วันเวลาปัจจุบัน 15 ก.ค. 2025, 20:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 184 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


มั่วมาอีกแล้ว :b17: :b17: :b17:
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2011, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2011, 17:27
โพสต์: 72


 ข้อมูลส่วนตัว


หลับอยุ่ เขียน:

น่ารักมากดีครับท่าน

.....................................................
มองทาง สำรวจทาง รู้ทุกเส้นทาง เผื่อเจอแยกจะได้จำได้ และเลือกเส้นทางได้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2011, 01:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค



วิภังคสูตร
อริยมรรค ๘
[๓๓] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดง จักจำแนกอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง
อริยมรรคนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน? คือ
สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์ ในทุกขสมุทัย
ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน? ความดำริในการออกจากกาม
ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ.
[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณา-
*ติบาต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการ
เลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ.
[๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะ
ให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามก
ที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
บังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน
เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.
[๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา
เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสใน
โลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึง
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้
เรียกว่า สัมมาสติ.


[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติย-
*ฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก
วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย
นามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มี
อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.
จบ สูตรที่ ๘
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๑๗๔ - ๒๑๐. หน้าที่ ๘ - ๙.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 เม.ย. 2011, 01:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค



สุกสูตร
มรรคภาวนาที่ตั้งไว้ผิดและตั้งไว้ถูก
[๔๒] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลี หรือเดือยข้าว
ยวะที่บุคคลตั้งไว้ผิด มือหรือเท้าย่ำเหยียบแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือว่าจักให้ห้อเลือด
ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเดือยบุคคลตั้งไว้ผิด ฉันใดก็ดี ภิกษุนั้นแล
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยความเห็น
ที่ตั้งไว้ผิด ด้วยการเจริญมรรคที่ตั้งไว้ผิด ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะ
ความเห็นตั้งไว้ผิด.
[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเดือยข้าวสาลี หรือเดือยข้าวยวะที่บุคคลตั้ง
ไว้ถูก มือหรือเท้าย่ำเหยียบแล้ว จักทำลายมือหรือเท้า หรือว่าจักให้ห้อเลือด ข้อนี้เป็นฐานะที่มี
ได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเดือยบุคคลตั้งไว้ถูก ฉันใดก็ดี ภิกษุนั้นแล ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
จักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยความเห็นที่ตั้งไว้ถูก ด้วยการ
เจริญมรรคที่ตั้งไว้ถูก ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะความเห็นตั้งไว้ถูก.
[๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุจักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพาน
ให้แจ้ง ด้วยความเห็นที่ตั้งไว้ถูก ด้วยการเจริญมรรคที่ตั้งไว้ถูกอย่างไรเล่า? ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิอันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
ฯลฯ ย่อม
เจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุจักทำลายอวิชชา จักยังวิชชาให้เกิด จักทำนิพพานให้แจ้ง ด้วยความเห็นที่ตั้งไว้
ถูก ด้วยการเจริญมรรคที่ตั้งไว้ถูก อย่างนี้แล.
จบ สูตรที่ ๙
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๒๑๑ - ๒๓๐. หน้าที่ ๙ - ๑๐.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2011, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฏก มีใว้ให้ศึกษาตาม ไม่ได้มีไว้ให้เอามาตีความ หรือ เอามาทำวิจัย (เพราะมาจากการตรัสรู้ไม่ได้มาจากการคิด) แต่ การที่ปุถุชนสะสมความเห็นไว้มาก การที่จะมองเห็นความจริงในทีเดียวนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะจะไปเอาความเห็นส่วนตัวไปตีความพระไตรปิฏก มันเป็นไปตามธรรมชาติ

สมมุติสงฆ์ ไปอ่านพระไตรปิฏก เห็นท่านเขียนไว้ว่า ดูกรภิกษุฯ ท่านก็เห็นว่า ฉันก็บวชเป็นภิกษุนะ น่าจะนำมาปฏิบัติได้ แต่ท่านลืมนึกถึงความจริงไปว่า ท่านเป็นสมมุติสงฆ์ ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม ถ้าท่านได้ศึกษาพุทธประเพณีให้ดีก่อน ท่านก็จะพบว่า พระพุทธองค์จะแสดงอนุบุพพิกถาก่อน เมื่อเห็นว่าผู้ฟังเกิดมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงชวนบวช สมัยนั้น การบวชไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ได้โสดาบันท่านไม่ให้บวช พวกพราหมณ์ยังต่อว่าพระพุทธองค์ว่าผูกขาดการบวช ตอยปลายๆพุทธสมัยศาสนาก็เริ่มเสื่อมลง ดูจากพระวินัยที่มีมากขึ้น การที่มีปุถุชนบวชก็เริ่มเกิดขึ้น เรียกว่า เป็นสงฆ์โดยสมมุติ

พระไตรปิฏกที่เป็นรูปเล่ม ถูกทำขึ้นมาเมื่อสมัยพระเจ้าอโศกฯ ก่อนหน้านั้นใช้การท่องจำ เพราะพระอรหันต์ยังมีเหลืออยู่มาก ศาสนาถึงยังเจริญอยู่ได้ การเกิดของพระไตรปิฏกจึงเป็นสัญญานอย่างหนึ่งที่บอกว่า ศาสนาได้เริ่มเสื่อมลงแล้ว

ความจริง ศาสนาพุทธน่าจะหายไปจากสังคมโลกตั้งแต่ที่พระอริยระองค์สุดท้ายดับขันธ์ฯ ไปแล้ว เพราะมรรคก็หายไปกับท่านด้วย แต่เพราะยังมีพระไตรปิฏกที่เป็นรูปเล่มอยู่ มรรคจึงยังอยู่ แต่ก็อยู่ในตำรามาถึง ๑๔๐๐ ปี เพราะไม่มีใครสนใจ มีพวกเรียนโดยไม่ปฏิบัติ กับพวกปฏิบัติโดยไม่เรียน

มรรค ๘ มีปัญญาสัมมาทิฐิเป็นองค์ธรรมเริ่มต้น ดังที่พระพุทธองค์แสดงไว้ในมัคสังยุต สุดท้ายมีสัมมาสมาธิเป็นผล

ธรรมชาติ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทำเหตุผิด ผลก็ผิด ท่านไม่ได้เถียกับผม แต่ท่านกำลังงัดข้อกับความจริง พระสูตรพระวินัยที่ขัดกับความคิดเห็นของท่าน ก็ก็ดีดทิ้งหมด เพราะเอาความเห็นไปตีความพระไตรปิฏก ไม่ได้เรียนเพื่อรู้ แต่อ่านเอาเพื่อจะหาว่า ตรงใหนที่ตรงกับความเห็นของท่านบ้าง เมื่อพบสูตรที่ขัด ท่านก็ข้ามไป หรือหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อของตนเอง แทนที่จะเข้าใจว่า ฉันคงจะตีความพระไตรปิฏกผิด บางทีกลับไปผิดว่า พระไตรปิฏกบันทึกมาผิด ยกมาได้เพียงบางสูตรบางตอน ยกมาทั้งชุดก็ไม่ได้ ทั้งนี้ เป็นเพราะท่านไปเชื่อในสิ่งที่เขาว่ากันต่อๆ มา โดยไม่ได้ทบทวนในพระสูตรพระวินัยให้ดีก่อน ตามพระปาติโมกข์ที่ได้ตรัสไว้ก่อนดับขันธ์

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2011, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เซเรอmul เป็นมิจฉาทิฐิ เพราะไม่เอา ฌาณใดๆเลย :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2011, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


พูดกันดีๆครับ ปิยวาจา ปิยวาจา
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2011, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมงัดกะปริพาชก ไม่ได้งัดกับสัจจะของพระพุทธองค์ :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2011, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 เม.ย. 2011, 19:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แรก..ท่านซุปฯ..ก็เขียนอย่างนี้...
อ้างคำพูด:
พระไตรปิฏก มีใว้ให้ศึกษาตาม ไม่ได้มีไว้ให้เอามาตีความ หรือ เอามาทำวิจัย (เพราะมาจากการตรัสรู้ไม่ได้มาจากการคิด) แต่ การที่ปุถุชนสะสมความเห็นไว้มาก การที่จะมองเห็นความจริงในทีเดียวนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะจะไปเอาความเห็นส่วนตัวไปตีความพระไตรปิฏก มันเป็นไปตามธรรมชาติ


แล้ว..ข้างล่างนี้นะ....ใช่เป็นการ..คิดเองของท่านซุปฯ..หรือเปล่า???
อ้างคำพูด:
ถ้าท่านได้ศึกษาพุทธประเพณีให้ดีก่อน ท่านก็จะพบว่า พระพุทธองค์จะแสดงอนุบุพพิกถาก่อน เมื่อเห็นว่าผู้ฟังเกิดมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงชวนบวช สมัยนั้น การบวชไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ได้โสดาบันท่านไม่ให้บวช


แล้ว..ก็ผิดซะด้วย..

ถามหน่อย..ท่านซุปฯ..รู้จัก..ท่านใบลานเปล่านามว่า..โปฏฐิละ ..มั้ย???

แล้ว...ท่านจุฬบันถก..ละ..รู้จักมั้ย??

ตอนบวชใหม่ ๆ...เป็นโสดาฯ...ที่ไหน..ก็ยังเป็นปุถุชน..เรานี้แหละ
.
และ..มีอีกเยอะ..มาก...

เมื่อไร..จะเลิกกล่าวตู่พระไตรปิฎก...โฆษณาว่าปุถุชนอย่าได้ปฏิบัติตามธรรมของอริยะ..ซะที

กรรมหนักมาก..รู้มั้ย

ต้องปฏิบัติตามอาจารย์ที่โกหกหลอกลวงว่าเป็นอริยะเจ้าคนนั้นคนเดียวนะหรือ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2011, 09:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
พระไตรปิฏก มีใว้ให้ศึกษาตาม ไม่ได้มีไว้ให้เอามาตีความ หรือ เอามาทำวิจัย (เพราะมาจากการตรัสรู้ไม่ได้มาจากการคิด) แต่ การที่ปุถุชนสะสมความเห็นไว้มาก การที่จะมองเห็นความจริงในทีเดียวนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะจะไปเอาความเห็นส่วนตัวไปตีความพระไตรปิฏก มันเป็นไปตามธรรมชาติ

สมมุติสงฆ์ ไปอ่านพระไตรปิฏก เห็นท่านเขียนไว้ว่า ดูกรภิกษุฯ ท่านก็เห็นว่า ฉันก็บวชเป็นภิกษุนะ น่าจะนำมาปฏิบัติได้ แต่ท่านลืมนึกถึงความจริงไปว่า ท่านเป็นสมมุติสงฆ์ ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม ถ้าท่านได้ศึกษาพุทธประเพณีให้ดีก่อน ท่านก็จะพบว่า พระพุทธองค์จะแสดงอนุบุพพิกถาก่อน เมื่อเห็นว่าผู้ฟังเกิดมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว จึงชวนบวช สมัยนั้น การบวชไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่ได้โสดาบันท่านไม่ให้บวช พวกพราหมณ์ยังต่อว่าพระพุทธองค์ว่าผูกขาดการบวช ตอยปลายๆพุทธสมัยศาสนาก็เริ่มเสื่อมลง ดูจากพระวินัยที่มีมากขึ้น การที่มีปุถุชนบวชก็เริ่มเกิดขึ้น เรียกว่า เป็นสงฆ์โดยสมมุติ

พระไตรปิฏกที่เป็นรูปเล่ม ถูกทำขึ้นมาเมื่อสมัยพระเจ้าอโศกฯ ก่อนหน้านั้นใช้การท่องจำ เพราะพระอรหันต์ยังมีเหลืออยู่มาก ศาสนาถึงยังเจริญอยู่ได้ การเกิดของพระไตรปิฏกจึงเป็นสัญญานอย่างหนึ่งที่บอกว่า ศาสนาได้เริ่มเสื่อมลงแล้ว

ความจริง ศาสนาพุทธน่าจะหายไปจากสังคมโลกตั้งแต่ที่พระอริยระองค์สุดท้ายดับขันธ์ฯ ไปแล้ว เพราะมรรคก็หายไปกับท่านด้วย แต่เพราะยังมีพระไตรปิฏกที่เป็นรูปเล่มอยู่ มรรคจึงยังอยู่ แต่ก็อยู่ในตำรามาถึง ๑๔๐๐ ปี เพราะไม่มีใครสนใจ มีพวกเรียนโดยไม่ปฏิบัติ กับพวกปฏิบัติโดยไม่เรียน

มรรค ๘ มีปัญญาสัมมาทิฐิเป็นองค์ธรรมเริ่มต้น ดังที่พระพุทธองค์แสดงไว้ในมัคสังยุต สุดท้ายมีสัมมาสมาธิเป็นผล

ธรรมชาติ มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทำเหตุผิด ผลก็ผิด ท่านไม่ได้เถียกับผม แต่ท่านกำลังงัดข้อกับความจริง พระสูตรพระวินัยที่ขัดกับความคิดเห็นของท่าน ก็ก็ดีดทิ้งหมด เพราะเอาความเห็นไปตีความพระไตรปิฏก ไม่ได้เรียนเพื่อรู้ แต่อ่านเอาเพื่อจะหาว่า ตรงใหนที่ตรงกับความเห็นของท่านบ้าง เมื่อพบสูตรที่ขัด ท่านก็ข้ามไป หรือหาเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อของตนเอง แทนที่จะเข้าใจว่า ฉันคงจะตีความพระไตรปิฏกผิด บางทีกลับไปผิดว่า พระไตรปิฏกบันทึกมาผิด ยกมาได้เพียงบางสูตรบางตอน ยกมาทั้งชุดก็ไม่ได้ ทั้งนี้ เป็นเพราะท่านไปเชื่อในสิ่งที่เขาว่ากันต่อๆ มา โดยไม่ได้ทบทวนในพระสูตรพระวินัยให้ดีก่อน ตามพระปาติโมกข์ที่ได้ตรัสไว้ก่อนดับขันธ์



อ่านพระไตรปิฎกแล้วต้องโยนิโสมนสิการไหม อย่างนั้นถือว่าเป็นการตีความหรือไม่

อีกประการหนึง

โสดาบันไม่ต้องปริยัติพระสูตรพระวินัยก็จักถึงพระอรหันต์แน่นอน

ปุถุชนสิยังต้องสิกขา

ยังเป็นเสขะ

อริยสงฆ์นั้นท่านเรียกอเสขะ

เจริญทำ

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2011, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
สิ่งที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฏก คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง พระไตรปิฏกจึงไม่ใช่ตำราทั่วไป เป็นบันทึกเรื่องราว และข้อเท็จจริง อริยสาวก รู้เห็นความจริงเหมือนกันหมด เพราะพบสัจจะเดียวกัน สมัยที่พุทธรุ่งเรือง สาวกจะพูดสัจจะอย่างหนึ่งอย่างใดเป็น ๒ ก็ยังไม่มี

การแสดงความจริง จึงเหมือนลอกตำรามาตอบ ตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่เหมือน นั่นแหละผิด .. นักปฏิบัติสมัยนี้ เมื่อลองผิดลองถูก แล้วพบว่า สิ่งที่ตนเองพบไม่เหมือนที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฏก กลับคิดไปว่า พระไตรปิฏกคงบันทึกมาผิด แทนที่จะคิดว่า ฉันปฏิบัติผิดตรงใหน ทำไมไม่เหมือน blue print!

ลำดับการเกิดของปัญญา ตามที่พระสารีบุตรได้เรียบเรียงไว้ คือ ปัญญาได้มาจากการฟังหรือการอ่าน เมื่อเกิดปัญญาแล้ว ก็สำรวมหรือรักษาไว้ และฝึกทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ตามลำดับ

จิตคนเราไม่บริสุทธิ์ มีโลภะ โทสะ โมหะ ทำให้สกปรก ปุถุชนจะต้านทานอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ ได้ไม่ง่ายเลย ถ้าได้ลดมันลงด้วยปัญญาที่มาจากการวิปัสสนา จิตจะเริ่มถูกฟอกให้สะอาดมากขึ้นเรื่อยๆ และจะส่งผลให้เห็นความจริงชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ

ที่มันเป็นแบบนี้ ก็เพราะมันเป็นไปตามกฏธรรมชาติ ๒ กฏ หรือ มันเป็นครรลองคลองธรรม

ผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มีความเคารพยำเกรงในพระศาสดา จะยกชื่อพระศาสดามาอ้าง ตรวจแล้วตรวจอีก เพราะกลัวผิด เพราะการแสดงสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสว่าพระพุทธองค์ตรัส เป็นบาปที่จะส่งลงไปถึงมหานรกอเวจีได้เลยทีเดียว


พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้สนทนาธรรมตามกาล

ธรรมไหนละ ก็ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ

ธรรมที่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆก็คนพบในธรรมเดียวกัน

ธรรมนั้นมีอยู่แล้ว เป็นธรรมฐิติ ธรรมธาตุ ธรรมชาติ

จะพูดกี่ครั้ง ท่องกี่หนก็ต้องเป็นธรรมเดียวนั่นเอง

ปุถุชนเมื่อสนทนาธรรมต้องมีถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ

กรรมคือการกระทำ การสนทนาธรรมถ้าผิดแล้วจะตกนรกหรือไม่ขึ้นอยู่กับเจตนา

ถ้าสนทนาธรรมเพื่ออามิสสินบูชาถึงสนทนาธรรมตามพระพุทธพจน์ก็ผิด

ถ้ามีเจตนาลดกิเลสถึงแม้แค่ท่องภาษาบาลีที่ตนไม่เข้าใจ ผิดทั้งสำเนียงและอักขระก็เป็นกุศล

ธรรมมีไว้เพื่อศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้เกิดปัญญา เกิดวิชชา สำหรับดับทุกข

ไมได้เอาไว้ตั้งบนหิ้งบูชา

หรือแบกเอาไว้บนบ่าเพื่อเทิดทูน

ศรัทธามีไว้เพื่อเป็นพละกำลังเริ่มต้นแห่งการปฎิบัติธรรม

ศรัทธาที่ผิด หรือมากเกินไปก็เป็นผลร้าย ทำให้เกิดเสน่หา งมงาย

ฉนั้นเมื่อสนทนาธรรมจงถ้อยทีถ้อยอาศัย อย่ายกตนข่มท่าน

อย่าสู่รู้ทุกเรื่อง

อย่าทำตนเป็นอริยะบุคคล

เจริญทำ



.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2011, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
เพราะการแสดงสิ่งที่พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสว่าพระพุทธองค์ตรัส เป็นบาปที่จะส่งลงไปถึงมหานรกอเวจีได้เลยทีเดียว




Quote Tipitaka:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑

เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิด
แต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิด
นรก ซึ่งมีการกระทำนี้เป็นเหตุ.
แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิดเข้า
นรก ซึ่งมีการกระทำนี้เป็นเหตุ.
ที่ชื่อว่า การนำธรรมารมณ์เข้าไป ได้แก่ภิกษุแสดงเรื่องนรกแก่คนผู้ควรเกิดในนรก
ด้วยตั้งใจว่า เขาฟังเรื่องนรกนี้แล้ว จักตกใจตาย ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ เขาฟังเรื่องนรกนั้น
เรื่องพรรณนานรก ๓ เรื่อง เรื่องตัดต้นไม้ที่เมืองอาฬวี ๓ เรื่อง
เรื่องพรรณนานรก ๓ เรื่อง
๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งพรรณนาเรื่องนรกแก่ผู้ควรเกิดในนรก คนนั้นตกใจ-
๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความประสงค์จะให้ตาย จึงพรรณนาเรื่องนรกแก่
คนผู้ควรเกิดในนรก คนนั้นตกใจตาย เธอมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ
๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความประสงค์จะให้ตาย จึงพรรณนาเรื่องนรกแก่ผู้
ควรเกิดในนรก คนนั้นตกใจ แต่ไม่ตาย เธอมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้กล่าวชมอุตตริ
ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งมีการกระทำนี้แลเป็นเหตุ ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของ
ภิกษุผู้เลวทรามเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงซึ่งนรก เพราะกรรมทั้งหลายที่เลวทราม ภิกษุ
ราชคฤห์นี่เอง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เขาหมกไหม้อยู่ในนรกหลายปี หลายร้อยปี หลาย
ต้องการจากสถานที่นี้ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เขาหมกไหม้ในนรก หลายปี หลายร้อยปี
ทั้งหลาย แต่แม่น้ำตโปทานี้ ไหลผ่านมาในระหว่างมหานรกสองขุม เพราะฉะนั้น แม่น้ำตโปทานี้
[๔๐๗] เรื่องสีแดง เรื่องขนแข็ง เรื่องขนรก เรื่องขนหยาบ เรื่องขนยาว เรื่องนาหว่าน
เรื่องขนรก
น้องหญิง เธอมีขนรก

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2011, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ต้องปฏิบัติตามอาจารย์ที่โกหกหลอกลวงว่าเป็นอริยะเจ้าคนนั้นคนเดียวนะหรือ



ท่านกบใบ้หน่อยว่าใคร

ผมห่างเหินยุทธจักรไปนาน

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2011, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครหรือ???? กบน้อยเกโระ :b10: ขอตัวไปสูบบุหรี่อาบน้ำทำงานก่อนนะ ดึกๆเจอกัน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 184 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร