานให้ได้ไปสวรรค์ :b32:
ท่านเข้าไม่ถึงก็ว่าไป ไปนังผ่านตายก่อนนะครับ ส่วนฌานนะมันของเล่นสนุกยามว่างเฉยๆ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
นี่แหละครับ คนที่มีทิฎฐิมานะ แค่เขานำเสนอลิ้งก็ไม่เข้าไปดู คิดว่าตัวเองเก๋ง ผมบอกเลยว่าคนท่องตำรามาก็แค่นั้นเอง คนที่ไม่มีทิฎฐินะเขาถ่อมตนยอมจะเช้าไปดูความแตกต่าง ของแต่ละอาจารย์เพื่อความไม่ประมาท

คุณนี่แปลกคนนะครับ คิดเอาแต่ได้เข้าข้างตัวเอง มิหน่ำดูถูกคนอื่น
คุณมาแนะนำให้ทำโน้นนี่ ให้เข้าไปเว็บที่คุณแนะนำ แต่ผมไม่ไปเพราะ
ในความคิดส่วนตัวผมเห็นสถานที่นั้นเป็นที่อโคจร ผมก็ไม่ไปแล้วก็บอกคุณไปอย่างนั้น

แต่คุณนี่ซิพอคนอื่นเขาไม่ทำตามคุณ คุณก็เกิดอาการไม่พอใจ
มาว่ากล่าวผมหาว่า มีทิฐิอวดเก่ง คุณลองตรองดูให้ดีครับว่า
อาการไม่พอใจเนื่องจากคนอื่นไม่ทำตามเขาเรียกมิจฉาทิฐิ
มีมานะเต็มอัตตาหรือเปล่าครับ :b13:


อีกอย่างนะครับ กรุณาสติสัมปชัญญะในการสนทนาหน่อย
ผมกำลังคุยเรื่องผลการปฏิบัติกับคุณ แต่ดันเอาลิ้งการปฏิบัติของคนอื่นมาให้ผมดู
ถามซ้ำครับสติสตังค์อยู่กับเนื้อกับตัวหรือเปล่า ตัวเองบรรลุมันต้องบอกว่า
ตัวเองทำอย่างไร กลับให้ไปดูคนอื่นทำ :b9:
bigtoo เขียน:
เขาคุยกันในระดับสากลกันแล้วครับ ระดับด็อกเตอร์เขายังยอมรับเลยได้รับจากพระสังฆราชพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นสำนักในเมืองไทย เข้าตรวจสอบคำสอนหมดแล้วครัวว่ามีประโยชน์ ไม่ใช่ระดับเด็กโรงงานมาเรียนธรรมะ คอยตำนิเขา ตำราล้วนๆ อธิบายง่ายๆยังไม่เข้าใจ คนอื่นเขาเข้าใจกันหมดแล้วครับ

แฮ่ะๆๆ คุณจำได้มั้ยผมไปแสดงความเห็นในกระทู้ของคุณเรื่องที่คุณถามว่า
"จะรู้ได้ผลการปฏิบัติตัวเองว่าไปถึงไหน" แล้วผมตอบคุณไปว่า"นั้นแหล่ะกิเลส"

ความเห็นนี้ก็เหมือนกัน คุณกำลังเอากิเลสตัวเองมาอวดชาวบ้าน

และอีกเรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ผมเข้าใจคุณดีครับว่าเป็นอย่างไร
ตอนผมเริ่มปฏิบัติใหม่ๆก็เป็นแบบคุณนี่แหล่ะ ผมถึงรู้ว่าคุณกำลังหลง
พระพุทธเจ้าสอนว่า ผิดรู้ได้แต่รู้แล้วต้องละ ไม่ใช่รู้แล้วยึด
รู้แล้วเพื่มอัตตาตัวเองแบ่งเขา แบ่งเรา "เอ็งมันแค่เด็กโรงงาน"
เอาเหอะไม่มีใครถือสาหรอก แค่ตลกๆ แต่ก็อยากบอกครับ
คำพูดที่คุณใช้มันก็แค่ เด็กชนบทที่ชอบเรียนแบบคำพูดคนกรุง
เพื่อเพิ่มวิทยฐานะให้ตัวเองครับ :b9:
bigtoo เขียน:

และเรื่องสัมมาทิฎฐินะครับพื้นฐานคุณยังไม่ได้เลย แค่อ่านเรื่องทำบุญให้เทานก็ขนลุกขึ้นมาเลย คิดได้อย่างไรว่าเป็นกิเลส คนเขาทำบุญเพราะเขามีปัญญารู้สึกดีชั่วบุญบาบมีจริงนี่หรือสัมมาทิฎฐิ แล้วท่านจะไปรู้อะไร กับการเกิดดับที่แท้จริง อยากมากก็แค่ดูรถมันวิ่งไปวิ่งมาว่ามันเกิดดับ

ก็เคยบอกแล้วไงว่าเข้าใจคุณดีและอาจจะดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ศีลห้า ศีล227ทำมา
ปฏิบัติมาแล้วทั้งนั้น ขนาดว่าแค่ศีลไม่ฆ่าสัตว์ถึงกับกินเจก็ทำมาแล้ว
แต่ทำอย่างเดียวแต่ใจมันยึดติดอยู่ มันหายทุกข์มั้ยล่ะ ตอนนี้มองย้อนไปดู
ใจตัวเองเมื่อก่อนว่าคิดแบบนั้นมันดัดจริต มันมีมานะ มันก็เหมือนที่คุณกำลังเป็นอยู่นี่แหล่ะ

ศีลมีได้ความดีทำได้แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ไม่งั้นมันจะไปปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขารอกุศล

bigtoo เขียน:

แล้วก็ยังตำหนิเว็บเขาอีก เขาใจกว้างสาธารณะเปิดโอกาสให้คนได้แพร่ความรู้กัน (คิดลบตลอด)เขารู้

ผมไปตำหนิเว็บเขาหรือครับ สู้อุตสาห์ไม่เอ่ยชื่อเว็บ ที่นี่เขามีกฎห้ามโจมตีเว็บหรือสำนักอื่นครับ
ที่ผมพูดมันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม และที่พูดก็ตามเหตุปัจจัยที่มีต้นเหตุ มาจากคุณ

อันเกิดจากการจนปัญญาเลยอ้างชาวบ้านเขา ถ้ามันผิดหรือเกิดความเสียหาย
ก็ต้องโทษคุณเพราะเป็นตัวต้นเหตุ
bigtoo เขียน:

กันทั้งนั้นแหละครับทุกขฺเกิดจากการปรุงแต่งนะ นั้นมันทางใจ ทางกายนะเอาไม้ฝาดขาดูซิจะทุกข์ไม (แม้แต่ความเกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์ เจ็บไขไม่สบายก็เป็นทุกข์นี่ไงความทุกข์สงสัยไม่เคยไปสวดมนต์ที่วัดเลยมั้ง รู้มั้งพระพุทธเจ้าเขาเห็นสิ่งนี้เป็นทุกข์ท่านถึงแสวงหาความพ้นทุกข์

เที่ยวชี้หน้าชาวบ้านว่าพูดตามตำรา ผมว่าคุณควรดูตัวเองมั้งนะครับ
ที่พูดมาข้างบนก็รู้แล้วว่าไม่ได้คิดพิจารณาก่อน ก็อปเขามาทั้งดุ้น

ถามหน่อย ถ้าเกิด แก่เจ็บ ตายหนเดียวมันจะทุกข์มั้ย
ทุกข์ในความหมายของพระพุทธเจ้าคือ การเกิดแก่ เจ็บตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คุณบิกทู่คนที่ท่องตามตำรา มันเป็นพวกไม่รู้จักขยายความ
เห็นมาอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ไม่พินิจพิจารณาว่าหมายถึงอะไร
สกิดนิดเดียวเอง รู้สึกยัง !คนอื่นเขาก็มีหัวใจ :b19: :b17: :b17:

คุณกำลังสะกิดอะไรผมครับ ผมว่าข้อความข้างบนผมเป็นคนสะกิดล่ะไม่ว่า
เพียงแต่คุณกำลังฟุ้งกำลังหลงธรรมอยู่ เลยคิดว่าตัวเองดีเลิศกว่าใครเขาไงครับ

พูโธ่! มันก็แค่รู้นิดรู้หน่อยก็หลงคิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว
เอาแค่สภาวะง่ายๆยังหลงเลย เอกคตาเป็นไง อุเบกขายิ่งแล้วใหญ่

เรื่องกระบวนการขันธ์ห้า ดันบอกมาได้เป็นแค่พื้นฐาน มิน่าถึงบอกว่าตัวเองวางอุเบกขาได้
ย้อนถามเรื่องธัมมาวิปัสสนา พิจารณาอายตนะ12 ขันธ์ห้า ก็เงียบเป็นเป่าสาก ไม่เห็นแย้ง
กลับมาเลย
ที่ไม่แย้งเพราะอะไรรู้มั้ยครับ มันไม่มีใครอยากอ่านมันเรื่องง่ายๆมีเยอะไปในตำราอ่ะ เขาเอาสภาวะของจริงมาพูดกัน แค่เกิดแก้เจ็บตายมันก็เป็นทุกข์อยู่เห็นๆก็ยังว่าไม่ใช่แล้วจะคุยเรื่องอะไรอีกละครับท่าน เพราะที่เราทำกันอยู่ก็เพราะอยากหนีตัวนี่ไม่ใช่เหรอ ถ้าท่านว่าไม่ใช่แล้วจะคุยกันได้เหรอครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ถามคุณโฮฮับหน่อยซิครับ กินข้าวกี่มื้อ มีเพศสัมพันธ์มั้ยรวมช่วยตัวเองด้วยนะครับมีมั้ย ตอบหน่อนซิอยากศึกษานะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
โฮฮับ เขียน:
พูโธ่! มันก็แค่รู้นิดรู้หน่อยก็หลงคิดว่าตัวเองบรรลุแล้ว
เอาแค่สภาวะง่ายๆยังหลงเลย เอกคตาเป็นไง อุเบกขายิ่งแล้วใหญ่

เรื่องกระบวนการขันธ์ห้า ดันบอกมาได้เป็นแค่พื้นฐาน มิน่าถึงบอกว่าตัวเองวางอุเบกขาได้
ย้อนถามเรื่องธัมมาวิปัสสนา พิจารณาอายตนะ12 ขันธ์ห้า ก็เงียบเป็นเป่าสาก ไม่เห็นแย้ง
กลับมาเลย
ที่ไม่แย้งเพราะอะไรรู้มั้ยครับ มันไม่มีใครอยากอ่านมันเรื่องง่ายๆมีเยอะไปในตำราอ่ะ เขาเอาสภาวะของจริงมาพูดกัน แค่เกิดแก้เจ็บตายมันก็เป็นทุกข์อยู่เห็นๆก็ยังว่าไม่ใช่แล้วจะคุยเรื่องอะไรอีกละครับท่าน เพราะที่เราทำกันอยู่ก็เพราะอยากหนีตัวนี่ไม่ใช่เหรอ ถ้าท่านว่าไม่ใช่แล้วจะคุยกันได้เหรอครับ

เรื่องง่ายในตำรา ทำไมพูดผิดพูดถูกล่ะ ไม่รู้เรื่องก็บอกไม่รู้เรื่อง
เท่าที่อ่านความเห็นคุณมาแต่ต้น มันก็บอกอยู่แล้วว่าไม่รู้เรื่อง


แค่นั่งสมาธิจิตว่างก็ดันบอกว่า วางอุเบกขาแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้ปานนี้ผมเป็นอรหันต์ไปนานแล้ว
โถ๋! มันก็เหมือนชาวเขา ชาวดอยมาเห็นทะเลครั้งแรกทำเป็นตื่นเต้นยกใหญ่

เรื่องทุกข์ก็เหมือนกัน บอกให้รู้แล้วยังมาเถียง
ถามจริง เป็นชาวพุทธหรือเปล่า ผมรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร
ผมก็บอกไปอย่างนั้น

แล้วเรื่องที่ให้ตอบมันเรื่อง กระบวนการขันธห้าในธัมมานุปัสสนา
ที่คุณบอกว่าเป็นแค่เรื่องพื้นฐาน
bigtoo เขียน:
ถามคุณโฮฮับหน่อยซิครับ กินข้าวกี่มื้อ มีเพศสัมพันธ์มั้ยรวมช่วยตัวเองด้วยนะครับมีมั้ย ตอบหน่อนซิอยากศึกษานะครับ

ความเห็นนี้ไปถามผู้ดูแลก่อนว่า ตอบได้หรือเปล่า มันผิดกฎทางบอร์ดไหม
อยากจะบอกให้ผู้ดูแลที่นี่ ท่านเป็นพระภิกษุนะครับ กรุณาให้เกียรติ์ท่านหน่อย
อย่าใช้อารมณ์แค้นเคือง จนไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพรหม

ตอบเฉพาะเรื่องข้าว ผมกินเมื่อหิว ไม่คำนึงว่ากี่มื้อ
ไม่หิวก็ไม่กิน กินทุกอย่างที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย
กับข้าวซื้อกิน ไม่ทำกับข้าวกินเอง ถ้ามีผักกับเนื้อ
เลือกกินผักก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


พูดเรื่องซื้อกับข้าวกิน เคยมีครั้งหนึ่ง ซื้อไข่พะโล้มากิน แม่ค้าก็เป็นคนรู้จักกันแถวนั้นแหละ ไอ้เราก็ไม่รู้เพิ่งกลับมาจาก กทม. ไปซื้อไข่พะโล้ป้าแก แต่คุนน้องเป็นคนที่มี ซิกเซนท์ 55+ คือสังเกตุเห็นอะไรแปลกๆในช้อน เลยเขี่ยดู โอ้วแม่เจ้า แม็กเจ้าข้า.. wink ลูกแม็กที่เอาไว้หนีบกระดาษ เลยสันนิฐานว่า ป้าแกคงจะไปซื้อผงพะโล้ที่ขายตามร้านของชำ แล้วเวลาแกะซองเทลงใส่หม้อแกไม่ระมัดระวัง ทำให้ลูกแม็กมันลงไปในหม้ออาหาร คุนน้องก็บ่นกับแม่ ว่าเกือบได้กินแม็กลงท้องไปซะแล้ว :b5: พี่โฮซื้ออาหารนอกบ้านกินก็ระวังด้วยนะเจ้าค่ะ ทำไมแฟนไม่ทำให้ทาน สิ่งแวดล้อมที่อาศัยคงไม่เอื้ออำนวย.อ่อมีอีกเรื่อง.เมื่อก่อนแม่เคยทำงานที่ร้านอาหาร..แต่เค้าจะแบ่งโซน
แม่คุนน้องอยู่แผนก..ยำทุกประเภท คุนน้องได้ไปเห็นเบื้องหลังทำให้หมดอารมณ์อยากกินอาหารนอกบ้านเลย
(อันนี้หมายถึงร้านอาหารที่แม่เคยทำงาน ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นทุกร้าน) แม่บอกว่า มีเด็กเสริฟคนนึง มันหมั่นไส้ลูกค้า ประเภทจุกจิกจู้จี้ จะเอานั่นเอานี่ อันนี้ก็ไม่สุกอันนั้นก็ใช้ไม่ได้..มันเลยถุยน้ำลายลงในจานของลูกค้า555+ :b5: ก่อนเอาไปเสริฟ....เรื่องจริงนะเจ้าค่ะ..เวลาไปร้านอาหารอย่าไปจุกจิกจู้จี้กับเด็กเสริฟนะเจ้าค่ะ อย่าคิดว่ามีเงินแล้วจะทำอะไรได้ตามใจ..จะหาว่าคุนน้องไม่เตือน :b32: (พฤติกรรมส่วนใหญ่จะมักเป็นร้าน ตจว.
ถ้าเป็นใน ภัตตาคารโรงแรมหรูๆก็ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ตอบเฉพาะเรื่องข้าว ผมกินเมื่อหิว ไม่คำนึงว่ากี่มื้อ ไม่หิวก็ไม่กิน กินทุกอย่างที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย กับข้าวซื้อกิน ไม่ทำกับข้าวกินเอง ถ้ามีผักกับเนื้อ เลือกกินผักก่อน
ผมถามท่านนะครับ อย่าโยงเรื่องอื่นซิ หมายความว่ากินหลายมื้อใช่มั้ยครับ คนอื่นนะเขาจะทานกี่มื้อไม่ว่าเขาหรอก เพราะแต่ละท่านเข้าก็มีสิทธิ์เหมือนกันรวมทั้งท่านด้วย ที่ผมถามคุณเพราะว่า คุณนะเป็นระดับบรรลุธรรมชั้นสูงแล้วไม่ใช่เหรอครับ การทานอาหารกี่มื้อก็ไม่ผิดสำหรับคนปฎิบัติธรรม แต่ถ้าบรลุธรรมแล้วเขาไม่เกินสองมื้อหรอกครับ แต่ถ้าสูงขึ้นมาอีกหน่อยเขาก็แค่มื้อเดียว เพราะการกินเพียงมื้อเดียวร่างกายก็อยู่ได้แล้ว ส่วนที่เหลือมันบทพิสูจน์ ขันติ อุเบกขา ไม่ใช่ว่าหิวหน่อยก็กิน อย่างนี้ก็เพลินซิครับท่านโฮฮับ หรือท่านกินแบบไม่ยึดติดอยากรู้ครับ ส่วนกินทุกอย่างนะกินไปเถอะถ้าไม่มีโทษ :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
[quote="bigtoo
ตอบเฉพาะเรื่องข้าว ผมกินเมื่อหิว ไม่คำนึงว่ากี่มื้อ
ไม่หิวก็ไม่กิน กินทุกอย่างที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย
กับข้าวซื้อกิน ไม่ทำกับข้าวกินเอง ถ้ามีผักกับเนื้อ
เลือกกินผักก่อน
ไหนๆก็คุยแล้ว ก็ขอต่ออีกหน่อย ผมนะกินข้าวมื้อเดียว แล้วยังทำกับข้าวให้ภรรยากินอีก ท่านลองพิจารณาดีๆนะครับ ทำไม่ผมถึงทำได้ คุณรู้ไม่ว่ากลิ่นอาหารนะมันยั่วยวนขนาดไหนทำไมผมถึงทำได้ ถ้าท่านมีความคิดในเชิงบวกท่านก็จะคิดอย่างนี้ เขาใชธรรมมะข้อไหนนะถึงทำได้ ไม่ใช่คิดว่าทำเป็นอวดตน จะอวดไปทำอะไรครับไม่เห็นมีสาระเลย ถ้าอวดตนกินข้าวไม่ดีกว่าเหรอครับ และเรื่องเพศก็เหมือนกันธรรมมะมันต้องตรง ภรรยาผมยังสาวยังสวยอยู่นะครับ ไม่ใช่ผมไม่มีภรรยาแล้วมาบอกว่าไม่ยุ่งกับผู้หญิง พิจารณาดีๆๆ แล้วจะได้รู้วิธีที่ผมปฎิบัติมันได้ผลครับ ไม่ใช่อวดตน รองพิจารณาดีๆนะครับ สิ่งเหล่านี้ใครทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใครจะไปตำหนิครับ ของแบบนี้ จริงมั้ยท่าน :b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร