วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 15:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2009, 09:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5361


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมทั้งปวง ได้แก่ ปรมัตถธรรมทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของ

บุคคลใด

อย่างเวลาที่มีความโกรธเกิด มีใครบ้างไม่รู้ แม้ไม่เรียนพระอภิธรรม

ก็รู้ เวลาที่อิจฉาหรือริษยา ต้องเรียนพระอภิธรรมไหมจึงจะรู้ ก็ไม่ต้องเรียน

แต่เป็นเรา ไม่รู้ว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้น โดยนัยของ

พระอภิธรรมจึงรู้ว่าทั้งหมดไม่ใช่เรา เมื่อโลภะเกิด โทสะเกิด มานะเกิด

หรือสนุกสนาน ก็ไม่ใช่เรา เมื่อมีความจำที่มั่นคงในความเป็นอนัตตา ไม่

ใช่อนัตตาแบบหลอกๆ ไม่ใช่ทำอะไรก็ได้เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตา นั่น

พูดเอาเอง แต่อนัตตาจริงๆ นั้น ปัญญาเข้าถึงความเป็นอนัตตาหรือยังหรือ

เพียงพูดตามว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา คนที่เพียงเรียนกับคนที่อบรมเจริญ

ปัญญา รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ปัญญาผิดกันมาก ซึ่งต้องตรง

ถ้าเรารู้ว่าเพียงรู้ชื่อ ก็จะไม่หยุดเพียงรู้ชื่อ ต้องอบรมเจริญปัญญาจนสามารถ

ที่จะรู้ความเป็นอนัตตาจริงๆ สมกับที่เรากล่าวว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา”

มิฉะนั้นก็เหมือนกับคำอุปมาที่ว่า “ทัพพีไม่รู้รสแกง”
บางช่วงเวลา มีความรู้สึกเคว้งคว้าง ว่างเปล่า เหมือนไม่มีอะไรอยู่บนโลกใบนี้

ทุกอย่างดำเนินไปของมันเอง แล้วก็กลับมาสู่ตัวตนอีกในเวลาต่อมา ว่าเราเป็นอะไร

ไป จินตนาการอะไร หรือ อย่างไร อารมณ์อย่างนี้เคยปรากฎกับผมมาก่อนเมื่อตอนเป็น

เด็กไม่กี่ขวบ เริ่มจากจำความได้ ผมก็พยายามถามท่านผู้รู้มากมาย เมื่อผมได้ศึกษา

ธรรมะจึงเข้าใจว่า อะไรก็ตามที่ปรากฎกับเราให้รู้ได้นั้น (หรือที่เรียกว่าอารมณ์ต่างๆ)

เราไม่ได้ตั้งใจให้สิ่งนั้นปรากฎขึ้นมา แต่อารมณ์ต่างๆ ก็ปรากฎขึ้นมาให้เรารู้ได้

ธรรมชาติจิตของเราคือการรับรู้ รู้ทุกอย่างที่ปรากฎ ไม่ว่าอารมณ์ดีหรือร้าย ทุกข์ สุข

เพลิดเพลิน หดหู่ ท้อถอย เศร้าโศก เสียใจ สิ่งต่างๆ นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในขณะ

นั้นๆ แล้วก็หายไป ทำให้สิ่งอิ่นก็ปรากฎต่อเนื่องกันไปเป็นอย่างนี้อยู่ตลอด สิ่งที่

ปรากฎนั้นก็ต้องมาจากสาเหตุอันใดอันหนึ่งแน่นอน ให้ลองสังเกตดูก็จะรู้ได้เอง ผม

ขอยกตัวอย่าง เช่น เราเดินทางไกลในขณะที่อากาศร้อน เราจะรู้สึกกระหายน้ำมากๆ

เหงื่อไหลท่วมตัว สิ่งที่ปรากฎชัดเจนให้เรารู้ได้ คือ เกิดความหิวกระหาย ทุกข์กาย

อย่างยิ่งปรากฎในขณะนั้น แต่เมื่อเราได้ดื่มน้ำที่เย็นสดชื่นพร้อมได้หยุดพักผ่อนใน

ที่ๆ เย็นสบายภายใต้ร่มไม้ สายลมพัดมาเย็นกาย ทีนี้อาการเหนื่อยล้า หิวกระหาย

ร้อนกายเหงื่อไหลท่วมตัว แต่ก่อนได้หายไปหมดสิ้น กลับกลายเป็นความรู้สึกสดชื่น

มากๆแทนที่ความรู้สึกเดิม ชวนให้เราเพลิดเพลินยินดีอย่างยิ่ง เป็นอารมณ์ที่ตรงกัน

ข้ามกับคราวครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด

ตัวอย่างที่ได้ยกมาข้างต้นนั้น พอจะอธิบายให้เข้าใจความเป็นอนัตตาได้บ้าง

เช่นในขณะที่เรารู้สึกร้อนตอนเดินทางไกล เราก็ไม่ได้อยากจะร้อน แต่ร่างกายก็ร้อน

ขึ้นเองตามเหตุธรรมชาติ ซึ่งเป็นกฎความจริง (ธรรมะ) เมื่อเป็นเช่นนั้น(อากาศร้อน)

เหงื่อย่อมไหลเองเพราะเป็นไปตามกฎอย่างนั้น จะห้ามไม่ให้เหงื่อออกก็ไม่ได้ เพราะ

อากาศร้อน ความหิวกระหายย่อมเกิดขึ้นเพราะร่างกายสูญเสืยน้ำ จึงทำให้เรารู้สึก

หิวกระหายเราจะไม่ให้ความหิวกระหายเกิดขึ้นก็ไม่ได้ เพราะความรู้สึกทางร่างกายมี

อยู่ (จิต) สิ่งเหล่านี้เราห้ามไม่ได้เลยเมื่อมีเหตุพร้อมให้สิ่งต่างๆ เกิดปรากฎ สิ่งนั้นก็

เกิดเพราะมีสาเหตุนั่นเอง ทีนี้เมื่อเราได้ดื่มน้ำเย็นสดชื่นแล้วสิ่งต่างๆ ก็ปรากฎให้เรารู้

อีก เป็นความสุขที่ตรงกันข้ามเลย ความสบายสดชื่น คลายร้อน เย็นกาย สุขกาย

ก็เกิดขึ้นแทน สิ่งที่ปรากฎให้เรารู้ได้นี้ก็มาจากเหตุ คือ น้ำอันชุ่มเย็น นำมาซึ่งความสุข

กายในตอนนั้น ดับความกระหายทั้งหมด จะเห็นได้ว่า สิ่งต่างๆ เป็นสภาพที่ขึ้นอยู่กับ

สิ่งอื่น อาศัยกันและกันเกิดขึ้น แม้แต่จิตก็อาศัย สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมา เกิดขึ้น ( ร่างกาย

ความร้อน ความหิว ความกระหาย ) จิตก็เพราะอาศัยสิ่งอื่นจึงเกิดเหมือนกัน เพราะมี

ร่างกาย ความร้อน ความทุกข์ สุข จิตจึงรู้สึกมีสิ่งนั้นๆได้ จะเห็นได้ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้

เป็นตัวของตัวเองเลย ต้องเกิดเพราะอาศัยสิ่งอื่น สิ่งอื่นข้างต้นก็อาศัยสิ่งอื่นๆ อีก

มากมาย แล้วก็หายไปโดยเร็ว เพราะสิ่งอื่นเกิดแทนที่แล้วก็ดับอีก นี่คือกฎความจริงที่

เรียกว่าสัจธรรม ไม่มีผู้ใดเลย ไม่ได้เป็นตัวเรา เขา สัตว์ ที่เรียกว่า "อัตตา" ตามที่เรา

เข้าใจที่ผิดๆ ซึ่งยาวนามมาก แท้ที่จริงแล้วสิ่งต่างๆ ที่ปรากฎนั้น เป็นเพียงความเกิด

ขึ้นและหายไปสืบต่อกันเรื่อยๆ เร็วมาก จนเราไม่ทันสังเกตรู้ ซึ่งความเกิดขึ้นและหาย

ไปอย่างรวดเร็วนี้เป็นกฎที่แน่นอนของธรรมะ (ชาติ) เพราะความเกิดขึ้นหายไปๆ ไป

เรื่อยๆ นี้เป็นสภาพที่ไม่คงที่ เรียกว่า "ความไม่เที่ยง" (อนิจจัง) เพราะความไม่เที่ยงไม่

คงที่ของสิ่งนั้นๆ เพราะความที่สิ่งนั้นๆ ถูกเปลี่ยนไปไม่คงที่ตั้งอยู่อย่างเดิมตลอดไป

ไม่ได้ เรียกว่า "ทุกข์" (ทุกขัง) เมื่อสิ่งนั้นๆ เกิดขึ้นแล้วก็หายไปอย่างต่อเนื่องไม่คงที่

อยู่อย่างเดิมตลอดไป บังคับให้อยู่ในอำนาจของใครไม่ได้ สิ่งนั้นจึงไม่ใช่ตัวตน เรียก

ว่า"อนัตตา" ไม่ใช่ตัวตนแต่อย่างใด สิ่งต่างๆ ที่กล่าวนี้ ได้แก่ สิ่งที่ปรากฎทาง ตา หู

จมูก สิ้น กาย ใจ ความคิด ความรู้สึก ต่างๆ ทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ซึ่งใน

แต่ละวันจะหนีไม่พ้นเลย พระพุทธองค์เมื่อทรงค้นพบธรรมความจริงที่สุดของที่สุด

อย่างนี้แล้ว จึงตรัสว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา (ไม่ไช่ตัวตน) ทั้งนี้เพราะอะไร

พระองค์จึงตรัสสอนแก่ชาวโลก ก็เพราะเมื่อเรายึดถืออยู่ว่าสิ่งต่างๆ เป็นตัวตน โดย

ไม่เห็นตามจริงว่าเป็นอนัตตานั้น เป็นเหตุให้เกิดทุกข์มากมายอย่างไม่จบสิ้น และจะ

เป็นอย่างนี้ตลอดไปอีกนานแสนนาน จนกว่าเราจะมีปัญญารู้แจ้งความจริงว่า สิ่ง

ทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา และละความยึดถือสิ่งต่างๆโดยความเข้าใจผิดเสีย เพราะ

ความหลงผิดนี้นำทุกข์มาให้โดยถ่ายเดียว หาใช่ความสุขไม่ เพราะสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ชั่วขณะแล้วหายไป จะเป็นสุขแท้ยั่งยืนได้อย่างไร ความสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการ

ศึกษาให้เข้าใจและรู้ชัดแจ้ง สังเกตสิ่งที่ปรากฎเกิดขึ้นในขณะนั้นๆ โดยความเป็นจริง

โดยปราศจากความมีตัวเราเข้าไปแทรกแซงสิ่งที่ปรากฎจริงให้ปัญญาเกิดขึ้นเข้าใจชัด

ขึ้นจากสิ่งที่สังเกตเห็นว่า ไม่ใช่ตัวตนใครจริงๆ เป็นแต่สิ่งต่างๆ (ธรรมะ)ที่ทยอยกัน

เกิดขึ้นแล้วก็หายไปๆ ตามเหตุของแต่ละอย่างๆไป เมื่อเป็นเช่นนี้ ปัญญาจะตัดสิน

เองว่า ความจริงคืออะไร และจะจัดการอย่างไรกับสิ่งนั้นๆ ที่ปรากฎ โดยถูกต้องตรง

ตามความจริงจากการรู้เห็นตามความจริงของปัญญา นี้ก็จะเป็นสาเหตุให้ปล่อยวาง

ความยึดถือสิ่งต่างๆ ในความไม่รู้ (อุปาทาน) และปล่อยวางความหลงผิดอันยาวนาน

นี้ ซึ่งนำมาแต่ทุกข์โดยถ่ายเดียว ฉะนั้น สุขที่แท้จริงก็ต้องเป็นความสุขที่ไม่ดับต้อง

เป็นความสุขที่ถาวร สุขที่แท้จริงนั้นมีอยู่ ได้แก่ธรรมะอีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า นิพพาน

เป็นธรรมที่ดับทุกข์ ไม่เกิดขึ้นแล้วหายไป (ไม่เกิด-ดับ) เป็นความเที่ยง เป็นความสุข

เป็นอนัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2009, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


"สัพเพ ธัมมา อนัตตา" เป็นธรรมที่อยู่ในหมวดของขันธ์ 5 และสังขารเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในหมวดของนิพพานเลย เช่น สัพเพ สังขารา อนิจจา สัพเพ ธัมมา อนัตตาติ - สังขารทั้งปวงย่อมไม่เที่ยง ธรรมทั้งปวงย่อมไม่ใช่ตัวตน ล้วนเป็นธรรมที่อยู่ในหมดสังขารธรรม

แต่อรรถกถาจารย์ ฎีกาจารย์อะไรพวกนี้ ทำเป็นเก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า นิพพานเป็นอนัตตา แต่พวกนี้กลับตีความโง่ๆ และบอกว่า นิพพานเป็นอนัตตา ...

ถ้านิพพานเป็นอนัตตาแล้ว ก็คือ นิพพานไม่เที่ยง และยังเป็นทุกข์อยู่ แล้วพวกเราจะเข้านิพพานไปหาพระแสงอะไรล่ะ...จริงไหม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2009, 18:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


ศิษย์หลวงพ่อสดและผู้ที่เชื่อว่า นิพพานเป็นอัตตา หาหลักฐานคำตรัสของพระพุทธเจ้าไม่ค่อยจะได้แบบจุใจ ผมเลยช่วยหา หลักฐานจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า มายืนยันว่า นิพพานเป็นอัตตาให้ ฟรีนะครับ ไม่มีมูลค่า


จากพรหมชาลสูตร


" ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ "

แล้วตรัสต่ออีกว่า

"เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต."

.......................................

ผมยำท่อนนี้อีกที เพราะมารมันบังตาพวกเราไว้ให้ผ่านท่อนนี้ไป

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

คราวนี้เน้นเลย เอาอำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย [b]กายของตถาคต ยังดำรงอยู่ [/b] มนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

...


คราวนี้มาดูอนัตตลักขณสูตรบ้าง ผมขอตัดตอนที่อำนาจมารที่บังตาออกไปให้หมด นะครับ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จักได้เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง)แล้ว รูปนี้ไม่พึงเป็นเพื่ออาพาธ(ความเสื่อม ความเจ็บไข้ ความแปรปรวน) และบุคคลพึงได้(หมายถึง ย่อมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนา)ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของ เราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของ เราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าวิญญาณนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว วิญญาณนี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในวิญญาณว่า วิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


จะเห็นว่า สิ่งที่จะเป็น อัตตาได้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ต้องไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนา


สรุป

ตอนนี้พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทุกองค์ในนิพพาน มีอยู่ ยังดำรงอยู่ และอายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)ของพวกท่าน ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ที่ไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนาด้วย


ปัญหาคือ อัตตานี้มีขันธ์ 5 เป็นธรรมที่เรียกว่า ธรรมขันธ์ หรือธรรมกายจริงหรือเปล่า?


ในจักกวัตติสูตร ๑๑/๘๔ ขันธสังยุต ๑๗/๕๓๓๓๓. มหาปรินิพพานสูตร ๑๐ มีความว่า:

(๑) “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงมีตนเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย จงมีธรรมเป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย

ย้ำ! ! พวกเธอจงมี [color=red]ตน เป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่ถึงเลย จงมี ธรรม เป็นที่พึงเถิด อย่างมีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย[/color]

หลักฐานนี้ชัดครับ

อัตตา = ตน ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง คือ ธรรม ตน(อัตตา) กับ ธรรม จึงเป็นสิ่งเดียวกัน เรามีอัตตา(ธรรม)เป็นที่พึ่ง
เบญจขันธ์ = อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ธรรมขันธ์ = นิจจัง สุขขัง อัตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2009, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


นั่นแนะ....มาช้ากว่าท่านพลศักดิ์จริงๆด้วย :b13: :b13:

อ่านๆไปก็นึกๆอยู่ว่าเดี๋ยวท่านพลศักดิ์ต้องค้านแน่เลย.... :b2: :b2:

ของแบบนี้มันปัจจัตตังครับ บอกยังไงก็ไม่เข้าใจหรอกถ้ายังไม่เห็นการเกิดดับ และการเกิดดับนั้นคิดเอาไม่ได้ครับ เพราะหากเป็นการนึกเอา คิดเอา ก็จะยังมีความลังเลสงสัย แต่ถ้าเห็นจริงๆแล้วความสงสัยแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่มี.... :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2009, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ เขียน:
ตอนนี้พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทุกองค์ในนิพพาน มีอยู่ ยังดำรงอยู่ และอายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)ของพวกท่าน ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (สิ่งนั้น)ที่ไม่อาพาธ (เสื่อม เจ็บไข้ ความแปรปรวน) และสามารถบังคับบัญชาสิ่งนั้นได้ตามปรารถนาด้วย


กระผมว่ามันแปลกๆนะครับท่าน
ที่ว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ยังดำรงอยู่นั้นก็ไม่แปลกครับ เพราะท่านเหล่านั้นเข้าถึงความเป็นอมตะธรรมแล้ว และดับขันธ์เข้านิพพานแล้ว
แต่ที่แปลกก็คือถ้านิพพานยังต้องใช้ขันธ์ แล้วจะดับขันธ์ไปทำไมล่ะครับ

ที่ว่ากันว่านิพพานนั้นเป็นสุขก็เพราะทุกข์นั้นหาที่อาศัยอยู่ไม่ได้ ทุกข์อาศัยขันธ์เป็นที่อยู่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า อุปปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ จะเข้านิพพานก็ต้องดับขันธ์อันเป็นปัจจัยแห่งทุกข์ และถ้าจะทำให้สิ้นปัจจัยก็ต้องสิ้นเหตุด้วย เพราะเมื่อไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่มี.... :b8: :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2009, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านทั้งหลายผู้ที่ได้หมั่นศึกษาจากพระไตรปิฎก ข้าพเจ้าใคร่ขอแนะนำท่านทั้งหลายเอาไว้อย่างหนึ่งว่า
หลักการอ่านและพิจารณาตามพระไตรปิฎกนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุเพราะ หากบุคคลใด หรือท่านทั้งหลาย ยังไม่เข้าใจในเรื่อง มรรคผล ย่อมทำความเข้าใจในข้อความในพระไตรปิฎกได้ยากยิ่ง หรืออาจไม่เข้าใจตามความเป็นจริงได้เลย ดังนั้นบุคคลใดใดจึงไม่สมควรที่จะนำเอาข้อความในพระไตรปิฎก มาโพส โดยความรู้เท่าไม่ถึงกาล
ข้าพเจ้าเอง ไม่อยากขัดคอความต้องการที่จะแสดง ภูมิความรู้ของท่านทั้งหลายดอกนะขอรับ
บางครั้ง ก็นิ่งอยู่ไม่ได้ เพราะมองเห็นความไม่รู้จริง ไม่รู้แจ้ง ไม่เข้าใจในวิธีการศึกษาพระไตรปิฎก แต่ก็ยังดันทุรัง หยิบยกเอาเรื่องโน้น เรื่องนี้ในพระไตรปิฏกมาแสดงภูมิความรู้กัน
คนที่ไม่รู้ ก็เลยไม่รู้ตามกันไปอีก
จึงขอเตือนทั้งหลาย หรือขอย้ำเตือนท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า
ถ้าพวกท่าน ยังไม่บรรลุมรรคผล คือ ไม่เข้าใจในมรรค และ ผล หรือ เหตุ ปัจจัย ก็อย่าได้นำเอาความในพระไตรปิฎกออกมาแสดงภูมิความรู้
เพราะมันอาจทำให้เกิดความมัวหมองต่อศาสนา หรือต่อพระไตรปิฎก จากความไม่รู้ของพวกคุณ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2009, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ"natdanai"ครับ


1. ที่ว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ยังดำรงอยู่นั้นก็ไม่แปลกครับ เพราะท่านเหล่านั้นเข้าถึงความเป็นอมตะธรรมแล้ว และดับขันธ์เข้านิพพานแล้ว
แต่ที่แปลกก็คือถ้านิพพานยังต้องใช้ขันธ์ แล้วจะดับขันธ์ไปทำไมล่ะครับ

ขันธ์ที่ดับไปคือ เบญจขันธ์ ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอดับสิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปแล้ว ธรรมขันธ์(อายตนะนิพพาน)ที่เป็นกายที่เที่ยงแท้ ถาวร ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย จึงจะโผล่ออกมาได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า:

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่ ถ้าไม่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง ก็จะปรากฏไม่ได้ เพราะเหตุที่มีธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ความพ้นไปจากธรรมชาติที่เกิด ที่เป็น ที่มีใครทำ ที่มีอะไรปรุงแต่ง จึงปรากฏได้."

อิติวุตตก ๒๕/๒๕๗

คำว่าอายตนะ ก็รู้แล้วว่ามีอายตนะภายนอก และอายตนะภายใน ซึ่งก็คือขันธ์นั่นเอง แต่ท่านไม่เรียกเบญจขันธ์ ท่านเรียกธรรมขันธ์แทน


2. ที่ว่ากันว่านิพพานนั้นเป็นสุขก็เพราะทุกข์นั้นหาที่อาศัยอยู่ไม่ได้ ทุกข์อาศัยขันธ์เป็นที่อยู่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนว่า อุปปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ จะเข้านิพพานก็ต้องดับขันธ์อันเป็นปัจจัยแห่งทุกข์ และถ้าจะทำให้สิ้นปัจจัยก็ต้องสิ้นเหตุด้วย เพราะเมื่อไม่มีเหตุปัจจัยก็ไม่มี

ขันธ์ 5 นั้นเป็นทุกข์ แต่ธรรมขันธ์ หรือ อายตนะนิพพานนั้นเป็นสุข และมีอยู่ พระพุทธองค์ตรัสว่า :

"อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2009, 06:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ เขียน:
คำว่าอายตนะ ก็รู้แล้วว่ามีอายตนะภายนอก และอายตนะภายใน ซึ่งก็คือขันธ์นั่นเอง แต่ท่านไม่เรียกเบญจขันธ์ ท่านเรียกธรรมขันธ์แทน


ธรรมขันธ์....คำนี้ฟังแล้วก็คิดถึงพระธรรม 84000 ธรรมขันธ์ ล้วนสอนแต่ทุกข์


พลศักดิ์ เขียน:
ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่


เป็นธรรมที่ไม่มีทั้งภายใน และภายนอก
ไม่มีที่ล่วงมาแล้ว และยังมาไม่ถึง
ไม่มีที่กำลังเป็นอยู่
เป็นธรรมกวมทั่ว....ปราศจากอารมณ์ต่างๆมาติดต้อง

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2009, 21:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
พลศักดิ์ เขียน:


พลศักดิ์ เขียน:
ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่


เป็นธรรมที่ไม่มีทั้งภายใน และภายนอก
ไม่มีที่ล่วงมาแล้ว และยังมาไม่ถึง
ไม่มีที่กำลังเป็นอยู่
เป็นธรรมกวมทั่ว....ปราศจากอารมณ์ต่างๆมาติดต้อง



นั่นเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น ไม่มีใครทำ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่ ชาวโลกเขาเรียกว่า พระเจ้า เพราะเขาจนตรอกด้วยเหตุผล หาจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่งไม่ได้ จึงเรียกสิ่งนั้นว่า GOD


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร