วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 06:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 12  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2016, 06:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เฉย...เบาสบาย..เป็นสุข.. ยังงัย..ยังงัย..ก็ถือว่าดี

แต่หากเข้าใจ..ว่า..นี้ตนเกิดปัญญา..แล้ว...นี้ก็น่าเป็นห่วง..

เฉย...เพราะมีสติ...ไม่ปรุงแต่งต่อ...กับ...เฉย...ไม่ปรุงต่อเพราะรู้สึกตามวิปัสสนาญาน9..ต่างก็เบาสบาย..เหมือนๆกัน...เพียงแต่..อันแรก..เมื่อไรขาดสติ..อารมณ์ปรุงแต่งก็เกิดเพราะไม่ได้ปะหานกิเลสอะไร...ต่างกับคนที่รู้สึกตามวิปัสสนาญาน...กิเลสจะเบาบางลงไปเรื่อยๆ...


การเห็นอนัตตา...เป็นส่วนหนึ่ง..ภังคานุปัสสนาญาณ...ในวิปัสสนาญาณ 9

การเห็นนี้...ต้องเห็นด้วยปัญญา...จึงจะเรียกว่าญาณ....ไม่ใช่เห็นด้วยผัสสะ.

:b12: :b12:
คบกันมาตั้งนานอ่านข้อเขียนกันมาจนเบื่อ กบยังมองไม่ออกหรือว่า อโศกะบอกวิธีทำลายเหตุด้วยปัญญามาตลอด
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2016, 07:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หากว่าเป็นปัญญา....มันจะมีสัญญาณบางอย่าง..บอก
ไม่ใช่..แค่ปากพูด..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2016, 11:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
หากว่าเป็นปัญญา....มันจะมีสัญญาณบางอย่าง..บอก
ไม่ใช่..แค่ปากพูด..

:b9:
ปัญญาที่เป็นภาวนามยปัญญาจริงๆ มันไม่เกี่ยวกับสัญญาหรือสัญญาณอะไรเลยนะกบ เพราะภาวนามยปัญญา มันรู้ที่ใจตรงๆโดยมิต้องนึกคิด
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2016, 11:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:

คนไม่เข้าใจ...ก็ไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น..แหละ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2016, 11:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


การรู้..ด้วยสติ...กับ...รู้ด้วยด้วยปัญญา.( อย่างในวิปัสสนาญาน9)...นี้มันต่างกัน..

ส่วนใหญ่ (ความจริงคือเป็นทุกคน)...จะเข้าข่างตัวเอง..ว่า..ที่ฉันรู้...ฉันรู้แบบปัญญา..นะ

อิอิ..

กว่าจะรู้ว่าผิด...ก็ต่อเมื่อเดินออกมาได้จากจุดนั้น...ทั้งนั้นเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธองค์ ประกาศ มัชฌิมปฏิปทา
asoka ก็ตั้งหัวข้อ ว่าอยู่ตรงไหน
ซึ่งเป็นการตั้งคำถามที่ดูประหลาด น่าอัศจรรย์
คำถามที่ควรจะเป็นคือ ปฏิบัติอย่างไร จึงเป็นมัชฌิมปฏิปทา....

asoka แสดงไว้ว่า "ทางสายกลางนั้นอยู่ระหว่าง ความยินดี กับ ความยินร้าย"
ซึ่งยังห่างไกลมากต่อการปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุดในพระศาสนา

asoka : มัชฌิมปฏิปทานั้น ครอบคลุมไปตลอดศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดคือนิพพาน
พระสูตรที่แสดงไว้อย่างครอบคลุมในหนทางปฏิบัตินี้ และทำได้อย่างชัดเจน
สามารถภาวนาได้ ตั้งแต่ระดับ ศีล สมาธิ และปัญญา ประจักษ์แจ้งแก่ผู้ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง
มีอยู่พระสูตรหนึ่ง

เปิดตามลิงค์นี้นะ asoka แล้วอย่านิ่งเฉยให้ดับไปต่อหน้าต่อตาล่ะครับ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0
สัลเลขสูตร

พระพุทธองค์แสดงแก่พระจุนนะ
แล้วกล่าวตอนท้ายดังนี้
" [๑๐๙] ดูกรจุนทะ เหตุแห่งธรรมเครื่องขัดเกลา เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งจิตตุปบาท
เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งการหลีกเลี่ยง เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งความเป็นเบื้องบน เราได้
แสดงแล้ว เหตุแห่งความดับสนิท เราได้แสดงแล้ว ด้วยประการฉะนี้ ดูกรจุนทะ กิจอัน
ใดที่ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์ เอ็นดูอนุเคราะห์ แก่เหล่าสาวกจะพึงทำ กิจนั้นเราทำแก่เธอ
ทั้งหลายแล้ว ดูกรจุนทะ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจเถิด อย่าประมาท
อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย นี้เป็นคำสอนของเราสำหรับเธอทั้งหลาย ฉะนี้แล"

ซึ่งหมายความว่าเมื่อพระองค์แสดงธรรมจบลง ก็ให้พระจุนนะไปทบทวนสิ่งที่พระองค์แสดงอย่างชัดเจนอย่างนั้นให้ประจักษ์แจ้งแก่ใจ

asoka อ่านแล้ว ก็จงเพ่งพินิจเถิอ อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย
คงไม่ต้องทำสำเนาพระสูตรนี้ แปะไว้นะครับ asoka

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 05:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
อนุโมทนากับคุณเช่นนั้นที่มาชี้แนะสนทนา
:b8:
หลักและวิธีการที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดังอ้างพระสูตรมาให้อ่านนั้น นั่นคือภาคทฤษฏี หรือปริยัติศาสนา ผมฟังและยอมรับอยู่เป็นเบื้องต้น

แต่ประเด็นของกระทู้นี้ผมต้องการเน้นชี้ลงไปที่ ปฏิปัติศาสนา คือภาคปฏิบัติหรือการลงมือปฏิบัติจริงๆดังที่พระบรมศาสดาทรงทิ้งท้ายไว้ให้เสมอว่า
อ้างคำพูด:
ดูกรจุนทะ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจเถิด


ผมได้ยกตัวอย่างของหัวใจสำคัญของสติปัฏฐาน 4 มาให้ดูแล้วว่า

"วิเนยยะโลเก อภิชฌาโทมนัสสัง" เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก

นั่นคือตัวปฏิบัติการของการเดินทางสายกลางซึ่งมันก็พอแปลความหมายให้เห็นได้ว่า

ทางสายกลางมันอยู่ระหว่าง ความยินดีกับความยินร้ายนั่นแหละ

ระหว่างกลางของความยินดียินร้ายก็คือ เฉย ใช่ไหมล่ะครับคุณเช่นนั้น


มาถึงตอนนี้คุณกบก็มาซักไซ้ไล่เรียงลองภูมิแสดงภูมิให้รู้ว่าเฉย ต้องเฉยยังไง
คุณ student ก็มาช่วยตอบไว้อย่างสวยงามถูกต้องว่าต้อง เฉยแบบอนัตตา
ซึ่งตรงกับที่ผมให้คำศัพท์ใหม่แก่ทุกคนว่า

"เฉยไร้เหตุ"

เพื่อทดสอบว่ากบจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า "เหตุ" นั้นไหม? แต่กบกลับอมภูมิไม่ยอมตอบ หรือไม่มีภูมิที่จะตอบก็ไม่ทราบ แล้วนี่ยังแลบแหลมไปถึงเรื่องญาณ 16 อีกด้วย โดยสำคัญว่าใครไม่รู้เท่าจึงพูดออกมาอย่างที่เห็น

ไม่ต้องแตกหน่อแตกประเด็นออกไปไกลกันหรอกนะครับ

ง่ายๆ สบายๆ หลักปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนคือ

"เฉย" นั่ง ยืน เดิน นอน เฉยๆ ทำให้ใจเข้าถึงความเฉยโดยสมบูรณ์หรือความเฉยที่ไร้เหตุได้ มรรค ผล นิพพานก็ไม่ไกลหรอกชาตินี้


ใครว่าหลักการและวิธีนี้ไม่ใช่ ไม่จริง ก็ลองมานั่งเฉยกันดูสิ เฉยให้ได้ทั้งกายและใจ รอบละ 1 ชั่วโมง วันละ 1 -3 ครั้ง แล้วแต่เวลาและโอกาสของใครจะอำนวยให้ ทำเช่นนี้แล้วย่อมหวังได้ถึงผลอย่างใดอย่างหนึ่งของมรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 ทันในเวลาไม่เกิน 7 ชั่วโมง 7 วัน 7 เดือนและไม่มีเกิน 7 ปี ดังที่พระบรมศาสดาตรัสรับรองไว้

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 09:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เฉย...ไม่ใช่ประตูทางออก

:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 14:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004

มาถึงตอนนี้คุณกบก็มาซักไซ้ไล่เรียงลองภูมิแสดงภูมิให้รู้ว่าเฉย ต้องเฉยยังไง
คุณ student ก็มาช่วยตอบไว้อย่างสวยงามถูกต้องว่าต้อง เฉยแบบอนัตตา
ซึ่งตรงกับที่ผมให้คำศัพท์ใหม่แก่ทุกคนว่า

"เฉยไร้เหตุ"

เพื่อทดสอบว่ากบจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า "เหตุ" นั้นไหม? แต่กบกลับอมภูมิไม่ยอมตอบ หรือไม่มีภูมิที่จะตอบก็ไม่ทราบ แล้วนี่ยังแลบแหลมไปถึงเรื่องญาณ 16 อีกด้วย โดยสำคัญว่าใครไม่รู้เท่าจึงพู ดออกมาอย่างที่เห็น


ผมพูดถึงเลข 9 ไม่ใช่เลข16
แต่หากอโสกะคิดว่า...มันคนละเรื่อง...
ผมว่า..อโสกะ..ตลกมากเลย..
ที..คุณstudent พูดคำว่าอนัตตา...อโสกะว่าตรงใจ
พอผมว่า..วิปัสสนาญาณ9 อโสกะว่า..ไม่ตรงประเด็น..
555...

แสดงว่าอโสกะ..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย...ไม่เคยผ่านความรู้สึกอะไรเลย...
จะนิ่งเฉย..เป็นหัวตอ...อีกนานมั้ยท่าน
อ้างคำพูด:
ไม่ต้องแตกหน่อแตกประเด็นออกไปไกลกันหรอกนะครับ
onion


ถ้าว่าด้วยเรื่องปัญญาเป็นเรื่องไกล....
จะนิ่งเป็นหัวตอ...ไปอีกนานมั้ย..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 18:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
เฉย...ไม่ใช่ประตูทางออก

:b6:

:b12: :b12: :b12:
แต่ถ้าสามารถมาอยู่ตรงเฉยได้จนชำนาญ เฉยจะพาไปพบทางออกเองโดยธรรม
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 18:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
s004

มาถึงตอนนี้คุณกบก็มาซักไซ้ไล่เรียงลองภูมิแสดงภูมิให้รู้ว่าเฉย ต้องเฉยยังไง
คุณ student ก็มาช่วยตอบไว้อย่างสวยงามถูกต้องว่าต้อง เฉยแบบอนัตตา
ซึ่งตรงกับที่ผมให้คำศัพท์ใหม่แก่ทุกคนว่า

"เฉยไร้เหตุ"

เพื่อทดสอบว่ากบจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า "เหตุ" นั้นไหม? แต่กบกลับอมภูมิไม่ยอมตอบ หรือไม่มีภูมิที่จะตอบก็ไม่ทราบ แล้วนี่ยังแลบแหลมไปถึงเรื่องญาณ 16 อีกด้วย โดยสำคัญว่าใครไม่รู้เท่าจึงพู ดออกมาอย่างที่เห็น


ผมพูดถึงเลข 9 ไม่ใช่เลข16
แต่หากอโสกะคิดว่า...มันคนละเรื่อง...
ผมว่า..อโสกะ..ตลกมากเลย..
ที..คุณstudent พูดคำว่าอนัตตา...อโสกะว่าตรงใจ
พอผมว่า..วิปัสสนาญาณ9 อโสกะว่า..ไม่ตรงประเด็น..
555...

แสดงว่าอโสกะ..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย...ไม่เคยผ่านความรู้สึกอะไรเลย...
จะนิ่งเฉย..เป็นหัวตอ...อีกนานมั้ยท่าน
อ้างคำพูด:
ไม่ต้องแตกหน่อแตกประเด็นออกไปไกลกันหรอกนะครับ
onion


ถ้าว่าด้วยเรื่องปัญญาเป็นเรื่องไกล....
จะนิ่งเป็นหัวตอ...ไปอีกนานมั้ย..

:b12: :b12:
แค่สมุทัย เหตุทุกข์ ยังไม่รู้จัก อธิบาย ตอบคำถามไม่ได้ ป่วยประโยชน์อะไรที่จะไปพูดถึงเรื่องญาณ 9 ญาณ 16 นะกบ
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:

แต่หากอโสกะคิดว่า...มันคนละเรื่อง...
ผมว่า..อโสกะ..ตลกมากเลย..
ที..คุณstudent พูดคำว่าอนัตตา...อโสกะว่าตรงใจ
พอผมว่า..วิปัสสนาญาณ9 อโสกะว่า..ไม่ตรงประเด็น..
555...


แสดงว่าอโสกะ..ไม่รู้เรื่องอะไรเลย...ไม่เคยผ่านความรู้สึกอะไรเลย...
จะนิ่งเฉย..เป็นหัวตอ...อีกนานมั้ยท่าน


:b13: :b13: :b13:

ยังไม่หายตลก....เรย..

อโสกะ...ยังไม่เห็น..อีกรึคับ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 21:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
eragon_joe เขียน:
เฉย...ไม่ใช่ประตูทางออก

:b6:

:b12: :b12: :b12:
แต่ถ้าสามารถมาอยู่ตรงเฉยได้จนชำนาญ เฉยจะพาไปพบทางออกเองโดยธรรม
onion


สภาวะธรรมบางอย่าง เหมาะสำหรับที่จิตจะอาศัยเป็นวิหารธรรม

ซึ่ง วิหารธรรม ยังไงก็คือ ที่ตั้งอาศัยของจิต
จิตนักปฏิบัติเขาจะแยกแยะออกอยู่แล้วว่า วิหารธรรมเช่นไร ที่เหมาะต่อจิตในการเข้าไปตั้งอาศัย
วิหารธรรมอันเป็นที่ตั้งที่ สงบ ระงับ สันติ เป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราวอันเป็นสุขของนักปฏิบัติ

ซึ่ง ผู้ปฏิบัติจะหมายเอาความชำนาญซึ่ง วิหารธรรม เพื่อ...ธรรมอันใดล่ะ

การหมายมั่นในการจะไปตั้งอยู่ในวิหารใด จิตก็คงไม่ได้อยู่ในวิหารนั้นแล้วล่ะ

การสลัดออกซึ่ง......อารมณ์อันเป็นอุปสรรค์
การสลัดออก คือหนทางที่จะได้เห็นอาการที่จิตจะไม่หมายมั่นในอารมณ์
และไม่หมายที่จะเข้าไปตั้งอาศัยในอารมณ์ต่าง ๆ

...

ซึ่งนักปฏิบัติก็แค่มองดู จิตที่ค่อย ๆ สลัดอารมณ์ต่าง ๆ ทิ้งไปโดยลำดับ ๆ

:b1:

จิต + เจตสิก เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ไม่มี วิหารธรรม ใด ... ที่...น่าหมายยึดไว้

ต้องเข้าใจจิตกับการอาศัยตั้งอยู่ในอารมณ์เพียงชั่วครู่ ชั่วคราว แล้วก็ไป

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2016, 21:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ...ถ้าหมายจะเอาเฉยให้ชำนาญ

เอกอนว่า ... ละโลภ ละโกรธ ละหลง ให้ชำนาญดีก่า :b16:

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2016, 19:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
คือ...ถ้าหมายจะเอาเฉยให้ชำนาญ

เอกอนว่า ... ละโลภ ละโกรธ ละหลง ให้ชำนาญดีก่า :b16:

:b1:

:b43:
ผมบอกถึงเบื้องหลังของการที่จะเฉยได้จนชำนาญนั้นมันต้องผ่านกระบวนการละความยินดียินร้าย ซึ่งมันคือกระบวนการทำลายกิเลสตัณหานั่นแหละ
เฉยได้มากได้ดีเท่าไหร่ โลภ โกรธ หลง ก็เบาบางไปได้มากเท่านั้น

แต่ในกระบวนการสู่ความเฉยนี้ เน้นไปที่การทำลายเหตุทุกข์คือ อัตตาและมานะทิฏฐิอันซ่อนอยู่เบื้องหลังตัณหาโดยตรง

onion
คุณเอก้อนเคยลองนั่งให้มันเฉยได้เป็นชั่วโมงๆหรือยังล่ะครับ ถ้ายังก็ขอให้ทดลองพิสูจน์ดูก่อนแล้วจะเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องที่อโศกะตั้งขึ้นมาเป็นกระทู้นี้
:b38:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 178 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 ... 12  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร