วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 14:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 55, 56, 57, 58, 59, 60, 61, 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2014, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Onion_L
กรัชกายกำลังจะตกนรกทั้งเป็นแล้วเพราะกล่าวมุสาวาทและให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ คนที่เขารักษาศีลข้อที่ 5 ไว้ได้ดี ไม่ดื่มสุรา ทั้งที่กลั่นแล้วและยังไม่ได้กลั่น ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพย์ติดและการพนันมาตลอดชีวิต กลับจะมาถูกกรัชกายตู่ว่าลับหลังดื่มเป็นขวดๆ บาปหนักนะกรัชกาย
:


นั่นๆ ไม่ดื่มสุราข้อเดียว ข้ออื่นๆ ทำเละหมด :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ค. 2014, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
Onion_L
กรัชกายกำลังจะตกนรกทั้งเป็นแล้วเพราะกล่าวมุสาวาทและให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ คนที่เขารักษาศีลข้อที่ 5 ไว้ได้ดี ไม่ดื่มสุรา ทั้งที่กลั่นแล้วและยังไม่ได้กลั่น ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพย์ติดและการพนันมาตลอดชีวิต กลับจะมาถูกกรัชกายตู่ว่าลับหลังดื่มเป็นขวดๆ บาปหนักนะกรัชกาย
:


นั่นๆ ไม่ดื่มสุราข้อเดียว ข้ออื่นๆ ทำเละหมด :b32:

:b7:
ข้อเดียวยังเอาไม่ลง เลยพาลต่อไปข้ออื่นๆอีก แสดงว่ากรัชกายคงเละเทอะมาหมดแล้ว
เดาและขี้ตู่ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความมืดมัวลุ่มหลง ....นี่กรัชกายกำลังทำผิดศีลข้อที่ 4

ปัจจุบันที่นั่งตอบกระทู้อยู่นี้ อย่าว่าแต่ศีล 5 ข้อเลย แม้ศีล 8 ศีล 10 หรือ 227 ข้อ อโศกะก็ยังมิได้ทำผิดข้อไหนเลย
:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2014, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
Onion_L
กรัชกายกำลังจะตกนรกทั้งเป็นแล้วเพราะกล่าวมุสาวาทและให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ คนที่เขารักษาศีลข้อที่ 5 ไว้ได้ดี ไม่ดื่มสุรา ทั้งที่กลั่นแล้วและยังไม่ได้กลั่น ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพย์ติดและการพนันมาตลอดชีวิต กลับจะมาถูกกรัชกายตู่ว่าลับหลังดื่มเป็นขวดๆ บาปหนักนะกรัชกาย
:


นั่นๆ ไม่ดื่มสุราข้อเดียว ข้ออื่นๆ ทำเละหมด :b32:

:b7:
ข้อเดียวยังเอาไม่ลง เลยพาลต่อไปข้ออื่นๆอีก แสดงว่ากรัชกายคงเละเทอะมาหมดแล้ว
เดาและขี้ตู่ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความมืดมัวลุ่มหลง ....นี่กรัชกายกำลังทำผิดศีลข้อที่ 4

ปัจจุบันที่นั่งตอบกระทู้อยู่นี้ อย่าว่าแต่ศีล 5 ข้อเลย แม้ศีล 8 ศีล 10 หรือ 227 ข้อ อโศกะก็ยังมิได้ทำผิดข้อไหนเลย


โอ..อโศก ศีล 227 เป็นศีลของภิกษุนะ คิกๆๆ ได้ก็ได้ ok แต่ยังสู้ผู้หญิงคือภิกษุณีไม่ได้ ภิกษุณีมีศีลตั้ง 311 (ถ้าจำไม่ผิด) ข้อ อโศกรักษาได้ป่าว ปาดโธ่ ก็ไอ้แค่ 227 จะอะไรนักหนาขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2014, 09:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
Onion_L
กรัชกายกำลังจะตกนรกทั้งเป็นแล้วเพราะกล่าวมุสาวาทและให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ คนที่เขารักษาศีลข้อที่ 5 ไว้ได้ดี ไม่ดื่มสุรา ทั้งที่กลั่นแล้วและยังไม่ได้กลั่น ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพย์ติดและการพนันมาตลอดชีวิต กลับจะมาถูกกรัชกายตู่ว่าลับหลังดื่มเป็นขวดๆ บาปหนักนะกรัชกาย
:


นั่นๆ ไม่ดื่มสุราข้อเดียว ข้ออื่นๆ ทำเละหมด :b32:

:b7:
ข้อเดียวยังเอาไม่ลง เลยพาลต่อไปข้ออื่นๆอีก แสดงว่ากรัชกายคงเละเทอะมาหมดแล้ว
เดาและขี้ตู่ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความมืดมัวลุ่มหลง ....นี่กรัชกายกำลังทำผิดศีลข้อที่ 4

ปัจจุบันที่นั่งตอบกระทู้อยู่นี้ อย่าว่าแต่ศีล 5 ข้อเลย แม้ศีล 8 ศีล 10 หรือ 227 ข้อ อโศกะก็ยังมิได้ทำผิดข้อไหนเลย


โอ..อโศก ศีล 227 เป็นศีลของภิกษุนะ คิกๆๆ ได้ก็ได้ ok แต่ยังสู้ผู้หญิงคือภิกษุณีไม่ได้ ภิกษุณีมีศีลตั้ง 311 (ถ้าจำไม่ผิด) ข้อ อโศกรักษาได้ป่าว ปาดโธ่ ก็ไอ้แค่ 227 จะอะไรนักหนาขอรับ :b1:

wink
อย่าว่าแต่ศีลภิกษุณี 311 ข้อเลย แม้จะมีข้อศีลบัญญัติถึงหมื่นข้อ ก็จะรักษาได้ไม่ล่วง เพราะ

รักษาที่ใจให้เจริญเดินอยู่บนทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ศีลทุกข้อเขาก็จะสมบูรณ์ตามไปเอง

สติ สัมปชัญญะ ปัญญา เมื่ออยู่กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดีแล้ว ย่อมไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความยินดียินร้าย กรรมทั้งหลายที่จะเกิดก็กลายเป็นอโหสิ มีชีวิตอยู่ไปได้ด้วยเหตุและผลมิใช่อารมณ์ ความจมลงในโอฆะทั้ง 4 จึงไม่อาจจะมีขึ้นได้ เหลือชีวิตที่อยู่ด้วยแรงส่งแห่งวิบาก เหตุปัจจัย ขันธ์สิ้นไป ก็สิ้นหมด งดวนเวียน

smiley
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2014, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
Onion_L
กรัชกายกำลังจะตกนรกทั้งเป็นแล้วเพราะกล่าวมุสาวาทและให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ คนที่เขารักษาศีลข้อที่ 5 ไว้ได้ดี ไม่ดื่มสุรา ทั้งที่กลั่นแล้วและยังไม่ได้กลั่น ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพย์ติดและการพนันมาตลอดชีวิต กลับจะมาถูกกรัชกายตู่ว่าลับหลังดื่มเป็นขวดๆ บาปหนักนะกรัชกาย
:


นั่นๆ ไม่ดื่มสุราข้อเดียว ข้ออื่นๆ ทำเละหมด :b32:

:b7:
ข้อเดียวยังเอาไม่ลง เลยพาลต่อไปข้ออื่นๆอีก แสดงว่ากรัชกายคงเละเทอะมาหมดแล้ว
เดาและขี้ตู่ใส่ร้ายผู้อื่นด้วยความมืดมัวลุ่มหลง ....นี่กรัชกายกำลังทำผิดศีลข้อที่ 4

ปัจจุบันที่นั่งตอบกระทู้อยู่นี้ อย่าว่าแต่ศีล 5 ข้อเลย แม้ศีล 8 ศีล 10 หรือ 227 ข้อ อโศกะก็ยังมิได้ทำผิดข้อไหนเลย


โอ..อโศก ศีล 227 เป็นศีลของภิกษุนะ คิกๆๆ ได้ก็ได้ ok แต่ยังสู้ผู้หญิงคือภิกษุณีไม่ได้ ภิกษุณีมีศีลตั้ง 311 (ถ้าจำไม่ผิด) ข้อ อโศกรักษาได้ป่าว ปาดโธ่ ก็ไอ้แค่ 227 จะอะไรนักหนาขอรับ :b1:

wink
อย่าว่าแต่ศีลภิกษุณี 311 ข้อเลย แม้จะมีข้อศีลบัญญัติถึงหมื่นข้อ ก็จะรักษาได้ไม่ล่วง เพราะ

รักษาที่ใจให้เจริญเดินอยู่บนทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ศีลทุกข้อเขาก็จะสมบูรณ์ตามไปเอง

สติ สัมปชัญญะ ปัญญา เมื่ออยู่กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดีแล้ว ย่อมไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความยินดียินร้าย กรรมทั้งหลายที่จะเกิดก็กลายเป็นอโหสิ มีชีวิตอยู่ไปได้ด้วยเหตุและผลมิใช่อารมณ์ ความจมลงในโอฆะทั้ง 4 จึงไม่อาจจะมีขึ้นได้ เหลือชีวิตที่อยู่ด้วยแรงส่งแห่งวิบาก เหตุปัจจัย ขันธ์สิ้นไป ก็สิ้นหมด งดวนเวียน



คห.นี้ อโศกเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย :b1: ส่งไปอยู่กับ เณร ค. ที่สปป. ลาว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2014, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
Onion_L
กรัชกายกำลังจะตกนรกทั้งเป็นแล้วเพราะกล่าวมุสาวาทและให้ร้ายผู้บริสุทธิ์ คนที่เขารักษาศีลข้อที่ 5 ไว้ได้ดี ไม่ดื่มสุรา ทั้งที่กลั่นแล้วและยังไม่ได้กลั่น ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพย์ติดและการพนันมาตลอดชีวิต กลับจะมาถูกกรัชกายตู่ว่าลับหลังดื่มเป็นขวดๆ บาปหนักนะกรัชกาย
:b34: :b34: :b34:




โสกะ ผู้หนาแน่นด้วยอวิชชา ผู้มีมิจฉาทิฏฐิเต็มเปี่ยม

โมหะบดบัง จิตมีโทสะ ก็ไม่รู้ชัด ปล่อยให้ก้าวล่วงออกมา โดยกล่าวโทษอีกฝ่าย

แทนที่จะย้อนกลับไปดูการกระทำของตนเอง

หากไม่เป็นผู้อวดตน อีกฝ่ายจะกระทำแบบนั้นได้อย่างไร

ขี้โม้โอ้อวด ผลก็เลยเป็นแบบนั้น

เอาแต่ค่ำเคร่งในทิฏฐิของตน ไม่รู้จักศึกษาพระธรรมคำสอน

ศิลที่นำมาเอ่ยอ้าง ก็เป็นการกระทำแบบสีลลัพตปรามาส

ใครแตะไม่ได้ ใครเอ่ยไม่ได้ มี"กรู" ปริ๊ด ก็ยังไม่รู้เท่าทัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ค. 2014, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อย่าว่าแต่ศีลภิกษุณี 311 ข้อเลย แม้จะมีข้อศีลบัญญัติถึงหมื่นข้อ ก็จะรักษาได้ไม่ล่วง เพราะ

รักษาที่ใจให้เจริญเดินอยู่บนทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ศีลทุกข้อเขาก็จะสมบูรณ์ตามไปเอง

สติ สัมปชัญญะ ปัญญา เมื่ออยู่กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดีแล้ว ย่อมไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความยินดียินร้าย กรรมทั้งหลายที่จะเกิดก็กลายเป็นอโหสิ มีชีวิตอยู่ไปได้ด้วยเหตุและผลมิใช่อารมณ์ ความจมลงในโอฆะทั้ง 4 จึงไม่อาจจะมีขึ้นได้ เหลือชีวิตที่อยู่ด้วยแรงส่งแห่งวิบาก เหตุปัจจัย ขันธ์สิ้นไป ก็สิ้นหมด งดวนเวียน




จิตมีโมหะ ก็ไม่รู้ชัด

ปัจจัยจาก ตัณหา ความทะยานอยาก ความอยากมี อยากเป็นอะไรๆในสมมุติ

กิเลสความทะยานอยากที่เกิดขึ้น บดบังไม่ให้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

ในสิ่งที่ตนยังมีอยู่ และเป็นอยู่

ที่มักเผลอแสดงออกบ่อยๆ การสาปแช่ง การกล่าวแช่ง เมื่อถูกยั่วยุจากอีกฝ่าย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 05:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ในที่สุดวลัยพรก็อดรนทนไม่ได้ทั้งๆที่เคยพูดคุยกันไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว ทางใครทางมัน เรื่องของใครของมัน

เมื่อวลัยพรแส่แหย่เข้ามาเช่นนี้ ความจริง ความลับที่วลัยพรปกปิดตนเองไว้ตั้งนานด้วยภาพพจน์ที่ดีเป็นนักวิชาการผู้มั่นในการเผยแพร่ธรรมะจากพระโอษฐ์ ก็ถูกเปิดเผย ว่าวลัยพรก็ไม่แตกต่างจากปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายที่จะเห็นใครดีเด่นดังเกินหน้าไม่ได้ต้องอิจฉา มียินดียินร้าย โลภ โกรธ หลง มิจฉาวาจา หาเรื่องว่ากล่าวดังวจีกรรม กายกรรม มโนกรรมที่ตนทำแทรกมาในกระทู้นี้ ลองกลับไปวิเคราะพิจารณาคำพูดของตนให้ดีว่ามีคำพูดที่ผิดจากโอวาทปาติโมกข์ข้อนี้ไหม

"การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย" (อนูปวาโท อนูปฆาโต)

"การสำรวมระวังในปาติโมกข์" (ปาติโมกเขจะสังวโร)

s006
คำพูดที่วลัยพรเข้าใจผิดว่าเป็นเช่นคำแช่งด่านั้นจงกลับไปวิเคราะห์ดูให้ดีด้วยสติปัญญาที่ไม่เอียง ก็จะได้พบว่าล้วนเป็นคำแนะนำตักเตือนให้มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป และชี้ให้เห็นผลหรือวิบากแห่งอกุศลจิตอกุศลกรรมที่จักเกิดขึ้นให้ผู้ทำได้รับในภายภาคหน้าทั้งสิ้น
:b38:
วลัยพร อ้างธรรมคำสอนตรงจากพระพุทธเจ้า แต่แล้วก็เอาความเห็นตามความชอบถนัดของตนมาบิดเบือนธรรม ดังเช่นเรื่องปัจจุบันอารมณ์ล้วนมีแต่ที่ ผัสสะ นั้นก็เป็นการทำให้ผู้ศึกษาธรรมไขว้เขวอยู่ อโศกะดูแล้วอยากเตือนแต่ไม่อยากยุ่ง วลัยพร แจมมาก่อน เลยขอฝากเตือนกลับมาด้วยนะจ๊ะ
:b16:
ลึกๆยังปารถนาดีกับวลัยพร แอบติดตามผลงานของวลัยพร คนขี้งอนแต่ใจงามอยู่เสมอนะ
:b46:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 07:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ในที่สุดวลัยพรก็อดรนทนไม่ได้ทั้งๆที่เคยพูดคุยกันไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันแล้ว ทางใครทางมัน เรื่องของใครของมัน



เห็นโสกะ หน้ามืด ตาบอด เต็มเปี่ยมด้วยอวิชชา

การกระทำมีแต่ มิจฉาทิฏฐิ
งมงายกับสิ่งที่คิดว่ามี คิดว่าเป็น คิดว่าใช่

จึงมาชี้โพรงให้กระรอก ที่อาจจะพอมองเห็นทาง
ที่อาจจะหลุดจากกับดักกิเลสในความอยากมี อยากเป็น ที่กระรอกเป็นอยู่



asoka เขียน:
เมื่อวลัยพร แส่



แหม่ ผู้มีศิล :b32:


asoka เขียน:
อย่าว่าแต่ศีลภิกษุณี 311 ข้อเลย แม้จะมีข้อศีลบัญญัติถึงหมื่นข้อ ก็จะรักษาได้ไม่ล่วง เพราะ

รักษาที่ใจให้เจริญเดินอยู่บนทางแห่งมรรคมีองค์ 8 ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ศีลทุกข้อเขาก็จะสมบูรณ์ตามไปเอง

สติ สัมปชัญญะ ปัญญา เมื่ออยู่กับปัจจุบันอารมณ์ได้ดีแล้ว ย่อมไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของความยินดียินร้าย กรรมทั้งหลายที่จะเกิดก็กลายเป็นอโหสิ มีชีวิตอยู่ไปได้ด้วยเหตุและผลมิใช่อารมณ์ ความจมลงในโอฆะทั้ง 4 จึงไม่อาจจะมีขึ้นได้ เหลือชีวิตที่อยู่ด้วยแรงส่งแห่งวิบาก เหตุปัจจัย ขันธ์สิ้นไป ก็สิ้นหมด งดวนเวียน




asoka เขียน:

แหย่เข้ามาเช่นนี้ ความจริง ความลับที่วลัยพรปกปิดตนเองไว้ตั้งนานด้วยภาพพจน์ที่ดีเป็นนักวิชาการผู้มั่นในการเผยแพร่ธรรมะจากพระโอษฐ์ ก็ถูกเปิดเผย ว่าวลัยพรก็ไม่แตกต่างจากปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายที่จะ



ป๊าดดด ที่แท้โสกะ มีความผูกใจกับบัวเตยอาร์สยาม มโนนะจ๊ะๆๆๆ

สำหรับการปกปิด วลัยพรจะพูดอยู่เสมอๆว่า เป็นผู้ไม่ปกปิดตนเอง
ที่สำคัญ ยังคงมีกิเลส เหมือนคนทั่วๆไป ยังคงเป็นปถุชน คนธรรมด๊าธรรมดาอยู่นะ

ก็เพิ่งรู้นะว่า การที่ใครนำพระธรรมคำสอนมาเผยแผ่ การกระทำแบบนั้น จักมีภาพเป็นนักวิชาการ ในสายตาของโสกะ

โสกะนี่ มโนเก่งจริงๆ :b12:

ยังมีหน้ามาเอ่ยอ้างว่าติดตามอ่านสิ่งที่วลัยพรเขียน ขี้จุ๊จริงๆ

asoka เขียน:
แอบติดตามผลงานของวลัยพร




asoka เขียน:


เห็นใครดีเด่นดังเกินหน้าไม่ได้ต้องอิจฉา มียินดียินร้าย โลภ โกรธ หลง มิจฉาวาจา หาเรื่องว่ากล่าวดังวจีกรรม กายกรรม มโนกรรมที่ตนทำแทรกมาในกระทู้นี้ ลองกลับไปวิเคราะพิจารณาคำพูดของตนให้ดีว่ามีคำพูดที่ผิดจากโอวาทปาติโมกข์ข้อนี้ไหม

"การไม่พูดร้าย การไม่ทำร้าย" (อนูปวาโท อนูปฆาโต)

"การสำรวมระวังในปาติโมกข์" (ปาติโมกเขจะสังวโร)



ลักษณะอาการ ที่เกิดขึ้นนี้ เรียกว่า ถ่มน้ำลายรดฟ้า ป๊ะหน้าตนเอง
ถ้ายังไม่เข้าใจ กลับไปย้อนอ่านสิ่งที่โสกะนำมาโอ้อวดนะ :b6:


asoka เขียน:
คำพูดที่วลัยพรเข้าใจผิดว่าเป็นเช่นคำแช่งด่านั้น จงกลับไปวิเคราะห์ดูให้ดีด้วยสติปัญญาที่ไม่เอียง ก็จะได้พบว่าล้วนเป็นคำแนะนำตักเตือนให้มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป และชี้ให้เห็นผลหรือวิบากแห่งอกุศลจิตอกุศลกรรมที่จักเกิดขึ้นให้ผู้ทำได้รับในภายภาคหน้าทั้งสิ้น


อ่อ เข้าใจผิดจริงๆ เขาเรียกว่า "สันดาน" หรือ อนุสัยที่นองเนืองอยู่ในขันธสันดาน
ข้อนี้ละได้ยากจริงๆ เผลอปุ๊บ ออกโชว์ตัวปั๊บ :b12:



asoka เขียน:

วลัยพร อ้างธรรมคำสอนตรงจากพระพุทธเจ้า แต่แล้วก็เอาความเห็นตามความชอบถนัดของตนมาบิดเบือนธรรม ดังเช่นเรื่องปัจจุบันอารมณ์ล้วนมีแต่ที่ ผัสสะ นั้นก็เป็นการทำให้ผู้ศึกษาธรรมไขว้เขวอยู่ อโศกะดูแล้วอยากเตือนแต่ไม่อยากยุ่ง วลัยพร แจมมาก่อน เลยขอฝากเตือนกลับมาด้วยนะจ๊ะ



โสกะก็หมั่นเตือนตัวเองให้บ่อยๆนะ

ทุกครั้งที่ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆในสมมุติน่ะ มันไม่เที่ยง

ทำบ่อยๆ เตือนตนเองบ่อยๆ ความอยากจะได้เบาบางลง ขันธสันดานจะได้ไม่แล่นนำ





asoka เขียน:

ลึกๆยังปารถนาดีกับวลัยพร แอบติดตามผลงานของวลัยพร คนขี้งอนแต่ใจงามอยู่เสมอนะ
:b46:



อ๊ะๆๆๆๆ มีหยอดๆๆๆๆ มุขแป่กๆของโสกะ ใช้ไม่ได้ผลกับวลัยพรหรอกนะ
เพราะวลัยพร ไม่ใช่พวกบ้ายอ หรือพวกชอบการยกยอปอปั้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วลัยพรสนับสนุน สิ่งที่โสกะ อยากมี อยากได้ อยากเป็น

แต่การกรกระทำที่โสกะแสดงออกมา ยังห่างไกลกับสิ่งที่โสกะ อยากได้ อยากมี อยากเป็น

หากคิดว่ามี คิดว่าเป็นอะไรๆในสมมุติ ควรศึกษาพระธรรมคำสอนให้เนืองๆนะ



[๘๔] คำว่า ชนใดย่อมบอกตนเอง มีความว่า อัตตาเรียกว่าตน. คำว่า ย่อมบอกเอง
คือ ย่อมอวดอ้างซึ่งตนเอง คือ ย่อมอวดอ้าง บอก พูด แสดง แถลงว่า ข้าพเจ้าเป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลบ้าง ถึงพร้อมด้วยวัตรบ้าง ถึงพร้อมด้วยศีลและวัตรบ้าง ถึงพร้อมด้วยชาติบ้าง
ถึงพร้อมด้วยโคตรบ้าง ถึงพร้อมด้วยความเป็นบุตรแห่งสกุลบ้าง ถึงพร้อมด้วยความเป็นผู้มีรูป
งามบ้าง ถึงพร้อมด้วยทรัพย์บ้าง ถึงพร้อมด้วยการเชื้อเชิญบ้าง ถึงพร้อมด้วยหน้าที่การงานบ้าง
ถึงพร้อมด้วยหลักแหล่งแห่งศิลปศาสตร์บ้าง ถึงพร้อมด้วยวิทยฐานะบ้าง ถึงพร้อมด้วยการศึกษา
บ้าง ถึงพร้อมด้วยปฏิภาณบ้าง ถึงพร้อมด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง ออกบวชจากสกุลสูงบ้าง
ออกบวชจากสกุลใหญ่บ้าง ออกบวชจากสกุลมีโภคสมบัติมากบ้าง ออกบวชจากสกุลมีโภค
สมบัติใหญ่บ้าง เป็นผู้มีชื่อเสียงมียศกว่าพวกคฤหัสถ์และบรรพชิตบ้าง เป็นผู้ได้จีวร บิณฑบาต
เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารบ้าง เป็นผู้ทรงจำพระสูตรบ้าง เป็นผู้ทรงพระวินัยบ้าง
เป็นธรรมกถึกบ้าง เป็นผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือทรง
ผ้าบังสุกุลเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือทรงไตรจีวรเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับ
ตรอกเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือไม่ฉันภัตหนหลังเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้
ถืออยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดให้อย่างไรเป็นวัตรบ้าง เป็นผู้ได้ปฐมฌานบ้าง เป็นผู้ได้ทุติยฌานบ้าง
เป็นผู้ได้ตติยฌานบ้าง เป็นผู้ได้จตุตถฌานบ้าง เป็นผู้ได้อากาสานัญจายตนสมาบัติบ้าง เป็นผู้ได้
วิญญาณัญจายตนสมาบัติบ้าง เป็นผู้ได้อากิญจัญญายตนสมาบัติบ้าง เป็นผู้ได้เนวสัญญานา-
*สัญญายตนสมาบัติบ้าง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ชนใดย่อมบอกตนเอง. เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคจึงตรัสว่า
ชนใดไม่มีใครถาม ย่อมบอกศีลและวัตรของตนแก่ชนเหล่าอื่น ผู้ฉลาด
ทั้งหลายกล่าวชนนั้นว่าไม่มีอริยธรรม อนึ่ง ชนใดย่อมบอกตนเอง ผู้
ฉลาดทั้งหลายก็กล่าวชนนั้นว่า ไม่มีอริยธรรม.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 311&Z=1821

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:

วลัยพร อ้างธรรมคำสอนตรงจากพระพุทธเจ้า แต่แล้วก็เอาความเห็นตามความชอบถนัดของตนมาบิดเบือนธรรม ดังเช่นเรื่องปัจจุบันอารมณ์ล้วนมีแต่ที่ ผัสสะ นั้นก็เป็นการทำให้ผู้ศึกษาธรรมไขว้เขวอยู่ อโศกะดูแล้วอยากเตือนแต่ไม่อยากยุ่ง


แหม่ จะเก่งเกินพระพุทธเจ้าไปแล้วมั๊ง นี่แหละความหลงในสังสารวัฏ



สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
ทั้งที่มีเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต และเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่

โดยสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
เป็นลักษณะอาการ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ

ว่าด้วยผัสสะ

ภิกษุ ท. ! อาศัยตากับรูป เกิด จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางตา) ขึ้น,
อาศัยหูกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางหู) ขึ้น,
อาศัยจมูกกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางจมูก) ขึ้น,
อาศัยลิ้นกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางลิ้น) ขึ้น,
อาศัยกายกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางกาย) ขึ้น,
และอาศัยใจกับธรรมารมณ์ เกิด มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางใจ) ขึ้น ;

ความประจวบกันแห่งสิ่งทั้งสาม (เช่น ตา รูป จักขุวิญญาณ เป็นต้น แต่ละหมวด) นั้น
ชื่อว่า ผัสสะ.

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา อันเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง.

บุคคลนั้น เมื่อ สุขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่,
อนุสัยคือราคะ ย่อมนอนเนื่อง อยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ ทุกขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ย่อมระทมใจ คร่ำครวญ
ตีอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหลอยู่,

อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ เวทนาอันไม่ทุกข์ไม่สุข ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
ซึ่งเหตุให้เกิดเวทนานั้นด้วย ซึ่งความดับแห่งเวทนานั้นด้วย

ซึ่งอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งอาทีนพ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย
ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพ้น) ของเวทนานั้นด้วย,

อนุสัยคืออวิชชา ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

ภิกษุ ท. ! บุคคลนั้นหนอ ยังละอนุสัย คือ ราคะในเพราะสุขเวทนาไม่ได้,
ยังบรรเทาอนุสัย คือ ปฏิฆะในเพราะทุกขเวทนาไม่ได้,
ยังถอนอนุสัย คือ อวิชชาในเพราะอทุกขมสุขเวทนาไม่ได้,
ยังละอวิชชาไม่ได้ และยังทำวิชชาให้เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว

จักทำที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐธรรมนี้ ดังนี้ :
ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
- อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.



ผัสสะ

อานนท์ ! คราวหนึ่งเราอยู่ที่ป่าไผ่ เป็นที่ให้เหยื่อแก่กระแตใกล้กรุงราชคฤห์นี่แหละ,

ครั้งนั้น เวลาเช้า เราครองจีวรถือบาตร เพื่อไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ คิดขึ้นมาว่า ยังเช้าเกินไปสำหรับการบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ถ้าไฉน เราเข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่นเถิด.

เราได้เข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่น กระทำสัมโมทนียกถาแก่กันและกัน นั่งลง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.

อานนท์ ! ปริพาชกเหล่านั้น ได้กล่าวกะเรา ผู้นั่งแล้ว อย่างนี้ว่า

“ท่านโคตมะ ! มีสมณพราหมณ์บางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง,

มีสมณพราหมณ์อีกบางพวกที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติ ความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้,

มีสมณพราหมณ์อีกบางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า ไม่ใช่ทำเอง หรือใครทำให้ ก็เกิดขึ้นได้.

ในเรื่องนี้ ท่านโคตมะของพวกเรา กล่าวสอนอยู่อย่างไร ?
และพวกเรากล่าวอยู่อย่างไร ?

จึงจะเป็นอันกล่าวตามคำ ที่ท่านโคตมะกล่าวแล้ว,
ไม่เป็นการกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง
และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม จะไม่พลอยกลายเป็น ผู้ควรถูกติเตียนไปด้วย ?”
ดังนี้.

อานนท์ ! เราได้กล่าวกะปริพาชกทั้งหลาย เหล่านั้นว่า

ปริพาชกทั้งหลาย !
เรากล่าวว่า ทุกข์ อาศัยเหตุปัจจัย (ของมันเอง เป็นลำดับๆ) เกิดขึ้น.

มันอาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ?

อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ.

ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่เรากล่าว.
นิทาน. สํ. ๑๖/๔๑/๗๖.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 15:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
เป็นยังไง สบายใจคลายเครียด เคร่งตึง ที่ขึงค้างสะสมไว้นาน ไปมากแล้วนะ วลัยพร ได้ระบาย กับคนที่อยากจะระบาย ให้สะใจสะจิต

แต่ยังไงก็ยังติดอยู่กับเรื่องผัสสะที่ตนถนัด มีอะไรก็โยงเข้าหาผัสสะหมด ไม่คิดว่ามีธรรมและทางอื่นเยอะแยะมากมาย

แล้วก็ไม่เห็นเน้นชี้ลงไปที่ปัจจุบันอารมณ์ให้ชัดๆเพื่อขจัดความคลางแคลงสงสัย เรื่องที่ยกพุทธพจน์ก้อปแปะมาก็สรรหาแต่ที่สนับสนุนความคิดเห็นของตน

เคยสังเกตไหมว่า ทำไมต้อ งแยก ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน กาย จิต ธรรม ออกเป็นบัญญัติคนละอย่างกัน

การรู้ทันผัสสะ ก็เป็นปัจจุบัน การรู้ทันเวทนาก็เป็นปัจจุบัน การรู้ทันกาย จิต ธรรมก็เป็นปัจจุบัน หรือแม้แต่รู้ทัน ตัณหา อุปาทาน สุข ทุกข์ เฉย อิจฉา มัจริยะ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในกายและจิต ก็เป็นปัจจุบันอารมณ์

ไฉนใยวลัยพร จึงมาบัญญัติว่า ปัจจุบันอารมณ์มีขึ้นกับเฉพาะผัสสะ อธิบายและยกตัวอย่างให้ตรงประเด็นและละเอียดอ่อนกว่านี้ซิ ถ้าเหตุผลดีก็จะยอมรับได้ ไม่ขัดใจหรอก ใครจะกล้าขัดใจวลัยพรคนดี สตรีศรีลานธรรมจักร ผู้ไม่มีอกหักเพราะหลงคารมใคร

:b16: :b16: :b16:
s004 s004 s004
มีปรากฏการณ์พิเศษเกิดขึ้นว่า เมื่อวลัยพรมา กรัชกายหาย ไม่มาช่วยรุมแฮะ คราวนี้
s006 s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
asoka เขียน:
:b12:

วลัยพร อ้างธรรมคำสอนตรงจากพระพุทธเจ้า แต่แล้วก็เอาความเห็นตามความชอบถนัดของตนมาบิดเบือนธรรม ดังเช่นเรื่องปัจจุบันอารมณ์ล้วนมีแต่ที่ ผัสสะ นั้นก็เป็นการทำให้ผู้ศึกษาธรรมไขว้เขวอยู่ อโศกะดูแล้วอยากเตือนแต่ไม่อยากยุ่ง


แหม่ จะเก่งเกินพระพุทธเจ้าไปแล้วมั๊ง นี่แหละความหลงในสังสารวัฏ



สภาวะ หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
ทั้งที่มีเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิต และเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่

โดยสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
เป็นลักษณะอาการ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ของสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ

ว่าด้วยผัสสะ

ภิกษุ ท. ! อาศัยตากับรูป เกิด จักขุวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางตา) ขึ้น,
อาศัยหูกับเสียง เกิด โสตวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางหู) ขึ้น,
อาศัยจมูกกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางจมูก) ขึ้น,
อาศัยลิ้นกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางลิ้น) ขึ้น,
อาศัยกายกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางกาย) ขึ้น,
และอาศัยใจกับธรรมารมณ์ เกิด มโนวิญญาณ (ความรู้แจ้งทางใจ) ขึ้น ;

ความประจวบกันแห่งสิ่งทั้งสาม (เช่น ตา รูป จักขุวิญญาณ เป็นต้น แต่ละหมวด) นั้น
ชื่อว่า ผัสสะ.

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดมีเวทนา อันเป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง.

บุคคลนั้น เมื่อ สุขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่,
อนุสัยคือราคะ ย่อมนอนเนื่อง อยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ ทุกขเวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ย่อมระทมใจ คร่ำครวญ
ตีอกร่ำไห้ ถึงความหลงใหลอยู่,

อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

เมื่อ เวทนาอันไม่ทุกข์ไม่สุข ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่รู้ตามเป็นจริง
ซึ่งเหตุให้เกิดเวทนานั้นด้วย ซึ่งความดับแห่งเวทนานั้นด้วย

ซึ่งอัสสาทะ (รสอร่อย) ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งอาทีนพ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย
ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่องออกพ้น) ของเวทนานั้นด้วย,

อนุสัยคืออวิชชา ย่อมนอนเนื่องอยู่ในสันดานของบุคคลนั้น.

ภิกษุ ท. ! บุคคลนั้นหนอ ยังละอนุสัย คือ ราคะในเพราะสุขเวทนาไม่ได้,
ยังบรรเทาอนุสัย คือ ปฏิฆะในเพราะทุกขเวทนาไม่ได้,
ยังถอนอนุสัย คือ อวิชชาในเพราะอทุกขมสุขเวทนาไม่ได้,
ยังละอวิชชาไม่ได้ และยังทำวิชชาให้เกิดขึ้นไม่ได้แล้ว

จักทำที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐธรรมนี้ ดังนี้ :
ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
- อุปริ. ม. ๑๔/๕๑๖/๘๒๒.



ผัสสะ

อานนท์ ! คราวหนึ่งเราอยู่ที่ป่าไผ่ เป็นที่ให้เหยื่อแก่กระแตใกล้กรุงราชคฤห์นี่แหละ,

ครั้งนั้น เวลาเช้า เราครองจีวรถือบาตร เพื่อไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ คิดขึ้นมาว่า ยังเช้าเกินไปสำหรับการบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ถ้าไฉน เราเข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่นเถิด.

เราได้เข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่น กระทำสัมโมทนียกถาแก่กันและกัน นั่งลง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.

อานนท์ ! ปริพาชกเหล่านั้น ได้กล่าวกะเรา ผู้นั่งแล้ว อย่างนี้ว่า

“ท่านโคตมะ ! มีสมณพราหมณ์บางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง,

มีสมณพราหมณ์อีกบางพวกที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติ ความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้,

มีสมณพราหมณ์อีกบางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า ไม่ใช่ทำเอง หรือใครทำให้ ก็เกิดขึ้นได้.

ในเรื่องนี้ ท่านโคตมะของพวกเรา กล่าวสอนอยู่อย่างไร ?
และพวกเรากล่าวอยู่อย่างไร ?

จึงจะเป็นอันกล่าวตามคำ ที่ท่านโคตมะกล่าวแล้ว,
ไม่เป็นการกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง
และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม จะไม่พลอยกลายเป็น ผู้ควรถูกติเตียนไปด้วย ?”
ดังนี้.

อานนท์ ! เราได้กล่าวกะปริพาชกทั้งหลาย เหล่านั้นว่า

ปริพาชกทั้งหลาย !
เรากล่าวว่า ทุกข์ อาศัยเหตุปัจจัย (ของมันเอง เป็นลำดับๆ) เกิดขึ้น.

มันอาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ?

อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ.

ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่เรากล่าว.
นิทาน. สํ. ๑๖/๔๑/๗๖.


ผัสสะ

อานนท์ ! คราวหนึ่งเราอยู่ที่ป่าไผ่ เป็นที่ให้เหยื่อแก่กระแตใกล้กรุงราชคฤห์นี่แหละ,

ครั้งนั้น เวลาเช้า เราครองจีวรถือบาตร เพื่อไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ คิดขึ้นมาว่า ยังเช้าเกินไปสำหรับการบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ถ้าไฉน เราเข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่นเถิด.

เราได้เข้าไปสู่อารามของปริพาชก ผู้เป็นเดียรถีย์เหล่าอื่น กระทำสัมโมทนียกถาแก่กันและกัน นั่งลง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.

อานนท์ ! ปริพาชกเหล่านั้น ได้กล่าวกะเรา ผู้นั่งแล้ว อย่างนี้ว่า

“ท่านโคตมะ ! มีสมณพราหมณ์บางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า เป็นสิ่งที่ตนทำเอาด้วยตนเอง,

มีสมณพราหมณ์อีกบางพวกที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติ ความทุกข์ ว่าเป็นสิ่งที่ผู้อื่นทำให้,

มีสมณพราหมณ์อีกบางพวก ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม
ย่อมบัญญัติความทุกข์ว่า ไม่ใช่ทำเอง หรือใครทำให้ ก็เกิดขึ้นได้.

ในเรื่องนี้ ท่านโคตมะของพวกเรา กล่าวสอนอยู่อย่างไร ?
และพวกเรากล่าวอยู่อย่างไร ?

จึงจะเป็นอันกล่าวตามคำ ที่ท่านโคตมะกล่าวแล้ว,
ไม่เป็นการกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แต่เป็นการกล่าวโดยถูกต้อง
และสหธรรมิกบางคนที่กล่าวตาม จะไม่พลอยกลายเป็น ผู้ควรถูกติเตียนไปด้วย ?”
ดังนี้.

อานนท์ ! เราได้กล่าวกะปริพาชกทั้งหลาย เหล่านั้นว่า

ปริพาชกทั้งหลาย !
เรากล่าวว่า ทุกข์ อาศัยเหตุปัจจัย (ของมันเอง เป็นลำดับๆ) เกิดขึ้น.

มันอาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ?

อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ.

ผู้กล่าวอย่างนี้แล ชื่อว่ากล่าวตรงตามที่เรากล่าว.
นิทาน. สํ. ๑๖/๔๑/๗๖.






asoka เขียน:
ไฉนใยวลัยพร จึงมาบัญญัติว่า ปัจจุบันอารมณ์มีขึ้นกับเฉพาะผัสสะ อธิบายและยกตัวอย่างให้ตรงประเด็นและละเอียดอ่อนกว่านี้ซิ



เอ๋ อ่านหนังสือก็ออก

อ้อ ... คงอ่านแล้ว ไม่เข้าใจ

เป็นเรื่องปกติ สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ชัดสภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นของ "ผัสสะ" ด้วยตนเอง


เรื่องที่เกินจาก ผัสสะ ที่โสกะเขียนลงมาทั้งหมด
เป็นเหตุปัจจัยของโสกะที่มีอยู่ และที่ทำให้เกิดขึ้นใหม่
โสกะต้องแก้ที่ตัวเอง คนอื่นแก้ให้ไม่ได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 19:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:
อ้างคำพูด:
เรากล่าวว่า ทุกข์ อาศัยเหตุปัจจัย (ของมันเอง เป็นลำดับๆ) เกิดขึ้น.

มันอาศัยเหตุปัจจัยอะไรเล่า ?

อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ.

:b16: :b16: :b16:
ใครอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องหรือตีความจากพุทธดำรัสมาไม่ถูกต้องกันแน่ ดูให้ดีๆนะวลัยพร

ผัสสะ เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งใน12ปัจจัย ที่เมื่อไปกระทบเหตุแล้วทำให้เกิดธรรมต่างๆตามวงปฏิจจสมุปบาท

แต่ที่เราสนทนากันนั้นเน้นลงตรงเรื่องปัจจุบันอารมณ์ เข้าใจประเด็นให้ดีๆ

ปัจจุบันอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังปรากฏรู้ขึ้นมาในจิต ณ บัดเดี๋ยวนั้นไม่เป็นปัจจัยไม่เป็นเหตุอะไร แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า "สภาวะ สภาวัง" เป็นธรรมมารมณ์

วลัยพรพยายามจะโยงพุทธพจน์ไปสนับสนุนความเห็นที่ตนและชอบและถนัด จึงเหมารวมเข่งเอาไปหมด แม้เรื่องของปัจจุบันอารมณ์ อันเป็นคนละเรื่องของปัจจัยและผัสสะ ก็เหมาลงว่าเป็นผัสสะไปหมด
s004 s004 s004


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 55, 56, 57, 58, 59, 60, 61, 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร