วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2009, 23:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


กายนครที่ปลอดภัย

ภิกษุ ท.! อริยสาวก ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการ และ
เป็นผู้มีปกติได้ตามปรารถนา โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำ บาก ซึ่งฌานทั้งสี่อัน
ประกอบในจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม, ในกาลใด;
ภิกษุ ท.!ในกาลนั้น อริยสาวกนี้เรียกได้ว่า เป็นผู้ที่มารอันมีบาปกระทำอะไรไม่ได้.

ภิกษุ ท.! อริยสาวก ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ ประการอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีเสาระเนียดอันมีรากลึก ฝังไว้ดีไม่หวั่นไหว
ไม่คลอนแคลน สำหรับคุ้มภัยในภายใน และป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด ;
ภิกษุ ท.! อริยสาวกก็มีสัทธา เชื่อการตรัสรู้ของพระตถาคตว่า "แม้เพราะเหตุอย่างนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น.... ฯลฯ .... เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำ แนกธรรม" ดังนี้,
ภิกษุ ท.!อริยสาวกผู้ มีสัทธาเป็นเสาระเนียด ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละกรรมอันมีโทษ
เจริญกรรมอันไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่. ฉันนั้นเหมือนกัน :
นี้ชื่อว่าผู้ประกอบด้วย สัทธรรมประการที่หนึ่ง.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีคูรอบทั้งลึกและกว้าง
สำหรับคุ้มภัยในภายในและป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด ;
ภิกษุ ท.! อริยสาวกก็มีหิริ ละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอาย
ต่อการถึงพร้อมด้วยอกุศลธรรมอันลามกทั้งหลาย,
ภิกษุ ท.! อริยสาวกผู้มีหิริเป็นคูล้อมรอบ ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละกรรมอันมีโทษ เจริญกรรม
อันไม่มีโทษบริหารตนให้หมดจดอยู่, ฉันนั้นเหมือนกัน :
นี้ชื่อว่าผู้ประกอบด้วย สัทธรรมประการที่สอง.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีเชิงเทินเดินรอบ
ทั้งสูงและกว้าง สำหรับคุ้มภัยในภายในและป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! อริยสาวกก็มีโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อกายทุจริต วจีทุจริต
มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อความถึงพร้อมด้วยอกุศลธรรมอันลามกทั้งหลาย.
ภิกษุ ท.! อริยสาวกผู้ มีโอตตัปปะเป็นเชิงเทินเดินรอบ ย่อมละอกุศล เจริญ
กุศล ละกรรมอันมีโทษ เจริญ กรรมอันไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่,ฉันนั้นเหมือนกัน :
นื้ชื่อว่าผู้ประกอบด้วย สัทธรรมประการที่สาม.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีอาวุธอันสั่งสมไว้เป็นอันมาก
ทั้งชนิดที่ใช้ประหารใกล้ตัวและประหารไกลตัว สำหรับคุ้มภัยในภายในและป้องกันในภายนอก,
นี้ฉันใด; ภิกษุ ท.! อริยสาวกก็มีสุตะอันตนสดับแล้วมาก ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ, ธรรมเหล่าใดงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งานในสุด ที่เป็นการประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์
สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะพร้อมทั้งพยัญ ชนะ, ธรรมมีรูปเห็นปานนั้น อันเขา สดับแล้วมาก ทรงไว้ คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิ.
ภิกษุ ท.!อริยสาวกผู้ มีสุตะเป็นอาวุธ ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละกรรมอันมีโทษ เจริญ
กรรมอันไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่, ฉันนั้นเหมือนกัน :
นี้ชื่อว่าผู้ประกอบด้วย สัทธรรมประการที่สี่.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีกองพ ลประจำ อยู่เป็นอันมาก คือกองช้าง
กองม้า กองรถ กองธนู กองจัดธงประจำกอง กองเสนาธิการ กองพลาธิการ กองอุคคโยธี
กองราชบุตร กองจู่โจมกองมหานาค กองคนกล้า กองโล้ไม้ กองเกราะโล้หนัง กองทาสกบุตร
สำหรับคุ้มภัยในภายในและป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! อริยสาวกมีความเพียรอันปราภแล้ว เพื่อละอกุศลธรรมทั้งหลาย เพื่อยังกุศลธรรมทั้งหลายให้ถึงพร้อม มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดทิ้งธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย,
ภิกษุ ท.! อริยสาวกผู้ มีวิริยะเป็นพลกาย ย่อมละอกุศลเจริญกุศล ละกรรมอันมีโทษ เจริญกรรมอันไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่. ฉันนั้นเหมือนกัน :
นี้ชื่อว่าผู้ประกอบด้วย สัทธรรมประการที่ห้า.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีนายทวารที่เป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญา ห้ามเข้าแก่คนที่ไม่รู้จัก ให้เข้าแก่คนที่รู้จัก เพื่อคุ้มภัยในภายในและป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! อริยสาวกเป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติเป็นเครื่องรักษาอย่างยิ่ง ระลึกถึง ตามระลึกถึงซึ่งกิจที่กระทำ และคำ ที่พูดแล้วแม้นานได้,
ภิกษุ ท.! อริยสาวกผู้ มีสติเป็นนายทวาร ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ละกรรมอันมีโทษ เจริญกรรมอัน
ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน :
นี้ชื่อว่าผู้ประกอบด้วย สัทธรรมประการที่หก.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีกำ แพงทั้งสูงและกว้าง สมบูรณ์ด้วยการก่อและการฉาบ เพื่อคุ้มภัยในและป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! อริยสาวกเป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องถึงธรรมสัจจะแห่งการตั้งขึ้นและการตั้งอยู่ไม่ได้ อันเป็นอริยะ เป็นเครื่องชำ แรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ,
ภิกษุ ท.!อริยสาวกผู้มีปัญญาเป็นความสมบูรณ์ด้วยการก่อและการฉาบ ย่อมละอกุศลเจริญกุศล ละกรรมอันมีโทษ เจริญกรรมอันไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่,ฉันนั้นเหมือนกัน :
นี้ชื่อว่าผู้ประกอบด้วย สัทธรรมประการที่เจ็ด.

อริยสาวก เป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยสัทธรรม ๗ ประการเหล่านี้แล

ภิกษุ ท.! อริยสาวก เป็นผู้มีปกติได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยากได้ไม่ลำบาก ซึ่งฌานทั้งสี่ อันประกอบในจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม เป็นอย่างไรเล่า ?

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีหญ้า ไม้และน้ำ สั่งสมไว้เป็นอันมาก เพื่อความยินดี ไม่สะดุ้งกลัว อยู่เป็นผาสุก ในภายใน เพื่อป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! อริยสาวก สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม เข้าถึงปฐมฌาน อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่ เพื่อความยินดี ไม่สะดุ้งกลัว อยู่เป็นผาสุก แห่งตนเพื่อก้าวลงสู่นิพพาน, ฉันนั้นเหมือนกัน.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีข้าวสาลีและข้าวยวะสะสมไว้เป็นอันมาก เพื่อความยินดี ไม่สะดุ้งกลัว อยู่เป็นผาสุกในภายใน เพื่อป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! อริยสาวก เพราะความเข้าไปสงบระงับแห่งวิตกและวิจาร เข้าถึงทุติยฌาน อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน นำ ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่วิตก ไม่มีวิจารมีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ เพื่อความยินดี ไม่สะดุ้งกลัว อยู่เป็นผาสุก แห่งตน เพื่อก้าวลงสู่นิพพาน, ฉันนั้นเหมือนกัน.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีอปรัณณ-ชาติ คืองา ถั่วเขียว ถั่วราชมาส เป็นต้น สั่งสมไว้เป็นอันมาก เพื่อความยินดีไม่สะดุ้งกลัว อยู่เป็นผาสุก ในภายใน เพื่อป้องกันในภายนอก, นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! อริยสาวก เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติและสัมปปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย อันชนิดที่พระอริยเจ้ากล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปรกติสุข ดังนี้ เข้าถึงตติยฌาน แล้วแลอยู่ เพื่อความยินดี ไม่สะดุ้งกลัว อยู่เป็นผาสุก แห่งตนเพื่อก้าวลงสู่นิพพาน, ฉันนั้นเหมือนกัน.

ภิกษุ ท.! เปรียบเหมือนในปัจจันตนครของพระราชา มีเภสัชสั่งสมไว้เป็นอันมาก คือ เนยใส เนยข้น น้ำ มัน น้ำ ผึ้ง น้ำ อ้อย และเกลือเพื่อความยินดี ไม่สะดุ้งกลัว อยู่เป็นผาสุก ในภายใน เพื่อป้องกันในภายนอก,นี้ฉันใด;
ภิกษุ ท.! อริยสาวก เพราะละสุขและละทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสองในกาลก่อน เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ เพื่อความยินดี ไม่สะดุ้งกลัว อยู่เป็นผาสุก แห่งตน เพื่อก้าวลงสู่นิพพาน, ฉันนั้นเหมือนกัน.อริยสาวก เป็นผู้มีปกติได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำ บากซึ่งฌานทั้งสี่อันประกอบในจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม เหล่านี้แล.

ภิกษุ ท.! อริยสาวกประกอบพร้อมด้วยสัทธรรม ๗ ประการเหล่านี้และเป็นผู้มีปกติได้ตามปรารถนา ได้ไม่ยาก ได้ไม่ลำ บาก ซึ่งฌ านทั้งสี่อันประกอบในจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม เหล่านี้ด้วย, ในกาลใด ;
ภิกษุ ท.! ในกาลนั้น อริยสาวกนี้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มารอันมีบาปกระทำอะไรไม่ได้.

- สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๐๙/๑๑๓/๖๔.
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร