วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 16:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
nongkong เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:

:b8:
ธัมวิจัยสัมโพชงค์ วิมังสาธิบดีอันเป็นอิทธิบาทธรรม คือการพิจารณาและใคร่ครวญธรรม เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบแล้วแต่จริต นิสัย วาสนา บารมี ของผู้ปฏิบัติแต่ละคนแต่ละท่าน
เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือบรรลุธรรม

บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ

เจริญต่อไปตามทางที่เราถนัดแลฟ้าประทานมาให้นี้แหละ Nongkong เมื่อถึงที่สุดเราจะรู้ชัดด้วยตัวเราเอง
:b27:

อนุโมทนากับอโสกะที่ตอบตัวสภาวะในทางปริยัติให้คุนน้องได้เข้าใจ เห็นกระทู้นี้พูดเรื่องอานาปานสติ ส่วนอีกสองคนขนาดจุดธูปเรียกชื่อยังไม่ยอมมา นึกว่าจะเป็นสัตบุรุษกัลยามิตรทางธรรม เหมือนอโสกะที่คอยชี้แนะสหายธรรมในลานสุดท้ายก็เป็นแค่ สัตว์บุรุษอดได้เป็นสัตบุรุษ555 สรุปผู้อาวุโสในลานธรรมคงมีแต่ อโสกะเท่านั้นหรอถึงเหมาะสมกะตำแหน่ง คิคิ :b13:




สำหรับคำตอบ ที่โสกะ แสดงข้อคิดเห็นมานั้น

โสกะคงลืมคาถา หรือ คำบริกรรม ที่ตนเองชอบท่องประจำ

asoka เขียน:
"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่กรัชกายยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ
:b11: :b4: :b4:





หากโสกะไม่ลืมคำบริกรรม หรือที่ท่องจำมา คงต้องตอบคุณน้องแบบนี้

asoka เขียน:
"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่คุณน้องยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ
:b11: :b4: :b4:




และโสกะคงไม่แสดงความคิดเห็นแบบนี้


asoka เขียน:
บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ :b27:




กิเลสมารกำลังขบกินทั้งตัว ก็ยังไม่รู้

มีแต่การกระทำ ที่เป็นเหตุของ การบังเกิดขึ้นแห่งภพ มากกว่า การดับเหตุแห่งภพ

s004
"ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น" นะ วลัยพร

Nongkong เธอเจริญมาตามธรรม ตามวิธีการปฏิบัติที่ถูกกับจริตนิสัยของเธอแล้ว การชี้แนะที่จะต้องไปเปลี่ยนวิธีปฏิบัติของเธอมาเริ่มวิธีใหม่อีกวิธีหนึ่งนั่นน่าจะไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม

กัลยาณมิตรผู้ละเอียดรอบคอบจึงพึงควรเสริมการปฏิบัติที่เธอทำมาดีแล้วให้เจริญไปตรงทางยิ่งขึ้น น่าจะดีกว่า

การที่เธอเป็นผู้มีสติปัญญาเห็นสภาวธรรมได้ลึกละเอียดอ่อนถึงปานนี้ หากมีคำชี้แนะที่ถูกทางถูกธรรมเธอย่อมจะพิจารณาพบทางต่อยอดการปฏิบัติต่อไปด้วยตัวของเธอเอง

ที่วลัยพรวิตกวิจารณ์มาจึงพึงควรกลับไปพิจารณาให้ลึกซึ้งอีกทีนะจ๊ะ หากวิตกวิจารณ์ด้วยจิตที่เป็นกุศลเมตตาก็ขออนุโมทนา แต่ถ้าหากมีฐานลึกๆมาจากอย่างอื่นก็พึงควรระวังว่าคำพูดทั้งหมดจะกลับไปเข้าเนื้อเจ้าของตามกฎแห่งกรรมมิต้องสงสัย
:b7:

เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด คุนน้องควรจะตอบตามความเป็นจริง ตอนที่คุนน้องนั่งสมาธิคุนน้องไม่ได้สงสัยหรือมีคำถามอะไรเรื่องตัวสภาวะอะไรที่มีชื่อเรียกนั่นหรอกเจ้าค่ะ แต่ด้วยความที่เคยกล่าวคำสัจไว้ว่าถ้านั่งสมาธิจนเกิดปัญญารู้เห็นสภาวะธรรมนั้น คุนน้องก็จะนำความรู้ที่เกิดจากการปรากฏที่กายใจคุนน้อง เป็นธรรมทานแก่ผู้อื่น แก่นักปฏิบัติภาวนาเช่นกัน และดว้ยความที่กระทู้นี้เป็นเรื่องอานาปานสติ คุนน้องเลยต้องสร้างเหตุออกไป เพื่อต้องการเผยแพร่ภาคปฏิบัตินี้ สิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่คนชอบพูดปัจจัตตังของใครของมัน แต่ถ้าคุนน้องจะพูดจะเอ่ยเพียงลำพัง นักภาวนาย่อมจะไม่สามารถหยิบขึ้มาพิจารณาได้ เลยต้องสร้างเหตุออกไป เพื่อเรียกร้องสัตบุรุษที่มีวาสนาเกื้อหนุนธรรมต่อกัน เข้ามาวิตกวิจารณ์ในสภาวะธรรมนี้ เพื่อเป็นธรรมทานแก่นักภาวนา


โพสต์ เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่จะต้องแก้ไขขณะภาวนาจริง เป็นประสบการณ์ขณะฝึกอบรมจิต


อ้างคำพูด:
เวลาปฏิบัติ ก็เข้าใจว่า รับมือรับเจ้ากรรมนายเวรได้ ทั้งที่เราก็ขอเขาก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง จนกระทั่งคืนวันอังคาร วันพระน่ะค่ะ ขณะกำลังทำสมาธิอยู่ จู่ๆร่างของเราก็เหมือนถูกตึง
เราก็ปล่อยตามสะบายแค่ตามดู คิดว่าเป็นนิมิตธรรมดา แต่ไม่ใช่ค่ะ เพราะนิมิตธรรมดา เรากำหนดรู้มักจะหายไปได้เอง แต่นี้ไม่ใช่ เขาวิ่งผ่านตัวเราไปค่ะ กระแสของเขา ตอนที่ผ่านร่าง เหมือนจิตกับกายเราจะแยกออกจากกัน ความเจ็บปวดที่เราเคยปวด (เวทนา) ที่นั่งสมาธิตอนแรก ไม่เจ็บเท่านี้ เหมือนร่างกายเราถูกฉีก เหมือนเส้นเลือดจะระเบิดประมาณนั้นจริง ๆ ค่ะ เราแผ่เมตตาให้เขา เขาก็ไม่ยอม แรงเหวี่ยงเยอะมาก ๆ ทั้่งที่ห้องปิดหมดเปิดแอร์นะ


แต่เรากลับไปยกศัพท์ซึ่งบัญญัติทางธรรม มาคิดหาเพ้อลอยว่าเป็นธรรม :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

เรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นไปดั่งคำสอนของครูบาจารย์ในยุคสมัยนี้ที่ว่า

"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด"

รู้แรก เป็น รู้ โดยปรมัตถ์ หรือรู้เหนือความนึกคิด

รู้หลัง เป็นรู้โดยบัญัติ แต่เป็นความเข้าใจตามบัญญัติในคัมภีร์ที่พระบรมศาสดาทรงสอน ครูบาอาจารย์เมตตาแนะนำ
:b27:


ถ้าไม่เข้าใจ....ก็อย่าไปตีความธรรมของครูบอาจารย์...มั่วๆอย่างนีอีกนะครับ...

รู้...ต้องรู้ที่ปราศจากความฟุ่งซ่าน...และรู้ก็ต้องรู้จากการโยนิโส

ครับ...อโสกะ


โพสต์ เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 20:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

เรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นไปดั่งคำสอนของครูบาจารย์ในยุคสมัยนี้ที่ว่า

"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด"

รู้แรก เป็น รู้ โดยปรมัตถ์ หรือรู้เหนือความนึกคิด

รู้หลัง เป็นรู้โดยบัญัติ แต่เป็นความเข้าใจตามบัญญัติในคัมภีร์ที่พระบรมศาสดาทรงสอน ครูบาอาจารย์เมตตาแนะนำ
:b27:


ถ้าไม่เข้าใจ....ก็อย่าไปตีความธรรมของครูบอาจารย์...มั่วๆอย่างนีอีกนะครับ...

รู้...ต้องรู้ที่ปราศจากความฟุ่งซ่าน...และรู้ก็ต้องรู้จากการโยนิโส

ครับ...อโสกะ

:b12:
เข้าใจ จับประเด็น และตีความกันไปตามชั้นสติปัญญาของใครของมันนะครับ กบ

รู้ โดยหยุดคิดนั้น ลึกซึ้งกว่า รู้ โดยปราศจากความฟุ้งซ่านมากเลยนะครับ เคยทำได้หรือยังล่ะ กบ

โยนิโสโดยบัญญัติ ก็รู้ได้แค่ที่บัญญัติจะบอกได้
แต่โยนิโส โดยไม่ต้องใช้ความคิดก็มีได้นะ กบ ทบทวนหรือลองพิสูจน์ดูให้ดีๆ ก่อนตัดสินอะไรลงไปโดยรู่้เท่าไม่ถึงการณ์
:b38:


โพสต์ เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
asoka เขียน:
walaiporn เขียน:
nongkong เขียน:
asoka เขียน:
nongkong เขียน:
ภาคปฏิบัติเคสกรณีของคุนน้องเนียะ มันคืออะไร รบกวนพี่กรัชกาย อโสกะ หรือท่านกบ มาช่วยชี้แนะหน่อยสิเจ้าค่ะว่า ทำไมนั่งสมาธิแล้วเกิดอาการแบบนี้ คือเห็นว่าเป็นผู้อาวุโสทั้งนั้น คุนน้องเป็นอะไรหรือเจ้าค่ะ s006
เวลาอยู่ในสมาธิรู้สึกจิตใจสงบดีไม่ค่อยคิดไรฟุ้งซ่าน แต่เมื่อวานที่นั่งเกิดตัวรู้ขึ้นขณะนั่งสมาธิ คือเจ้าตัวสังขารผุดขึ้นมาสอนธรรมคุนน้องเฉยเลย คือพอนั่งไปซักพักอยู่กับความสงบของลมหายใจ เข้า ออก คุณน้องก็ปล่อยไม่บริกรรมอะไร แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..
เราไม่ปราถนาสิ่งใดในโลกแห่งนี้ เราไม่ปราถนาที่จะเอาจิตเราไปผูกยึดกับสรรพชีวิตในโลกแห่งนี้ แก้วแหวนเงินทองเรายิ่งไม่ปราถนา.. เราเกิดมาก็ตัวเปล่า เราตายจากโลกนี้ยิ่งไม่มีอะไรติดตัวเราไปแม้นร่างกายเราก็ต้องทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง แม้นคนที่บอกว่ารักเรา แต่เมื่อเขาเห็นกายอันเน่าเปื่อยเห็นซากศพนี้เค้าย่อมสลดสังเวซ ไม่ปราถนาเราเช่นกัน แม้นเราเกิดมาเพื่อพบกันก็ดี เราก็ต้องจากกันอยู่ดี แม้นเราเกิดมาสร้างเหตุอันดีหรือสร้างบุญกุศลร่วมกันมากเพียงไร สุดท้ายเราก็ต้องพบกันเพื่อลาจากกัน..พบกันอีก ก็ย่อมจากกันอีก..เป้นวัฏจักรอันยาวนานในสังสารวัฏแห่งนี้ แล้วเรายังจะปราถนาความรักที่ยึดไว้โดยมิอาจตัดอาลัยในรักได้เช่นนั้นอยู่หรือ.. เราได้รู้ชัดแล้วถึงความรักที่เป้นเวทนาทำให้เราสุข เราได้รู้ชัดในเวทนาแห่งรักเมื่อเป็นทุกข์ เราพบกับความผิดหวังก็ดี สมหวังก็ดี เราได้รู้แล้วว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้จีรังยั่งยืนสักนิด เราไม่ปราถนาเวทนาเหล่านี้เลย..
หลังจากนั้น จิตดวงนั้นก็ดับสงัดเค้าสู่ความว่างความสงบ เหมือนคุณน้องในขณะนั้น สลัดทุกสิ่งทุกอย่างหลุดออกไป ไม่มีเรื่องอะไรค้างคาในใจอีก
ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:

:b8:
ธัมวิจัยสัมโพชงค์ วิมังสาธิบดีอันเป็นอิทธิบาทธรรม คือการพิจารณาและใคร่ครวญธรรม เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบแล้วแต่จริต นิสัย วาสนา บารมี ของผู้ปฏิบัติแต่ละคนแต่ละท่าน
เป็นองค์แห่งการตรัสรู้หรือบรรลุธรรม

บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ

เจริญต่อไปตามทางที่เราถนัดแลฟ้าประทานมาให้นี้แหละ Nongkong เมื่อถึงที่สุดเราจะรู้ชัดด้วยตัวเราเอง
:b27:

อนุโมทนากับอโสกะที่ตอบตัวสภาวะในทางปริยัติให้คุนน้องได้เข้าใจ เห็นกระทู้นี้พูดเรื่องอานาปานสติ ส่วนอีกสองคนขนาดจุดธูปเรียกชื่อยังไม่ยอมมา นึกว่าจะเป็นสัตบุรุษกัลยามิตรทางธรรม เหมือนอโสกะที่คอยชี้แนะสหายธรรมในลานสุดท้ายก็เป็นแค่ สัตว์บุรุษอดได้เป็นสัตบุรุษ555 สรุปผู้อาวุโสในลานธรรมคงมีแต่ อโสกะเท่านั้นหรอถึงเหมาะสมกะตำแหน่ง คิคิ :b13:




สำหรับคำตอบ ที่โสกะ แสดงข้อคิดเห็นมานั้น

โสกะคงลืมคาถา หรือ คำบริกรรม ที่ตนเองชอบท่องประจำ

asoka เขียน:
"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่กรัชกายยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ
:b11: :b4: :b4:





หากโสกะไม่ลืมคำบริกรรม หรือที่ท่องจำมา คงต้องตอบคุณน้องแบบนี้

asoka เขียน:
"(สำรวมกาย ใจ มา) "นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ปัจจุบันอารมณ์ จนดับไป" (ต่อหน้าต่อตา)"

ปัจจุบันอารมณ์นี่เขารวมทุกเรื่องที่คุณน้องยกขึ้นมาถามทั้งหมดเชียวนะ
:b11: :b4: :b4:




และโสกะคงไม่แสดงความคิดเห็นแบบนี้


asoka เขียน:
บางท่านเป็นเสียงกระซิบ บางท่านเป็นนิมิตเหมือนพระพุทธเจ่้าหรือหลวงปู่ ครูบามาสอน บางท่านก็เป็นสภาวธรรมตรงๆมาปรากฏให้รู้ให้เห็น หลังจากนั้นจะเกิดการพิสูจน์ธรรมไปตามความรู้ความเห็นนั้นๆ ถ้าใช่ นิวรณ์ 5 อุทธัจจะ ความนึกคิดจะสงบไปเหลือแต่ปรมัตถธรรมภายในแสดงความจริงให้เห็นไปตามลำดับชั้นแห่งญาณปัญญา พัฒนาตนขึ้นไปโดยธรรม จนบรรลุอริยมรรคอริยผลไปเป็นชั้นๆจนหมดกิจเสร็จการ :b27:




กิเลสมารกำลังขบกินทั้งตัว ก็ยังไม่รู้

มีแต่การกระทำ ที่เป็นเหตุของ การบังเกิดขึ้นแห่งภพ มากกว่า การดับเหตุแห่งภพ

s004
"ถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น" นะ วลัยพร

Nongkong เธอเจริญมาตามธรรม ตามวิธีการปฏิบัติที่ถูกกับจริตนิสัยของเธอแล้ว การชี้แนะที่จะต้องไปเปลี่ยนวิธีปฏิบัติของเธอมาเริ่มวิธีใหม่อีกวิธีหนึ่งนั่นน่าจะไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม

กัลยาณมิตรผู้ละเอียดรอบคอบจึงพึงควรเสริมการปฏิบัติที่เธอทำมาดีแล้วให้เจริญไปตรงทางยิ่งขึ้น น่าจะดีกว่า

การที่เธอเป็นผู้มีสติปัญญาเห็นสภาวธรรมได้ลึกละเอียดอ่อนถึงปานนี้ หากมีคำชี้แนะที่ถูกทางถูกธรรมเธอย่อมจะพิจารณาพบทางต่อยอดการปฏิบัติต่อไปด้วยตัวของเธอเอง

ที่วลัยพรวิตกวิจารณ์มาจึงพึงควรกลับไปพิจารณาให้ลึกซึ้งอีกทีนะจ๊ะ หากวิตกวิจารณ์ด้วยจิตที่เป็นกุศลเมตตาก็ขออนุโมทนา แต่ถ้าหากมีฐานลึกๆมาจากอย่างอื่นก็พึงควรระวังว่าคำพูดทั้งหมดจะกลับไปเข้าเนื้อเจ้าของตามกฎแห่งกรรมมิต้องสงสัย
:b7:



เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด คุนน้องควรจะตอบตามความเป็นจริง ตอนที่คุนน้องนั่งสมาธิคุนน้องไม่ได้สงสัยหรือมีคำถามอะไรเรื่องตัวสภาวะอะไรที่มีชื่อเรียกนั่นหรอกเจ้าค่ะ แต่ด้วยความที่เคยกล่าวคำสัจไว้ว่าถ้านั่งสมาธิจนเกิดปัญญารู้เห็นสภาวะธรรมนั้น คุนน้องก็จะนำความรู้ที่เกิดจากการปรากฏที่กายใจคุนน้อง เป็นธรรมทานแก่ผู้อื่น แก่นักปฏิบัติภาวนาเช่นกัน และดว้ยความที่กระทู้นี้เป็นเรื่องอานาปานสติ คุนน้องเลยต้องสร้างเหตุออกไป เพื่อต้องการเผยแพร่ภาคปฏิบัตินี้ สิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่คนชอบพูดปัจจัตตังของใครของมัน แต่ถ้าคุนน้องจะพูดจะเอ่ยเพียงลำพัง นักภาวนาย่อมจะไม่สามารถหยิบขึ้มาพิจารณาได้ เลยต้องสร้างเหตุออกไป เพื่อเรียกร้องสัตบุรุษที่มีวาสนาเกื้อหนุนธรรมต่อกัน เข้ามาวิตกวิจารณ์ในสภาวะธรรมนี้ เพื่อเป็นธรรมทานแก่นักภาวนา




สิ่งที่กระทำลงไปแล้ว จะด้วยเหตุจากสิ่งใดก็ตาม เหตุมี ผลย่อมมี

ส่วนคำกล่าวที่ว่า นั่งสมาธิ จนเกิดปัญญา รู้เห็นสภาวะดังที่เล่ามา

สภาวะที่เล่ามา หาใช่ปัญญาแต่อย่างใด
สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นเพียงสภาวะสัญญาเท่านั้นเอง

และก็เป็นความปกติของสภาวะที่เกิดขึ้นด้วย เกิดขึ้นกับทุกคนเหมือนกันหมด
ส่วนจะเกิดช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของผู้นั้นด้วย

ที่ว่าเป็น สภาวะสัญญา เพราะอะไรน่ะหรือ
เพราะไม่สามารถนำสิ่งที่คิดว่ารู้ มากระทำเพื่อดับเหตุความเกิดขึ้นแห่งภพได้

เพียงชี้ให้เห็นว่า สภาวะสัญญา กับ สภาวะปัญญา มีความแตกต่างกันอย่างไร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


"หยุดคิดถึงรู้ แต่จะรู้ก็ต้องคิด"


ประโยคนี้ ถ้าตีความหมายซับซ้อนไปเรื่อย มันก็ไปเรื่อยของมันได้

แต่ถ้ามองกับแบบง่าย ๆ พื้น ๆ เลยก็คือ

คนเราเวลาที่ไหลไปกับความคิด อารมณ์มันก็ฟุ้งไปตามสิ่งที่คิด
เมื่อหยุดคิด
อารมณ์ที่ฟุ้งไปก่อนหน้านี้มันก็ สงบลง

หยุดคิดจึงรู้

ก็รู้ในอาการที่มัน สงบ นั่นล่ะ

และจากอาการที่สงบ เมื่อมีสิ่งมากระตุ้น มันก็พร้อมที่จะฟุ้งต่อได้
และกระนั้นมันก็พร้อมที่จะกลับไป สงบ ได้อีก

แค่เข้าใจเพียงเท่านี้
คนเราก็เรียนรู้ที่จะควบคุม ปรับ ประคอง พลิกอารมณ์ตนเองให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้...

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 23 เม.ย. 2014, 22:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 22:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
.... แล้วอยู่ๆจิตก็ผุดขึ้นมา เป็นคำถามที่ค้างคาใจ ที่เราก็ค้นหาคำตอบนั้น คือจิตมันพูดว่า เรายังมีคนที่เราห่วงใย มีคนที่เรารัก เราจะทำอย่างไรถึงจะใช้ชีวืตอยู่ในโลกนี้โดยไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ... แล้วจิตสังขารก็ดับเข้าสู่ความเงียบความสงบ ไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรทั้งนั้น จนอยู่ๆจิตอีกดวงก็ผุดขึ้น จิตดวงนี้กับพูดในสิ่งที่จิตดวงเก่าที่ดับไปถามในครั้งแรก..

ควรจะปฏิบัติยังไงต่อไปถ้าเกิดสภาวะนี้ สภาวะนี้คืออะไรในทางปริยัติไม่เข้าใจอ่ะ มีอธิบายตัวสภาวะนี้ป่าว :b10:


จิตเขาทำงานตอบสนองตามเจตนา

:b1:

ตอบสนองในลักษณะเดียวกันกับ
ถ้าเราอยากจะกินทุเรียน
มันก็จะแสดงในหนทางที่จะทำให้เรารู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้กินทุเรียน
จะต้องมีกำลังที่จะไปยังแหล่งที่มีทุเรียน จะต้องมีเงินพอที่จะซื้อ เป็นต้น
ซึ่งถ้าไม่มีเงิน หนทางที่จะได้กินมันก็กุดไปส่วนหนึ่งแล้ว
ซึ่งมันก็จะไปคิดหาหนทางที่จะได้เงินมาก่อน ... หรือคิดหาหนทางอื่น ๆ ที่จะให้ได้มา

ปกติจิตมีการแสดงการโต้ตอบกันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นในทางใช้ชีวิตไปในทางโลก
หรือ จะเป็นในทางการใช้ชีวิตเพื่อสู่ความสงบจากทางโลก
...
เพียงแต่ว่า ผู้ปฏิบัติมองทางหนึ่งเป็นหนทางการแสดงออกของจิตที่พิเศษออกไป
ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว จิต...มีความเป็นสามัญ

ทำนองเดียวกัน

เมื่อแม่น้องก้องมีเจตนาในทางอันเป็นกุศล
เมื่ออยู่ในสภาวะการณ์ที่เหมาะ
จิตก็แสดงการสนองตอบออกมาในแนวทางอันเป็นกุศล

แต่กระนั้น ถ้าจิตในขณะนั้น กำลังแห่งอารมณ์อันเป็นกุศลจิตไม่เพียงพอ
การตอบสนองในลักษณะนี้ก็จะออกมาไม่ได้ หรือแสดงออกมาได้แบบไม่เต็มที่
คือ...คำตอบอันจะนำไปสู่ทัศนะทางจิตที่จะน้อมนำไปสู่อารมณ์อันเป็นกุศลจะออกมาไม่ได้
หรือออกมาแบบกระท่อนกระแท่น

ดังนั้น การแสดงออกของจิต มันก็เป็นไปตามเจตนา
และเป็นไปตามอารมณ์จิต ที่จะเป็นไปได้น่ะ

ก็เมื่อรู้ว่าอารมณ์ดี ๆ หนทางดี ๆ ทัศนะดี ๆ มักจะปรากฎกับอารมณ์จิตอันเป็นกุศล
ก็หมั่นประคองจิตให้เป็นกุศลไว้...

:b1:


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2014, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สิ่งที่จะต้องแก้ไขขณะภาวนาจริง เป็นประสบการณ์ขณะฝึกอบรมจิต


อ้างคำพูด:
เวลาปฏิบัติ ก็เข้าใจว่า รับมือรับเจ้ากรรมนายเวรได้ ทั้งที่เราก็ขอเขาก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง จนกระทั่งคืนวันอังคาร วันพระน่ะค่ะ ขณะกำลังทำสมาธิอยู่ จู่ๆร่างของเราก็เหมือนถูกตึง
เราก็ปล่อยตามสะบายแค่ตามดู คิดว่าเป็นนิมิตธรรมดา แต่ไม่ใช่ค่ะ เพราะนิมิตธรรมดา เรากำหนดรู้มักจะหายไปได้เอง แต่นี้ไม่ใช่ เขาวิ่งผ่านตัวเราไปค่ะ กระแสของเขา ตอนที่ผ่านร่าง เหมือนจิตกับกายเราจะแยกออกจากกัน ความเจ็บปวดที่เราเคยปวด (เวทนา) ที่นั่งสมาธิตอนแรก ไม่เจ็บเท่านี้ เหมือนร่างกายเราถูกฉีก เหมือนเส้นเลือดจะระเบิดประมาณนั้นจริง ๆ ค่ะ เราแผ่เมตตาให้เขา เขาก็ไม่ยอม แรงเหวี่ยงเยอะมาก ๆ ทั้่งที่ห้องปิดหมดเปิดแอร์นะ


แต่เรากลับไปยกศัพท์ซึ่งบัญญัติทางธรรม มาคิดหาเพ้อลอยว่าเป็นธรรม :b1:



ตัวอย่างนี้ หากพิจารณาลงขันธ์5 นะครับ ประสบการณ์นี้ไม่ลงอะไรเลยที่เกี่ยวกับรูปขันธ์ หรือ เวทนาขันธ์

มีแต่สังขารขันธ์ แต่วิญญาณขันธ์ก็ถูกปล่อยให้ไหลไปตามความคิด

ความเห็นผมยังไม่รู้สภาวะรูปขันธ์ครับ

ต้องเข้าไปรู้สภาวะรูปขันธ์ให้ได้ครับคือแนวทางแก้ไข

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2014, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กรัชกาย เขียน:
พูดได้ เพราะยังไม่ประสบกับตนเอง นั่นนี่ว่าไป อนิจจัง ทุกขััง อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ฯลฯ
แต่เมื่อตนเองประสบการณ์ในขณะจิตนั้นๆด้วยตนแล้วจะทำนองนี้ :b1:


อ้างคำพูด:
คือ ฝึกทำเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์สอนค่ะ หนูฝึกดูจิตมาประมาณ 2 เดือนแล้วค่ะ แรกๆก็เห็นจิตฟุ้งซ่านมากช่วงหลังๆ จิตเริ่มสงบ ไม่ไหลออกไปตามอารมณ์ข้างนอก แต่เริ่มเห็นจิต เฉยๆบ้าง สุขบ้าง บางครั้งรู้สึกหดหู่ เป็นทุกข์ เบื่อโลกมากๆเลยค่ะ มันเป็นของมันเองควบคุมอารมณ์นี้ไม่ได้ ได้แต่ตามดูเฉยๆ รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของเรา เหมือนเราไม่มีตัวตนเลยค่ะ บางครั้งก็นอนดูจิตไปเรื่อยๆแล้วเหมือนว่าตัวเองจะเคลิ้มๆไป แต่ยังมีสติ รู้สึกตัวค่ะ อยู่ดีๆ จิตก็พูดว่า ลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ แล้วหนูก็หยุดหายใจตามไปด้วย บังคับร่างกายไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นขยับร่างกายไม่ได้ด้วยค่ะ รู้สึกเริ่มกลัว ก็เลยพยายามฝืนจนหายใจได้ ตอนนั้นรู้สึกอึดอัด และรีบสูดลมหายใจเข้าปอดค่ะ ถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ คิดว่าตัวเองต้องตายจริงแน่ๆเลยค่ะ


ดังนั้น ผู้ปฏิบัติภาวนา ควรเริ่มต้นให้ถูกหลักครบถ้วน จะได้ช่วยตนเองได้ แก้ไขได้เองในขณะนั้นๆ



พี่กรัชกายประสบกับตนเองว่านั่นว่านี่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บ้างหรือยังเจ้าค่ะ ในฐานะที่เป็นนักภาวนาปฏิบัติจริง ลงมือทำจริง จากประสบการณ์ตนที่ปรากฏขึ้นกายใจตน มาเล่าสู่กันฟังเป็นธรรมทานมั่งดิ อยากเห็นสภาวะที่ประสบ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของพี่กรัชกายกรัชกาย อนุโมทนาล่วงหน้าเจ้าค่ะ ถ้าพี่กรัชกายกล้าที่จะบอกกล้าแสดงธรรมที่ประสบอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของตน แสดงว่า เป็นผู้มีใจเป็นกุศลอยากจะให้ธรรมทานแก่ผู้อื่นอย่างบริสุธิ์ใจ

ปล.แล้วนักภาวนาที่ยกมาให้พิจารณาคนนั้น เค้าเกิดอยากลั้นใจตาย แต่กลัวตายจนสูดลมหายใจเข้าปอด เค้าประสบสภาวะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วใช่หรือ ถ้าประสบจริงๆ จะดิ้นให้หลุดทำไม จะกลัวทำไมแค่ตาย ทำไมต้องรีบพยายามสูดลมหายใจเข้าปอด ก็ตนเองกลั้นใจตายทำไม จิตมันสั่งให้ทำไรก็ทำหรอ เอ่อ ถ้ามันสั่งให้ลองเอามีดปาดคอตนเองดิ ก็คงหยิบมีดปาดคอตนเองรึเปล่า



หากเข้าใจเรื่องจิตใจ จะไม่พูดไม่ถามคำถามประมาณนั้นเด็ดขาด :b1:

อ้างคำพูด:
จิต มันสั่งให้ทำไรก็ทำหรอ เอ่อ ถ้ามันสั่งให้ลองเอามีดปาดคอตนเองดิ ก็คงหยิบมีดปาดคอตนเองรึเปล่า


คุณน้องเคยเห็น/ได้ยินข่าว คนฆ่าตัวตายไหม ใครสั่ง ? เคยได้ยินข่าวคนฆ่าผู้อื่นเสียชีวิตไหม ใครสั่ง? คุณน้องเอง เคยรัก ชอบ ชัง เคยโกรธใครไหม ใครสั่งให้ตัวเองรัก ชอบชัง เคยทำดีพูดดี เป็นต้นไหม ใครสั่ง เคยเห็นคนพูดดีทำดีเป็นต้นไหม ใครสั่ง ฯลฯ


ผู้จะศึกษาพุทธธรรมเรื่องชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจ พึงมองให้กว้างคลุมถึงชีวิตทุกๆชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย (รวมตนเองด้วย) ซึ่งการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว การกระทำ พูด ทั้งดีทั้งร้ายของเขา การเดิน ยืน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูด...ของเขา แหล่งสั่งการคือจิตใจ จิตใจเป็นตัวบ่งการให้เขาเคลื่อนไหว กระทำการต่างๆ คนตกอยู่ใต้อิทธิพลของความคิด อยู่ในอำนาจของมัน

ตัวอย่างเป็นต้นนั่นคือปฏิกิริยาของมัน อันได้แก่จิตใจ (นามธรรม) บ่งการเขาอยู่ :b1:


สรุปด้วยบาลีในธรรมบทที่ว่า

ผู้ใด จักสำรวมจิต ที่ไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง มีถ้ำคือกายนี้เป็นที่อาศัย ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร.

แล้วก็คงเข้าใจการฝึกฝนพัฒนาจิตแบบสติปัฏฐาน 4 ขึ้นบ้างด้วย

ต้องฝึกแล้วก็ฝึกอย่างถูกวิธี ถ้าเล่นกับมันไม่ถุูกต้องไม่ถูกวิธี ศรีธัญญาขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2014, 08:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เวลาปฏิบัติ ก็เข้าใจว่า รับมือรับเจ้ากรรมนายเวรได้ ทั้งที่เราก็ขอเขาก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง จนกระทั่งคืนวันอังคาร วันพระน่ะค่ะ ขณะกำลังทำสมาธิอยู่ จู่ๆร่างของเราก็เหมือนถูกตึง
เราก็ปล่อยตามสะบายแค่ตามดู คิดว่าเป็นนิมิตธรรมดา แต่ไม่ใช่ค่ะ เพราะนิมิตธรรมดา เรากำหนดรู้มักจะหายไปได้เอง แต่นี้ไม่ใช่ เขาวิ่งผ่านตัวเราไปค่ะ กระแสของเขา ตอนที่ผ่านร่าง เหมือนจิตกับกายเราจะแยกออกจากกัน ความเจ็บปวดที่เราเคยปวด (เวทนา) ที่นั่งสมาธิตอนแรก ไม่เจ็บเท่านี้ เหมือนร่างกายเราถูกฉีก เหมือนเส้นเลือดจะระเบิดประมาณนั้นจริง ๆ ค่ะ เราแผ่เมตตาให้เขา เขาก็ไม่ยอม แรงเหวี่ยงเยอะมาก ๆ ทั้่งที่ห้องปิดหมดเปิดแอร์นะ









เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือที่เรียกว่า สภาวะ
ถ้าเรียกให้ตรงกับสภาวะที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง เรียกว่า ผัสสะ

ผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน หรือ เกิดขึ้น ขณะ จิตเป็นสมาธิอยู่
ล้วนเป็นบททดสอบ เป็นการทำข้อสอบ เกี่ยวกับกิเลสสังโยชน์ ที่มีอยู่

เมื่อมีสภาวะใดเกิดขึ้น(ผัสสะ) แล้วให้ค่าให้ความหมาย ให้คำเรียกต่างๆ สำทับลงในสภาวะ
หรือ แม้ไม่รู้เกี่ยวกับคำเรียกต่างๆเลย ไม่เคยได้ยิน หรือเคยศึกษา จากที่ไหนมาก่อน ก็ตาม

ด้วยเหตุปัจจัยที่มีอยู่(ที่เคยกระทำไว้ คือ เกิดกันมา ไม่รู้กี่อสงไขย จดจำไม่ได้ว่า เคยทำสิ่งใดไว้บ้าง)
เมื่อมีสภาวะใดเกิดขึ้น กลไกของกิเลสสังโยชน์ ที่มีอยู่ จะทำงานเอง โดยอัตโนมัติ

ทีนี้อยู่ที่ว่า ผู้ปฏิบัติ จะรู้เท่าทันต่อสภาวะที่เกิดขึ้นหรือไม่
หรือเกิดความยินดี พอใจ กับสภาวะที่เกิดขึ้น โดยไม่รู้ว่า ผัสสะที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากอะไร เป็นเหตุปัจจัย

เมื่อมีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้น หรือ ไม่รู้ชัดต่อสภาวะที่เกิดขึ้น(ไม่รู้สึก)
จิตย่อมไหลไปตามกิเลส(โมหะ) เหตุจากอวิชชาที่มีอยู่



อย่างกรณี ที่ยกตัวอย่างมา

ความไม่รู้ชัดในสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้น จึงต้องขอเจ้ากรรมนายเวรก่อนนั่ง(อุปทานที่มีอยู่)

แท้จริงแล้ว เจ้ากรรม นายเวร ล้วนเกิดจาก การกระทำของตัวเองทั้งสิ้น
เรื่องนอกตัว ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยที่มีอยู่(ที่เคยทำต่อกัน)

หากมีสติ รู้อยู่กับสภาวะที่เกิดขึ้น
สิ่งที่สมมุติเรียกว่า เจ้ากรรมนายเวร ตามความเข้าใจของตน ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

ที่คิดว่า เจ้ากรรมนายเวรนั้น ทำกับตนได้
ล้วนเกิดจากการ น้อมเอา คิดเอาเอง

เหตุเก่าที่เคยทำไว้ ยังมีอยู่
เหตุใหม่ ทำให้เกิดขึ้นอีก โดยการกล่าวโทษนอกตัว โดยโยนให้นอกตัวไปซะ

ทั้งที่แท้จริงแล้ว เกิดจาก กำลังสติที่ยังมีกำลังไม่มากพอ และกำลังสมาธิล้ำหน้า
เป็นเหตุให้ พบเจอสภาวะที่เรียกว่า แปลกประหลาดมากมาย


เช่น บางคนนั่งแล้ว ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
มีสภาวะเหมือน ร่างกายถูกจับฉีกออกมาเป็นชิ้นๆ
ทุกส่วนของร่างกาย ระเบิดออกเป็นจุล ไม่มีอะไรเหลือ

แล้วพบเจอสภาพโล่ง โปร่ง เบาสบาย แสงสว่างไม่มีประมาณ
อุปมาว่า ทั้ง ๓ แดนโลกธาตุ ราบเป็นหน้ากอง ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย

พออกจากสมาธิ เจอผัสสะต่างๆ รอบๆตัว
เห็นคน เห็นต้นไม้ เห็นสิ่งต่างๆ สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีคำเรียก

จิตเป็นสมาธิอัตโนมัติ เกิดขึ้นเนืองๆ
ทุกสิ่งทั้งในตัว และรอบตัว นิ่งสงบ ไม่มีอะไรทำให้เกิดการกระเพื่อม

หรือ แม้บางครั้ง มีการแว่บของความรู้สึกเกิดขึ้นมา คือ รู้ว่ามีความรู้สึกเกิดขึ้น
ความรู้สึก สักแต่ว่า ความรู้สึก ดับหายไปเร็วมาก แค่รู้ว่า มีเกิดขึ้น และดับไป



สภาวะที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้ หากเกิดขึ้นกับผู้ใด
แล้วไม่สามารถรู้เท่าทัน ต่อสภาวะที่เกิดขึ้น ย่อมถูกโมหะครอบงำ
อวิชชา ทำงานอัตโนมัติ

เหตุของอวิชชาที่มีอยู่ ความไม่รู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น
แม้เกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ ก็คือ ผัสสะ สักแต่ว่าผัสสะ ไม่ใช่คุณวิเศษอันใดทั้งสิ้น

เป็นความปกติของสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิต
เกิดจาก เหตุปจจัยที่มีอยู่(ที่เคยทำไว้) และที่กำลังทำให้เกิดขึ้นใหม่ ตามกิเลสสังโยชน์ ที่มีอยู่

แม้มีสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ หรือสภาวะจิตคิดพิจรณาเกิดขึ้น
หากแม้นไม่รู้เท่าทันต่อสภาวะต่อเกิด ย่อมยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นสิ่งที่เรียกว่า ปัญญา

แต่ทว่า สิ่งที่คิดเอาเอง น้อมเอาเองว่า เป็นปัญญา
ตัวเองไม่สามารถ หยิบยกสิ่งที่เรียกว่า เป็นปัญญานั้น มากระทำเพื่อดับเหตุของการเกิดได้เลย

นี่แค่ตัวอย่าง ที่หยิบยกมาให้ได้อ่านกัน
เพียงจะบอกว่า ให้มีสติ รู้เท่าทันต่อสภาวะที่เกิดขึ้น

อย่าไหลตามอุปทานที่เกิดขึ้น แค่รู้ว่า มีเกิดขึ้น
อย่าปล่อยให้ถึงขั้น นำไปสร้างเหตุนอกตัว
เพราะมีแต่การสร้างเหตุของการเกิด มากกว่าการดับเหตุของการเกิด

ภพชาติปัจจุบัน(ผัสสะ ที่เกิดขึ้น ในชีวิตประจำวัน) ดับที่เหตุของการเกิด ยังไม่ได้
นับประสาอะไร กับภพชาติการเวียนว่าย ตายเกิดในวัฏฏสงสาร ยิ่งห่างไกลเกินจะกล่าวถึง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2014, 10:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
ทั้งที่มีเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต และเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่

โดยสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
เป็นลักษณะอาการ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ


ว่าด้วยผัสสะ

ภิกษุ ท. ! อาศัยตากับรูป เกิด จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางตา) ขึ้น,
อาศัยหูกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางหู) ขึ้น,
อาศัยจมูกกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางจมูก) ขึ้น,
อาศัยลิ้นกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางลิ้น) ขึ้น,
อาศัยกายกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางกาย) ขึ้น,
และอาศัยใจกับธรรมารมณ์ เกิด มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางใจ) ขึ้น ;

ความประจวบกันแห่งสิ่งทั้งสาม (เช่น ตา รูป จักขุวิญญาณ เป็นต้น แต่ละหมวด) นั้น
ชื่อว่า ผัสสะ.

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา อันเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง.

บุคคลนั้น เมื่อ สุขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่,
อนุสัยคือราคะ ย่อมนอนเนื่อง อยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ ทุกขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ย่อมระทมใจ คร่ำครวญ
ตีอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหลอยู่,

อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ เวทนาอันไม่ทุกข์ไม่สุข ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
ซึ่งเหตุให้เกิดเวทนานั้นด้วย ซึ่งความดับแห่งเวทนานั้นด้วย

ซึ่งอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งอาทีนพ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย
ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพ้น) ของเวทนานั้นด้วย,

อนุสัยคืออวิชชา ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.


ภิกษุ ท. ! บุคคลนั้นหนอ ยังละอนุสัย คือ ราคะในเพราะสุขเวทนาไม่ได้,
ยังบรรเทาอนุสัย คือ ปฏิฆะในเพราะทุกขเวทนาไม่ได้,
ยังถอนอนุสัย คือ อวิชชาในเพราะอทุกขมสุขเวทนาไม่ได้,
ยังละอวิชชาไม่ได้ และยังทำวิชชาให้เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว

จักทำที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐธรรมนี้ ดังนี้ :
ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
- อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 24 เม.ย. 2014, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายเขียน


อ้างคำพูด:
คุณน้องเคยเห็น/ได้ยินข่าว คนฆ่าตัวตายไหม ใครสั่ง ?



สนใจตรงนี้ค่ะ คุณกรัชกายหรือใคร
พอจะอธิบายเพิ่มอีกได้หรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสต์ เมื่อ: 25 เม.ย. 2014, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณกรัชกายเขียน


อ้างคำพูด:
คุณน้องเคยเห็น/ได้ยินข่าว คนฆ่าตัวตายไหม ใครสั่ง ?



สนใจตรงนี้ค่ะ คุณกรัชกายหรือใคร
พอจะอธิบายเพิ่มอีกได้หรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


สังขารขันธ์เป็นตัวสั่งครับ เหตุเพราะตัวรู้หรือวิญญาณขันธ์ไปจมอยู่กับความคิดซึ่งเป็นผัสสะที่เกิด
ขึ้นจากธรรมารมณ์ เป็นความขัดข้อง คับอกคับใจ อยากเป็นอยากไม่เป็น (ถูกตัญหาเข้าครอบ)
เลยกลายเป็นอุปาทาน คือการทำให้เกิดการแสวงหา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 25 เม.ย. 2014, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกๆวันนี้ ผมคิดว่าได้ต่อสู้กับเจ้ากรรมนายเวรอยู่แล้ว
การปฎิบัติจึงเป็นตามกิจที่พึงจะทำ ไม่สนใจในเจ้ากรรมนายเวรว่า
จะจ้องเข้ามาขัดขวาง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 25 เม.ย. 2014, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
bbby เขียน:
คุณกรัชกายเขียน


อ้างคำพูด:
คุณน้องเคยเห็น/ได้ยินข่าว คนฆ่าตัวตายไหม ใครสั่ง ?



สนใจตรงนี้ค่ะ คุณกรัชกายหรือใคร
พอจะอธิบายเพิ่มอีกได้หรือปล่าวค่ะ :b8: :b41: :b55: :b49:


สังขารขันธ์เป็นตัวสั่งครับ เหตุเพราะตัวรู้หรือวิญญาณขันธ์ไปจมอยู่กับความคิดซึ่งเป็นผัสสะที่เกิด
ขึ้นจากธรรมารมณ์ เป็นความขัดข้อง คับอกคับใจ อยากเป็นอยากไม่เป็น (ถูกตัญหาเข้าครอบ)
เลยกลายเป็นอุปาทาน คือการทำให้เกิดการแสวงหา

สั่งขารขันธ์ไม่ได้เป็นตัวสั่ง แต่ตันหากิเลศที่เข้าไปเจือใน สังขารขันธ์ที่เกิดร่วมกับเวทนา เป็นตัวควบคุมและสั่งให้เป็นไปในทิศทางนั้น สภาวะที่ปรากฏ สภาวะที่บีบคั้น ความทุกข์ที่ต้องการจะหลุดพ้นไปจากสภาวะนั้น เมื่อไม่รู้ใม่มีความเข้าใจในสภาวะที่เกิด ไม่รู้ในทุกข์ของสภาวะที่ถูกบีบคั้น จิตก็จะหาทางหลุดจากสภาะที่เป็นอยู่ ทำให้ความคิดกับเวทนาเป็นเหตุให้อยากฆ่าตัวตาย เพราะต้องการหลุดจากสภาะที่เป็นทุกข์สภาวะที่บีบคั้น และเค้าคิดว่าความตายจะช่วยให้เค้าหลุดไปจากสภาะที่เป็นอยู่นั้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 117 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร