วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 18:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 26  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 20:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเชื่อเดิมบางส่วน....พินาศไปเรียบร้อย

บางส่วน....โยกเย้กจวนเจียนจะพัง....

ปลุกปลอบใจยกใหญ่...หลับยังฟันได้อีก

บางส่วน...กลับหนักแน่นอย่างเหลือเชื่อ

วันนี้..เห็นช่องแล้ว s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 20:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:
ขอบพระคุณทั้ง2 ท่านครับ
:b8: :b8: :b8: เป็นเช่นนั้นแล

ท่านกบ ช่วยอธิบายสิ่งที่ท่านเข้าใจ ให้ผมฟังบ้างซิครับ ปัญญาผมไม่ค่อยจะมีนัก :b3: :b8:


คุณฝึกจิต.....จำการไล่ย้อนกลับปฏิจจะ...แบบแปลก ๆ...ของกัลญานมิตรที่ผมเขียนลงในกระทู้ก่อนนี้ได้หรือเปล่า?

ที่เริ่มใคร่ครวญ..ตัดจากปลาย....ไล่ไปหาราก...

หากเราไม่เอาแต่แรกแล้ว....อาการไขว้ขว้างก็ไม่มีงั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:

ก.ถาม – สาธุ ข้าพเจ้าเข้าใจแจ่มแจ้งทีเดียว แต่เมื่ออาสวะไม่ได้
ดองอยู่เสมอ แล้วทำไมท่านจึงกล่าวว่าเวลาที่พระอรหันต์สำเร็จขึ้นใหม่ ๆ
โดยมากตามที่ได้ฟังมาในแบบท่านรู้ว่าจิตของท่านพ้นแล้วจากกามาสวะ
ภาวสวะ อวิชชาสวะ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่าผู้ที่ยังไม่พ้นก็ต้องมีอาสวะประจำ
อยู่กับจิตเป็นนิตย์ไป ไม่มีเวลาว่าง กว่าจะพ้นได้ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ?

ข.ตอบ – ถ้าขืนทำความเห็นอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีเวลาพ้นจริงด้วย
เมื่ออาสวะอยู่ประจำพื้นเพของจิตแล้ว ก็ใครจะละได้เล่า
พระอรหันต์ก็คงไม่มีในโลกได้เหมือนกัน นี่ความจริงมันไม่ใช่เช่นนี้
จิตนั้นส่วนหนึ่งเป็นประเภททุกขสัจ อาสวะส่วนหนึ่งเป็นประเภทสมุทัย
อาศัยจิตเกิดขึ้นชั่วคราว เมื่อจิตคราวนั้นดับไปแล้ว อาสวะที่ประกอบกับจิต
ในคราวนั้นก็ดับไปด้วย อาสวะที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ นั้น เพราะอาศัยการเพ่งโทษ
ถ้าเราจักตั้งใจไม่เพ่งโทษใคร ๆ อาสวะก็จะเกิดได้ด้วยยากเหมือนกัน
เมื่อบุคคลตามมองดู ซึ่งโทษของผู้อื่น เป็นบุคคลมีความหมายจะยกโทษเป็นนิตย์
อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญขึ้นแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้นเป็นผู้ห่างไกลจากธรรม
ที่สิ้นอาสวะ ถ้าฟังตามคาถาพระพุทธภาษิตก็จะทำให้เราชัดได้ว่า
อาสวะนั้นมีมาในเวลาที่เพ่งโทษ เรายังไม่เพ่งโทษ อาสาวะก็ยังไม่มีมา
หรือเมื่อจิตที่ประกอบด้วยอาสวะคราวนั้นดับไปแล้ว
อาสวะก็ดับไปด้วย ก็เป็นอันไม่มีเหมือนกัน
การที่เห็นว่าอาสวะมีอยู่เสมอจึงเป็นความเห็นผิด


สมองมันเลยคิดว่า....

แค่เราไม่เอา....ก็มีสิทธิไปนิพพานได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
eragon_joe เขียน:

ก.ถาม – สาธุ ข้าพเจ้าเข้าใจแจ่มแจ้งทีเดียว แต่เมื่ออาสวะไม่ได้
ดองอยู่เสมอ แล้วทำไมท่านจึงกล่าวว่าเวลาที่พระอรหันต์สำเร็จขึ้นใหม่ ๆ
โดยมากตามที่ได้ฟังมาในแบบท่านรู้ว่าจิตของท่านพ้นแล้วจากกามาสวะ
ภาวสวะ อวิชชาสวะ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่าผู้ที่ยังไม่พ้นก็ต้องมีอาสวะประจำ
อยู่กับจิตเป็นนิตย์ไป ไม่มีเวลาว่าง กว่าจะพ้นได้ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ?

ข.ตอบ – ถ้าขืนทำความเห็นอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีเวลาพ้นจริงด้วย
เมื่ออาสวะอยู่ประจำพื้นเพของจิตแล้ว ก็ใครจะละได้เล่า
พระอรหันต์ก็คงไม่มีในโลกได้เหมือนกัน นี่ความจริงมันไม่ใช่เช่นนี้
จิตนั้นส่วนหนึ่งเป็นประเภททุกขสัจ อาสวะส่วนหนึ่งเป็นประเภทสมุทัย
อาศัยจิตเกิดขึ้นชั่วคราว เมื่อจิตคราวนั้นดับไปแล้ว อาสวะที่ประกอบกับจิต
ในคราวนั้นก็ดับไปด้วย อาสวะที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ นั้น เพราะอาศัยการเพ่งโทษ
ถ้าเราจักตั้งใจไม่เพ่งโทษใคร ๆ อาสวะก็จะเกิดได้ด้วยยากเหมือนกัน
เมื่อบุคคลตามมองดู ซึ่งโทษของผู้อื่น เป็นบุคคลมีความหมายจะยกโทษเป็นนิตย์
อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญขึ้นแก่บุคคลนั้น บุคคลนั้นเป็นผู้ห่างไกลจากธรรม
ที่สิ้นอาสวะ ถ้าฟังตามคาถาพระพุทธภาษิตก็จะทำให้เราชัดได้ว่า
อาสวะนั้นมีมาในเวลาที่เพ่งโทษ เรายังไม่เพ่งโทษ อาสาวะก็ยังไม่มีมา
หรือเมื่อจิตที่ประกอบด้วยอาสวะคราวนั้นดับไปแล้ว
อาสวะก็ดับไปด้วย ก็เป็นอันไม่มีเหมือนกัน
การที่เห็นว่าอาสวะมีอยู่เสมอจึงเป็นความเห็นผิด


สมองมันเลยคิดว่า....

แค่เราไม่เอา....ก็มีสิทธิไปนิพพานได้


ท่านกบ ไม่เคยฟังเทศนาของท่านพุทธทาสเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่เลยผมว่า เพราะความหมายเดียวกับบทความที่ท่านให้ผมอ่านเลยครับ
จากปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
อนุสัยไม่อาจจะเกิด
เมื่อรู้เท่าทันเวทนา ในปฏิจจสมุปบาท๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! (๑) เพราะอาศัยตาด้วย รูปทั้งหลายด้วย จึงเกิด
จักขุวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรมสามประการ (ตา+รูป + จักขุวิญญาณ)
นั่นคือผัสสะ; เพราะมีปัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา อันเป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง
ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขบ้าง
บุคคลนั้น เมื่อสุขเวทนาถูกต้องอยู่ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำ
สรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่, อนุสัยคือราคะ ย่อมไม่ตามนอน (ไม่เพิ่มความเคยชินให้)
แก่บุคคลนั้น;
เมื่อทุกขเวทนาถูกต้องอยู่ เขาย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่ระทมใจ ย่อมไม่
คร่ำครวญ ย่อมไมตือกร่ำไห้ ย่อมไม่ถึงความหลงใหลอยู่, อนุสัยคือปฏิฆะ ย่อมไม่
ตามนอน (ไม่เพิ่มความเคยชินให้แก่บุคคลนั้น;
เมื่อเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขถูกต้องอยู่ เขาย่อมรู้ตามเป็นจริง ซึ่ง
เหตุให้เกิดเวทนานั้นด้วย ซึ่งความดับไม่เหลือแห่งเวทนานั้นด้วย ซึ่งอัสสาทะ (รสอร่อย)
ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งอาทีนวะ (โทษ) ของเวทนานั้นด้วย ซึ่งนิสสรณะ (อุบายเครื่อง
ออกพ้นไป) ของเวทนานั้นด้วย, อนุสัยคืออวิชชา ย่อมไม่ตามนอน (ไม่เพิ่มความ
เคยชินให้) แก่บุคคลนั้น.
๑ฉฉักกสูตร อุปริ. ม.๑๔/๕๑๘/๘๒๓, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่เชตวัน.
๓๔๔ ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ – หมวดที่ ๖
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! บุคคลนั้นหนอ ละราคานุสัยอันเกิดจากสุขเวทนา
เสียได้แล้ว; บรรเทาปฏิฆานุสัยอันเกิดจากทุกขเวทนาเสียได้แล้ว; ถอนอวิชชานุสัย
อันเกิดจากอทุกขสุขเวทนาเสียได้แล้ว; เมื่อละอวิชชาเสียได้แล้ว และทำวิชชาให้เกิด
ขึ้นได้แล้ว เขาจักทำที่สุดแห่งทุกข์ ในทิฏฐธรรม (ปัจจุบัน) นี้ได้ นั้น; ข้อนี้เป็น
ฐานะที่จักมีได้.

พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุ บุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ซึ่ง ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ...รูป... เสียง... กลิ่น... รส... โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์
บุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งจักขุวิญญาณ.... โสตวิญญาณ... ฆานวิญญาณ.... ชิวหาวิญญาณ... กายวิญญาณ... มโนวิญญาณ...
บุคคลรู้อยู่เห็นอยู่ซึ่งจักขุสัมผัส... โสตสัมผัส...ฆานสัมผัส... ชิวหาสัมผัส... กายสัมผัส... มโนสัมผัส...สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดเพราะ (สัมผัส ๖) เป็นปัจจัยว่าเป็นของไม่เที่ยง สังโยชน์จึงจะถูกถอดถอน... จึงจะละอาสวะได้.... อาสวะจึงจะถอดถอน... จึงจะละอนุสัยได้.... อนุสัยจึงจะถูกถอดถอน...”

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วคุณฝึกจิตเชื่อหรือไม่ว่า....

เรา..ตั้งใจ..ไม่เอา...ตั้งแต่แรก..ได้

เช่น..ตั้งใจไม่เอาเวทนา

ผัสสะ...แล้วก็หาย
ผัสสะ...แล้วก็หาย

แบบนี้จะเป็นไปได้มั้ย?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 21:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
แล้วคุณฝึกจิตเชื่อหรือไม่ว่า....

เรา..ตั้งใจ..ไม่เอา...ตั้งแต่แรก..ได้

เช่น..ตั้งใจไม่เอาเวทนา

ผัสสะ...แล้วก็หาย
ผัสสะ...แล้วก็หาย

แบบนี้จะเป็นไปได้มั้ย?

ตัวอย่างครับ "ที่ท่านว่า ไม่เอาตั้งแต่แรก"
พระอานนท์พุทธอนุชากราบทูลถามข้อหนึ่งว่า "ข้าพระองค์ (ภิกษุทั้งปวง)

จะพึงปฏิบัติตนต่อสตรีอย่างไร"
พระองค์ตรัสว่า "ไม่เห็นเป็นดีที่สุด อานนท์"
"ถ้าจำต้องเห็นล่ะ พึงปฏิบัติอย่างไร พระเจ้าข้า"
"ไม่เจรจาด้วย"
"ถ้าจำเป็นจะต้องเจรจา จะพึงปฏิบัติอย่างไร พระเจ้าข้า"
"ถึงตั้งสติไว้ อานนท์"

ผัสสะแล้วไม่ได้หาย แต่ ผัสสะแล้ว ไม่สำคัญใดๆ เพราะมีวิชชาผัสสะ(ที่ผมเคยกล่าว) มารองรับจิตไว้ คือรู้ว่ามันไม่เที่ยง (แต่ต้องทำสมถะและวิปัสสนาให้เข้าถึงจริงๆ) เท่านั้น

"ถึงตั้งสติไว้ อานนท์" เป็นการบอกให้ปฏิบัติ ที่ลงในปัจจุบันขณะ จะได้ตามทันผัสสะ ครับ

ไม่รู้ว่าจะถูกบ้างมั้ยนะครับ อย่าพึงเชื่อ พิจารณาก่อน ครับ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นแบบ....ผัสสะ..แล้ว....สติรู้ทัน...เวทนาไม่เกิด

หรือว่า...ผัสสะแล้ว...เวทนารู้สึกชอบ..ไม่ชอบแล้ว...สติรู้ทัน...ตัณหาไม่เกิด

ที่ยกมาเป็นแบบไหน?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 21:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เอายังงี้...

ผัสสะแล้ว...สุขเวทนาเกิด...เพราะอะไร?
ผัสสะแล้ว...ทุกขเวทนาเกิด...เพราะอะไร?

ทำไมบางอันเกิดสุข...แต่พออีกอันเกิดทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 22:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เป็นแบบ....ผัสสะ..แล้ว....สติรู้ทัน...เวทนาไม่เกิด

หรือว่า...ผัสสะแล้ว...เวทนารู้สึกชอบ..ไม่ชอบแล้ว...สติรู้ทัน...ตัณหาไม่เกิด

ที่ยกมาเป็นแบบไหน?



แล้วท่านว่า พระอรหันต์เขายิ้ม หรือ หัวเราะ ได้อีกมั้ย ละครับ
เอาตามการปรุงแต่งของผมนะครับ :b12: มันก็ทั้ง 2 นั้นแหละครับ เกิดได้ทั้งนั้น เอาตัวอย่างที่ผมทำละกัน เช่น เห็นผู้หญิงเดินมา เหลียวไปมองเห็น แล้วหันกลับมา ไม่พิจารณาใดๆ ก็มี กับ เห็นแล้ว "เอ คนนี่สวยนะ คิดจบแค่นี้ วางเลย ไม่ได้คิดต่อ ก็มี หรือ คนนี้ สวยมาก ชอบ มากเลย แต่สติ เอา "สวยหรือ ก็แค่นั้น เดี่ยวก็แก่ เดี่ยวก็ตาย หรือ อื่นๆ" ก็มี
หรือเรื่อง งดเว้น อาหารเย็น ก็คล้ายๆกัน ครับ
หรือ นั่งดูความหิว โกรธ โลภ หลงตัวเอง ก็เหมือนกัน มีสติรู้ ก็ดูไปดูไป หันมาดูลมหายใจไปเรื่อยๆ มันหายไปเลย

สัญญา จะทำให้เรารู้ว่า สิ่งใดนำมาซึ่ง ทุกข์

ยังไม่ถึงจิตถึงใจเลย
ผมแค่พึงหัดเดิน ยังอยู่ใจกลางนรกอยู่เลย ยังต้องถามทางกับท่านกบ และ คนอื่นอีกเยอะครับ
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 22:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แหม่..ถล่มตัวจริงนะ :b9:

เราไม่พูดถึงอรหันต์นะ...เพราะเรา ๆ กำลังอยู่ช่วงทำความเพียร...คือ..กำลังทำงาน

คนที่ทำงานเสร็จแล้ว....อยู่คนละอารมณ์ :b32:

ใช่ครับ...มีหลายแบบ...ทำได้หลายช่วง

แต่ผมกะจะเอามาแค่..หนึ่งตัวอย่าง...ซึ่งดูมันจะอยากกว่า..ห้ามตัญหา..หรืออุปาทาน

ใช้ครับ....สัญญา....

รู้ว่าอะไร..เป็นอะไร...จึง..เกิดสุข..หรือ..เกิดทุกขเวทนา

รู้ว่าเป็นคุณ....เกิดสุขเวทนา
รู้ว่าเป็นโทษ..เกิดทุกขเวทนา

ทีนี้...ผมจะลองขยายสมการเดิม....นะครับ

ผัสสะแล้ว.....สัญญารู้ว่าอะไรเป็นอะไร...จึงเกิดเวทนา

ทีนี้...พอจะเห็นช่องที่เราจะเข้าไปแทรกแซง...หรือ..บิดเบือนธรรมชาติ...นี้...ได้บ้างหรือยัง?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 22:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยเจอปรากฎการณ์บางอย่าง....ก่อนที่จะมารู้เรื่องปฏิจจะ....นี้

เคยพูดกะเพื่อน ๆ ว่า...

คนเรา...อาจได้ยิน...อย่างที่เราอยากจะได้ยิน...
(คนพูด..พูดอย่างหนึ่ง..คนได้ยิน..ได้ยินอีกอย่าง...อย่างที่คนฟังคิดว่าคนพูด..เขาจะพูดอย่างนี้)

หรือ...แม้แต่การเห็น...ก็อาจจะเห็น...อย่างที่เราอยากจะเห็น
(วัตถุอย่างหนึ่ง....ตาเห็นไปอีกอย่าง...อย่างที่คิดว่าจะเห็น)

แปลกมาก..


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 17 พ.ค. 2012, 22:47, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 22:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เอายังงี้...

ผัสสะแล้ว...สุขเวทนาเกิด...เพราะอะไร?
ผัสสะแล้ว...ทุกขเวทนาเกิด...เพราะอะไร?

ทำไมบางอันเกิดสุข...แต่พออีกอันเกิดทุกข์


เอาแบบที่ผมเข้าใจนะครับ ว่า
"มันเป็นกระบวนการในขันธ์5 ของนาม ครับ"
ไม่ยึดมั่นถือมั่น คือ ละ อุปทาน
แยกธาตุแยกขันธ์ คือ ลด ละ ตัวกูของกู =นามรูป
จิตเห็นจิต =จิตเห็นวิญญาณรับผัสสะ เอาธรรมมาตัด กระแส สมุปบาท ตามสัญญา ก่อนการเกิดทุกข์

ถูกบ้างมั้ยนิ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็ยังไม่มีอะไรผิด...เลยนิ :b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 22:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผมเคยเจอปรากฎการณ์บางอย่าง....ก่อนที่จะมารู้เรื่องปฏิจจะ....นี้

เคยพูดกะเพื่อน ๆ ว่า...

คนเรา...อาจได้ยิน...อย่างที่เราอยากจะได้ยิน...
(คนพูด..พูดอย่างหนึ่ง..คนได้ยิน..ได้ยินอีกอย่าง)

หรือ...แม้แต่การเห็น...ก็อาจจะเห็น...อย่างที่เราอยากจะเห็น
(วัตถุอย่างหนึ่ง....ตาเห็นไปอีกอย่าง)

แปลกมาก..


จิตนี้ มหัศจรรย์นัก
ขนาดที่เห็นหรือได้ยินเป็นอย่างอื่นทันที ทั้งที่ตั้งใจอยากพร้อมสมาธิ ด้วยไม่เคยได้ยินเหมือนกันครับ
ท่านกบ เคยทำ อสุภะมั้ย ครับ แรกๆตอนลด กาม ผมก็ใช้ อสุภะช่วย เห็นเป็นศพบ้าง มีหนอนขึ้นบ้าง แต่ต้องใช้ สมาธิมาก บางครั้งก็ไม่เกิด จนลดได้มากกับการเห็น เข้าใจ ให้เห็นซึ่ง ความไร้ประโยชน์ และมีโทษ ทำให้เราเวียนวายตายเกิด ตอนมี * จริงๆ จึงลดได้มากขึ้น (วิธีเดียวกับการงดอาหารเย็นด้วย)

ส่วนเหตุผลอื่น ไม่ทราบเลยครับท่าน
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ค. 2012, 23:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกจิต เขียน:

เอาแบบที่ผมเข้าใจนะครับ ว่า
"มันเป็นกระบวนการในขันธ์5 ของนาม ครับ"
ไม่ยึดมั่นถือมั่น คือ ละ อุปทาน
แยกธาตุแยกขันธ์ คือ ลด ละ ตัวกูของกู =นามรูป
จิตเห็นจิต =จิตเห็นวิญญาณรับผัสสะ
เอาธรรมมาตัด กระแส สมุปบาท ตามสัญญา ก่อนการเกิดทุกข์
ถูกบ้างมั้ยนิ :b8:

คุณฝึกจิต
...เอาสมการอะไรมาใยนใส่ผมก็ไม่รู้ :b23: :b23: :b23:

แต่ดูอันสุดท้ายน่าจะเข้าเค้ากะที่ผมคิด....อยู่นะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 387 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 26  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร