วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 09:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 18  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็โมทนาสาธุ...กับกุศลที่คุณทำได้....ด้วยนะครับ :b8:

อิทธิบาท 4 ....ก็เป็นธรรมหนึ่งที่จะนำสู่ความสำเร็จได้...

เรื่องกินข้าว...นั้นไม่ใช่ปัญหากับผม.....

แต่เรื่อง...การไม่มีอะไรกับภรรยา...มันบอกอะไรเราได้ละครับ?...คือผมยังไม่มีภรรยา...ก็เลยนึกไม่ได้ว่า...มันเป็นยังงัย... :b10: :b10:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2012, 23:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กิจกรรมบนเตียง ก็จัดอยู่ใน อวิชชา เพราะก่อนจะกระทำลงไปเรามี อาการอย่างไรบ้างหละ รู้สึกกำหนัดไม่ใช่หรอ เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติธรรมน่าจะรู้ข้อนี้ดีนะ สมมติ เราเสพกามราคะ แล้วมานั่งสมาธิ หรือฝึกกสิน ให้มีอภิญญา
คุนน้องเกรงว่า อาจจะตบะแตกก็ได้นะ ไม่รู้เหมือนกันนะคุนน้องก็ถือศีลพรหมจรรย์ :b5:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 04:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ก็โมทนาสาธุ...กับกุศลที่คุณทำได้....ด้วยนะครับ :b8:

อิทธิบาท 4 ....ก็เป็นธรรมหนึ่งที่จะนำสู่ความสำเร็จได้...

เรื่องกินข้าว...นั้นไม่ใช่ปัญหากับผม.....

แต่เรื่อง...การไม่มีอะไรกับภรรยา...มันบอกอะไรเราได้ละครับ?...คือผมยังไม่มีภรรยา...ก็เลยนึกไม่ได้ว่า...มันเป็นยังงัย... :b10: :b10:
โชคดีแล้วครับท่านที่ไม่มี เพราะแค่ 5ขันต์ก็แย่แล้ว ขืนมาอีก5 ก็ไปกันใหญ่555 ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร มันก็คล้ายเรามาสเตอร์เบชั่นนะครับแต่มันให้ความซะใจได้มากกว่า ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ทั้งหมดเลย อันตรายมาก มนุษย์หลายคนต้องลำบากตากตำกับเรื่องแบบนี้มาก สร้างภาระมหาศาลครับ และมนุษย์ต้องตายกับเรื่องนี้มากเลย มันให้รสชาติที่มนุษย์ถอนได้ยากมาก ผมห้ามได้ก็จริงแต่ไม่ขาด ต้องใช้สติปัญญาและสมาธิข่มทีเดียว ไม่รู้จะขาดเมือไหร่ ก็คงต้องอนาคาละมั้งครับ :b17: :b17: :b17:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 25 ก.ค. 2012, 04:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 04:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
กิจกรรมบนเตียง ก็จัดอยู่ใน อวิชชา เพราะก่อนจะกระทำลงไปเรามี อาการอย่างไรบ้างหละ รู้สึกกำหนัดไม่ใช่หรอ เพราะฉะนั้นนักปฏิบัติธรรมน่าจะรู้ข้อนี้ดีนะ สมมติ เราเสพกามราคะ แล้วมานั่งสมาธิ หรือฝึกกสิน ให้มีอภิญญา
คุนน้องเกรงว่า อาจจะตบะแตกก็ได้นะ ไม่รู้เหมือนกันนะคุนน้องก็ถือศีลพรหมจรรย์ :b5:
อนุโมทนาด้วยนะครับกับการถือศิลพรหมจรรย์ได้ (เป็นสิ่งที่บุคคลหาทำได้ยากๆนะครับ )มันไม่ชนะเราได้หรอกเพราะเราเป็นมนุษย์เรามีปัญญา มันเป็นเครื่องพิสูจน์ใจเราเท่านั้นเอง :b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ที่ผมถามคุณเพราะว่า คุณนะเป็นระดับบรรลุธรรมชั้นสูงแล้วไม่ใช่เหรอครับ การทานอาหารกี่มื้อก็ไม่ผิดสำหรับคนปฎิบัติธรรม แต่ถ้าบรลุธรรมแล้วเขาไม่เกินสองมื้อหรอกครับ แต่ถ้าสูงขึ้นมาอีกหน่อยเขาก็แค่มื้อเดียว เพราะการกินเพียงมื้อเดียวร่างกายก็อยู่ได้แล้ว ส่วนที่เหลือมันบทพิสูจน์ ขันติ อุเบกขา ไม่ใช่ว่าหิวหน่อยก็กิน อย่างนี้ก็เพลินซิครับท่านโฮฮับ หรือท่านกินแบบไม่ยึดติดอยากรู้ครับ ส่วนกินทุกอย่างนะกินไปเถอะถ้าไม่มีโทษ :b4: :b4:

ว่าแล้วคิดไว้ไม่ผิด ผมถึงได้บอกคุณไง เพ้อเจ้อเรื่องวางอุเบกขา
แนะนำให้คุณปฏิบัติเรีองทาน ศีล ภาวนา ทางที่ดีบวชเป็นตาเถรถือศีลแปดไปเลย
คงจะได้เห็นสวรรค์รำไรๆ

รู้จักคำว่า "หิวถึงกินไหม" ความหิวกับความอยากกินมันเหมือนกันเหรอ
ความหิวมันเกิดจากร่างกายขาดความสมดุลย์แห่งธาตุขันธ์
ความอยากกินมันเกิดจากการปรุงแต่งของจิต

บิดทู่ลองคิดดูซิว่า การกินอย่างไหนเรียกว่า กินแบบมีสัมมาทิฐิ
bigtoo เขียน:
ที่ผมถามคุณเพราะว่า คุณนะเป็นระดับบรรลุธรรมชั้นสูงแล้วไม่ใช่เหรอครับ การทานอาหารกี่มื้อก็ไม่ผิดสำหรับคนปฎิบัติธรรม แต่ถ้าบรลุธรรมแล้วเขาไม่เกินสองมื้อหรอกครับ แต่ถ้าสูงขึ้นมาอีกหน่อยเขาก็แค่มื้อเดียว เพราะการกินเพียงมื้อเดียวร่างกายก็อยู่ได้แล้ว

แล้วคุณได้ไงครับว่าคนที่บรรลุธรรมแล้ว กินอาหารมื้อเดียวหรือสองมื้อ
คุณนี่แสดงความเห็น ประเภทหยิบโน้นใส่นี่ ทำให้ผมเหนื่อยที่ต้องมาปรับจูนความเห็นคุณ
ให้ตรงกับประเด็น ทั้งๆที่เป็นประเด็นคำถามของคุณเอง

จะถามอะไรใคร มันต้องทำใจกับคำตอบที่ตัวเองยังเข้าไม่ถึงด้วย
ไม่ใช่พอเขาตอบมา ก็บอกว่าไม่ใช่ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจคำตอบนั้น
อันไหนยังไม่เข้าใจก็ถามเขากลับ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันแสดงความเห็นของตัว
ที่ตั้งธงไว้ก่อนแล้ว ยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนจำอวดครับ

กิเลสมันเป็นได้ทั้งความอยากกับความไม่อยาก สิ่งที่ว่ามันเกิดที่จิตใจ
ยิ่งมีข้อกำหนดกฎเกณท์มาบังคับ ยิ่งทำให้กิเลสมีกำลังที่รุนแรง

ดังที่บอกมาแล้วความหิวเกิดที่กาย ความอยากเกิดที่ใจ
เมื่อร่างกายขาดความสมดุลย์ของธาตุ จะด้วยการใช้งาน
หรือการผิดปกติของร่างกายเช่นป่วยไข้ ร่างกายย่อมต้องการ
อาหารมาเสริมสร้างในส่วนที่ขาดหายไป

แต่ด้วยกฎเกณท์เอาศีลมาเป็นข้อบังคับให้กับใจตัวเอง
มันก็จะเกิดกิเลสที่เรียกว่า ความไม่อยาก มาทำให้จิตเกิดโทสะ

พอมองออกหรือยังว่า สัมมาศีลกับศีลพรตปรามาสต่างกันตรงไหน

อีกอย่างจะบอกว่าอย่าทำใจอคติและอย่ามีมิจฉาทิฐิ ความหิวกับความอยากมันคนล่ะเรื่อง
ความหิวอาจกินมื้อเดียวก็ได้ สองมื้อก็ได้มันขึ้นอยู่กับเราใช้งานของร่างกายไปมากเท่าใด

ส่วนความอยากมันไม่มีปริมาณ มันกินของมันเรื่อยตามใจปาก ไม่หิวก็กิน
เพราะประตูทวารกามราคะมันเปิดรับกิเลสอยู่
bigtoo เขียน:
เพราะการกินเพียงมื้อเดียวร่างกายก็อยู่ได้แล้ว ส่วนที่เหลือมันบทพิสูจน์ ขันติ อุเบกขา

ลักษณะการพูดของคุณนี่มันเป็นพวก พูดไปเรื่อยๆไม่มีกรอบของคำพูด หยิบคำพูดคนนั้นนิด
คนนี่หน่อยแล้วก็พูด ไม่รู้หรอกว่า คนอื่นที่เขาพูดเขาก็พูดตามกรอบตามเหตุผลของเขา
คุณไปเอาคำพูดของเขามาแล้วไม่เอาเหตุผลหรือกรอบมาด้วย มันก็เลยดูมั่วๆ คนอ่านๆปวดหัว
ต้องคอยตามล้างตามเช็ดให้

ไอ้ขันติขันแตกอะไรของคุณน่ะ เขาใช้กับใจ ให้อดทนต่อสิ่งที่เป็นอกุศล
ความหิวมันเกิดที่กายไม่ใช่ที่ใจ กายเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติธรรม
เราต้องหมั่นดูแลรักษา
bigtoo เขียน:
ไม่ใช่ว่าหิวหน่อยก็กิน อย่างนี้ก็เพลินซิครับท่านโฮฮับ หรือท่านกินแบบไม่ยึดติดอยากรู้ครับ ส่วนกินทุกอย่างนะกินไปเถอะถ้าไม่มีโทษ

พูดไม่คิด อะไรเรียกหิว อะไรเรียกอยากยังไม่รู้เลย เห็นโม้ว่า แยกรูปแยกนามได้
วางอุเบกขาได้ แค่กายเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลย

หิวน่ะมันต้องกิน แต่ถ้าใจอยากกินมันต้องใช้ขันติ เข้าใจมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 05:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:

ไอ้ขันติขันแตกอะไรของคุณน่ะ เขาใช้กับใจ ให้อดทนต่อสิ่งที่เป็นอกุศล
ความหิวมันเกิดที่กายไม่ใช่ที่ใจ กายเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติธรรม
เราต้องหมั่นดูแลรักษา
[quote="bigtoo เขียน:
ไม่ใช่ว่าหิวหน่อยก็กิน อย่างนี้ก็เพลินซิครับท่านโฮฮับ หรือท่านกินแบบไม่ยึดติดอยากรู้ครับ ส่วนกินทุกอย่างนะกินไปเถอะถ้าไม่มีโทษ

พูดไม่คิด อะไรเรียกหิว อะไรเรียกอยากยังไม่รู้เลย เห็นโม้ว่า แยกรูปแยกนามได้
วางอุเบกขาได้ แค่กายเป็นอย่างไร ใจเป็นอย่างไรยังไม่รู้เลย

หิวน่ะมันต้องกิน แต่ถ้าใจอยากกินมันต้องใช้ขันติ เข้าใจมั้ย
ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละครับว่าหิวนะมันเกิดที่กาย แต่มันเป็นความเคยชินของจิตที่เคยเสพเสียชินชาจนแยกไม่ออกว่ามันเป็นกิเลส คนที่ปฎิบัติธรรมขั้นพื้นฐานนะแยกไม่ออกหรอกครับ แล้วก็จะโน้นเอียงเป็นธรรมดาไม่ใช่เรื่องผิดหรอกนะครับ เพียงแต่อยากให้ทราบว่า ที่เข้าใจว่าถึงธรรมแล้วมันเป็นวิปัสนูกิเลสครับ มันเข้าตำรา รู้หมดแต่มันอดไม่ได้ครับท่าน ลองวางอุเบกขาดูสิครับความหิวนั้นมันเกิดมาแล้วมันก็ดับไปครับ เพราะวางทางกายก็สงผลถึงใจตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ :b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 05:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ไหนๆก็คุยแล้ว ก็ขอต่ออีกหน่อย ผมนะกินข้าวมื้อเดียว แล้วยังทำกับข้าวให้ภรรยากินอีก ท่านลองพิจารณาดีๆนะครับ

ภูมิใจหนักนา ไม่เข้าใจธรรมแล้วก็มั่วให้ตัวเองดูดี
ที่ผมบอกว่าไม่ทำกับข้าวก็เพราะ ของกินมันไม่ใช่สาระไม่ใช่อิทธิบาท
ใจคิดว่ากินอะไรก็ได้กินแค่หายหิว แล้วทำไมต้องไปวุ่นวายกับการทำกับข้าว
ลองตรองดู เป็นเพราะเราอยากกินโน้นกินนี่หรือเปล่าหรือไม่พอใจกับข้าวฝีมือคนอื่น

และอีกอย่างแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารสดที่เอามาทำจะไม่มีสิ่งมีชีวิต
ลองนึกดูตอนเอาเนื้อเอาผักลงไปในกระทะร้อนๆ พวกพยาธิ์พวกหนอน
ชักดิ้นชักงอ แล้วคนดีศรีศีลอย่างคุณไม่รู้สึกรู้สาเลยหรือครับ
bigtoo เขียน:
คุณรู้ไม่ว่ากลิ่นอาหารนะมันยั่วยวนขนาดไหนทำไมผมถึงทำได้ ถ้าท่านมีความคิดในเชิงบวกท่านก็จะคิดอย่างนี้ เขาใชธรรมมะข้อไหนนะถึงทำได้ ไม่ใช่คิดว่าทำเป็นอวดตน จะอวดไปทำอะไรครับไม่เห็นมีสาระเลย ถ้าอวดตนกินข้าวไม่ดีกว่าเหรอครับ

ผมก็ไม่รู้น่ะที่บอกว่าทำกับข้าวให้ภรรยาทาน ไม่รู้ว่าคุณทานด้วยหรือไม่
ถ้าคุณทานด้วยก็ต้องไปดูใจคุณ หาสาเหตุว่าทำไมคุณถึงต้องทำกับข้าวเอง
เป็นเพราะคุณไม่ชอบรสอาหารคนอื่นมั้ย หรือรังเกียจคุณภาพของคนขายและคุณภาพ
ของอาหาร

ถ้าคุณกินข้าวมื้อเดียว ที่ทำอยู่ทำให้ภรรยาอย่างเดียว แต่ดันบอกว่า
กลิ่นหอมยั่วยวน คุณไม่รู้หรือว่าใจมันมีกิเลสแล้ว ใจมันไปปรุงแต่งในสิ่งที่
คุณกำลังทำแล้ว หลงแล้วยังไม่รู้ตัว ส่วนเรื่องที่จะกินหรือไม่ มันก็ต้องแยก
ไปดูว่า ร่างกายคุณต้องการหรือไม่หิวหรือเปล่า

ถ้าร่างกายต้องการ แต่คุณบังคับมันไม่ยอมกิน แบบนี้มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค
ถ้าได้กลิ่นหอมยั่วยวน แต่ไม่กินเพราะร่างกายอิ่มอยู่ นั้นก็เป็นกิเลสอันเกิดจาก
กามคุณห้า หรือเรียกอีกอย่างว่า กามสุขัลลิกานุโยค

ที่ผมพูดมา คุณว่าคุณกำลังหลงมัวเมาแล้วมาอวดตัวหรือเปล่า
มิหน่ำซ้ำยังมาแก้ตัว แบบลิงแก้แหหรือไม่ครับ
bigtoo เขียน:
และเรื่องเพศก็เหมือนกันธรรมมะมันต้องตรง ภรรยาผมยังสาวยังสวยอยู่นะครับ ไม่ใช่ผมไม่มีภรรยาแล้วมาบอกว่าไม่ยุ่งกับผู้หญิง พิจารณาดีๆๆ แล้วจะได้รู้วิธีที่ผมปฎิบัติมันได้ผลครับ ไม่ใช่อวดตน รองพิจารณาดีๆนะครับ สิ่งเหล่านี้ใครทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใครจะไปตำหนิครับ ของแบบนี้ จริงมั้ยท่าน :b4: :b4: :b4:

ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนเตือนให้รู้ว่า อยู่ดีๆหาเรื่องเอาเมียเอาครอบครัวมาอ้าง
ปะเดี๋ยวเขาพูดกระทบเมียเขา ก็จะมาร้องโอดครวญ ผมว่าไม่ต้องลงทุนขนาดนี่ก็ได้

เอาเป็นว่าเรื่องเมียคุณ มันก็เหมือนตอนที่คุณทำกับข้าวแล้วบอกว่า
มันหอมยั่วยวน ลองดูซิว่ามันเหมือนกับที่คุณว่า เมียคุณยังสาวยังสวยนั้นแหล่ะ

ธรรมกุศลและอกุศลมันเกิดที่ใจ มันไม่ได้เกิดที่กาย
กายทำไปเพราะใจสั่ง เข้าใจมั้ย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ไหนๆก็คุยแล้ว ก็ขอต่ออีกหน่อย ผมนะกินข้าวมื้อเดียว แล้วยังทำกับข้าวให้ภรรยากินอีก ท่านลองพิจารณาดีๆนะครับ

ภูมิใจหนักนา ไม่เข้าใจธรรมแล้วก็มั่วให้ตัวเองดูดี
ที่ผมบอกว่าไม่ทำกับข้าวก็เพราะ ของกินมันไม่ใช่สาระไม่ใช่อิทธิบาท
ใจคิดว่ากินอะไรก็ได้กินแค่หายหิว แล้วทำไมต้องไปวุ่นวายกับการทำกับข้าว
ลองตรองดู เป็นเพราะเราอยากกินโน้นกินนี่หรือเปล่าหรือไม่พอใจกับข้าวฝีมือคนอื่น

และอีกอย่างแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารสดที่เอามาทำจะไม่มีสิ่งมีชีวิต
ลองนึกดูตอนเอาเนื้อเอาผักลงไปในกระทะร้อนๆ พวกพยาธิ์พวกหนอน
ชักดิ้นชักงอ แล้วคนดีศรีศีลอย่างคุณไม่รู้สึกรู้สาเลยหรือครับ
bigtoo เขียน:
คุณรู้ไม่ว่ากลิ่นอาหารนะมันยั่วยวนขนาดไหนทำไมผมถึงทำได้ ถ้าท่านมีความคิดในเชิงบวกท่านก็จะคิดอย่างนี้ เขาใชธรรมมะข้อไหนนะถึงทำได้ ไม่ใช่คิดว่าทำเป็นอวดตน จะอวดไปทำอะไรครับไม่เห็นมีสาระเลย ถ้าอวดตนกินข้าวไม่ดีกว่าเหรอครับ

ผมก็ไม่รู้น่ะที่บอกว่าทำกับข้าวให้ภรรยาทาน ไม่รู้ว่าคุณทานด้วยหรือไม่
ถ้าคุณทานด้วยก็ต้องไปดูใจคุณ หาสาเหตุว่าทำไมคุณถึงต้องทำกับข้าวเอง
เป็นเพราะคุณไม่ชอบรสอาหารคนอื่นมั้ย หรือรังเกียจคุณภาพของคนขายและคุณภาพ
ของอาหาร

ถ้าคุณกินข้าวมื้อเดียว ที่ทำอยู่ทำให้ภรรยาอย่างเดียว แต่ดันบอกว่า
กลิ่นหอมยั่วยวน คุณไม่รู้หรือว่าใจมันมีกิเลสแล้ว ใจมันไปปรุงแต่งในสิ่งที่
คุณกำลังทำแล้ว หลงแล้วยังไม่รู้ตัว ส่วนเรื่องที่จะกินหรือไม่ มันก็ต้องแยก
ไปดูว่า ร่างกายคุณต้องการหรือไม่หิวหรือเปล่า

ถ้าร่างกายต้องการ แต่คุณบังคับมันไม่ยอมกิน แบบนี้มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค
ถ้าได้กลิ่นหอมยั่วยวน แต่ไม่กินเพราะร่างกายอิ่มอยู่ นั้นก็เป็นกิเลสอันเกิดจาก
กามคุณห้า หรือเรียกอีกอย่างว่า กามสุขัลลิกานุโยค

ที่ผมพูดมา คุณว่าคุณกำลังหลงมัวเมาแล้วมาอวดตัวหรือเปล่า
มิหน่ำซ้ำยังมาแก้ตัว แบบลิงแก้แหหรือไม่ครับ
bigtoo เขียน:
และเรื่องเพศก็เหมือนกันธรรมมะมันต้องตรง ภรรยาผมยังสาวยังสวยอยู่นะครับ ไม่ใช่ผมไม่มีภรรยาแล้วมาบอกว่าไม่ยุ่งกับผู้หญิง พิจารณาดีๆๆ แล้วจะได้รู้วิธีที่ผมปฎิบัติมันได้ผลครับ ไม่ใช่อวดตน รองพิจารณาดีๆนะครับ สิ่งเหล่านี้ใครทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ใครจะไปตำหนิครับ ของแบบนี้ จริงมั้ยท่าน :b4: :b4: :b4:

ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนเตือนให้รู้ว่า อยู่ดีๆหาเรื่องเอาเมียเอาครอบครัวมาอ้าง
ปะเดี๋ยวเขาพูดกระทบเมียเขา ก็จะมาร้องโอดครวญ ผมว่าไม่ต้องลงทุนขนาดนี่ก็ได้

เอาเป็นว่าเรื่องเมียคุณ มันก็เหมือนตอนที่คุณทำกับข้าวแล้วบอกว่า
มันหอมยั่วยวน ลองดูซิว่ามันเหมือนกับที่คุณว่า เมียคุณยังสาวยังสวยนั้นแหล่ะ

ธรรมกุศลและอกุศลมันเกิดที่ใจ มันไม่ได้เกิดที่กาย
กายทำไปเพราะใจสั่ง เข้าใจมั้ย
อ้าวไหงเป็นอย่างนั้นไปได้ ทีเอาสัตว์มาฆ่ามาทดลอง ก็บอกว่าไม่ผิด ที่ทำกับข้าวว่าผิดแม้แต่เชื้อโรคก็ผิดอุ้ยแย่เลย ส่วนเรื่องทำกับข้าวจะบอกให้ไอ้เรื่องพวกที่ท่านกล่าวมานะ ความวุ่นว่ายนะครับผมทราบแล้วเมื่อสัก10ปีได้แล้วมั้ง ว่าการแสวงหาของกินนะมันเป็นจิตที่มุ่งเข้าหากิเลสว่าอยากกินอะไรก็เดินไปซื้อกิน

นี่แหละครับที่พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงจึงให้พระถึงต้องบิณทบาต หาเลี้ยงชีพนะครับ ผมมิได้อยู่คนเดียวนี่ครับจะได้ทำตามใจตัวผมเอง ถ้าทำตามใจตัวผมเองในโลกนี้แทบไม่ขยับเลยก็ว่าได้ แต่ผมมีครอบครัวมีความรู้สึกของผู้อื่นเข้ามาร่วมด้วย จะต้องทำอย่างไรให้มันเป็นกลางๆ พอรับได้ทั้งสองฝ่าย และผมนี่แหละครับที่ไม่หนีปัญหา ทำก็วางเฉยได้ศรัตรูอยู่ตรงหน้าก็วางเฉยได้ ถึงมันจะรู้สึกบ้างก็วางใจเฉยได้ ส่วนเรื่องภรรยาผมนะใครจะกล่าวอะไรก็แล้วแตใครๆเถอะห้ามความคิดไม่ได้หรอกครับ ที่คุณทำก็ทำถูกแล้วครับที่แสวงหาสิ่งง่ายๆกินนะมันดีทำไปเถอะยินดีด้วย แต่สิ่งไหนยังขาดอยู่ก็เติมเอาครับ และเรื่องอัตตกิละ กามสุขขัน เดียวค่อยว่ากันมันลึกซึ้งมากจะอธิบายให้ดูตอนหลัง

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


นามรูป....

ส่วนใหญ่....จะพูดแต่การทำงานของนาม...

แต่การทำงานของรูป....กลับหมายเอาแค่ที่นามสั่ง.....

huh


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 07:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ธ.ค. 2011, 21:40
โพสต์: 952


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่าน bigtoo ไม่รู้จักท่าน โฮ ดีพอประมาณ เลยต่อความยาวสาวความยืด :b32: :b32: :b32:
ขอโทษนะท่าน โฮ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 08:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
bigtoo เขียน:
ธรรมกุศลและอกุศลมันเกิดที่ใจ มันไม่ได้เกิดที่กาย
กายทำไปเพราะใจสั่ง เข้าใจมั้ย[/b]
พี่โฮ พระพุทธองค์ทรงดรัสรู้แสดงว่าสิ่งไหนดีที่สุดพระพุทธองค์ก็ทรงเอามาปฎิบัติถูกต้องนะครับ(ดีที่สุดถูกที่สุด) เช่นทานอาหารมื้อเดียว งดเรื่องกิจกามต่างๆ อันนี้ถูกต้องยอมรับกันได้ใช่มั้ยครับ แต่พระองค์ก็ทรงทราบว่าแต่ละคนก็มีอินทรีย์แตกต่างกัน ในเรื่องการกินการอยู่ การใช่ชีวิต การปฎิบัติธรรมก็เข้าถึงต่างกัน ทุกท่านมีสิทธิจะทานกี่มื้อก็ได้ ไม่มีใครตำหนิใครหรอกครับ ภรรยาผมก็กินอาหาร3มื้อ ผมไม่ตำหนิเขา ไม่เบียดเบียนกัน แต่ที่เรากล่าวกันตรงนี้เราเป็นผู้ปฎิบัติธรรมกันก็กล่าวหาจุดตรวจสอบหาสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นเอง จะทำตามไม่ทำตาม ใครจะว่าใครได้ละจริงมั้ยท่าน การกินนะมันละเอียดอ่อน แม้ในขณะที่เราเอื้อมมือไปตักอาหารที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเรานะรู้มั้ยมันก็เป็นกิเลสแล้ว พระองค์ถึงให้พิจารณาอารหารให้ป็นเรื่องใหญ่กิเลสมันเข้าประตูนี้ง่าย :b4: :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


คุนน้องพิจารณาการกินว่า กินเพื่ออยู่กินเพื่อไม่ให้ร่างกายหิว กินโดยปราศจากกิเลศกินอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้อง
เจาะจงว่ารสอาหารจะดีหรือแย่ ตามปกติก็กินกัน 3 มื้อ คุนน้องจะกินต่อเมื่อหิวเช่นกันและกินเท่าที่ร่างกายต้องการใช้งานในแต่ละวัน คุนน้องรู้ว่า ร่างกายแต่ละคนมีความต้องการพลังงานไม่เท่ากัน คนสบายหน่อยไม่ได้ทำงานหนัก อาจจะกิน มื้อเดียว หรือ สองมื้อ แต่ถ้าเป็นคนที่ต้องทำงานโดยใช้พลังงานมาก ก็ต้องกินมาก อันนี้มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรยึดติดว่า คนที่เค้ากิน3มื้อ จะปฏิบัติธรรมสู้คนที่เค้ากินแค่มื้อเดียวไม่ได้ มันต่างกันแค่ เหตุปัจจัยที่เป็นอยู่เท่านั้น อย่างที่คุนน้องบอกว่า ถือศีลพรหมจรรย์ ไม่ใช่เพราะคิดว่ามันดีกว่าถือศีล5ธรรมดา
แต่จิตเห็นโทษในสิ่งนั้น คุนน้องไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น เพราะว่าไม่มีคนที่ตัวเองรักอยู่ในโลกนี้แล้ว คุนน้องก็เลยปลงได้ เพราะจิตเห็นสัจธรรมความจริงแล้ว เคยสอบอารมณ์ตัวเองนะและไม่ใช่ไปข่มอารมณ์ ลองมองดูคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่ตนรัก ลองทำอารมณ์ว่าเราสามารถเกิดตัณหาอย่างว่ากับคนนั้นได้หรือไม่..ตอนทดสอบก็มีความพอใจในรุปราคะขึ้นมาแว๊บนึง แต่พอลองสอบอารมณ์ลงไปอีกขั้นลึกซึ้ง..ใจก็บอกว่า มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันจะบอกแบบนี้และจะไม่มีความรู้สึกอย่างว่าเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะจิตที่ผุกพันธ์กับสามี กิเลศตันหาในเรื่องนั้นมันก็เลยดับลงสิ้นเชิง
ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้เป็นแบบนี้แล้ว คุนน้องก็คงต้องเดินหน้าเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารเหมือนกัน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
คุนน้องพิจารณาการกินว่า กินเพื่ออยู่กินเพื่อไม่ให้ร่างกายหิว กินโดยปราศจากกิเลศกินอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้อง
เจาะจงว่ารสอาหารจะดีหรือแย่ ตามปกติก็กินกัน 3 มื้อ คุนน้องจะกินต่อเมื่อหิวเช่นกันและกินเท่าที่ร่างกายต้องการใช้งานในแต่ละวัน คุนน้องรู้ว่า ร่างกายแต่ละคนมีความต้องการพลังงานไม่เท่ากัน คนสบายหน่อยไม่ได้ทำงานหนัก อาจจะกิน มื้อเดียว หรือ สองมื้อ แต่ถ้าเป็นคนที่ต้องทำงานโดยใช้พลังงานมาก ก็ต้องกินมาก อันนี้มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรยึดติดว่า คนที่เค้ากิน3มื้อ จะปฏิบัติธรรมสู้คนที่เค้ากินแค่มื้อเดียวไม่ได้ มันต่างกันแค่ เหตุปัจจัยที่เป็นอยู่เท่านั้น อย่างที่คุนน้องบอกว่า ถือศีลพรหมจรรย์ ไม่ใช่เพราะคิดว่ามันดีกว่าถือศีล5ธรรมดา
แต่จิตเห็นโทษในสิ่งนั้น คุนน้องไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น เพราะว่าไม่มีคนที่ตัวเองรักอยู่ในโลกนี้แล้ว คุนน้องก็เลยปลงได้ เพราะจิตเห็นสัจธรรมความจริงแล้ว เคยสอบอารมณ์ตัวเองนะและไม่ใช่ไปข่มอารมณ์ ลองมองดูคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่ตนรัก ลองทำอารมณ์ว่าเราสามารถเกิดตัณหาอย่างว่ากับคนนั้นได้หรือไม่..ตอนทดสอบก็มีความพอใจในรุปราคะขึ้นมาแว๊บนึง แต่พอลองสอบอารมณ์ลงไปอีกขั้นลึกซึ้ง..ใจก็บอกว่า มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันจะบอกแบบนี้และจะไม่มีความรู้สึกอย่างว่าเลยสักนิด อาจจะเป็นเพราะจิตที่ผุกพันธ์กับสามี กิเลศตันหาในเรื่องนั้นมันก็เลยดับลงสิ้นเชิง
ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้เป็นแบบนี้แล้ว คุนน้องก็คงต้องเดินหน้าเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏฏะสงสารเหมือนกัน :b8:
คุณน้องจะกินกี่มื้อก็กินได้ครับคุณน้องเป็นผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ได้เป็นผู้ประกาศว่าสำเร็จธรรม แต่กฎในศิลพรหมจรย์ในตำราหลังเที่ยงห้ามรับประทานนะครับ :b4: :b4:

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
อ้าวไหงเป็นอย่างนั้นไปได้ ทีเอาสัตว์มาฆ่ามาทดลอง ก็บอกว่าไม่ผิด ที่ทำกับข้าวว่าผิดแม้แต่เชื้อโรคก็ผิดอุ้ยแย่เลย ส่วนเรื่องทำกับข้าวจะบอกให้ไอ้เรื่องพวกที่ท่านกล่าวมานะ ความวุ่นว่ายนะครับผมทราบแล้วเมื่อสัก10ปีได้แล้วมั้ง ว่าการแสวงหาของกินนะมันเป็นจิตที่มุ่งเข้าหากิเลสว่าอยากกินอะไรก็เดินไปซื้อกิน

ก็บอกแล้วว่า จะคุยเรื่องศีลต้องแยกออกไป อย่ามาปนกับสัมมาศีล
ความสำคัญมันอยู่ที่จิตแรกและจิตสุดท้าย

อย่างนักเรียนหมอ เขารู้แค่เรียนวิธีการของหมอ แล้วช่วยชีวิตคนได้
ส่วนผมรู้ครับว่าของสดๆมีสิ่งมีชีวิต มันคิดกันคนละอย่างแต่มันเป็นกุศล

แล้วเรื่องเดินไปซื้อของเป็นกิเลส มันก็เป็นเรื่องที่คุณเอากิเลสตัวเองไปใส่
ความเห็นของคนอื่น เขาก็บอกเหตุผลไปแล้วว่า ไม่ทำกับข้าวเพราะอะไร
bigtoo เขียน:
นี่แหละครับที่พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงจึงให้พระถึงต้องบิณทบาต หาเลี้ยงชีพนะครับ ผมมิได้อยู่คนเดียวนี่ครับจะได้ทำตามใจตัวผมเอง ถ้าทำตามใจตัวผมเองในโลกนี้แทบไม่ขยับเลยก็ว่าได้

เอาพระมาอ้างแล้วรู้มั้ย ทำไมพระต้องบิณฑบาตร ก็เพราะพระวินัย
ห้ามพระทำกับข้าวไง
bigtoo เขียน:
แต่ผมมีครอบครัวมีความรู้สึกของผู้อื่นเข้ามาร่วมด้วย จะต้องทำอย่างไรให้มันเป็นกลางๆ พอรับได้ทั้งสองฝ่าย และผมนี่แหละครับที่ไม่หนีปัญหา ทำก็วางเฉยได้ศรัตรูอยู่ตรงหน้าก็วางเฉยได้ ถึงมันจะรู้สึกบ้างก็วางใจเฉยได้ ส่วนเรื่องภรรยาผมนะใครจะกล่าวอะไรก็แล้วแตใครๆเถอะห้ามความคิดไม่ได้หรอกครับ ที่คุณทำก็ทำถูกแล้วครับที่แสวงหาสิ่งง่ายๆกินนะมันดีทำไปเถอะยินดีด้วย แต่สิ่งไหนยังขาดอยู่ก็เติมเอาครับ และเรื่องอัตตกิละ กามสุขขัน เดียวค่อยว่ากันมันลึกซึ้งมากจะอธิบายให้ดูตอนหลัง

จริงหรือเปล่าครับ ที่ว่าเอาความรู้สึกของคนอื่นมาร่วมด้วย แล้วที่บอกเป็น
ทำนองว่า ไม่ถือสาถ้าใครจะกล่าวถึงภรรยา
ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาต สมมุติครับ

คุณบอกถึงการยอมรับทั้งสองฝ่าย คุณบอกว่าไม่ยุ่งกับภรรยาทั้งๆที่ภรรยายังสาวและสวย
แล้วก็มาสรุปเอาเองว่าไม่มีกิเลส ผมต้องขอโทษคุณล่วงหน้าครับว่า สมมุติว่า ภรรยาคุณไปยุ่ง
กับคนอื่นเพราะคุณไม่ยุ่งกับภรรยา แล้วคุณไปเห็นคาหนังคาเขา คุณจะรู้สึกอย่างไรครับ

กิเลสมันไปกดไปข่มไว้ไม่ได้หรอกครับ เพราะมันมีทั้งความอยากและไม่อยาก
ไปกดตัวหนึ่งไว้อีกตัวมันก็แสดงอำนาจครับ

ปล.หวังว่าคงไม่โกรธเพราะเห็นว่าคุณอนุญาติแล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2012, 12:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
คุณน้องจะกินกี่มื้อก็กินได้ครับคุณน้องเป็นผู้ปฎิบัติธรรม ไม่ได้เป็นผู้ประกาศว่าสำเร็จธรรม แต่กฎในศิลพรหมจรย์ในตำราหลังเที่ยงห้ามรับประทานนะครับ :b4: :b4:

คุณบิกทู่คิดกลับตาลปัตรหรือเปล่าครับ เณร เถร ชี เขาก็ห้ามกินอาหารหลังเที่ยง
เอางี้ผมจะสมมุติง่ายให้ดู เพราะผมเห็นว่าคุณยังคิดอะไรตื้นๆ

คุณรู้จักเขาทรายกาแลคซี่มั้ยครับ ในขณะที่ไต่เต้ามาเป็นแชมป์
จนแขวนนวม เมื่อแขวนนวมแล้วก็ยังเป็นแชมป์ตลอดกาลนี่
ถามหน่อยครับ เขาทรายยังต้องออกกำลัง ยังต้องลดน้ำหนักจำกัดอาหารเหมือนตอน
ที่ยังไม่ได้เป็นแชมป์มั้ยครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 261 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 18  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร