วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 16:37  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 76 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 12:14
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่มีความคิดว่า สวรรค์นรก ไม่มีอยู่จริง และบอกว่า พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนเรื่อง สวรรค์ นรก เอาไว้ (จริงรึเปล่าครับ ถ้ามีอยู่ส่วนไหนของพระไตรปิฏก) แล้วก็มันพิสูจน์ไม่ได้ อยู่ๆมาบอกว่า สวรรค์ นรก มีจริงแล้วไอ้หน้าตาสวรรค์ นรก ที่ว่า หน้าตาเป็นยังไง สวรรค์ นรก ไทย ฝรั่งเหมือนกันมั้ย ผมก็บอกไปว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน อยากรู้ก็ไปปฏิบัติเอา เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถึงเห็นได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดติดและใช่ว่าใครๆก็ทำได้ รบกวนผู้รู้ให้ความกระจ่างครับ จะแก้ไขมิจฉาทิฐิของคนที่เชื่อแบบนี้ได้อย่างไร จะได้ไม่ประมาทในชีวิตครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามยอดฮิตเลยนะครับ
เดี๋ยวผมเอาคำครุบาร์อาจารย์ที่ทรงจำไว้มาถ่ายทอดนิดนึงนะครับ อาจจะไม่เป๊ะๆนะ
เพราะจำไม่เก่งนะ


- หลวงปู่ xxx จำได้ว่าอยู่วัดหน้าโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ท่านพูดว่า
"สวรรค์นรก เป้นเรื่องของคนตายใช่หรือไม่ ... ลองตายดู แล้วจะรู้เองว่ามีจริงหรือไม่อย่างไร"

- หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
..ประมาณว่า ปฏิบัติไปเถอะ ถ้าสวรรค์นรกมีจริงกี่ชั้นๆอย่างคัมภีร์ว่าไว้ ก็จะพบเอง
แต่การปฏิบัติธรรมที่ทำไปนั้น ไม่เสียเปล่าแน่นอน

------------------------------

คนที่เขาอยากจะหาความรู้จริงๆ เขาก้จะดิ้นรนค้นหาเอาเอง
เราไม่ต้องไปห่วงคนประเภทนี้หรอกครับ


ส่วนประเภทไม่ปฏิบัติธรรม ไม่เจริญสติปัฏฐานสักบรรพ แล้วคอยขบๆคิดๆ จะเอาคำตอบให้ไ้ด้ ด้วยวิสัยปุถุชน บ้างก้อาศัยเชื่อบุคคลอื่น ฯลฯ (มีทั้งหมด 10 อย่าง - อ่านเอาในกาลามะสุตร)
อันนี้ให้ปล่อยเขา อย่าไปยุ่งกับเขา

ส่วนเราก็อย่ามัวไปเสียเวลาแก้ไขคนอื่นเลยครับ
เราแก้ไขตัวเรา สนใจตัวเรา เอาตัวเราให้รอดก่อน
แล้วค่อยหันหลับมาช่วยคนอื่นก็ไม่สายครับ

เท่าที่ผมได้รับการสอนสั่งมา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนให้ี่เห็นแก่ตัวนะครับ (เล่นคำนิดนึง)
คือ เห็นสอนให้สนใจกายใจตัวเอง เข้าใจตัวเอง สงสารตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง
ไม่มีคำว่าต้องทำให้คนอื่นเป็นคนดี ต้องแก้ไขคนอื่นให้ดี ... ไม่มีคำประมาณนี้เลย
มีแต่คำว่าด้วยตน ของตน .. ขอบเขตอยู่แค่ในร่างกายและใจเรานี่เอง
เมื่อเราเข้าใจตัวเองมากพอ เราก้จะเข้าใจในที่สุดว่า คนอื่นก็เหมือนเรา สัตว์อื่นก็เหมือนเรา


ขนาดคนรอบตัวผม ผมยังไม่เดือดร้อนที่จะเอาธรรมะไปยัดใส่เขาเลยครับ
คนเรามี"ความสามารถในการรับได้"ไม่เท่ากัน (วาสนาบารมี)
ก็ต้องปล่อยวางครับ ตัวเราต้องทำตัวเราให้แจ้งก่อน
จะได้เป้นพยานให้พระพุทธเจ้า ทำให้คนที่เรารักได้เห็นว่า
- พระพุทธเจ้ามีจริง
- พระธรรมของพระพุทธเจ้าเป้นของจริง ใช้ได้จริง
- และถ้าผู้ใดน้อมนำไปปฏิบัติแล้ว ก็เกิดผลประโยชน์จริง ไม่ใช่สิ่งเหนือวิสัยมนุษย์
ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าสอนแต่สิง่ที่พระพุทธเจ้ารู้คนเดียว ทำได้คนเดียว แล้วมาสอนให้เราเชื่อ ไม่ใช่อย่างนั้น

ด้วยตน ของตน นะครับ
เห็นแก่ตัวให้มากๆ

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2009, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


เรื่องนรกสวรรค์

บางคนก็เชื่อ

บางคนก็ไม่เชื่อ


ส่วนใหญ่ของคนที่ไม่เชื่อมักจะอ้างว่า ถ้ามีจริงต้องมองเห็น เมื่อมองไม่เห็นก็แสดงว่าไม่มี

คนที่รู้จักคิดย่อมไม่ด่วนตัดสินใจอย่างนั้น ในโลกนี้มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เราไม่รู้ไม่เห็น เพราะการรับรู้ของประสาทสัมผัสของคนเรามีจำกัด


เรามองไม่เห็นเชื้อไวรัส แต่จะอ้างว่าไม่มีไม่ได้

เพราะนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่าเชื้อไวรัสมีจริง ในทำนองเดียวกัน เราผู้เป็นปุถุชนไม่มีฤทธิ์อำนาจ เมื่อมองไม่เห็นรูปกายที่ละเอียดของเทวดาหรือผี จะอ้างว่าเทวดาหรือผีไม่มีไม่ได้

เพราะนักวิทยาศาสตร์ชั้นยอดของโลกคือพระพุทธเจ้าทรงรู้เห็นและตรัสรับรอง มีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎกมากมาย


ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ค้นพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐ จะพบศัพท์ สคฺคํ (สวรรค์) ๔๐๕ ครั้ง

และจะพบศัพท์ นิรยํ (นรก) ๔๘๕ ครั้ง

แสดงว่าในพระไตรปิฎกมีการกล่าวถึงนรกสวรรค์อยู่เสมอ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
ป. ก็เทวดามีจริงหรือ
พ. เพราะเหตุไรมหาบพิตร (รู้ว่าเทวดามีจริงแล้ว) จึงตรัสถามอย่างนี้
ป. ถ้าเทวดามีจริง เทวดาเหล่านั้นมาสู่โลกนี้หรือไม่มาสู่โลกนี้
พ. เทวดาเหล่าใดมีทุกข์ เทวดาเหล่านั้นมาสู่โลกนี้ เทวดาเหล่าใดไม่มีทุกข์ เทวดาเหล่านั้นไม่มาสู่โลกนี้
(กัณณกัตถลสูตร ๑๓/๕๘๐)

พระเจ้าอังคติราชผู้เห็นผิดว่า ปรโลก (เช่น สวรรค์) ไม่มี บุญบาปไม่มีผล ทูลถามนารทฤษี (ชาติในอดีตของพระพุทธเจ้า) ว่า
อ. ดูก่อนท่านนารท ที่เขาพูดกันว่า เทวดามี ปรโลกมีนั้นเป็นความจริงหรือ
น. ที่เขาพูดกันว่า เทวดามี ปรโลกมีนั้น เป็นความจริงทั้งนั้น แต่ผู้หลงงมงายในกามไม่รู้ปรโลก
อ. ถ้าท่านเชื่อว่าปรโลกมีจริง ท่านจงให้ทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะแก่ข้าพเจ้าในโลกนี้ ข้าพเจ้าจะใช้ให้ท่านพันหนึ่งในปรโลก
น. ถ้ามหาบพิตรทรงมีศีล อาตมภาพก็จะให้ยืมสัก ๕๐๐ แต่มหาบพิตรหยาบช้า ทรงจุติ (ตาย) จากโลกนี้แล้วจะต้องไปอยู่ในนรก ใครจะไปทวงทรัพย์พันหนึ่งในปรโลกเล่า ผู้ใดไม่มีศีลธรรม ประพฤติชั่ว บัณฑิตทั้งหลายย่อมไม่ให้หนี้ในผู้นั้น
(มหานารทกัสสปชาดก ๒๘/๘๗๓)

พระพุทธเจ้าตรัสกับชาวบ้านศาลา โกศลชนบท ความว่า

ผู้ที่เห็นว่า ทานไม่มีผล ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี โลกหน้าไม่มี อุปปาติกสัตว์ (สัตว์ที่เกิดมาโตเต็มที่ทันที เช่น เทวดา) ไม่มี ... เป็นอันหวังได้ว่า จะไม่ประพฤติกุศลธรรม จะประพฤติอกุศลธรรมเพราะเขาไม่เห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม ไม่เห็นอานิสงส์แห่งกุศลธรรม

ก็โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นของเขาว่า โลกหน้าไม่มีความเห็นของเขานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขาดำริว่า โลกหน้าไม่มี ความดำริของเขานั้นเป็นมิจฉาสังกัปปะ
ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่า โลกหน้าไม่มี วาจาของเขานั้นเป็นมิจฉาวาจา
ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่า โลกหน้าไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ ผู้รู้แจ้งโลกหน้า
ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขายังผู้อื่นให้เข้าใจว่า โลกหน้าไม่มี การทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดของเขานั้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบธรรม
(อปัณณกสูตร ๑๓/๑๐๖)

พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ สมณพราหมณ์หรือเทวดาผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุรู้จิตคนอื่นได้ เห็นไปได้ไกลด้วย เข้าใกล้ก็ไม่รู้ตัว มีอยู่ ถ้าภิกษุคิดในทางอกุศล สมณพราหมณ์หรือเทวดาทั้งหลายย่อมทราบความคิดนั้น
(อธิปไตยสูตร ๒๐/๔๗๙)

พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องคนทำบาปสิ้นชีพก็ไปเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่ในนรก ในตอนท้ายพระองค์ทรงยืนยันว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะได้ฟังเรื่องเหล่านี้มาจากสมณะหรือพราหมณ์อื่น แล้วจึงมากล่าวอย่างนี้ก็หามิได้ แท้ที่จริงเรากล่าวเรื่องที่เราได้รู้เอง ได้เห็นเอง แจ่มแจ้งเองทีเดียว
(ทูตสูตร ๒๐/๔๗๕)

พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อใดเทวดาจะต้องจุติเพราะสิ้นอายุ เทวดาทั้งหลายย่อมอวยพรว่า ท่านจากเทวโลกนี้ไปแล้ว จงถึงสุคติคือเกิดเป็นมนุษย์ มีศรัทธาในพระสัทธรรม เป็นศรัทธาที่ตั้งมั่น อันใคร ๆ ในโลกทำให้คลอนแคลนไม่ได้
(จวมานสูตร ๒๕/๒๖๑)

พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงมีญาณทัสสนะอันประเสริฐ ๘ ประการ คือ จำโอภาส (แสงสว่าง) เทวดาได้ เห็นรูปเทวดา สนทนากับเทวดาได้ รู้ว่าเทวดามาจากเทพนิกายชั้นไหน รู้ว่าเทวดาเคลื่อนจากชั้นนี้แล้วไปเกิดชั้นไหน รู้ว่าเทวดามีอาหารและมีสุขทุกข์อย่างไร รู้ว่าเทวดามีอายุยืนยาวแค่ไหน รู้ว่าพระองค์เคยอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าใดบ้างหรือไม่
(คยาสูตร ๒๓/๑๖๑)

พกพรหมมีอายุยืนยาวมากจนเกิดมีความเห็นผิดว่า ฐานะแห่งพรหมเที่ยง ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปพรหมโลกโปรดพกพรหมให้ละมิจฉาทิฏฐินั้นเสีย
(พกสูตร ๑๕/๕๖๖)

นันทมารดาอุบาสิกาลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง สวดปารายนสูตร ทำนองสรภัญญะ ท้าวเวสสวัณมหาราช (ซึ่งเป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกา) เสด็จผ่านไปด้วยกรณียกิจบางอย่าง ได้ทรงสดับเสียงสวดทำนองสรภัญญะของ นันทมารดาอุบาสิกา จึงประทับรอฟังจนจบ
(มาตาสูตร ๒๓/๕๐)

เมื่อมีอันตราย ๑๐ อย่าง เช่น ผีเข้าภิกษุ (อมนุสสันตราย) เป็นต้น พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อได้
(อุโบสถขันธกะ ๔/๑๖๓)

ประมวลเรื่อง เทวดา เทพบุตร และท้าวสักกะจอมเทพชั้นดาวดึงส์ ที่ไปทูลถามปัญหาต่อพระพุทธเจ้า มีสูตรทั้งหมด ๘๑ ๓๐ และ ๒๕ สูตร ตามลำดับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทวดาล้วนๆ
(เทวตาสังยุตต์ เทวปุตตสังยุตต์ สักกสังยุตต์ เล่ม ๑๕)

พระลักขณะเดินทางไปกับพระโมคคัลลานะผู้เห็นเปรตที่มีลักษณะแปลกๆ แต่พระลักขณะไม่เห็น พระโมคคัลลานะจึงชวนท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าๆ ทรงเล่าความเป็นมาของเปรตนั้นๆ ให้ทราบ มีทั้งหมด ๒๑ สูตร เป็นเรื่องเกี่ยวกับเปรตล้วนๆ
(ลักขณสังยุตต์ เล่ม ๑๖)

กล่าวถึงเทพบุตรและเทพธิดาเล่ากรรมดีในอดีตที่ทำให้ตนได้เกิดในวิมาน มีทั้งหมด ๘๕ เรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ล้วนๆ
(วิมานวัตถุ เล่ม ๒๖)

กล่าวถึงกรรมชั่วที่ส่งผลให้ผู้ทำไปเกิดเป็นเปรต ได้รับความทุกข์ทรมานในลักษณะต่าง ๆ กัน มี ทั้งหมด ๕๑ เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเปรต
(เปตวัตถุ เล่ม ๒๖)


อ่านรายละเอียดที่ ...... :b8:

http://www.dhammajak.net/book/kam/kam11.php

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2007, 19:15
โพสต์: 96


 ข้อมูลส่วนตัว


ค่ะ หนูก็คิดว่า นรก หรือ สวรรค์ มีจริงหรือว่าไม่มี หนูก็ไม่ทราบนะคะ แต่ถ้าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติดี ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะคะ ทำแล้วก็สบายใจกว่าทำสิ่งที่ผิดๆค่ะ ^^

.....................................................
ความรื่นนมย์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ไม่จำเป็นต้องได้อะไรที่ยิ่งใหญ่มาครอบครอง แต่ควรเป็นชีวิตที่เกิดจากความเข้าใจ อันเป็นภาวะของความรู้สึกตัว ความตื่นจากปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างรู้เท่าทันตามความเป็นจริงด้วยปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 00:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


goppy เขียน:
สวัสดีครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่มีความคิดว่า สวรรค์นรก ไม่มีอยู่จริง และบอกว่า พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนเรื่อง สวรรค์ นรก เอาไว้ (จริงรึเปล่าครับ ถ้ามีอยู่ส่วนไหนของพระไตรปิฏก)

ในพุทธคุณ 9
ข้อแรก...พระพุทธองค์เป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่ดองอยู่ในสันดาน อีกทั้งวาสนา ทรงพระกรุณาสั่งสอนสัตว์ ในทางปฏิบัติ ทั้งทางมนุษย์ ทางสวรรค์ และทางนิพพาน

goppy เขียน:
แล้วก็มันพิสูจน์ไม่ได้ อยู่ๆมาบอกว่า สวรรค์ นรก มีจริงแล้วไอ้หน้าตาสวรรค์ นรก ที่ว่า หน้าตาเป็นยังไง สวรรค์ นรก ไทย ฝรั่งเหมือนกันมั้ย ผมก็บอกไปว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน อยากรู้ก็ไปปฏิบัติเอา เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถึงเห็นได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดติดและใช่ว่าใครๆก็ทำได้ รบกวนผู้รู้ให้ความกระจ่างครับ จะแก้ไขมิจฉาทิฐิของคนที่เชื่อแบบนี้ได้อย่างไร จะได้ไม่ประมาทในชีวิตครับ

แก้ของตัวเองก่อนครับ....ตัวเองยังไม่กระจ่างแล้วจะไปแก้ให้เพื่อนยังไงล่ะครับ

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 01:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


อามิตาพุทธ เวรกรรม เวรกรรม.... :b5: :b5:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


goppy เขียน:
สวัสดีครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่มีความคิดว่า สวรรค์นรก ไม่มีอยู่จริง และบอกว่า พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนเรื่อง สวรรค์ นรก เอาไว้ (จริงรึเปล่าครับ ถ้ามีอยู่ส่วนไหนของพระไตรปิฏก) แล้วก็มันพิสูจน์ไม่ได้ อยู่ๆมาบอกว่า สวรรค์ นรก มีจริงแล้วไอ้หน้าตาสวรรค์ นรก ที่ว่า หน้าตาเป็นยังไง สวรรค์ นรก ไทย ฝรั่งเหมือนกันมั้ย ผมก็บอกไปว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน อยากรู้ก็ไปปฏิบัติเอา เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถึงเห็นได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดติดและใช่ว่าใครๆก็ทำได้ รบกวนผู้รู้ให้ความกระจ่างครับ จะแก้ไขมิจฉาทิฐิของคนที่เชื่อแบบนี้ได้อย่างไร จะได้ไม่ประมาทในชีวิตครับ


เมื่อ 30-35 ปีก่อน ผมก็มีความเชื่อเหมือนกับคุณ อาจจะรุนแรงกว่าคุณด้วยซ้ำ เพราะผมไม่เชื่อว่ามีวิญญาณหรือผี พระพุทธเจ้าน่ะหรือ ผมด่าว่าและประณามมาหลายต่อหลายครั้ง

แต่ผลปรากฏว่า ตอนอายุ 20-25 ปี มีผีวิญญาณมาหาผมเต็มไปหมด ผมไปปรึกษาแพทย์ แพทย์บอกว่า ผมเป็นโรคผีอำ คือ นอนทับเส้น ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้ในขณะหลับ ผมก็เปลี่ยนท่านอน บางครั้งก็นั่งหลับ แต่ทำไมผีก็ยังอำอีก นอกจากนี้ในจิตของผม เห็นทั้งดวงวิญญาณ และได้ยิน ได้กลิ่น จากโรควิญญาณ บางครั้งวิญญาณก็มาเล่นระนาดเอกให้ผมฟัง

ผมเลยตัดสินใจเลิกเชื่อแพทย์ไทย เพราะคนเหล่านี้วินิจฉัยโรคชนิดนี้ไม่ถูก จะมั่วนิ่มอย่างเดียว ตั้งแต่วันนั้นผมตัดสินใจทดสอบด้วยตัวเองว่า สิ่งที่ผมรับรู้เป็นวิญญาณจริงหรือเปล่า และเสียง กลิ่น ภาพที่ผมเห็นเป็นสิ่งที่มาจากโลกวิญญาณจริงไหม ...เดี่ยวเขียนต่อนะครับ ตอนนี้ไปกินข้าวก่อน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 11:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ goppy ครับ



1. ผมทดสอบร่วม 500 ครั้ง ครั้งที่ผมมั่นใจ 100%ว่า สิ่งที่ผมพบเป็นผีหรือดวงวิญญาณจริงๆ ก็ตอนที่ผมท้าผีให้มาประลองกำลังกัน ผีตัวนั้นรับคำท้า เอามือมาจับและกดเขียนผมลง ในขณะที่ผมก็ดันแขนของผมขึ้น ในช่วงนั้นผมเปิดตาได้30% จึงสังเกตปฏิกริยาของแขนผม

ปรากฎว่า แขนที่เป็นกายเนื้อของผม มันนิ่งอยู่เฉยๆ แต่ความรู้สึกของผมคือ มีแขนที่มองไม่เห็นอีกอันหนึ่งของผม มันอยู่สูงกว่าแขนกายเนื้อของผม 1 คืบ กำลังดันพลังกับวิญญาณที่มองไม่เห็นดวงหนึ่ง

ผมทดสอบอีกหลายสิบแบบ เช่น ครั้งหนึ่ง ผมทดสอบว่า ทำไมตอนผมถูกผีอำ ถ้าผมทำสมาธิ ตัวผมจะลอยไปใกล้ติดเพดานบ้าน ฝันไปหรือเปล่า ผมทดสอบโดย พอผมลอยไปใกล้ติดเพดาน ก็ลืมตาดู ปรากฏว่า วิญญาณผมตกลงมา กลับสู่ร่างกายเนื้อเลย

2. ผมทำสมาธิ ทำกรรมฐานทั้งสมถะและวิปัสสนา จนสามารถถอดกายทิพย์ หรือถอดจิตออกไปในโลกวิญญาณได้บ่อยๆ ผมจึงรู้ว่าปรโลก (นรก-สวรรค์ และพรหมโลก) นั้นมีอยู่จริงๆ ประตูทางเข้าปรโลกอยู่ในจิตของเรานี่เอง พระพุทธเจ้าถึงไปทั้งนรก-สวรรค์ และพรหมโลกได้ โดยแค่นั่งสมาธิ และพระองค์ยังไปยังดินแดนต่างๆในโลกได้ด้วย โดยเอาจิตไปสร้างกายทิพย์มีอายตนะเหมือนตัวเอง แล้วไปในดินแดนนั้น แม้แต่เมืองไทย พระพุทธเจ้าท่านก็เคยเสด็จมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 12:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


goppy เขียน:
สวัสดีครับ มีเพื่อนผมคนหนึ่งที่มีความคิดว่า สวรรค์นรก ไม่มีอยู่จริง และบอกว่า พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนเรื่อง สวรรค์ นรก เอาไว้ (จริงรึเปล่าครับ ถ้ามีอยู่ส่วนไหนของพระไตรปิฏก)


30% ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าเล่าถึงเรื่องสวรรค์ นรก เอาไว้

goppy เขียน:
แล้วก็มันพิสูจน์ไม่ได้ อยู่ๆมาบอกว่า สวรรค์ นรก มีจริงแล้วไอ้หน้าตาสวรรค์ นรก ที่ว่า หน้าตาเป็นยังไง สวรรค์ นรก ไทย ฝรั่งเหมือนกันมั้ย


นรก-สวรรค์อยู่ในจิตใต้สำนึก พอคุณตายไป จิตวิญญาณของคุณจะไปสร้างกายขึ้นมาในโลกแห่งจิตใต้สำนึกเพื่อรับวิบากกรรม ดังนั้น สวรรค์ นรกของไทย จีน ฝรั่ง อิสลาม จึงต่างกัน เหมือนกับแบ่งเป็นดินแดนหรือประเทศเลย ในภพเดียวกัน ก็มีหลายภูมิ ในภูมิเดียวกัน ก็มีหลายภพ

เช่น โลกียภูมิ มี 1.นรก 2.เปรต 3.อสุรกาย 4.สัตว์เดรัจฉาน 5.มนุษย์ 6.เทวดา
7.พรหม และก็มีภพ ภพคือที่อาศัย ของผู้ที่อยู่ในภูมินั้นๆ อาจอยู่ร่วมภพกันได้แต่คนละภูมิกัน เช่น คน กับ สัตว์ ภพเดียวกันแต่คนละภูมิ

ภูมิสวรรค์ เช่น ดาวดึงส์ ก็มีหลายภพคือหลายดินแดนหรือหลายประเทศ หรือหลายห้องอยู่ในภูมินั้น คุณมุสลิมเขาไม่กินหมู เราเอาหมูไปให้เขากิน เขากินไม่ได้ ดาวดึงส์ของเขาก็กลายเป็นนรกไป

คนที่ไปรับตัววิญญาณมาพิจารณาคดี ถ้าเอายมทูตที่ใส่กางเกงแดง และไม่ใส่เสื้อไปรับแบบนายนิรบาลของไทย ฝรั่งเขาก็คิดว่าป่าเถื่อน ดังนั้นยมทูตของเขาอาจจะใส่สูตร ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกของเขา จะคิดปรุงแต่งเป็นแบบใด มันก็เป็นแบบนั้น

คนจีนเขาปรุงแต่งว่า ต้องมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้เขา เขาจึงจะได้รับผลบุญ ถ้าเราไปทำบุญให้เขาไม่เผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้เขา เขาก็จะไม่ได้รับผลบุญ แต่คนจีนในเมืองไทย ถ้าเราทำบุญให้เขา และไม่กระดาษเงินกระดาษทองไปให้เขา เขาจะได้รับผลบุญ เพราะเขาคิดปรุงแต่ง ไม่เหมือนคนจีนในประเทศอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตท่านกรัชกายนำเรื่องที่ท่านเขียนไว้ที่http://www.212cafe.com/freewebboard/list3.php?user=inhaleมาเผยแพร่เป็นความรู้ครับ

จากหนังสือพุทธธรรมหน้า 453 )

เรื่องเหนือสามัญวิสัย: ปฏิหาริย์-เทวดา

ถ้าถามว่า ในทัศนะของพระพุทธศาสนา อิทธิปาฏิหาริย์ ก็ดี

เทวดาหรือเทพเจ้าต่างๆ ก็ดี มีจริงหรือไม่

และถ้าตอบตามหลักฐานในคัมภีร์มีพระไตรปิฎกเป็นต้น โดยถือตามตัวอักษร ก็ต้องว่า มี

หลักฐานที่จะยืนยันคำตอบนี้มีอยู่มากมายทั่วไปในคัมภีร์ จนไม่จำเป็นจะต้องยกมาอ้างอิง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเกี่ยวกับความมีหรือไม่มี และจริงหรือไม่จริงของสิ่งเหล่านี้

เป็นสิ่งยากที่จะทำให้คนทั้งหลาย ตกลงยอมรับคำตอบเป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวกันได้

และหลายท่าน มองเห็นโทษของความเชื่อถือในสิ่งเหล่านี้ว่า ทำให้เกิดผลเสียหายมากมาย

หลายประการ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้จะถือตรงตามตัวอักษรว่า สิ่งเหล่านี้มีและเป็นจริงอย่างนั้น พระพุทธศาสนาก็มีหลัก

การที่ได้วางไว้แล้วอย่างเพียงพอที่จะปิดกั้นผลเสีย ซึ่งจะพึงเกิดขึ้น ทั้งจากการติดข้องอยู่กับ

การหาคำตอบว่ามีหรือไม่ จริงหรือไม่จริง และทั้งจากความเชื่อถืองมงายในสิ่งเหล่านั้น

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า มนุษย์จำนวนมากตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน มีความเชื่อถือ

หรือ ไม่ก็หวั่นเกรงต่ออำนาจผีสางเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ

พระพุทธศาสนากล้าท้าให้สิ่งเหล่านั้นมีจริงเป็นจริง โดยประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์

ท่ามกลางความมีอยู่ของสิ่งเหล่านั้น

พระพุทธศาสนา ได้วางหลักการต่างๆไว้ ที่จะทำให้มนุษย์ได้รับผลดีในการเกี่ยวข้อง

กับเรื่องเหนือสามัญวิสัย อย่างน้อยก็ให้มีผลเสียน้อยกว่าการที่จะมัวไปวุ่นวายอยู่กับปัญหาว่า

สิ่งเหล่านั้นมีจริงหรือไม่ จุดสำคัญในเรื่องนี้อยู่ที่ว่า เราเข้าใจหลักการที่พระพุทธศาสนาวางไว้และ

ได้นำมาใช้ปฏิบัติกันหรือไม่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สรุปเบื้องต้นในตอนนี้ว่า พระพุทธศาสนาไม่สนใจกับคำถามว่าอิทธิปาฏิหาริย์มีจริงหรือไม่

เทวดามีจริงหรือไม่ และไม่วุ่นวายไม่ยอมเสียเวลากับการพิสูจน์ความมีจริงเป็นจริง

ของสิ่งเหล่านี้เลย สิ่งที่พระพุทธศาสนาสนใจ ปัญหาว่าผีสางเทวดา อำนาจลึกลับ

อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ มีอยู่จริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่ากับปัญหาว่า ในกรณีที่มีอยู่จริง

สิ่งเหล่านั้นมีฐานะอย่างไรต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ และอะไรคือความสัมพันธ์อันถูกต้อง

ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหล่านั้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 12:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คำตอบในเรื่องนี้แยกออกได้เป็นเหตุผล 2 ข้อใหญ่

ประการแรก

เรื่องเหนือสามัญวิสัยเหล่านี้ ทั้งเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ก็ดี เทพไท้เทวา ก็ดี

จัดเข้าในประเภทสิ่งลึกลับ ที่พูดอย่างรวบรัดตามความหมายแบบชาวบ้านว่า พิสูจน์ไม่ได้

คือ เอามาแสดงให้เห็นจริง จนต้องยอมรับโดยเด็ดขาดไม่ได้ ทั้งในทางบวกและในทางลบ

หมายความว่า

ฝ่ายที่เชื่อ ก็ไม่อาจพิสูจน์จนคนทั่วไปเห็นจะแจ้งจนหมดสงสัยต้องยอมรับกันทั่วทั้งหมด

ฝ่ายที่ไม่เชื่อ ก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นชัดแจ้งเด็ดขาดลง ไปจนไม่ต้องเหลือเยื่อใยไว้ในใจ

ของคนอื่นๆ ว่ายังอาจจะมี

ทั้งสองฝ่ายอยู่เพียงขั้นความเชื่อ คือเชื่อว่ามี หรือเชื่อว่าไม่มี หรือไม่เชื่อว่ามี

(ถึงว่าได้เห็นจริง ก็ไม่สามารถแสดงให้คนอื่นเห็นจริง อย่างนั้นด้วย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งกว่านั้น ในสภาพที่พิสูจน์อย่างสามัญไม่ได้นี้ สิ่งเหล่านี้ยังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่ง

คือ เป็นของผลุบๆ โผล่ๆ หรือลับๆ ล่อๆ หมายความว่า

บางทีมีเค้าให้ให้ตื่นใจว่าคราวนี้ต้องจริง แต่พอจะจับให้มั่น ก็ไม่ยอมให้สมใจจริง

ครั้นทำบางอย่างได้สมจริง ก็ยังมีแง่ให้เคลือบแคลงต่อไป เข้าแนวที่ว่า ยิ่งค้นก็ยิ่งลับ

ยิ่งลับก็ยิ่งล่อให้ค้น ค้นตามที่ถูกล่อก็ยิ่งหลงแล้วก็หมกมุ่นวนเวียนอยู่กับสิ่งเหล่านั้น

จนชักจะเลื่อนลอยออกไปจากโลกของมนุษย์

ในเมื่อเป็นสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ เป็นสิ่งลับล่อและมักทำให้หลงใหลเช่นนี้

การมัววุ่นวายกับการพิสูจน์สิ่งเหล่านั้น ย่อมก่อให้เกิดโทษหลายอย่างทั้งแก่บุคคลและสังคม

นอกจากเสียเวลาและเสียกิจการเพราะความหมกมุ่นวุ่นวายแล้ว เมื่อต้องมัวรอกันอยู่จนกว่า

จะพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่ และก็พิสูจน์กันไม่เสร็จสักที


ผู้ที่เชื่อและไม่เชื่อก็ต้องมาทุ่มเถียงหาทางหักล้างกัน แตกสามัคคีทะเลาะวิวาทกันเพราะเรื่อง

ที่ไม่ชัดเจน และในระหว่างนั้น แต่ละพวกละฝ่ายต่างก็ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นไปตามความเชื่อ

และไม่เชื่อของตน ไม่มีโอกาสที่จะแก้ไขการปฏิบัติต่างๆที่เกิดโทษก่อผลเสียแก่ชีวิตและ

สังคม เพราะต้องรอให้พิสูจน์เสร็จก่อน จึงจะยุติการปฏิบัติให้ลงเป็นอันเดียวกันได้

ซึ่งก็ยังพิสูจน์กันไม่เสร็จจนบัดนี้ จึงเป็นอันต้องยอมรับผลเสียกันอย่างนี้เรื่อยไป

ไม่เห็นที่สิ้นสุด ฯลฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2009, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกอย่างหนึ่ง


ในเมื่อสิ่งเหล่านี้อยู่เพียงในระดับแห่งความเชื่อของปุถุชน ก็ย่อมผันแปรกลับกลายได้

ดังจะเห็นได้ว่า บางคนเคยไม่เชื่อถือสิ่งเหนือสามัญวิสัยเลย

(คือ เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีไม่เป็นจริง)

และดูถูกดูหมิ่นความเชื่อนั้นอย่างรุนแรง ต่อมาได้ประสบเหตุการณ์ลับล่อที่เป็นเงื่อน

ต่อแห่งความเชื่อนั้นเข้า ก็กลับกลายเป็นคนที่มีความเชื่ออย่างปักจิตฝังใจตรงข้ามไปจากเดิม

และเพราะเหตุที่ไม่มีหลักส่องนำทางในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้น ก็กลายเป็นผู้หมกมุ่น

หลงใหลในสิ่งเหล่านั้นยิ่งไปกว่าคนอื่นๆ อีกมากมายที่เขาเชื่ออย่างนั้นแต่เดิมมา

ในทำนองเดียวกัน บางคนที่เคยเชื่อถือมั่นคงอยู่ก่อน ต่อมาได้ประสบเหตุการณ์ที่ส่อว่า

สิ่งที่เชื่อจะไม่เป็นไปสมจริงหรือไม่แน่นอน ความเชื่อนั้นก็กลับสั่นคลอนไป หรือบางที

อาจกลายเป็นผู้ไม่เชื่อไปเสียก็มี


ในกรณีเหล่านี้ มนุษย์ทั้งหลายล้วนแต่มัววุ่นวายกับปัญหาว่า มีหรือไม่มี จริงหรือไม่จริง

เชื่อหรือไม่เชื่อเท่านั้น พากันขาดหลักการในทางปฏิบัติที่จะเตรียมป้องกันผลเสียต่อชีวิต

และสังคมจากความ เชื่อหรือไม่เชื่อของพวกตน

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ มุ่งสอนสิ่งที่ทำได้ ให้มนุษย์ได้รับประโยชน์

พอกับทุกระดับแห่งความพร้อมหรือความแก่กล้าสุกงอมของตนๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 76 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร