วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 21:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 141 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2013, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่นึกเบื่อกรัชกายแล้วหรอที่ถามซอกแซก :b10: :b1: หรือเบื่อๆแต่ไม่กล้าพูด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2013, 17:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 21:54
โพสต์: 63

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ไม่นึกเบื่อกรัชกายแล้วหรอที่ถามซอกแซก :b10: :b1: หรือเบื่อๆแต่ไม่กล้าพูด


เฉยๆคะ :b6: อยู่ที่อารมณ์ ถ้ามันไม่มีคำพูดมันก็พูดไม่ได้ ถ้าคุยช่วงอยากจะพูดก็คุยกันไป :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2013, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เทียนหยด เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่นึกเบื่อกรัชกายแล้วหรอที่ถามซอกแซก :b10: :b1: หรือเบื่อๆแต่ไม่กล้าพูด


เฉยๆคะ :b6: อยู่ที่อารมณ์ ถ้ามันไม่มีคำพูดมันก็พูดไม่ได้ ถ้าคุยช่วงอยากจะพูดก็คุยกันไป :b16: :b16:



อ้อ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ :b14: ไปล่ะงั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2013, 18:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 21:54
โพสต์: 63

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เทียนหยด เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ไม่นึกเบื่อกรัชกายแล้วหรอที่ถามซอกแซก :b10: :b1: หรือเบื่อๆแต่ไม่กล้าพูด


เฉยๆคะ :b6: อยู่ที่อารมณ์ ถ้ามันไม่มีคำพูดมันก็พูดไม่ได้ ถ้าคุยช่วงอยากจะพูดก็คุยกันไป :b16: :b16:



อ้อ อารมณ์ขึ้นๆลงๆ :b14: ไปล่ะงั้น


:b1:..... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 07:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 21:54
โพสต์: 63

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สี่งที่ขึ้นๆลงๆไม่ได้อยู่ที่อารมณ์แต่อยู่ที่สภาวะของจิตุ

เมื่อจิตมันนิ่ง ไม่มีสิ่งใดสะท้อนออกมา มันก็ไม่มีคำพูดและพูดออกมาไม่ได้

เมื่อจิตคลายอยู่ในระดับนึง จิตจะซ่าน ซ่านไปในขันธ์ห้า

เมื่อนั้น สัญญา สังขาร วิญญานทำงานได้เต็มระบบ เมื่อนั้นมันก็ถึงจะพูดออกมาได้

ตามแต่ขันธ์จะเป็นไป เราเคยพูดครั้งนึงแล้วว่า ตัวอักษรนั้น บอกตัวตน

และอารมณ์ของคนพิมพ์ได้ดี แค่เราใช้ใจมอง...การโดนกระทบในอายตนะนั้น

เป็นเรืองธรรมดา เมือมันเป็นเรืองธรรมดา เราก็แค่มองว่ามันเป็นธรรมดาและผ่านมันไป

อย่าเก็บไว้ในใจและสะท้อนมันออกมา...แค่รับรู้ เข้าใจ เมื่อเราเข้าใจ เราก็จะปล่อยวาง

มันได้เอง โดยไม่จำเป็นทีจะต้องปล่อยมันออกไป มันก็วางของมันได้เอง

เหตุเพราะจิตเรานั้นเข้าใจในความเป็นธรรมดาแล้ว


ในส่วน มารยาทนั้น เราเป็นตัวตนของเราอย่างแท้จริง

เรามองว่ามารยาทนั้น ก็คือมารยา อย่างนึ่งที่สังคมโลก ได้เสกสรรปั้นแต่ขึ้นมา

เพื่อความเหมาะเจาะและสวยงาม แต่ในทางธรรมนั้น มันคือมารยา

มันไม่ใช่จริตที่แท้จริงของตน มันเป็นดัด-จริตของตนให้ไปไปตามมารยาของโลก

เมื่อเรายังดัด-จริตที่แท้จริงของเราเอง เรายังหลอกตัวของเราเอง

แล้วเมื่อไหร่ เราจะเห็นจริตที่แท้จริงของตัวเราเองได้หละ

เมื่อเราไม่เห็นจริตที่แท้จริงของเราเอง เราก็ไม่เห็นกิเลสที่แท้จริงของเราเองเช่นกัน

เพราะเรายังอยู่ในมารยาของสังคม ของสิ่งที่สมมุติขึ้นในโลก


การที่เราเป็นตัวของเราเองนั้น ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นั้นก็คือตัวเรา

นั้นก็เป็นจริตของเรา นั่นก็เป็นกิเลสของเรา เมื่อเราเห็นกิเลสของเราได้อย่างแท้จริง

เราถึงจะแก้ไขตัวเองได้อย่างเหมาะเจาะ และแก้ได้ตรงจุด มันถึงจะเดินไปได้ง่าย

และเร็วและตรง


สิ่งที่เกิด บางครั้งเค้าจะพูดว่า นี่มันกระทู้ธรรมหรือ กระทู้ของกิเลสกันแน่

อยากให้มองอีกมุมนึงว่า ไม่ว่าจะเป็นกิเลสหรือธรรม มันก็เป็นธรรมทั้งสิ้น

ธรรมนั้นก็เป็นธรรมฝ่ายดี ส่วนกิเลสนั้นก็เป็นธรรมฝ่ายไม่ดี ทุกตัวเป็นธรรมทั้งหมด

เราตัวของเราเป็นนักเดินทาง ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีมันก็เป็นตัวตนของเรา

แค่ยอมรับมันและแก้ไขมัน ให้ดีขึ้น เราจะทำผิดทำพลาดเป็นเรื่องธรรมดา

เพราะเรานั้นก็เป็นแค่ผุ้ฝึกหัดในทางธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะภาพแบบใด

เราก็เป็นแค่ผุ้ฝึกหัดในเส้นทางนี้ทั้งสิ้น


อย่ากลัวที่จะผิด อย่ากลัวที่จะพลาด เพราะการผิดการพลาดนั้นเป็นบทเรียนสอนใจตนว่า

คราวหน้าเราจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกก็แค่นั้น เหมือนเราที่เคยบอกว่า หลงกับรู้มันอยู่คู่กัน

อย่ากลัวที่จะหลงในการเดินทางเพราะการหลงนั้นจะเป็นประสบการณ์สอนตนว่า

เมื่อเราหลงแบบนี้ แล้วแบบที่ไม่หลงนั้นเป็นอย่างไร...เราจะรู้ได้เฉพาะตน

เพราะเส้นทางนี้เป็นปัจจัตตังเราสะสมแบบไหนก็เดินไปแบบนั้น ตามแต่จริตของตน

เลือกดอกไม้ที่เหมาะสมกับจริตตนและเดินไปข้างหน้า...เดินและปล่อยออกบ้าง

รุ้มากก็หนัก รุ้น้อยๆในเส้นทางหลักที่ต้องเดินมันจะช่วยให้เราใช้สัญญาได้น้อยที่สุด...

สัญญาความจำนั้น มันเป็นตัวปิดกั้นปัญญานะ เพราะเราคิดว่าเรารุ้แล้ว

แต่เราลืมสังเกตุตัวเองไปว่า สิ่งที่เรารุ้นั้น เรารู้ได้ด้วยใจหรือเรารู้ได้ด้วยสมอง...


ถ้าเมื่อใดใช้สมองประมวลผลเมื่อนั้นทุกอย่างเป็นสัญญาทั้งสิ้น

แต่เมื่อใดเราใช้ใจ ใช้ความรุ้สึกที่ออกจากใจนั้น เมื่อนั้นแหละคือเส้นทางแห่งปัญญา

ที่เรากำลังเดินไป ผิดหรือถูกมันก็ก่่อให้เกิดปัญญาทั้งสิ้น ปัญญาที่บอกว่าเราเดินแบบนี้มันผิดนี่หว่า

เราเดินแบบนี้เราหลงแน่ๆ นี่ไง ถ้าเราไม่หลง เราคงไม่มีอารมณ์แบบนี้ ขัดต่อหลัก

ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางไว้ แค่เดินเถิด เดินไปข้างหน้า คนที่ไม่เคยทำผิด คือ

คนที่ไม่เคยทำอะไรเลย คนที่ผิดเยอะที่สุด หลงเยอะที่สุด นั่นคือคนเดินไปแบบไม่มีหยุด

เดินไปด้วยใจที่มุ่งมั่นและความเพียร ซึ่งบุคคลนั้นมีความเพียรในการเดิน จากโลกก็จะกลับ

กลายเป็นธรรม ธรรมนั้นก็มาจากโลก แยกกันออกได้ด้วยปัญญา ไม่ใช่่สัญญาความจำ


สิ่งที่มากระทบเรา ให้เราพอใจหรือไม่พอใจ เรามีสติดูเพียงพอหรือไม่ว่า จริงๆแล้วมันเป็น

ธรรมทั้งหมด ธรรมในทางที่สอนให้เรารู้ว่า เราวางใจเป็นกลางได้หรือไม่

สิ่งที่เราฝึกปฎิบัติมานั้น เราเอามาใช้จริงในชีวิตประจำวันได้หรือไม่

กรรมฐานกองใดที่เราฝึกและทรงได้นั้น ไม่ใช่ทรงเฉพาะช่วงฝึกปฎิบัติ

แต่มันจะทรงได้จริงก็ต่อเมื่อเราสามารถนำธรรมนั้นมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างแท้จริง

และร้อยเปอร์เซนต์นะ


ที่พูดยาวๆนี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเทศน์ใดๆ แต่แค่เอาความรุ้สึกจากใจและความหวังดีมาให้

แต่ก็แล้วแต่มุมในการมองของคนว่าจะมองไปเช่นไร..เรานั้นดูที่เจตนาในการพิมพ์มากกว่า...


เป็นกำลังใจให้ชนะในกิเลสของตนนะ เราก็เช่นกัน เดินเพื่อที่จะเอาชนะในกิเลสของตน

ไม่เคยคิดจะเอาชนะใครๆ เรายอมที่จะแพ้ ที่จะถอย เพื่ออยู่ในความสงบของจิต

ของตัวเองมากกว่า...เพราะมันมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด.......


ด้วยความเคารพ.... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 07:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


บางครั้งก็ไม่พูด...บางครั้งก็หลั่งไหล...

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 09:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 21:54
โพสต์: 63

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
บางครั้งก็ไม่พูด...บางครั้งก็หลั่งไหล...


:b15: :b15: พิมพ์เสร็จก็ทำใจไว้แล้วเตรียมอุดหู Onion_no กับการเสนอหน้าของตัวเอง :b15: :b15:


ที่ไม่พูดเพราะไม่มีเหตุให้พูด...เมื่อ จะพูดก็พูดเพราะมีเหตุให้พูดยาวๆเท่านั้นเอง.. :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้มีธรรมหรือมีความรู้ ท่านเปรียบเหมือนมีถังน้ำใบใหญ่ ..

ถ้าไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมหรือไม่มีอะไรมากระตุ้น ไม่มีใครมาเปิดก็อก น้ำก็ไม่ไหล
พอถึงเวลา ได้เวลา มีใครมากระตุ้น มาเปิดก็อก .. น้ำก็จะไหลพรั่งพรูที่เดียว ..


:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฟุ้งซ่านธรรม :b14: :b1: ธัมมุทธัจจ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 19:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 21:54
โพสต์: 63

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ฟุ้งซ่านธรรม :b14: :b1: ธัมมุทธัจจ์



:b8: ขอบคุณที่เป็นครูให้คะ. จะนำไปพิจารณาตนนะคะ :b8: :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เทียนหยด เขียน:
อยากถามว่า...รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์...แบบนี้มีไหมคะ :b10:

มีครับ
จิตของพระอรหันต์ รู้ทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ เพราะท่านเสร็จกิจปลงภาระหมดสิ้นแล้ว

จิตของพระอนาคามี รู้ทุกข์ บางอย่าง จึงไม่ทุกข์กับทุกข์บางอย่าง เพราะกิจของท่านยังไม่เสร็จในทุกข์บางอย่าง จิตพระอนาคามีจึงละความเห็นผิดเกี่ยวกับอัตตา ท่านไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่ถือศีลพรตผิด ท่านละกามฉันทะได้หมดสิ้น แต่ท่านยังไม่อาจปลงภาระจาก รูปราคะ อรูปราคะ มานะ และอวิชชาได้หมด

จิตของพระสกทาคามี กับจิตของพระโสดาบัน ก็รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์ กับทุกข์ที่หยาบกว่า พระอนาคามีครับ

ดังนั้นปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรม
ของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของ
สัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำแล้วในธรรมของสัตบุรุษ จะเกิดปัญญา ได้ปัญญาในการปฏิบัติในอริยมรรค อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2013, 22:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2013, 21:54
โพสต์: 63

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เทียนหยด เขียน:
อยากถามว่า...รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์...แบบนี้มีไหมคะ :b10:

มีครับ
จิตของพระอรหันต์ รู้ทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ เพราะท่านเสร็จกิจปลงภาระหมดสิ้นแล้ว

จิตของพระอนาคามี รู้ทุกข์ บางอย่าง จึงไม่ทุกข์กับทุกข์บางอย่าง เพราะกิจของท่านยังไม่เสร็จในทุกข์บางอย่าง จิตพระอนาคามีจึงละความเห็นผิดเกี่ยวกับอัตตา ท่านไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่ถือศีลพรตผิด ท่านละกามฉันทะได้หมดสิ้น แต่ท่านยังไม่อาจปลงภาระจาก รูปราคะ อรูปราคะ มานะ และอวิชชาได้หมด

จิตของพระสกทาคามี กับจิตของพระโสดาบัน ก็รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์ กับทุกข์ที่หยาบกว่า พระอนาคามีครับ

ดังนั้นปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรม
ของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของ
สัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำแล้วในธรรมของสัตบุรุษ จะเกิดปัญญา ได้ปัญญาในการปฏิบัติในอริยมรรค อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้

เจริญธรรม



:b8: :b8: :b8: ขอบคุณที่มาให้ความรู้คะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 05:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 17:53
โพสต์: 4999

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เทียนหยด เขียน:
อยากถามว่า...รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์...แบบนี้มีไหมคะ :b10:

มีครับ
จิตของพระอรหันต์ รู้ทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ เพราะท่านเสร็จกิจปลงภาระหมดสิ้นแล้ว

กำลังเข้าใจอะไรผิดหรือปล่าครับ เรื่องการ รู้ทุกข์ เป็นแค่พระอริยะบุคคลก็รู้ทุกข์แล้ว
และไม่ใช่รู้ทุกข์อย่างเดียว ยังรู้เหตุแห่งทุกข์

ส่วนเรื่องการพ้นทุกข์ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่พ้นทุกข์แล้ว

หลักคำสอนของพระพุทธองค์ในวิชชาสี่ นั้นก็คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้อริยมรรคและรู้นิโรธ

ดังนั้นความแตกต่างกันของพระอริยบบุคคลอยู่ อริยมรรคมีองค์แปดเพื่อการนิโรธ

อันนี้พูดให้คุณเช่นนั้นและจขกทฟัง ความทุกข์ที่พระพุทธองค์หมายถึง
ก็คือ การเกิด แก่ เจ็บตายหรือวัฎสงสาร
ความทุกข์ที่หลายๆคนกำลังเข้าใจผิดคิดว่า การที่ใจทุกข์ไม่สบายใจเป็นความทุกข์
แบบนี้เป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก ใจที่เป็นทุกข์หรอความไม่สบายใจ
เป็นเพียงสังขารการปรุงแต่ง มันเป็นอนิจจัง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่ใช่ทุกข์

เช่นนั้น เขียน:
จิตของพระอนาคามี รู้ทุกข์ บางอย่าง จึงไม่ทุกข์กับทุกข์บางอย่าง เพราะกิจของท่านยังไม่เสร็จในทุกข์บางอย่าง จิตพระอนาคามีจึงละความเห็นผิดเกี่ยวกับอัตตา ท่านไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่ถือศีลพรตผิด ท่านละกามฉันทะได้หมดสิ้น แต่ท่านยังไม่อาจปลงภาระจาก รูปราคะ อรูปราคะ มานะ และอวิชชาได้หมด
จิตของพระสกทาคามี กับจิตของพระโสดาบัน ก็รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์ กับทุกข์ที่หยาบกว่า พระอนาคามีครับ

พระอนาคามี ท่านรู้ทุกข์และเหตุแห่งทุกข์แล้ว เพียงแต่ท่านดับเหตุได้บางอย่าง ไม่ได้บางอย่าง
เช่นนั้น เขียน:
ดังนั้นปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรม
ของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของ
สัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำแล้วในธรรมของสัตบุรุษ จะเกิดปัญญา ได้ปัญญาในการปฏิบัติในอริยมรรค อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เจริญธรรม

พระศาสดาของเรา และพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นแบบที่คุณว่าหรือเปล่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 07:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


โฮฮับ เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เทียนหยด เขียน:
อยากถามว่า...รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์...แบบนี้มีไหมคะ :b10:

มีครับ
จิตของพระอรหันต์ รู้ทุกข์ แต่ไม่ทุกข์ เพราะท่านเสร็จกิจปลงภาระหมดสิ้นแล้ว

กำลังเข้าใจอะไรผิดหรือปล่าครับ เรื่องการ รู้ทุกข์ เป็นแค่พระอริยะบุคคลก็รู้ทุกข์แล้ว
และไม่ใช่รู้ทุกข์อย่างเดียว ยังรู้เหตุแห่งทุกข์

ส่วนเรื่องการพ้นทุกข์ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่พ้นทุกข์แล้ว

หลักคำสอนของพระพุทธองค์ในวิชชาสี่ นั้นก็คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ รู้อริยมรรคและรู้นิโรธ

ดังนั้นความแตกต่างกันของพระอริยบบุคคลอยู่ อริยมรรคมีองค์แปดเพื่อการนิโรธ

อันนี้พูดให้คุณเช่นนั้นและจขกทฟัง ความทุกข์ที่พระพุทธองค์หมายถึง
ก็คือ การเกิด แก่ เจ็บตายหรือวัฎสงสาร
ความทุกข์ที่หลายๆคนกำลังเข้าใจผิดคิดว่า การที่ใจทุกข์ไม่สบายใจเป็นความทุกข์
แบบนี้เป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก ใจที่เป็นทุกข์หรอความไม่สบายใจ
เป็นเพียงสังขารการปรุงแต่ง มันเป็นอนิจจัง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่ใช่ทุกข์

เช่นนั้น เขียน:
จิตของพระอนาคามี รู้ทุกข์ บางอย่าง จึงไม่ทุกข์กับทุกข์บางอย่าง เพราะกิจของท่านยังไม่เสร็จในทุกข์บางอย่าง จิตพระอนาคามีจึงละความเห็นผิดเกี่ยวกับอัตตา ท่านไม่โกรธ ไม่พยาบาท ไม่ถือศีลพรตผิด ท่านละกามฉันทะได้หมดสิ้น แต่ท่านยังไม่อาจปลงภาระจาก รูปราคะ อรูปราคะ มานะ และอวิชชาได้หมด
จิตของพระสกทาคามี กับจิตของพระโสดาบัน ก็รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์ กับทุกข์ที่หยาบกว่า พระอนาคามีครับ

พระอนาคามี ท่านรู้ทุกข์และเหตุแห่งทุกข์แล้ว เพียงแต่ท่านดับเหตุได้บางอย่าง ไม่ได้บางอย่าง
เช่นนั้น เขียน:
ดังนั้นปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ ไม่เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรม
ของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของ
สัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำแล้วในธรรมของสัตบุรุษ จะเกิดปัญญา ได้ปัญญาในการปฏิบัติในอริยมรรค อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เจริญธรรม

พระศาสดาของเรา และพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นแบบที่คุณว่าหรือเปล่าครับ
ไม่ไดเจอกันนาน เป็นอรหันต์หรือยัง จ๊ะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2013, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณเทียนหยด
อ้างอิง:อยากถามว่า...รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์...แบบนี้มีไหมคะ
รู้ทุกข์แต่ไม่ทุกข์...มีแน่นอนค่ะ..ถ้ารู้ในอริยสัจสี่
กำหนดรู้ทุกข์...สาวไปให้ถึงเหตุของทุกข์..เดินตามทางมรรคเพื่อละเหตุของทุกข์...แล้วความดับของทุกข์จะเกิดขึ้นเอง...
ก่อนอื่นต้องกำหนดรู้ทุกข์เสียก่อน...ถ้ายังหาทุกข์ไม่เจอก็ไม่พบเหตุของทุกข์ได้
ความทุกข์ที่คนส่วนใหญ่หมายกันคือเวทนาทางกายหรือทางใจ(การเสวยอารมณ์) ซึ่งเป็นหนึ่งในขันธ์ห้าเท่านั้น ดังนั้นคำว่าทุกข์ในที่นี้หมายถึงขันธ์ห้าทั้งหมดเป็นทุกข์เพราะมีลักษณะที่ตกอยู่ภายใต้ทุกขลักษณะคือมีความบีบคั้นไม่สามารถอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป...
ดังนั้นการกำหนดรู้ทุกข์ได้จึงต้องเจริญสติเพื่อเข้าไปเห็นการเกิดดับของรูปนาม(ขันธ์ห้า)เห็นความเป็นสามัญลักษณะหรือเรียกว่าไตรลักษณ์ของรูปนามแล้วสาวไปให้ถึงเหตุแห่งทุกข์(ศึกษาได้จากปฏิจจสมุปบาท)เมื่อเห็นเหตุแห่งทุกข์แล้ว..ก็ให้ละเสียให้ได้ด้วยปัญญาคือมรรคมีองค์แปดแล้วนิโรธจะเกิดขึ้นเอง...
การศึกษาปริยัติเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นประสบการณ์ตรงที่พระพุทธเจ้าท่านทรงนำมาบอกกล่าว...เมื่อเราลงมือปฏิบัติหรือออกเดินทางสามารถนำมาเทียบเคียงหรือเป็นแผนที่เพื่อโฟกัสให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น...ไม่ออกนอกเส้นทางเมื่อหลงทางก็จะรู้ได้และไม่หลงนานสามารถเดินกลับเข้าเส้นทางสู่จุดหมายได้...

ขอเจริญในธรรมค่ะ :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 141 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร