วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2009, 23:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ธ.ค. 2008, 23:48
โพสต์: 217

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


4 อย่าเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่

เมื่อคนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันล้วนมีความฝันถึงอนาคตอันสวยหรู ของชีวิตคู่แทบทั้งนั้น ร้อยละร้อยต่าง พยายามบากบั่นทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงสายใยของความรักความผูกพันให้มั่น คงตลอดไป

แต่ในชีวิตจริง สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดก็มักจะเกิดขึ้นได้โดยไม่ คาดฝันเสมอ โดยเฉพาะเรื่องชีวิตคู่แทบจะหาคู่ที่อยู่กันโดยไม่มีปัญหายากเย็นเต็มทีอยู่ ที่ว่าคู่ไหนจะมีปัญหามากน้อยเท่านั้นและอยู่ที่ว่าเราจะฟันฝ่าปัญหาให้หมด ไปได้อย่างไร

นี่คือสิ่งที่ท้าทายการใช้ชีวิตคู่อยู่เสมอมา

เมื่อพิจารณาอย่างคร่าวๆ แล้วพบว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาในชีวิตคู่

"ต้องพยายามหาทางทำให้ปัญหาหยุดอยู่กับที่ก่อนที่จะหาทางแก้ไขกันอย่างจริงจังต่อไป"

ปัญหาจะหยุดได้ต้องพึงใส่ใจถึงหลัก 4 อย่า คือ

1. อย่าคุยกันตอนมีอารมณ์

เราต้องยอม รับความจริงว่าหลายครั้งทีเดียวเมื่อมีปัญหาเข้า มาในชีวิตคู่จะมีอารมณ์ไล่หลังตามมาติดๆ เหมือนญาติสนิทกันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นปัญหาเล็ก หรือปัญหาใหญ่ มีตั้งแต่อารมณ์โกรธอารมณ์เกลียด อารมณ์ชัง หรือแม้กระทั่งอารมณ์งอน

เมื่อเกิด อารมณ์ คนรักก็มักจะลืมเหตุลืมผลถ้าเอาอารมณ์เป็นใหญ่ เอาอารมณ์เป็นตัวตัดสินใจในปัญหานั้นๆ ผลลัพธ์ที่ออกมามักจะไม่ทำให้แก้ปัญหาได้มีแต่จะเพิ่มปัญหา ให้มากยิ่งขึ้น

เคยมีตัวอย่างมากมายที่ "ความตาย" มาเยือนชีวิตคู่ เพราะพยายามพูดกันเพื่อแก้ปัญหาตอนมีอารมณ์ จากเรื่องเล็กๆ ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถึงขนาดฆ่ากันตายมาแล้วหลายคู่อย่าทำเป็นล้อเล่นไป

การคุยกัน เพื่อแก้ปัญหาตอนมีอารมณ์ จะไม่มีทางแก้ปัญหาให้เสร็จสมอารมณ์หมายได้เลยเพราะทั้ง สองฝ่ายต่างมุ่งหมายที่จะ เอาชนะคะคานกันมากกว่าหันหน้ามาแก้ปัญหา คำพูดคำจาที่ออกมา นอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้วบางทียังทำให้เพิ่มปัญหาให้มากขึ้นซะด้วยซ้ำ

ที่พบเห็น บ่อยๆ ของการพูดกันขณะที่อารมณ์ คือ มักจะ พูดแบบยียวนกวนประสาท ทั้งๆ ที่เวลาปกติธรรมดาที่ไม่มีอารมณ์ จะเป็นคนที่ พูดจาไพเราะเสนาะโสตก็ตามไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่มักจะเป็นแบบนี้ มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ

เวลาคนเรามีอารมณ์เรามักจะข่มใจตนเองไม่อยู่ และมักจะมองดูคู่สนทนาที่มีสถานภาพเป็น "คู่ชีวิต" ของเราแท้ๆ กลายเป็น "คู่ อาฆาต" ไปได้

เมื่อมองคู่สนทนาเป็นคู่อาฆาต ก็แทบประกาศผลล่วงหน้าได้เลยว่า จะมีแขกชื่อ "ความร้าวฉาน" มาเยือนถึงชานเรือนอย่างแน่นอนวันใด ก็ตามที่ชีวิตคู่เกิดความร้าวฉาน มักจะยากที่จะประสานให้เป็นเนื้อเดียวกันได้เหมือนเดิม

ในบางกรณีอาจจะมีการประสานกันได้หลังจากใช้อารมณ์คุยกันเมื่อ เกิดปัญหาไปในระยะหนึ่งแล้วแต่เชื่อเถอะว่าจะเป็นการประสานที่ไม่สนิทมี สิทธิที่จะร้าว มีสิทธิที่จะแตก มีสิทธิที่จะแยกได้ง่าย

ทางที่ดีที่ สุด คือ ต้องหยุด คุยกันทันทีเมื่อมีอารมณ์แน่นอนที่สุด อารมณ์ของทั้งสองฝ่ายคงไม่ได้เกิดพร้อมกันทันที ย่อมต้องมีใครมีอารมณ์ขึ้นมาก่อน ควรสอนใจตัวเองตลอดเวลาว่า เมื่อต้องสนทนาเพื่อแก้ปัญหากับคู่ชีวิตของเราแล้ว เขาหรือเธอเกิดมี อารมณ์ขึ้นมา อีกฝ่ายต้องระงับอารมณ์อย่าให้มีขึ้นมาเหมือนกัน แต่ควรจะหันหลังให้แล้วไปทำธุระอื่นๆ สักระยะจนกว่าอารมณ์ที่กำลังพวยพุ่งของอีกฝ่ายจะหายไปก่อน ค่อยย้อนมาคุยกันใหม่

2. อย่าคุยกันแบบหูทวนลม

เมื่อทั้งสอง ฝ่ายระงับอารมณ์กันได้แล้วและพร้อมที่จะสนทนาเพื่อแก้ปัญหาร่วมกันสิ่งสำคัญ อีกประการหนึ่ง ซึ่งควรคิดคำนึงถึงตลอดเวลา คือ ท่าทีของการสนทนา ถึงแม้จะนั่งคุยกันแบบไม่มีอารมณ์แล้ว แต่ ถ้าท่าทีของการสนทนาไม่ดี โอกาสที่จะแก้ปัญหาก็ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกัน

ท่าทีที่พึง ระมัดระวัง คือ ท่าทีการสนทนาแบบหูทวนลมตามปกติทั่วไปเมื่อ คนเราคิดจะคุยกันก็ต้องพึงมีท่าทีที่เรียกว่า "รับฟังซึ่งกันและกัน"ไม่ใช่ฟังแบบขอไปที่ หรือฟังแบบมีท่าทีหูทวนลมถ้าเป็นแบบนี้ก็คุยกันไม่ได้นาน และมักจะมีอาการพาลพาโลตามมา ในไม่ช้าก็จะมีอารมณ์ ตามมาอย่างแน่ นอน

เมื่อมี อารมณ์เมื่อไร ก็เหมือนอย่างที่บอกไปแล้วในข้อแรกว่าอะไรจะเกิดขึ้น จึงต้องพึงสังวรณ์ได้ตลอดเวลา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นให้นึกถึงคำว่า "อย่า" ที่นำมาฝากให้จงหนัก

จงช่วยทำให้ปัญหาหนักกลายเป็นปัญหาเบา ช่วยให้ปัญหาเบากลายเป็นปัญหาบางและเจือจางไปในที่ สุด

3. อย่าตัดสินใจอะไรในทันที

ตามธรรมดาเมื่อคนเราที่เคยจู๋จี๋กันอย่างมี ความสุขมาอาจจะสั้นบ้างยาวบ้างก็เถอะ เมื่อมีเรื่องเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเข้ามาสู่ชีวิตคู่ ทุกคู่มักอยากให้ "ปัญหา" ที่ใคร เป็นผู้ก่อขึ้นมาก็ตามไม่ลุกลามต่อไป จึงมักตัดสินใจในทันที ที่จะ "หยุดปัญหา" ด้วยหวังว่าปัญหาจะได้หมดๆ ไป หรือก็เพื่อจุดประสงค์ที่ว่า จะได้ลืมๆ กันไป

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราต้องยอมรับว่า "ปัญหายังไม่ได้หมดไป" ปัญหายังดำรงอยู่ เพียงแต่ว่ามันอาจจะซุกอยู่ใต้พรม และมีแนวโน้มจะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเรายังพึงพอใจกับการตัดสินใจในทันที เพื่อที่จะหยุดปัญหาแบบนี้ ทางที่ดีควรหาทางแก้ปัญหาด้วยการจับเข่าคุยกันแบบ "ไม่มีอารมณ์" และ "ไม่มีท่าทีแบบหูทวนลม"

นอกจากนี้ ก็ไม่ควร ตัดสินใจอะไรในทันที ถึงแม้จะนั่งจับเข่าคุยกันนานแสนนาน แต่ก็ยังไม่พานพบ "ทางออก"

การตัดสินใจทันทีเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่ แล้วหาทางออกไม่ ได้ มักตามมาด้วยการหลุดวาจาคำว่า "หย่าร้าง" หรือ "แยกทางกัน" ออกมา เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหลุดคำนี้ออกมาเมื่อไร ถึงจะพูดด้วยท่าทีธรรมดาๆ แค่ไหน ก็มักจะแฝงความรู้สึกว่าถูก "ท้าทาย" จากอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ จึงไม่ควรตัดสินใจทันทีที่จะพูดคำว่า "หย่า" ออกมาเมื่อชีวิตคู่มีปัญหาแล้วหาทางออกไม่ได้

ทางที่ดีควรมีเวลาคุยกันมากขึ้นอีกหลายๆ ครั้ง ถ้าไม่มีอคติ ในจิตใจกันจนเกินไป จะพบว่า การคุยกันครั้งต่อๆ มา สถานการณ์จะแตกต่างกว่าการคุยกันครั้งแรก และแนวโน้มโดยทั่วไปสถานการณ์การคุยกันครั้งต่อๆ มาน่าจะมีบรรยากาศที่ดีกว่าการคุยกันครั้งแรก และไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เลยที่เรามักจะหาทางออกได้ในที่สุด

ในทางกลับกันเมื่อคุยกันแล้ว เกิดหาทางออกได้ ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจทันทีถึง "ทางออก" ที่หาได้ในขณะนั้น เพราะ มันอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ได้ ควรทอดเวลาของการตัดสินใจออกไปสักระยะเวลาหนึ่ง จึงค่อยตัดสินใจ

ในความเป็นจริงของชีวิตจะพบว่า เมื่อทอด เวลาออกมาสักระยะหนึ่งจึงตัดสินใจ เรามักจะพบการตัดสินใจที่ดีกว่าเสมอ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ แล้ว "อย่าตัดสินใจอะไรทันที" เมื่อมีปัญหาในชีวิตคู่

4. อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป

โดยปกติธรรมดา เมื่อคน เรามีปัญหาขึ้นมา ก็มักจะคิดถึงแต่แง่มุมของตนเอง คิดถึงแต่เหตุผลที่เข้าข้างตนเอง คิดถึงแต่ความถูกต้องของตนเอง มักจะลืมฟังเหตุผลของอีกฝ่ายเมื่อเราไม่ฟังเหตุผลของอีกฝ่าย เมื่อเราไม่ฟังเหตุผลของอีกฝ่าย ก็ยากที่จะหาข้อ สรุปที่เป็นทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้

ลองนึกถึงอกเขาอกเรา ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมฟังเหตุผลของเราบ้างเลย เราจะยอมไหม เราก็คงไม่ยอม ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อคิดจะหาทางออกร่วมกันจากปัญหาในชีวิตคู่ที่เกิดขึ้น ต้องมีจุดยืนอยู่ที่ว่า "อย่าคิดถึงตัวเองมากเกินไป"

ในอีกมิติหนึ่งของ "อย่าที่ 4" นี้ นอกจาก จะต้องคิดถึงอีกฝ่ายที่เป็นคู่ชีวิตเราไปพร้อมๆ กับการคิดถึงตัวเองแล้ว ก็อยากฝากเป็นข้อคิดไว้อีกนิดหนึ่งสำหรับชีวิตคู่ที่มี "ลูก" อยู่ด้วยว่า "อย่าคิดถึงตัวเองสองคนที่เป็นคู่กรณีมากเกินไป ให้คิดถึงลูกด้วย"

เพราะการตัดสินใจใดๆ ของเราย่อมเข้าไปมีส่วนเป็นผลกระทบต่อลูกบ้างไม่มากก็น้อย เมื่อทั้งคู่หันมาคิดถึงลูกเมื่อเกิดปัญหาชีวิตคู่ อะไรๆ ก็อาจจะดูง่าย เข้าต่อการแก้ปัญหา

ลองคิดเพียงง่ายๆ ว่า เราเป็นผู้สร้างปัญหา แต่ลูกต้องมามีผลกระทบรับกรรมไปด้วย มันถูกหรือไม่ ลองใช้วิจารณญาณพิจารณาดู ก็น่า จะรู้ได้ดี

ทั้ง 4 อย่าเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตคู่ที่จาระไนมานี้ คงมีประโยชน์บ้างตามสมควร แก่กรณี สำหรับผู้ที่อยากแก้ปัญหา แต่ถ้าไม่อยากแก้ปัญหา ก็ทำตรงข้ามทุกอย่าง รับรองต้องได้ "หย่า" กันแน่นอน

กนก วลี

ขอขอบคุณ
http://www.weddingmind.com/contents/view.php?id=62

.....................................................
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 เม.ย. 2009, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชีวิตข้างก็วุ่นวายพอแรงอยู่แล้ว พอได้ครบคู่เลยมากเรื่องกันไปใหญ่

ทุกชีวิตย่อมมีจุดบกพร่องเป็นสมบัติของตัวเอง ไม่มากก็น้อย
จึงไม่มีใครที่ดีพร้อม ไปทุกสิ่ง

เพราะรักจึงมองข้ามความบกพร่อง ถึงรู้แต่ก็ไม่ถือสา
คนที่รักจึงดูดีไปซะหมด ในสายตายามที่กำลังซึ้ง

นานวันเข้า เมื่อรสซึ้งจากความรักจืดจางลง ต่างคน
ก็จะค่อยๆถือสา ความบกพร่อง ที่ตนเคยมองข้ามยามที่มีรัก

ต่อมาก็เริ่มทุกข์กับข้อบกพร่องของแต่ละฝ่าย แล้วเริ่มเค้นจ้องจับ
แต่ข้อบกพร่อง จนมองไม่เห็นข้อดี

ต่อมาก็เริ่มอัดอั้น แล้วระบายออกประจานคู่ของตัว
ให้คนใกล้ชิดทราบ และต่อมาเจอใครก็ระบายไปทั่วแม้คนเพิ่งรู้จัก

ต่อมาต่างคนก็จะเริ่ม เติมสีเติมรสของเรื่องราว แล้วเผาคู่ของตัว
ให้มอดใหม้แล้วสบายใจ

ต่อมาต่างฝ่ายก็ต่างเริ่มระแวงกัน และเริ่มทุกข์หนักหนากับเรื่องเดิมๆ
และเรื่องที่ไม่มีสาระ อีกทั้งเรื่องที่อาจคิดล่วงหน้ากันไปเอง

ต่อมาเมื่อชีวิตคู่ไม่มีความสุข ก็ไม่ค่อยอยากจะเจอหน้ากัน
แต่จะเริ่มหาเพื่อนคู่คิด เพื่อนที่พอไว้ใจ หรือใครก็ได้ที่มาปลอบใจ
ยามเครียด

และต่อมาก็อาจจะเลิกกับคู่ของตัว แล้วไปเริ่มชีวิตใหม่กับคู่ปลอบใจ
ในยามเครียด เพราะต่างก็รู้สึกอบอุ่นและเริ่มรู้สึกไม่มีใครเข้าใจเห็นใจ
กันจริงเท่าคู่ใหม่คนนี้อีกแล้ว

และต่อมาเมื่อความพิศวาสจืดจางลง เหตุผลเริ่มมาแทนที่
เขาก็จะมองเห็นแต่ข้อบกพร่องของคู่ใหม่ตนอีกครั้ง

และต่อมาเขาก็จะเริ่มเข้าสู่วงจรเดิมๆ


เมื่อมีใจรัก ก็จะมีความใจกว้าง ยอมได้ รอได้ อภัยเสมอ
และมีความสุขอยู่กับการนึกถึงแต่ส่วนดี และขำๆกับส่วนที่พร่อง

แค่เติมรักอย่าให้จือจาง ส่วนพร่องทั้งหลายก็จะไม่มี
หรือถ้ามี ก็มีเหมือนไม่มี

แต่ก็มีอยู่หลายคู่ ทีมีความยอดแย่อย่างสมบูรณ์แบบ
และแท้จริง เนื่องจากต่างก็หลับหูหลับตาเลือกกันมาอย่างลวกๆ

นานวันเข้าก็แผลงฤทธิแผลงเดชจนต้องเลิกกัน ชีวิตจึงจะยืนต่อไปได้
อันนี้เป็นเรื่องของกรรม และความเคลิ้มไปตามอำนาจของกิเลส
โดยปราศจากพลังควบคุม และการรู้เท่าทันตัวเองในเรื่องคู่

มองข้อบกพร่องตนเองมากเป็นพิเศษ จะทำให้พลังชีวิต
มีพัฒนาการที่สูงขึ้น ไปเรื่อยๆ และจิตใจก็จะใสสะอาดไม่ขุ่นมัว

เพราะแค่คิดจะจับผิดคนอื่น ความสะอาดและความสุขของจิต
ก็จะจางหาย และจากไปทันที

แค่คิดดี ชีวิตก็มีสุขได้ พอเิ่ริ่มคิดร้าย
จิตใจก็เศร้าหมองทันที


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร